ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 686 พยายามจับคู่ให้

บทที่ 686 พยายามจับคู่ให้

บทที่ 686 พยายามจับคู่ให้

หลินชิงเหอคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าขนาดเธอบิดเบือนเนื้อเรื่องไปถึงเพียงนี้แล้ว ยังไปเจอกันได้อีก

ถึงเธอไม่เคยสงสัยในพลังที่มองไม่เห็น คิดว่าคนที่ต้องเจอกันช้าหรือเร็วก็ต้องเจอ แต่ไม่รู้เลยว่าเจ้าสามรู้จักจงฉิงมานานแล้ว

ดูจากท่าทางกระตือรือร้นนั่นทำไมจะดูไม่ออกว่าเขารู้สึกดีกับจงฉิง

เจ้าสามเห็นท่าทางแบบนี้ของแม่เขาแล้วจะกล้าปิดบังอีกได้อย่างไร จึงรีบเล่าเรื่องที่เขาช่วยจับขโมยบนรถไฟก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่เข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับจงฉิงเลย ผมจำได้หมดว่าแม่ไม่ให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงแซ่จง จำได้ดีเลยครับ”

หลินชิงเหอถึงยอมปล่อยหูเขา และแค่นเสียง “ถ้าลูกกล้าคิดแบบนั้นม้าจะตีขาลูกให้หักเลย หล่อนดูมีโหงวเฮ้งความเป็นสามีภรรยากับพี่สวี้เจี๋ยของลูกชัด ๆ”

ในฐานะพระเอกนางเอก ไม่ว่าจะเป็นหานสวี้เจี๋ยหรือจงฉิงล้วนหน้าตาดีแบบไม่ต้องพูดมาก ระดับมังกรหงส์เหนือคนทั้งนั้น มองผ่านฝูงชนปราดเดียวก็เห็น แน่นอนว่าบรรดาลูกชายเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน

แต่พวกเขาน่ะเป็นบุพเพสันนิวาสที่ถูกกำหนดมา เธอไม่อนุญาตให้เจ้าสามไปแทรกหรอก แทรกแซงความรักคนอื่นจบไม่สวยแน่

เจ้าสามพึมพำ “แม่เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าครับ ระหว่างจงฉิงกับพี่สวี้เจี๋ยไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกครับ ตอนอยู่บนรถไฟผมฟังจงฉิงบ่นมาทั้งทาง ว่าพี่สวี้เจี๋ยเข้มงวดและหัวโบราณ”

หลินชิงเหอเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา นึกในใจอยู่ว่าตอนนี้จงฉิงยังไม่มีความรู้สึกต่อหานสวี้เจี๋ยจริง ๆ พูดให้ถูกคือยังไม่ตระหนักถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อหานสวี้เจี๋ย ไม่อย่างนั้นเรื่องอะไรที่หล่อนต้องบ่นถึงตลอดทั้งทาง?

แต่นี่ก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน ไม่เกี่ยวกับบ้านเธอ

“เชื่อม้า อย่าไปยุ่งกับเรื่องของพวกเขา อีกหน่อยลูกอยากมีแฟนเป็นดาราหนังยังได้” หลินชิงเหอกล่าว

“ดาราหนังหรอครับ คราวก่อนผมกับพี่เขยรองไปทานข้าวเชิงธุรกิจ มีดาราเล็ก ๆ ไปชงเหล้าให้จริง ๆ นะครับ” เจ้าสามบอกยิ้ม ๆ

“ต้องเป็นคนที่ประวัติไม่มัวหมอง แล้วตัวเองก็ไม่มัวหมองด้วย ไม่อย่างนั้นอย่าหวังจะได้แต่งเข้าบ้าน” หลินชิงเหอมองเขาและเอ่ย

โจวกุยหลายคลี่ยิ้ม “ผมรู้ครับผมรู้ แม่วางใจเถอะ”

หลินชิงเหอกลอกตาใส่เขา ส่วนเรื่องอื่นเธอไม่พูดอะไรมาก แต่นับจากครั้งนี้ไป ทุกครั้งที่หานสวี้เจี๋ยและจงฉิงเดินทางผ่านปักกิ่งก็จะแวะมาที่บ้าน บางครั้งอยู่ค้างคืนด้วย

ถึงแม้หลินชิงเหอจะระแวงจงฉิง แต่ตอนนี้งานของจงฉิงยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างเท่าไร หากเป็นเด็กหนุ่มมากความสามารถอย่างหานสวี้เจี๋ยมาหลินชิงเหอยินดีต้อนรับเป็นธรรมดา

ส่วนจงฉิง อาจเพราะเป็นการเขม่นเพศเดียวกัน และอาจเพราะเธอตั้งแง่มาแต่ต้น ที่จริงจงฉิงถือว่าเป็นเด็กสาวที่ไม่เลวเลย ทัศนคติก็ดี แต่พอนึกถึงเรื่องที่หล่อนอาจทำลายชีวิตเจ้าสามและพาลไปถึงคนโตอีกสองคนด้วย เธอก็รับไม่ได้

เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมา

อย่างไรก็เหมือนเป็นคู่เวรคู่กรรม แม้จะมีคำเตือนจากเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เจ้าสามก็ยังคงมีท่าทีกระตือรือร้นต่อแม่นางจงฉิงมาก เป็นเหตุให้จงฉิงชอบมาเล่นที่บ้าน

หลินชิงเหอนึกถึงเนื้อเรื่องที่จงฉิงถูกเจ้าสามดึงดูดจริง ๆ หลังจากนั้นถึงใช้เจ้าสามเป็นการพิสูจน์ความรู้สึกที่เธอมีต่อหานสวี้เจี๋ยก็ชาหนังหัววาบ

เพราะฉะนั้นตอนที่หานสวี้เจี๋ยมาแต่จงฉิงไม่มา หลินชิงเหอจึงทำตัวเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย

“สวี้เจี๋ยเอ๋ย เธออายุมากกว่าเจ้าใหญ่อีกนะ อายุปูนนี้แล้วพ่อแม่เธอน่าจะร้อนใจบ้างแล้ว ตอนนี้มีแฟนหรือยังล่ะ?” หลินชิงเหอถาม

หานสวี้เจี๋ยชะงัก ปีนี้เขาอายุไม่น้อยแล้วจริง ๆ พ่อแม่เขาก็เร่งทุกปี จนเขาไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านแล้ว

“ทำไมวันนี้จงฉิงไม่มากับเธอด้วยล่ะ?” หลินชิงเหอถาม

“แม่หล่อนป่วยครับ หล่อนเลยลาหยุด 3 วัน” หานสวี้เจี๋ยตอบ

หลินชิงเหอพยักหน้า นางเอกถูกกำหนดให้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ แม่ของหล่อนไม่มีลูกชาย หลังจากคลอดหล่อนแล้วก็สุขภาพไม่ดี ตั้งครรภ์ไม่ได้อีก พ่อหล่อนจึงหย่าแล้วหาภรรยาใหม่ ซึ่งก็ได้ลูกชายอีกคนจริง ๆ

ทว่าแม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น นางเอกก็ยังเติบโตมาอย่างเข้มแข็ง ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด และยังมีทัศนคติต่อโลกใบนี้ดีมาก

หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น “เธอว่าจงฉิงเป็นยังไง?”

หานสวี้เจี๋ยชะงัก ก่อนจะหลุดขำ “หล่อนน่ะเหรอครับ? น้าหลิน น้าคิดอะไรอยู่ครับเนี่ย แค่เด็กสาวคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าผมเกือบ 10 ปี”

เด็กกว่าหานสวี้เจี๋ยเกือบ 10 ปีนี่ออกจะเกินไปหน่อย แต่ 7-8 ปีน่าจะถึงแน่

“จะเป็นอะไรไปเล่า? แค่ทำดีกับจงฉิงให้มาก ๆ ก็พอ แถมเด็กสาวคนนี้น้าดูแล้วว่ามีราศีของคนดี เห็นหล่อนดูแลแม่ขนาดนี้ก็รู้แล้วว่าเป็นคนดูแลคนเก่ง” หลินชิงเหอกล่าว

ในตอนนี้หานสวี้เจี๋ยกับจงฉิงยังไม่มีการพัฒนาอะไรจริง ๆ เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานธรรมดาเท่านั้น

แต่เขาถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วจริง ๆ

“ปีนี้ภรรยาเจ้าใหญ่ท้องแล้วนะ เขาดีใจจนแทบบ้า เธออายุมากกว่าเจ้าใหญ่อีกแต่ยังโสดอยู่เลย แบบนี้ไม่ได้นะ เชื่อน้าหลินไม่ผิดแน่ จงฉิงเป็นเด็กดี หน้าตาดูก็รู้ว่าเสริมดวงสามีและคนที่บ้านได้” หลินชิงเหอบอก

เธอไม่ได้ทำลายชีวิตใครนะ พระเอกนางเอกเกิดมาคู่กัน สามีธาตุไฟภรรยาธาตุไม้ ดวงสมพงศ์กันสุด ๆ

และเรื่องจริงก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? หลังจากที่ทั้งสองคนคบกัน หานสวี้เจี๋ยหน้าที่การงานก้าวกระโดดเพราะแม่ของหล่อนมีพี่ชายที่พลัดพรากจากกัน และจงฉิงก็เหมือนแม่ของหล่อนมาก น้าหล่อนจึงจำได้

ฐานะน้าหล่อนสูงมาก หานสวี้เจี๋ยมีความสามารถและมีความดีความชอบก็จริง แต่เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไร้รากฐาน ที่ได้ดีเพราะนางเอกเสริมดวงให้เขาไม่ใช่เหรอ?

หานสวี้เจี๋ยหัวเราะ “สนิทกันเกินไปครับ” และเขาไม่เคยอ่อนโยนต่อยัยนั่นเลยสักนิด สั่งสอนในฐานะลูกน้องมาตลอด คงจะแค้นเขาอยู่ไม่น้อย

“เด็กโง่” หลินชิงเหอกลอกตาใส่เขาและยิ้มอย่างมีเมตตา “ก็ต้องหาที่สนิทกัน รู้ตื้นลึกหนาบางน่ะสิ ไม่อย่างนั้นไม่ได้หรอก ไม่รู้ว่าเคยผ่านอะไรมาบ้างด้วยซ้ำ แบบเธอกับจงฉิงนี่แหละดีที่สุดแล้ว เธอเชื่อที่น้าบอกไม่ผิดแน่ นั่นน่ะเป็นเด็กดีจริง ๆ นะ ถ้าพลาดแล้วคือพลาดเลย”

คืนนั้นหานสวี้เจี๋ยค้างที่บ้าน และเขาก็เก็บคำพูดของหลินชิงเหอมาใส่ใจ

ตอนแรกเขาไม่ได้คิดไปทางนั้นเลยจริง ๆ แต่พอหลินชิงเหอพูด ทำเป็นเล่นไป จงฉิงนี่ไม่เลวจริง ๆ นะ

เป็นคนทนความลำบากได้ แถมหน้าตาก็น่ารัก จิตใจก็ดีมีเมตตา แค่อายุน้อยไปหน่อย ยื่นกรงเล็บออกไปแบบนี้หานสวี้เจี๋ยก็รู้สึกถึงบาปกรรมนิดหน่อย

แต่ก็ยังยืนยันคำเดิม เขาอายุไม่น้อยแล้ว จะมัวยืดเยื้อต่อไปแบบนี้ไม่ดีแน่ ไม่อย่างนั้นอีก 2-3 ปีก็ 30 แล้ว

หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือนและมากันอีกครั้ง หลินชิงเหอพบว่าบรรยากาศระหว่างหานสวี้เจี๋ยและจงฉิงดูแตกต่างจากเดิม

เมื่อก่อนตอนสองคนนี้มาหานั้นดูเปิดเผยสุด ๆ แต่มาครั้งนี้ ทั้งสองคนแทบอยากจะติดประกาศบอกพวกเขาว่าทั้งสองคนเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน ไม่มีอะไรเป็นอื่น

อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้ชัด ๆ

…………………………………

บทที่ 684 เป็นฝ่ายทำไม่ถูกก่อน

ตอนนี้ร้านขายชาขายดีมาก และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของที่บ้าน

แต่เพราะหลี่อ้ายกั๋วและโจวซานนีมีแผนจะออกไปเปิดร้านเอง หลินชิงเหอก็ไม่บังคับพวกเขา

เพราะอย่างนี้ไงล่ะ วันนี้เธอเลยเรียกสวี่เชิ่งเฉียงมา

ตั้งแต่ปีก่อนจนตอนนี้ หลินชิงเหอก็ดูออกแล้วว่าหลานชายอย่างสวี่เชิ่งเฉียงกลับใจแล้วจริง ๆ

นี่คือเด็กหนุ่มอายุแค่ 20 กว่าปีคนหนึ่ง หลินชิงเหอไม่ใช่คนใจร้าย ถ้าเขามุ่งมั่นจะเดินทางในความมืดกระทั่งตายไปต่อหน้าเธอ เธอก็ไม่สน แต่ตอนนี้เขาเป็นคนดีแล้ว หลินชิงเหอก็ยินดีจะให้โอกาสเขา

“เธอรู้เรื่องร้านอาหารทะเลแห้งของอ้ายกั๋วและซานนีใช่ไหม พวกเขาตั้งใจจะออกไปเปิดเอง ร้านทางนั้นจึงขาดแคลนคน เรื่องเงินเดือนและสวัสดิการดีกว่าร้านเกี๊ยวแน่นอน เธอคิดเรื่องนี้บ้างไหม” หลินชิงเหอมองเขาแล้วเอ่ย

สวี่เชิ่งเฉียงอึ้ง และพูดขึ้น “แล้วร้านเกี๊ยวล่ะครับ?”

“น้าเล็กเธอจะไปดูเอง เขาไม่มีเรื่องอย่างอื่นให้ทำ ให้เขาดูแลร้านเกี๊ยวฆ่าเวลาถือว่ากำลังดี” หลินชิงเหอบอก

เงินเดือนของสวี่เชิ่งเฉียงที่ร้านเกี๊ยวเท่ากับ 130 หยวน นับว่าเป็นเงินเดือนไม่น้อย แน่นอนว่าไม่สูงเช่นกัน แต่จากสภาพร้านเกี๊ยวนั่นให้เงินเดือนเท่านี้ก็ถือว่าดีแล้ว

ร้านอาหารทะเลแห้งให้เงินเดือนเขา 180 หยวน เป็นการขึ้นเงินเดือนทีเดียว 50 หยวน เป็นแบบนี้สวี่เชิ่งเฉียงก็เต็มใจจะไปอยู่แล้ว

“กังจือเตรียมตัวจะซื้อคอนโดแล้วนะ เธอไม่คิดเรื่องนี้บ้างเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ย

สวี่เชิ่งเฉียงอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะ “แพงขนาดนั้น ผมซื้อไหวที่ไหนล่ะครับ”

“เก็บเงินไปก่อนก็ได้ ถึงตอนนั้นขาดเท่าไหร่ฉันออกให้ก่อน มีบ้านอยู่ที่นี่จะได้สบายใจด้วย” หลินชิงเหอกล่าว

สวี่เชิ่งเฉียงคิดไม่ถึงว่าน้าสะใภ้ของเขาจะพูดแบบนี้ เขาอึ้งไปจริง ๆ ก่อนจะเม้มปาก “ขอบคุณน้าสะใภ้มากครับ ถ้าอย่างนั้นเงินเดือนผมหลังจากนี้น้าช่วยเก็บไว้ให้ผมได้ไหมครับ?”

“เงินเดือนจ่ายตามปกติ เธอไปเปิดบัญชีเก็บเอาเอง” หลินชิงเหอบอก

หลินชิงเหอบอกหลี่อ้ายกั๋วและโจวซานนีแล้วว่าให้สวี่เชิ่งเฉียงไปช่วยงาน และเริ่มทำความคุ้นเคยกับงานต่าง ๆ ในร้าน ส่วนข้าวก็ให้กินที่นั่นเลย เธอชดเชยค่าอาหารให้

หลี่อ้ายกั๋วและโจวซานนีไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ความจริงโจวซานนีออกจะอายด้วยซ้ำ

หลังจากมาอยู่ปักกิ่ง มีแต่อาสี่และอาสะใภ้สี่ที่ดูแลหล่อนมาโดยตลอด ร้านนี้ต้องการพวกเขา แต่พวกเขากลับอยากเปิดของตัวเอง

หลินชิงเหอไม่เก็บมาใส่ใจ เธอพูดแต่แรกแล้วว่าถ้าพวกเขาอยากออกไปทำเอง เธอจะสนับสนุนเต็มที่

สองสามีภรรยาตั้งใจว่าปีนี้ทำไปก่อน ครึ่งปีหลังสวี่เชิ่งเฉียงน่าจะรับมือได้เต็มที่แล้ว พวกเขาค่อยไปเปิดร้านของตัวเอง

หลี่อ้ายกั๋วช่วยเฝ้าร้านนี้มานานหลายปี มีสูตรค้าขายของตัวเอง แต่เขาก็สอนสวี่เชิ่งเฉียงหมด ไม่ได้กั๊กอะไร

สวี่เชิ่งเฉียงก็ตั้งใจเรียน เขาไม่อยากไปเปิดร้านเอง เขาแค่อยากทำงานภายใต้น้าเล็กไปเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง

สวี่เชิ่งเหม่ยรู้เรื่องที่เขาอยู่ร้านอาหารทะเลแห้ง เพราะไปหาน้องชายที่ร้านเกี๊ยวแล้วไม่เจอ ถึงรู้ว่าน้องชายหล่อนมาอยู่นี่

หล่อนจึงเรียกน้องชายออกมาและเอ่ยถาม “ทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ?”

“น้าสะใภ้ให้ผมมา” สวี่เชิ่งเฉียงบอก

“ฉันให้นายมาช่วยงานร้านฉันนายไม่มา มาเฝ้าร้านนี้นายกลับดีอกดีใจ ใช่ว่านายไม่เคยเปิดสักหน่อย ออกมาทำเองไม่ดีกว่าหรอ?” สวี่เชิ่งเหม่ยขมวดคิ้ว

สวี่เชิ่งเฉียงเหลือบมองหล่อน “พี่ ผมไม่อยากเปิดร้านเองแล้วครับ ผมทำงานแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

ที่จริงเขาถือว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแล้ว ขนาดกังจือยังต้องจ่ายค่าครองชีพ แต่นับจากที่ไปทำงานร้านเกี๊ยวเมื่อปีที่แล้ว น้าเล็กเขาก็ไม่เก็บค่าครองชีพของเขาเลย

กับข้าวที่เอามาให้เขาตักก่อนทุกคนกินทั้งนั้น แล้วยังมีแต่ของดี ๆ

พูดแบบไม่เกินจริงก็คือ หลังจากเขาหย่าแล้วมาทำงานกับน้าเล็ก เขาถูกบำรุงจนฟื้นตัวได้เหมือนเดิม

ถึงอย่างไรเขาก็ยังหนุ่ม รากฐานร่างกายยังดีอยู่

อีกอย่างหนึ่งสวี่เชิ่งเฉียงไม่อยากเปิดร้านแล้วจริง ๆ แต่เรื่องที่น้าสะใภ้พูดกับเขาว่าให้เขาเก็บเงินซื้อบ้านนั้น เขาคิดจริง ๆ

สวี่เชิ่งเหม่ยขมวดคิ้ว “เงินเดือนเดือนละร้อยกว่าหยวน นี่น่ะเหรอที่นายบอกว่าดีมาก? ตอนนี้ของใช้ต่าง ๆ ราคาขึ้นไม่น้อย นายมีเงินเดือนแค่นี้อีกหน่อยจะแต่งงานยังไง จะเลี้ยงครอบครัวยังไง?”

“พี่ เงินเดือนผมไม่น้อยนะ คนอื่นที่เงินเดือนน้อยกว่าผมมีตั้งเยอะ ใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่ายแบบนี้ก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องกินหรูทุกวัน ผมรู้ว่าตอนนี้ชีวิตพี่ดี แต่พี่เขยคนใหม่ผมคนนั้น ผมว่าพี่ดูดี ๆ หน่อยเถอะ” สวี่เชิ่งเฉียงกล่าว

ที่จริงเขาไม่สนับสนุนให้พี่สาวเขาคบกับคน ๆ นี้เลย แต่พี่สาวเขาชอบ แล้วเขาจะทำอะไรได้

สวี่เชิ่งเหม่ยหงุดหงิดขึ้นมา “ฉันมาเกลี้ยกล่อมให้นายออกไปทำเอง อย่ายอมให้ผู้หญิงคนนั้นผูกมัดนายไว้ในร้านเล็ก ๆ นี้ นายกลับย้อนมาว่าฉันเหรอ?”

“พี่ ผู้หญิงคนนั้นอะไรกัน? นั่นน้าสะใภ้นะ!” สวี่เซิ่งเฉียงขมวดคิ้ว “และน้าสะใภ้ก็ไม่เคยห้ามผมออกไปเปิดร้านเองด้วย!”

เมื่อก่อนหู่จือกังจือต้องคอยเฝ้าร้านทั้งคู่ หลังจากนั้นก็ออกไปทำงานเอง พี่สาวและพี่เขยสามของเขาก็ดูร้านมาหลายปี ตอนนี้ก็ตั้งใจออกไปทำเองแล้ว

น้าสะใภ้เขาสนับสนุนเต็มที่ แล้วหล่อนจะผูกมัดเขาไว้ในร้านได้อย่างไร?

อีกอย่างเขาสัมผัสได้ว่าน้าสะใภ้เขาเริ่มยอมรับหลานชายที่กลับตัวกลับใจอย่างเขาแล้ว เขารู้เรื่องร้านอาหารทะเลแห้งมานานแล้วว่าขายดีมาก ถ้าไม่เชื่อใจคงไม่เรียกเขามาหรอก

สวี่เชิ่งเหม่ยมองน้องชายตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นายลืมไปแล้วเหรอ ว่าตอนนั้นหล่อนใจดำขนาดไหน?”

“เรื่องนั้นเราเป็นฝ่ายทำไม่ถูกก่อน น้าสะใภ้ไม่ใช่พ่อแม่เรา ไม่จำเป็นต้องตามใจพวกเรา” สวี่เชิ่งเฉียงพูดด้วยความรำคาญเล็กน้อย “พี่ก็ไปใช้ชีวิตของพี่เถอะ เลิกคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ได้แล้ว”

“ช่วงก่อนหน้านี้ฉันโทรไปหาแม่แล้ว แม่บอกว่านัดผู้หญิงคนหนึ่งไว้ให้นาย เลยถามนายว่าจะว่างกลับไปดูเมื่อไหร่?” สวี่เชิ่งเหม่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่พูดอะไรอีก ตรงเข้าประเด็น

“สายตาแม่น่ะช่างเถอะ เดี๋ยวอีกหน่อยผมไปถามน้าสะใภ้ ดูว่าพอจะแนะนำสักคนให้ได้ไหม” สวี่เชิ่งเฉียงเม้มปากพลางเอ่ย

สวี่เชิ่งเหมยโมโหจนแทบทนไม่ไหว หล่อนกระทืบส้นสูงออกไป

หล่อนหาตู้โทรศัพท์โทรหาแม่ เล่าความคิดของน้องชายหล่อนให้ฟัง ตอนแรกนึกว่าแม่จะด่าว่าเขาเหมือนตัวเอง หารู้ไม่ แม่หล่อนกลับพูดเสียงอ่อยผ่านโทรศัพท์ “ทำตามที่เฉียงจือบอกเถอะ ให้น้าสะใภ้เขาช่วยดูให้หน่อย”

“อะไรนะคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยผงะ

“ฉันก็เพิ่งได้ยินนี่แหละ แม่นางคนนั้นมุดไร่ข้าวโพดกับเด็กหนุ่มข้างบ้านก็โดนจับได้คาหนังคาเขา ให้การว่าอยากมอบตัวเองให้กับรักแรกก่อนแต่งงาน” ป้าใหญ่โจวกล่าว

หล่อนรู้สึกโชคดีสุด ๆ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกชายแต่งกับเจ้าหล่อน ก็เท่ากับเก็บของเก่าจากคนอื่นไม่ใช่หรือ?

……………………………………………………………

บทที่ 682 กังจือกับหลินซิ่ว

หลินชิงเหอไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองไปรู้จักพรหมลิขิตของตัวเองเข้า แถมยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ด้วย นี่ถ้ารู้คงโมโหจนกระอักเลือดแน่นอน

เจ้าสามไปถึงที่นั่นแล้วโทรกลับมาที่บ้าน บอกว่าเดี๋ยวนี้พี่ใหญ่เขาไม่ต้องออกไปทำภารกิจแล้ว แต่ละวันนอกจากฝึกแล้วยังเหลือเวลาอยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาอีกมาก สภาพโดยรวมของพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่เลว

หลินชิงเหอได้ยินแล้วก็สบายใจ และบอกให้เขากลับมา เพราะต้องลงใต้ไปดูใบชาแล้ว จึงค่อนข้างยุ่ง

เจ้าสามค้างที่นั่นสองวันและกลับบ้าน และคิดอยู่ว่าจะได้เจอเด็กสาวที่ชื่อจงฉิงไหม หล่อนคุยเก่งมากเลยล่ะ แถมยังมีนิสัยอ่อนโยนด้วย

ตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกันนึกว่าหล่อนจะเป็นคนห้าว ๆ แต่ภายหลังรู้สึกจริง ๆ ว่าหล่อนเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนมาก

ตอนเจ้าสามกลับถึงปักกิ่ง เขาก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้แม่เขาฟัง ยังไงเสียแม่เขาได้บอกไว้แล้วว่าห้ามแต่งงานกับผู้หญิงแซ่จง นิสัยแม่เขาช่างเผด็จการเหลือเกิน เขาไม่กล้าขัดใจหรอก

แถมเขายังเพิ่งรู้จักเด็กสาวคนนั้น คงไม่ไปท้าทายแม่เขาเพื่อหล่อนหรอก

ร้านขายชาขายดีมาก ร้านไวน์ก็รายได้มั่นคง แต่เนื่องจากมีคนเฝ้าร้าน เจ้าสามก็ไม่จำเป็นต้องไปคุมร้านไวน์ หลินชิงเหอจึงส่งเขาลงใต้

เธอให้หม่าเฉิงหมินไปกับเขา บัดนี้หม่าเฉิงหมินยังอาศัยอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ แต่ปีนี้มีการเปิดขายคอนโดมิเนียม ทำให้เขาเองก็นึกอยากได้เหมือนกัน

แต่มันแพงเกินไป ซื้อไม่ไหวจริง ๆ หลินชิงเหอก็บอกแล้วว่าถ้าเงินของเขาไม่พอเธอก็ให้เขายืมได้

ตั้งแต่หม่าเฉิงหมินทำงานให้เธอ เขาก็ทำด้วยความสุจริตมาตลอด และจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี หลินชิงเหอย่อมยินดีจะช่วยเหลือพนักงานเก่าแก่

ยังไงเสียด้วยการพัฒนาของสังคมตอนนี้ อะพาร์ตเมนต์ออกจะเป็นสภาพแวดล้อมที่แย่ไปหน่อย

ถ้ามีเงิน ใคร ๆ ก็อยากอยู่ที่ดีกว่านี้

ร้านเกี๊ยวที่คุณป้าหม่าเปิดกับลูกสะใภ้ของนางก็ขายดีใช้ได้ แน่นอนว่าได้เงินมาก้อนหนึ่งเหมือนกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหม่าเฉิงหมินไม่เคยคิดจะเปลี่ยนอาชีพ ต่อให้เงินเดือนของเขาน้อยกว่าเงินที่แม่เขาและภรรยาเขาหาได้จากร้านเกี๊ยวมาก แต่เขาก็ชอบงานนี้

วันนั้นหลินชิงเหอกลับมาก็ได้ยินอาอี๋จ้าวบอกว่าที่บ้านโทรมา น้องสะใภ้สามหลินใช้โทรศัพท์ของพี่สะใภ้สามโจวโทรมา

หลินชิงเหอจึงโทรหาสะใภ้สามโจว ซึ่งหล่อนก็บอกว่า “ฟังจากที่น้องสะใภ้เธอพูดแล้ว หล่อนน่าจะอยากให้หลินซิ่วไปช่วยงานเธอ แล้วไปหาเขยที่ปักกิ่งน่ะ”

หลินชิงเหอหัวเราะ “เรื่องนั้นก็ต้องดูที่วาสนากันสิ”

สะใภ้สามโจวเอ่ย “ชิงเหอ เธอว่าแนะนำหลินซิ่วให้กังจือดีไหม ตอนนี้กังจือก็เป็นคนปักกิ่งแล้วนะ”

หลินชิงเหอผงะ ตอนแรกเธออยากแนะนำอาเตียลูกสาวอาอี๋จ้าวให้กังจือ แต่ปีนี้อาเตียมีแฟนแล้ว เพิ่งมีเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

หลินชิงเหอจึงไม่เคยพูดเรื่องนี้ ถึงยังไงตอนนี้กังจือก็ไม่คิดอะไรด้านนี้เลยจริง ๆ

“เธอเองก็เห็นกังจือมาตั้งแต่เด็ก หลินซิ่วก็เป็นคนที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็ก เรียนก็สูง คนก็ดี ปีนี้ก็จบแล้ว น้องสะใภ้เธอคิดไว้ว่าหลังจบก็ให้ไปเป็นนักบัญชีอะไรทำนองนั้นให้เธอ แต่ฉันเองก็เป็นแม่ จะไม่เข้าใจที่น้องสะใภ้เธอคาดการณ์ได้ยังไง แต่ตอนนี้กังจือเป็นคนปักกิ่งแล้วนะ” สะใภ้สามโจวกล่าว

หลินชิงเหอทำหน้าไม่ถูก เธอไม่เคยคิดจะจับคู่ให้หลานสาวและหลานชายตัวเองเลย แต่ที่พูดมาก็ถูก กังจือเป็นคนที่เธอเห็นมาแต่เด็ก ถ้าถามถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นั้นไม่มีหรอก แต่เป็นคนสุจริตเหมือนกับหู่จือพี่ชายเขา

เพื่อให้ตัวเองสามารถซื้อบ้านและลงหลักปักฐานที่นี่ได้ เขาต้องสู้ชีวิตขนาดไหน ยอมหาเช้ากินค่ำ คิดจะเก็บเงินสักก้อนภายใน 3 ปี แล้วซื้อคอนโดมิเนียมที่เป็นของเขาเพื่อลงหลักปักฐาน!

การมีบ้านมีร้านที่นี่ ต่อให้อนาคตจะแย่ แต่ฟาร์มแถบชานเมืองของเธอที่กำลังสร้างอยู่ก็ต้องการคนแล้ว ไม่มีกังวลว่าจะไม่มีอะไรให้ทำ

หลินชิงเหอจึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่เลวจริง ๆ

“แต่กังจือยังไม่คิดเรื่องพวกนี้เลย พี่สะใภ้สามอย่าเพิ่งบอกใครนะ” หลินชิงเหอกล่าว

“กังจือไม่เด็กแล้วนะ ทำไมยังไม่คิดจะแต่งงานอีกหรอ” พี่สะใภ้สามโจวเอ่ย

หล่อนคิดเรื่องนี้ได้ก็เพราะคิดว่าเด็กสาวอย่างหลินซิ่วจะให้คนนอกได้ไปได้อย่างไร? ให้แต่งงานกับหลานอย่างกังจือจะไม่ดีกว่าหรือ?

หลินชิงเหอจึงเล่าเรื่องที่ตอนนี้กังจือดิ้นรนต่อสู้เพราะอยากซื้อบ้านให้หล่อนฟัง

สะใภ้สามโจวกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “การซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ๆ บ้านที่นู่นออกจะแพงขนาดนั้น ฉันได้ยินจากอู่นีแล้วนะว่าต้องหนึ่งแสนหยวนขึ้นไป ถ้าซื้อไม่ไหวแล้วจะไม่แต่งงานตลอดชีวิตเลยรึไง? คบกันไปก่อนก็ได้ อีกหน่อยออกไปเช่าบ้านด้วยกันก็ได้นี่ บ้านเธอกว้างใหญ่ขนาดนั้น ไปขออยู่ด้วยก่อนก็ยังได้”

หลินชิงเหอหัวเราะ “ให้พวกเขาสองคนดู ๆ กันเองแล้วกันค่ะ ถ้าต่อกันติด ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้เราช่วยอะไรหรอก ถ้าต่อไม่ติด เราก็ไม่ต้องเปลืองแรง”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ฝากพี่สะใภ้สามโจวไปบอกน้องสะใภ้สามหลินว่าได้ รอให้หลินซิ่วจบแล้วอยากมาปักกิ่งก็มา เธอจะรับไว้

น้องสะใภ้สามหลินดีใจมาก น้องสามหลินกลับมาแล้วหล่อนจึงบอกเรื่องนี้กับเขา “ฉันบอกแล้วว่าพี่สามไม่ว่าหรอกค่ะ อาซิ่วไปนู่นต้องช่วยงานได้แน่”

“คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าคุณคิดอะไรอยู่” น้องสามหลินมองหล่อนอย่างเหนื่อยใจ

น้องสะใภ้สามหลินเอ่ย “แล้วไม่ได้เหรอ? ถ้ามีที่เหมาะสมกัน ให้พี่สามแนะนำให้อาซิ่วสักคนก็ดีออกไม่ใช่เหรอคะ?”

ถ้าลูกสาวคนโตเป็นคนอ่านหนังสือไม่ออกและทำตัวไม่ดี หล่อนคงไม่กล้าเอ่ยปากแน่นอน แต่ลูกสาวคนโตจบวิทยาลัยนะ ไม่ถือว่าแย่ ไปอยู่นู่นก็ไม่ทำน้าของหล่อนขายหน้าหรอก

ส่วนเรื่องหาเขยปักกิ่ง น้องสะใภสามหลินตั้งใจแบบนั้นแหละ

มีแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองได้แต่งกับคนดี ๆ บ้าง?

ด้านหลินชิงเหอก็เล่าเรื่องนี้ให้โจวชิงไป๋ฟัง โจวชิงไป๋ได้ยินแล้วหัวเราะ “พี่สะใภ้สามสายตาไม่เลว”

หลานสาวอย่างหลินซิ่วไม่ต้องพูดอะไรมาก ถ้าหลานชายเขาฝั่งนี้ได้แต่งด้วยต้องเป็นบุญแน่ ๆ

“ฉันให้อาซิ่วมาแล้วนะ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันว่าระหว่างหล่อนกับกังจือจะเป็นยังไง คุณให้กังจือย้ายกลับมา ไม่ต้องไปอยู่ที่บ้านตาเขาแล้ว บอกไปว่าจะได้ไม่ไปรบกวนคุณตา อยู่นี่เขาจะตื่นเช้าแค่ไหนก็ไม่รบกวน” หลินชิงเหอกล่าว

หลังจากนั้นก็เป็นฤดูร้อน ฤดูร้อนขายเสื้อผ้าง่ายที่สุด กังจือจึงไม่คิดจะขายซาลาเปาต่อแล้ว เขาจึงเชื่อฟังที่น้าเล็กพูดและกลับบ้าน

“กับข้าวบ้านคุณตาก็ดีนี่ ทำไมไปอยู่นู่นแป๊บเดียวผอมลงเยอะเลยล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย

“ยุ่งไปหน่อยน่ะครับ” กังจือบอกยิ้ม ๆ

หลินชิงเหอกล่าว “ถึงตอนนี้จะยังหนุ่มอยู่ แต่ก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย คืนนี้ให้น้าตุ๋นกระเพาะปลาให้กิน เธอก็กินเยอะๆหน่อย”

“ครับ” กังจือยิ้มกว้าง

……………………………………………

บทที่ 694 ท่องเที่ยวรอบโลก

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พาเจ้าสามและมี่มี่กลับปักกิ่ง ซึ่งทุกอย่างที่ปักกิ่งยังเป็นเหมือนปกติ

แต่ตอนเจ้าสามไปนั่งเล่นที่บ้านปู่ย่า เขาก็บอกข่าวที่ปีนี้พ่อแม่เขาจะรับลุงรองมาอยู่ปักกิ่งด้วย

ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวถึงกับตกตะลึง

“ลุงรองเธอมาทำอะไรที่นี่เหรอ?” ท่านพ่อโจวเอ่ย

ไม่เห็นหน้าลูกชายคนรองตั้งนาน ถึงแม้ตอนนี้ลูกชายคนรองก็เป็นปู่คนแล้วเหมือนกัน แต่ท่านพ่อโจวก็ยังคิดถึงอยู่

ลูกชายคนอื่นได้เจอหมด มีแต่ลูกชายคนรองที่ไม่ได้เจอ พอคนเราแก่ตัวลงใจก็อ่อน เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป

เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงออกมา

เทียบกันแล้วท่านแม่โจวกลับแสดงความรู้สึกออกมาเต็มเปี่ยม

หลังคุยโทรศัพท์กันและเรียกพี่รองโจวมารับสาย ท่านแม่โจวเช็ดน้ำตาอยู่นาน พี่รองโจวอีกด้านก็สะอึกสะอื้น บอกว่าตัวเองอกตัญญู อีกหน่อยจะมาทดแทนบุญคุณของนางและพ่อที่ปักกิ่ง

ถึงจะร้องไห้ไปยกใหญ่ แต่ท่านแม่โจวก็อารมณ์ดีมาก ให้โจวชิงไป๋ขับรถส่งนางกลับบ้าน

“บ้านโจวของเราได้สะใภ้อย่างเมียแกถือเป็นบุญของตระกูล ชิงไป๋ แกห้ามทำเรื่องที่ผิดต่อเมียแกนะรู้ไหม ไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่แกนี่แหละจะไม่ปล่อยแกไปคนแรก” พอถึงบ้าน ท่านแม่โจวก็พูดกับเขาทั้งที่ยังไม่ทันลงรถ

โจวชิงไป๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แม่ไปฟังมาจากไหนอีกครับเนี่ย”

ท่านแม่โจวจะไปฟังมาจากไหนอีกล่ะ เรื่องเล่าการหย่าร้างที่สวนสาธารณะมีตั้งมากมาย บ้านนู้นบ้านนี้ เดี๋ยวเรื่องนี้เข้ากันไม่ได้เรื่องนั้นตกลงไม่ได้ ไหนจะคนที่พอมีเงินแล้วก็ออกไปมีภรรยาน้อย ภรรยาที่บ้านรู้เข้าจึงหย่ากัน

ครอบครัวดี ๆ เล่นเอาบ้านแตกสาแหรกขาดกันหมด

ท่านแม่โจวจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องเตือนสติลูกชายตัวเอง

โจวชิงไป๋ทั้งขำทั้งอ่อนใจ “แม่ครับ แม่คิดมากเกินไปแล้ว”

“ฉันแค่คิดมากไปก็ดี” ท่านแม่โจวแค่นเสียง “ฉันกับพ่อแกอายุปูนนี้แล้วอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ถ้าแกอยากให้พวกเราอยู่กันดี ๆ ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะว่าต้องทำยังไง”

ตอนที่กลับบ้านกับภรรยา เขาจึงเล่าเรื่องที่แม่เตือนเขาให้ฟัง

“แม่จะห่วงคุณไปทำไมกัน คนอย่างคุณถ้าขาดฉันไปก็เหมือนชีวิตที่ขาดพระอาทิตย์ ฉันสิ ต้องเจอสิ่งยั่วยวนตั้งมากตั้งมาย เด็กหนุ่มแต่ละคนข้างนอกนั่นเห็นแล้วใจเต้นสุด ๆ เลย” หลินชิงเหอเอ่ย

โจวชิงไป๋หน้าเสีย ตอนแรกเขาแค่อยากแซว คิดไม่ถึงว่าจะเอาความในใจของภรรยาเขาออกมา

“ผมก็ไม่แก่” โจวชิงไป๋แค่นเสียง

หลินชิงเหอหัวเราะ “อีกไม่กี่ปีก็จะห้าสิบแล้วยังจะมาบอกว่าไม่แก่อีก”

โจวชิงไป๋จึงพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าเขายังไม่แก่จริง ๆ

สุดท้ายหลินชิงเหอก็นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของโจวชิงไป๋ ก็ได้ ๆ เขายังไม่แก่ คืนนี้ได้ตั้งหลายครั้ง

เช้าวันรุ่งขึ้น โจวชิงไป๋จึงรีบไปออกกำลังกาย

ภรรยาตัวเองทำให้เขารู้สึกมีความกังวลของชายวัยกลางคน มันไม่ใช่แรงกดดันจากครอบครัว แต่กดดันด้วยเรื่องที่จะยังดึงดูดใจภรรยาตนได้อยู่ไหม

หลินชิงเหอไม่สนใจเรื่องพวกนี้ของเขา กินข้าวเช้าเสร็จก็ไปห้องทำงานแปลเสียแล้ว

เรื่องหาทีมงานก่อสร้างนั้นปล่อยให้เจ้าสามจัดการ

ปีนี้เจ้าสามอายุครบ 21 ปี จริง ๆ แล้วยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่วิธีสอนลูกของหลินชิงเหอไม่ตามใจเลยสักนิด

พออายุ 21 ปี เรื่องพวกนี้ก็โยนให้เขาจัดการหมด

หลังติดต่อผู้รับเหมาและตกลงในรายละเอียดด้านอื่น ๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจเริ่มงานปีหน้า

เจ้าสามเอาแบบแปลนบ้านชาวนากลับมาให้เธอดู

ทั้งหมด 7 ชั้น ชั้นหนึ่งมี 3 ถึง 5 ห้อง

ชั้นที่มี 3 ห้องเป็นแบบที่มีขนาดใหญ่หน่อย ชั้นที่มี 5 ห้องย่อมต้องเป็นแบบที่มีขนาดเล็ก

แต่ทุกห้องมีระเบียง ห้องน้ำ รวมถึงห้องครัวรวมอยู่ในตัวด้วย ถึงแม้พื้นที่จะเล็ก แต่ก็มีครบครัน

เจ้าสามเห็นแล้วอดพูดไม่ได้ว่า “บ้านดี ๆ แบบนี้ปล่อยเช่าไปน่าเสียดายแย่”

“มีอะไรน่าเสียดาย” หลินชิงเหอเอ่ย “ต้องจ่ายค่าเช่าทุกเดือน”

ส่วนเรื่องค่ามัดจำค่อยว่ากันทีหลัง แต่หลินชิงเหอคิดไว้ว่ามัดจำสามเดือนล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่ถ้าตอนที่คืนห้องมั่นใจว่าไม่เกิดปัญหาอะไรกับห้องสามารถงดค่าเช่าให้หนึ่งเดือน จะคืนไปพร้อมกับค่ามัดจำ

แต่ถ้าอยู่จนห้องเละก็ไม่ต้องพูดถึง เธอก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน

ตอนเข้าอยู่เป็นแบบไหน ตอนคืนห้องก็ต้องเป็นแบบนั้น

หลินชิงเหอรู้สึกว่าตัวเองกำลังกลายเป็นเจ้าแม่ห้องเช่าแล้ว และเตรียมตัวไว้แล้วด้วย

“บ้านเราจะสร้างบ้านชาวนามากขนาดนี้เลยหรอครับ” หลังจากหลินชิงเหอให้เจ้าสามดูฐานรากของหลังอื่นแล้ว เจ้าสามก็อึ้งไป

นี่ครอบครัวเขามีบ้านมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

“ปีหน้าใช้เวลาไม่นานบ้านหลังนั้นก็คงสร้างเสร็จ ดูก่อนว่าผลการสร้างเป็นยังไง ถ้าทำได้ดีให้พวกเขาสร้างต่อ ค่าแรงจ่ายเป็นงวด ๆ ไม่มีล่าช้าแน่นอน” หลินชิงเหอกล่าว

เจ้าสามมองแม่เขา “ม้าครับ บ้านมากมายขนาดนี้ อีกหน่อยเก็บค่าเช่าได้ก้อนใหญ่เลยนะครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ” หลินชิงเหอภูมิใจนิด ๆ อีกหน่อยไม่รู้ว่าธุรกิจยังทำเงินได้เยอะอยู่ไหม แต่อสังหาริมทรัพย์แบบนี้ไม่มีทางขาดทุนแน่ ๆ

“ผมรู้สึกว่าต่อให้อนาคตผมไม่ทำอะไรเลย ชาตินี้ก็ใช้เงินไม่หมดแล้ว” เจ้าสามพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ

หลินชิงเหอถีบเข้าให้ “ของพวกนี้เป็นของม้ากับป๊า อีกหน่อยพวกเราจะไปท่องเที่ยวรอบโลก ไปดื่มด่ำในโลกที่มีเพียงเราสอง ลูกอยากไปไหนก็ไปเลย ไม่มีส่วนของลูกหรอก”

“ใจดำมาก ในสายตาม้ามีแต่ป๊า ไม่มีพวกเราเลย” เจ้าสามถอนหายใจ

โจวชิงไป๋อุ้มมี่มี่กลับมาพอดี และได้ยินประโยคนี้

เจ้าสามรับน้องสาวตัวเองมา สองพี่น้องกอดกันหาไออุ่น “มี่มี่เอ๋ย อีกหน่อยม้าจะพาป๊าไปท่องเที่ยวรอบโลก ป๊าบอกว่าไม่อยากพาเราไปด้วยน่ะ”

“พี่สามไม่ต้องกลัวนะคะ มี่มี่จะแบ่งช็อกโกแลตให้กิน” สาวน้อยมี่มี่ควักช็อกโกแลตเหล้านำเข้าจากกระเป๋ามาให้เขา

“มีน้องสาวนี่ดีจริง ๆ เลย” เจ้าสามพูดอย่างพอใจ

“ท่องเที่ยวรอบโลก?” โจวชิงไป๋เลิกคิ้วมองเมียตัวเอง

“อีกหน่อยจะพาคุณไปนะ” หลินชิงเหอส่งสายตาหวานให้เขา รอให้ลูกสาวคนเล็กโตแล้วต้องไปให้ได้

โจวชิงไป๋หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเปิดทีวี เพลงอันคุ้นเคยของเรื่องไซอิ๋วดังออกมา

จากนั้นก็ฉายตอนที่พระถังซัมจั๋งต้องผ่านด่านเคราะห์ความรักที่แคว้นอิตถี

…………………………………………

บทที่่ 687 เทพแห่งความรัก

เมื่อเห็นพวกเขาสองคนเป็นแบบนี้ หลินชิงเหอก็รู้สึกดีเหมือนได้กินยาบำรุงขนานใหญ่

สองคนนี้ไม่กล้ามองหน้ากันและกันแล้ว บรรยากาศแบบนั้นแค่ดูก็รู้เรื่องโดยไม่ต้องเอ่ย แต่สองคนนี้ยังมาด้วยกันได้ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว

น่าจะยังไม่คบกัน ยังอยู่แค่ขั้นมีเยื่อใย

แต่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ครั้นทั้งคู่ค้างที่บ้านหนึ่งคืน หลินชิงเหอก็ตั้งใจยกนมมาให้จงฉิงหนึ่งแก้ว

“สวี้เจี๋ยนี่น้าเห็นมาตั้งแต่เด็ก น้าเองก็ไม่มีลูกสาว ถ้าน้ามีลูกสาวนะ ต้องอยากได้มาเป็นลูกเขยตัวเองแน่ ๆ” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

“เขา….ไม่ได้ดีขนาดที่น้าพูดสักหน่อยค่ะ” จงฉิงรับนมมา และพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“สวี้เจี๋ยไม่ดีหรอ? มีคุณธรรม ไม่ขี้โม้หลงระเริงไปกับกิเลส รูปร่างหน้าตาแบบนั้น ลูกสาวบ้านไหนได้แต่งแล้วจะไม่มีความสุขบ้าง? ส่วนเรื่องพ่อแม่เขายิ่งไม่ต้องห่วงเลย คนมีเหตุผลทั้งนั้น น้าเคยเจอมาแล้ว” หลินชิงเหอบอก

ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่เธอบอกเลย พ่อแม่ของหานสวี้เจี๋ยจัดการยากมาก แต่พอพวกเขาทั้งสองได้เจอจงฉิง เหล็กผายังอ่อนนุ่มลงได้

เรียกไดว่าเป็นตัวแทนของพ่อแม่สามีดีเด่นเลยล่ะ

ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่านางเอกได้ยังไงล่ะ บารมีนางเอกสว่างจ้าจนตาแทบบอดขนาดนี้

จงฉิงได้ฟังก็เขิน ยิ่งช่วงนี้หล่อนกับหานซวี่เจี๋ยกำลังมีเยื่อใยต่อกัน เจ้าท่อนไม้ทื่อ ๆ อย่างหานสวี้เจี๋ยก็รู้จักพาหล่อนไปดูหนังแล้ว แถมยังให้ผ้าเช็ดหน้ากับหล่อนอีก ความหมายของเขาชัดเจนมาก

เพียงแต่หล่อนไม่แสดงต่อหน้าหลินชิงเหอ “คุณน้าคะ นี่ก็ดึกแล้ว”

“ใช่ ดึกแล้ว ต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว น้าอยากให้พวกเธอลงเอยกันด้วยดี ถ้าอีกหน่อยแต่งงานกัน น้าจะได้เหลือห้องไว้ให้พวกเธอสองคนด้วย พวกเธออยากมาอยู่เมื่อไหร่ก็มาได้ตลอด คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง” หลินชิงเหอกล่าว

หลังได้สวมบทเทพแห่งความรักแล้ว หลินชิงเหอก็อารมณ์ดีสุด ๆ

โจวชิงไป๋ยังดูออกว่าเธออารมณ์ดี และยังเกลี้ยกล่อมเธออยู่เลย “จงฉิงกับสวี้เจี๋ยเหมาะสมกันมาก คุณอย่าคิดเป็นอื่นเลย”

นี่เป็นเพราะเขานึกว่าเธออยากได้จงฉิงมาเป็นลูกสะใภ้ตัวเอง

หลินชิงเหอมองบนใส่เขายกใหญ่ “คิดอะไรของคุณน่ะคะ? สวี้เจี๋ยก็เป็นเด็กที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน อายุปูนนี้แล้วยังไม่มีแฟนก็ต้องเร่งเขาหน่อยเป็นธรรมดา เจ้าสามเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง”

โจวชิงไป๋หัวเราะ “ผมเห็นคุณใส่ใจเธอมาก”

ถึงกับชงนมไปให้หล่อนทีเดียว

“รีบนอนเถอะค่ะ” หลินชิงเหอโบกมือ

พูดจากใจจริงก็คือ จงฉิงเป็นเด็กสาวที่ดีเยี่ยมจริง ๆ แต่ต่อให้หล่อนจะดีขนาดไหน ก็ต้องดูวาสนากันไม่ใช่เหรอ?

ไม่มีวาสนาเคียงคู่กับเจ้าสามของเธอ หากจะฝืนให้คู่กันต้องโดนพลังต้านคืนแน่

หล่อนต้องคู่กับหานสวี้เจี๋ยสิ ถึงจะเป็นวิถีที่ถูกต้อง

ขอแค่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน หากพวกเขาอยากมาเที่ยวเล่นที่บ้าน เธอยินดีต้อนรับทุกเมื่อ

หลังหลับสบายมาทั้งคืน พอหลินชิงเหอตื่นขึ้นมาตอนเช้าวันรุ่งขึ้น โจวชิงไป๋ หานสวี้เจี๋ยและเจ้าสามก็วิ่งกันกลับมา

แต่ละคนชุ่มไปด้วยเหงื่อ พวกเขาจึงไปอาบน้ำก่อนและมากินข้าวกัน

เมื่อกินเสร็จ หานสวี้เจี๋ยก็กลับไปกับจงฉิง ไม่ต้องให้เจ้าสามไปส่ง พวกเขานั่งรถเมล์ตรงดิ่งไปที่สถานี

“ม้าครับ คราวนี้สบายใจได้รึยัง?” เจ้าสามเอ่ย

เขาก็ดูออกแล้วว่าระหว่างจงฉิงกับหานสวี้เจี๋ยมีเยื่อใยต่อกัน ใกล้จะได้ลงเอยกันแล้วล่ะ

หลินชิงเหอยิ้ม “ม้าไม่เคยกังวลเลย ม้าเชื่อลูกนะ ตอนนี้ลูกเพิ่ง 20 เอง ไม่ต้องรีบค่อยเป็นค่อยไป”

เจ้าสามไม่พูดอะไรอีก แม้จะเสียใจนิดหน่อยที่รู้ว่าจงฉิงและหานสวี้เจี๋ยมีใจให้กัน แต่ก็ปล่อยวางได้ ทีแรกเขาเองก็ไม่ได้ชอบมากอยู่แล้ว

“จะว่าไป อีกไม่กี่วันอาซิ่วจะมานี่ ถึงตอนนั้นลูกพาหล่อนไปทำความคุ้นเคยกับการจดบัญชีของบ้านเราหน่อย” หลินชิงเหอบอก

“ได้ครับ” เจ้าสามพยักหน้า

หลินซิ่วมาถึงตอนปลายเดือนมิถุนายน หล่อนโตเป็นสาวแล้ว จึงนั่งรถมาที่เรือนสี่ประสานนี่เองได้

พวกหลินชิงเหอไม่อยู่ ทว่าหลินชิงเหอได้สั่งอาอี๋จ้าวไว้ นางจึงเตรียมห้องไว้ให้หลินซิ่ว

หลินซิ่วอาบน้ำสระผมเองที่บ้าน และรอป้าของหล่อนอยู่ที่บ้าน

ช่วงนี้หลินชิงเหอค่อนข้างยุ่ง เพราะเธอรับคนที่เรียนจบด้านนี้มาโดยเฉพาะได้แล้ว และกำลังยุ่งเรื่องห้องทำงานนักแปล

ตอนนี้อยู่ในขั้นเริ่มต้น งานจึงค่อนข้างหนัก

กระทั่งเวลาพลบค่ำถึงกลับมาพร้อมกับโจวชิงไป๋และสาวน้อยมี่มี่เพื่อเตรียมกินข้าวเย็น

พอเห็นหลินซิ่วมาถึงแล้ว เธอย่อมดีใจเป็นธรรมดา “ฉันว่าแล้วว่าวันนี้เธอน่าจะมาถึง โทรไปบอกแม่เธอรึยังจ๊ะ?”

“หนูโทรหาป้าสะใภ้สามแล้วค่ะ” หลินซิ่วบอกยิ้ม ๆ

หล่อนเรียกสะใภ้สามโจวว่าป้าสะใภ้สามเหมือนพวกเจ้าสาม

“ดีแล้ว คืนนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้เจ้าสามพาเธอไปทำความคุ้นเคยกับงาน” หลินชิงเหอกล่าว

“หนูกลัวแค่ว่าหนูจะทำได้ไม่ดี” หลินซิ่วยิ้มและบอก

“ถึงเรื่องที่ต้องดูจะไม่น้อย แต่ทำไปเดี๋ยวก็คล่องเอง ไม่เข้าใจตรงไหนถามเจ้าสามไม่ก็เอ้อร์นี หรือฉันก็ได้” หลินชิงเหอเอ่ย

ขณะที่คุยกันอยู่ กังจือก็กลับมาจากข้างนอก หลินชิงเหอจึงพูดขึ้น “อากาศร้อนขนาดนี้ รีบไปอาบน้ำก่อนเถอะ”

“ได้เลยครับ” กังจือยิ้มกว้าง

เขาไปอาบน้ำก่อน หลินชิงเหอพูดกับอาซิ่ว “เงินเดือนที่จะให้เธอนั้นไม่สูงนะ แค่ 160 หยวน แต่ให้เธอกินฟรีอยู่ฟรี”

“กินฟรีอยู่ฟรียังได้ตั้งร้อยหกสิบ นับว่าสูงมากแล้วค่ะ” หลินซิ่วเอ่ยยิ้ม ๆ

“พ่อเธอยังโทรหาฉันอยู่เลย บอกว่าอยากหาร้านให้เธอออกไปเปิดเอง” หลินชิงเหอบอก

เธอรู้ความตั้งใจของน้องชายเธอ ด้วยความที่หน้าร้านทำเงินได้ ถึงจะขายไม่ได้ดีมาก แต่ก็ดีกว่าไปทำงานเยอะ

แต่แม่ของหลินซิ่วไม่ยอม ลูกสาวหล่อนเป็นเด็กจบวิทยาลัยแต่ให้ไปเปิดร้านเนี่ยนะ ล้อเล่นรึเปล่า?

อย่างไรก็ต้องออกไปทำงานสิ

ถึงแม้เปิดร้านจะทำเงินได้เยอะ แต่ในใจน้องสะใภ้สามหลินมองว่าการทำงานที่ได้รับจัดสรรนั้นดีกว่า โดยเฉพาะเมืองใหญ่ข้างนอกนั่น หล่อนอยากส่งลูกสาวออกไปอยู่เมืองใหญ่เหลือเกิน

อย่างไรเสียลูกสาวคนโตก็ได้ดิบได้ดีที่สุด ลูกสาวคนเล็กสองคนผลการเรียนธรรมดา เรียนจบมัธยมปลายก็ไม่เรียนต่ออีก แบบนั้นสิต้องไปเปิดร้าน

หลินซิ่วยิ้ม “หนูคุยกับพ่อแล้วค่ะ หนูก็อยากออกมาเปิดร้าน”

หล่อนชอบปักกิ่งจริง ๆ อยากมาทำงานและใช้ชีวิตที่นี่ อีกอย่างบ้านป้าของหล่อนก็อยู่ที่นี่ ถ้าที่นี่ไม่มีใคร ตัวเองอยู่คนเดียวไม่รู้จักใครก็ช่างมันเถอะ

แต่ตอนนี้หล่อนอยากมาอยู่ที่นี่จริง ๆ

“หนุ่มสาวออกมาใช้ชีวิตข้างนอกก็ดี” หลินชิงเหอกล่าว “อีกหน่อยป้าจะหาแฟนที่นี่ให้ แล้วเธอก็แต่งงานมาอยู่ที่นี่เลย”

หลินซิ่วเอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่ต้องรีบร้อนหรอกค่ะ หนูยังไม่อยากมีแฟน”

“อื้ม ไม่รีบ” หลินชิงเหอนึกในใจว่าพอดีเลยกังจือก็ไม่รีบ งั้นก็รอกันไปเถอะ อย่างไรก็ยังหนุ่มยังสาวกันอยู่ อีกหน่อยค่อยว่ากันว่ามีวาสนาต่อกันไหม

………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท