บทที่ 689 ชีวิตหลังแต่งงาน
“กินไม่หมดเธอก็ต้องกิน บำรุงตาเจียงของเธอด้วย เขาแข็งแรงแล้วเธอก็แข็งแรงด้วย” หลินชิงเหอพูดส่อ
เซวียเหม่ยลี่หัวเราะ
หลินชิงเหอจึงถามถึงสุขภาพของพ่อเฒ่าเจียงและแม่เฒ่าเจียง ได้ทราบว่าผู้ใหญ่ทั้งสองแข็งแรงดี ถึงเปลี่ยนไปถามถึงโจวอู่นี
ตอนนี้ท้องโจวอู่นีโตแล้ว ครึ่งเทอมแรกยังไปสอนหนังสือได้อยู่ ครึ่งเทอมหลังสอนต่อไม่ไหวแน่ ตอนนี้ปิดเทอมฤดูร้อน หลังจากฤดูร้อนผ่านไปหล่อนคงใกล้คลอดเต็มที
หล่อนจึงขอลาคลอดในตอนนี้เลย รอถึงปีหน้าค่อยกลับไปสอน
ตอนนี้อาการของโจวอู่นีอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ด้านแม่สามีหล่อนก็เอ่ยปากแล้วว่าตอนอยู่ไฟจะไปดูแลให้
แต่โจวอู่นีไม่ค่อยอยากให้หล่อนมา
วันนี้คุยโทรศัพท์กับเซวียเหม่ยลี่เสร็จ วันรุ่งขึ้นโจวอู่นีก็โทรมาทันที “แม่เจียงเหิงลำเอียงบ้านพี่ใหญ่เขา ถ้ามาดูแลหนูตอนอยู่ไฟมือเท้าคงไม่ยอมอยู่นิ่งแน่นอนค่ะ หนูจ้างแม่บ้านสักคนก็ได้ ไม่ต้องให้หล่อนมาหรอกค่ะ”
“หล่อนเคยเอาของที่บ้านไปหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
“หล่อนเคยมาที่บ้านสองครั้งค่ะ ไม่อันนี้หายก็อันนั้นหาย ก่อนหน้านี้หนูดูไม่ออก เจียงเหิงเป็นคนบอกหนูว่าน่าจะเป็นแม่เขาที่เอาไป” โจวอู่นีกล่าว
“เจียงเหิงว่าไงบ้าง” หลินชิงเหอเอ่ย
“เขาบอกว่าแล้วแต่หนูจะจัดการค่ะ แล้วก็ให้หนูอย่าอารมณ์เสียไป” โจวอู่หนีพูดยิ้ม ๆ
หล่อนคงคาดหวังอะไรกับแม่สามีตัวเองไม่ได้แล้ว แต่ผู้ชายของหล่อนเข้าข้างหล่อนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโจวอู่นีคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงไม่คิดมากกับเงินที่ให้บ้านแม่สามีทุกเดือน
ตอนนี้เจียงเหิงเองก็เหนื่อยมาก ปีนี้ร้านขายชาทั้งหมดเข้าสู่ลู่ทางแล้ว เขาต้องคอยดูแลเองทั้งหมด
แต่เรื่องที่น่าพูดคือเนื่องจากได้ส่วนแบ่ง เดือนก่อนเจียงเหิงจึงได้เงินเดือนเกือบ 300 หยวน
ต้องยอมรับว่าเป็นเงินที่สูงมากจริง ๆ
โจวอู่นีไม่อยากให้เขาต้องคิดมากเรื่องนี้ทั้งที่ต้องทำงาน จึงไม่ถือสา
“คราวก่อนหล่อนเอาแอปเปิ้ลมาให้ เอาแต่พูดมีนัยยะว่าที่บ้านใหญ่โต ดูท่าทางคงอยากให้น้องสาวสามีหนูย้ายมาอยู่ด้วยค่ะ” โจวอู่หนีบอก
“แล้วเธอว่ายังไง?” หลินชิงเหอเอ่ย
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะคะ บ้านนี้อาสะใภ้สี่กับอาสี่ให้หนูกับเจียงเหิงอยู่อาศัยชั่วคราวไปก่อน เราสองคนอยู่ไม่เท่าไหร่ จะเรียกคนมาอยู่อีกตั้งเยอะตั้งแยะมันไม่ถูกค่ะ” โจวอู่นีเอ่ย
“ถ้าเป็นคนดี ไปอยู่ก็ได้” หลินชิงเหอกล่าว
“มีแต่พวกพูดมากขี้นินทา หนูไม่ชอบค่ะ” โจวอู่นีบอก ที่จริงเธอคิดเหมือนกับหลินชิงเหอ ถ้าน้องสาวสามีสองคนนั้นเป็นเด็กสาวขยันขันแข็ง มาอยู่ที่นี่แล้วช่วยทำงานเก็บกวาดที่บ้าน หล่อนเองก็ไม่ใช่พวกพี่สะใภ้ใจดำ ถ้าที่บ้านอยู่กันไม่พอและที่บ้านหล่อนกว้างขวาง ก็ยินดีจะให้มาอยู่ด้วยอยู่แล้ว
แต่น้องสาวสามีสองคนนั้นโจวอู่นีเคยเจอมาแล้ว จะบอกว่าเป็นคนเลวร้ายก็ไม่ใช่ แต่โจวอู่นีไม่อยากข้องแวะด้วยอย่างยิ่ง ต่างคนต่างอยู่แยกกันจะดีกว่า ใครก็อย่าไปรบกวนใคร
“เธอรู้ว่าทำอะไรอยู่ก็พอ” หลินชิงเหอยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก “ส่วนค่าแม่บ้าน ถึงเวลาอาสะใภ้สี่ออกให้”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงกันคะ เราออกเองกันได้ค่ะ” โจวอู่นีเอ่ยยิ้ม ๆ
“ฉันเป็นคนช่วยจับคู่ให้เธอกับเจียงเหิง ขอเป็นคนดีให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน จ้างแม่บ้านให้หนูน้อยบ้านเธออีกคน ถึงตอนนั้นฉันก็บรรลุผลความดีแล้ว ครอบครัวพวกเธอก็ไปมีชีวิตของพวกเธอ” หลินชิงเหอกล่าว
โจวอู่นีไม่แย้งอะไรอีก หล่อนรู้ว่าอาสะใภ้สี่ดีกับพวกหล่อน รู้อยู่แก่ใจก็พอ ไม่ต้องพิรี้พิไรอะไรกับเรื่องนี้มาก
แต่เนื่องจากท้องเริ่มโตแล้ว โจวอู่นีจึงเริ่มหาแม่บ้าน
แม่เฒ่าเจียงได้ยินว่าหล่อนจะจ้างแม่บ้าน และรู้นิสัยแย่ ๆ ของลูกสะใภ้คนโตตัวเองดี จึงช่วยเสาะหาให้ จากนั้นจึงเจอคนที่มีชื่อเสียงดีและมีประสบการณ์ หลังเรียกมาให้โจวอู่นีดูแล้วถึงเป็นอันตกลง
พอคลอดเมื่อไหร่เดี๋ยวนางมาช่วย
ส่วนแม่เจียงเหิงพอรู้แล้วก็ต้องไม่พอใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เงินใช้จ่ายของทุกเดือนเจียงเหิงเป็นคนนำมาให้เอง สองเดือนมานี้เขาหาเงินได้มาก จึงตั้งใจจะให้เยอะกว่าเดิมนิดหน่อย แต่พอถึงบ้านก็ได้ยินแม่เขาบ่นชุดใหญ่ เงินส่วนเกินที่เขาคิดจะให้จึงถูกเก็บกลับไป ให้ตามจำนวนเดิม
“แม่ครับ แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับว่าผมกับหงหมิ่นใช้ชีวิตกันแบบไหน พวกเราอยู่กันได้ครับ” เจียงเหิงกล่าว
เขาเป็นลูกที่ออกมาจากท้องแม่เขา จะไม่รู้หรือว่านิสัยแม่เขาเป็นยังไง ไม่ได้มีข้อเสียใหญ่หลวงอะไร เรื่องดุด่าลูกสะใภ้และหลานสาวอะไรเทือกนั้นไม่มีหรอก แต่มือเท้าไม่ยอมอยู่นิ่ง หล่อนไม่กล้าขโมยของใหญ่ แต่ถ้าเป็นพวกของกินแล้วหล่อนเป็นต้องหยิบติดมือไปตลอด
เป็นพวกไม่มีข้อเสียใหญ่ แต่ข้อเสียเล็ก ๆ นั้นมีมากมาย
คราวก่อนหงหมิ่นหาปลิงทะเลที่จะกินไม่เจอ
มันเป็นปลิงทะเลที่เหลือจากคราวก่อน ที่บ้านทำข้าวต้มปลิงทะเลบ่อย ๆ เขาเองก็มีลาภปากไปด้วย ข้าวต้มปลิงทะเลคราวก่อนเขาเป็นคนไปต้มเพราะหงหมิ่นขี้เกียจ ส่วนที่เหลือเขาเก็บเข้าตู้
ต่อมาหงหมิ่นอยากกิน กลับหาไม่เจอ
แม่เขาเคยไปหา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเอาไป
หงหมิ่นไม่ได้ว่าอะไร ไว้หน้าเขาเต็มที่ เรื่องนี้ถือว่าผ่านไปแล้ว
รอคลอดครานี้ อาสะใภ้สี่ของหล่อนเอ่ยปากแล้วว่าจะหาแม่บ้านให้ ออกค่าใช้จ่ายให้ด้วย ไม่ต้องพูดเรื่องออกเงินให้หรอก ต่อให้ไม่ออกให้เจียงเหิงก็อยากจ้าง
อย่างไรเสียก็แค่เดือนเดียว เงินเดือนร้อยกว่าหยวนใช่ว่าไม่มีเงินจ้างสักหน่อย
แม่เขาเลยไม่พอใจ เจียงเหิงรู้เหตุผลของหล่อน หล่อนคงคิดไว้ว่าถึงตอนนั้นอาสะใภ้สี่ต้องส่งของดี ๆ มาให้หงหมิ่นตอนอยู่ไฟแน่ ๆ ถึงอยากไปเอา
แต่ของพวกนั้นเอาไว้ให้หงหมิ่นใช้ตอนอยู่ไฟ เขาไม่อยากให้แม่เข้าไปยุ่ง
แม่เจียงเหิงเปลี่ยนเรื่องพูดไปว่าที่บ้านนู้นกว้างขวาง อยากให้น้องสาวสองคนของเขาเข้าไปอยู่
เจียงเหิงชาไปทั้งหนังศรีษะ น้องสาวทั้งสองของเขามีนิสัยยังไงคิดว่าเขาไม่รู้หรือ?
“บ้านหลังนั้นเป็นของอาสี่อาสะใภ้สี่ของหงหมิ่น พวกเราแค่ยืมเขาอยู่ จะให้น้องสองคนเข้าไปอยู่ด้วยได้ยังไงกันครับ? ใช่ว่าที่นี่ไม่พออยู่กันสักหน่อย แม่อย่าไปฟังที่พี่สะใภ้ใหญ่วอแวเลยครับ” เจียงเหิงพูดจบก็กลับไปเลย
พอกลับมาถึงบ้าน โจวอู่นีกำลังกินถั่วต้มอยู่ เห็นเขากลับมาแล้วแกะให้เขากินด้วยสองอัน
โจวอู่นีและเจียงเหิงเป็นคู่พี่สาวน้องชายที่แท้จริง โจวอู่นีมีราศีของภรรยาผู้โตกว่ามาก อย่างน้อยเจียงเหิงก็สยบให้หล่อนโดยสิ้นเชิง
ตอนอยู่ร้านขายชาเป็นผู้จัดการมากประสบการณ์ พอกลับมาบ้านก็เป็นแค่น้องชาย
แน่นอนว่าโจวอู่นีชื่นชอบและพึงใจกับสามีคนนี้
“วันนี้เริ่มคันหัวแล้วค่ะ” โจวอู่นีบอก
“งั้นเดี๋ยวผมสระให้” เจียงเหิงเอ่ยขึ้น
จากนั้นโจวอู่นีไปนอนอยู่บนเตียงพระสนม เป็นตัวที่หลินชิงเหอทิ้งไว้ให้ สะดวกต่อการสระผมมาก คล้าย ๆ กับเตียงของร้านสระผมในยุคหลัง
โจวอู่นีพูดขึ้น “คุณว่าฉันตัดผมให้สั้นลงหน่อยดีไหมคะ ยาวเกินไปทำความสะอาดยาก”
“ไม่ถือว่ายาวนะ ไว้แบบนี้ก็สวยดี” เจียงเหิงบอก “คุณไม่ต้องทำความสะอาดหรอก ถ้าคุณอยากสระผมก็บอก ผมสระให้”
……………………………………………
บทที่ 688 ทหารปลดประจำการ
หลินซิ่วมาอยู่นี่ได้สองวันก็เริ่มลงมือทำงานเลย
หล่อนมีความเป็นมืออาชีพมาก รอบรู้หลายอย่าง ที่สำคัญตอนนี้หล่อนยังไม่คุ้นเคยกับงาน รอให้คุ้นเคยเมื่อใดก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว
ปีนี้มีเรื่องเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย เจ้าใหญ่แต่งงาน เจ้ารองถูกส่งออกไปทำงานข้างนอก ธุรกิจที่บ้านก็มั่นคง มีเพียงห้องทำงานของหลินชิงเหอเองที่ต้องเริ่มรับงาน แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร
มีใบชาใหม่เข้ามาหลายล็อต ล้วนเป็นของคุณภาพดี ที่ต้องมอบให้คนอื่นก็ให้ ที่ต้องเก็บเข้าโกดังก็เก็บ
ที่โกดังเลี้ยงสุนัขทหารไว้สองตัว เป็นสุนัขทหารปลดประจำการเหมือนกับตัวที่บ้าน แต่มีพลังต่อสู้พอ ๆ กับชายหนุ่มโตเต็มวัยสองคน ทั้งไม่ได้ล่ามไว้ด้วย คนธรรมดาจึงไม่กล้าเข้าใกล้
แน่นอนว่าเนื่องจากฝึกมาแล้ว สุนัขทหารสองตัวนี้จึงเรียบร้อยเป็นระเบียบมาก กินข้าววันละสองมื้อ โจวชิงไป๋เป็นคนเอาข้าวไปให้เอง
เขาเองก็ชอบสุนัขมาก เมื่อก่อนที่บ้านมีสุนัขชื่อเฟยอิง พออายุมากมันก็ตาย
ภายในโกดังไม่เพียงแต่เก็บชาใหม่ ๆ ไว้ สินค้าของร้านอาหารทะเลแห้งก็อยู่ที่นี่ ถึงแม้รอบ ๆ มีบ้านในโครงการ แต่สมัยนี้ความปลอดภัยยังอยู่ในระดับธรรมดา
แน่นอนว่าถึงอย่างไรนี่ก็คือปักกิ่ง หลังจากมีการลงโทษให้เห็นมาบ้าง มันก็นับว่าดีมากแล้วหากเทียบกับนอกเมือง
แต่ความที่ของเยอะขนาดนี้ ทำให้โจวชิงไป๋ยังคงมาเดินลาดตระเวนทุกวัน และมีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพบว่าขาข้างหนึ่งของสุนัขทหารตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
โจวชิงไป๋มีสีหน้ามืดครึ้มทันควัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาอุ้มสุนัขไปให้สัตวแพทย์ทำการพันแผลจนเรียบร้อย จากนั้นก็เอาสุนัขตัวนั้นไปไว้บ้านแล้วเอาสุนัขทหารสองตัวที่บ้านไปไว้ที่โกดัง
ขนาดนี้แล้วโจวชิงไป๋ยังคิดว่าไม่พอ เขาโทรไปหาทางกองทัพที่เจ้าใหญ่ประจำการอยู่
ช่วงนี้มีการปลดประจำการทหารอยู่ตลอด รวมแล้วเป็นจำนวนนับล้าน ผลกระทบที่เกิดขึ้นนับว่าพอกันกับกระแสตกงานในยุคหลัง
ดังนั้น การที่โจวชิงไป๋คิดจะรับสมัครทหารปลดประจำการจำนวนหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เจ้าใหญ่โจวข่ายไม่ได้ออกไปทำภารกิจ พอได้รับแจ้งก็รีบมารับโทรศัพท์ เขานึกว่ามีเรื่องใหญ่อะไร ถึงอย่างไรปกติที่บ้านจะรอให้พวกเขาสองสามีภรรยาโทรไปเอง น้อยมากที่จะโทรมาหาถึงในกองทัพ
พอได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ เขาก็เอ่ยขึ้นทันที “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ผมจัดการเอง แต่จะเอา 5 คนเลยเหรอครับ? ต้องใช้มากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“เอา 5 คนแหละ” โจวชิงไป๋กล่าว
ทหารปลดประจำการ 5 คนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่ยังหนุ่มยังแน่นทั้งหมด ตอนที่เดินทางมาถึงปักกิ่ง เจ้าสามโจวกุยไหลเป็นคนขับรถกระบะไปรับ
เขาต้องยืนชูป้ายอยู่นานมาก ไม่อย่างนั้นรับมาไม่ได้หรอก เพราะต่างคนต่างไม่รู้จักกัน แต่พวกเขาล้วนเคยเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของเจ้าใหญ่
เมื่อทหารปลดประจำการมากัน 5 คน ในที่สุดโจวชิงไป๋ก็สามารถกลับไปกอดเมียนอนได้แล้ว
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทั้ง 5 คนจะเฝ้าโกดังที่นี่ทุกวัน โจวชิงไป๋จึงแบ่งงานให้พวกเขา ว่าเป็นคนขนของส่งของ 4 คน อีกคนที่ร่าเริงอัธยาศัยดีก็ไปหัดขายของกับสวี่เชิ่งเฉียงที่ร้านอาหารทะเลแห้ง
ถึงอย่างไรพอหลี่อ้ายกั๋วโจวซานนีไปจากร้านอาหารทะเลแห้งจนเหลือแค่สวี่เชิ่งเฉียงแล้ว มันก็ดูออกจะน้อยไปหน่อย
ส่วนเรื่องเงินเดือน นับว่าไม่น้อยหรอก
รวมสวัสดิการและค่าอาหารของพวกเขา พวกเขาไปหางานแบบนี้ข้างนอกไม่ได้แล้ว
พวกเขาเคยกลับบ้านกันหมดแล้วด้วย หลังจากนั้นก็แกร่วอยู่ข้างนอก จะเดือนหนึ่งแล้วยังกินเสบียงที่เหลือของที่บ้านอยู่เลย
ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไป พี่สะใภ้ที่บ้านได้มองค้อนใส่แน่
ยังดีที่ตอนนี้ได้งานมา
ครั้นถึงช่วงเดือนสิงหาคม หลี่อ้ายกั๋วและโจวซานนีก็พาพั่งพั่งย้ายบ้านออกไป
ทั้งสองย้ายไปใช้ชีวิตดูแลบริหารธุรกิจของตัวเอง
หลินชิงเหอก็ให้การสนับสนุน เธอส่งของให้พวกเขา ที่เหลือก็ต้องดูการบริหารของพวกเขาเอง
ตำแหน่งร้านของทั้งสองไม่เลว มีตลาดอยู่ไม่ไกล ร้านที่เปิดแถบนี้โดยทั่วไปแล้วขายดีตลอด
ส่วนร้านอาหารทะเลแห้งของตัวเองก็ปล่อยให้สวี่เชิ่งเฉียงและนายทหารหนุ่มที่ชื่อต่งจั๋วดู
สวี่เชิ่งเฉียงและต่งจั๋วกินอยู่ที่ร้านอาหารทะเลแห้ง ไม่ได้อยู่กับทหารอีก 4 คน
ทหารอีก 4 คนที่มีหน้าที่ขนของส่งของตอนกลางคืนต้องไปพักอยู่ที่โกดัง ข้างโกดังมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งโจวชิงไป๋ซื้อไว้นานแล้ว พวกเขาไปอยู่ที่นั่นได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จะได้ยินเสียงหมาเห่า
อาจเป็นเพราะเห็นพวกเขามา พวกคนไม่ซื่อในมุมมืดจึงสงบไป
หลินชิงเหอก็ไม่ใช่คนงก เธอขอให้ห้องครัวเพิ่มอาหารเป็นครั้งคราวแล้วบอกให้พวกเจ้าสามห่อและนำไปให้ มีครั้งหนึ่งที่งานน้อย หลินชิงเหอจึงเรียกพวกเขามากินข้าวที่บ้าน
ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งหลายดีใจสุด ๆ ชมแม่ผู้พันของพวกเขาใหญ่เลยว่าทั้งสาวทั้งสวย
หลินชิงเหอก็ชอบเด็กหนุ่มอย่างพวกเขามาก พอเธออายุเท่านี้แล้ว มักจะเกิดความรู้สึกของแม่เฒ่า
นี่ไงล่ะ ตั้งแต่วันนี้ไปก็บอกให้พวกเจ้าสามเอากับข้าวไปให้พวกเขากินเพิ่มบ่อย ๆ ปกติพวกเขาทำกินเองตลอด
เนื่องจากคนเยอะ ทำกับข้าวเองถูกกว่ากันแยะ แล้วบ้านนู้นเอากับข้าวน่ากินและมากพอมาให้อีกอย่างสองอย่าง พวกเขาต้องดีใจเป็นธรรมดา
ตอนแรกหลินชิงเหออยากจะซื้อเครื่องซักผ้าให้พวกเขา แต่โดนโจวชิงไป๋ว่า “สมัยอยู่ที่กองทัพพวกเขาก็ต้องซักผ้าเอง ยังต้องซื้อเครื่องซักผ้าให้พวกเขาอีกเหรอครับ?”
ตาแก่นี่เริ่มจะหึง เขารู้สึกว่าเมียเขาเจ้าชู้ นี่เธอไปถูกใจเด็กหนุ่มอายุน้อยชัด ๆ เลย
หลินชิงเหอถูกใจมากจริง ๆ นี่นา มีใครที่ไหนจะไม่ชอบเด็กหนุ่มอายุน้อยบ้าง แต่ก็เป็นแค่ความเอ็นดูจากผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น
แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าผู้ชายของตัวเองหึง พอหึงก็เลยเลิกเพิ่มอาหารให้พวกเขา แต่บางครั้งก็ควักเงินให้พวกเขาไปกินปิ้งย่างบ้าง
แม้จะมีตำแหน่งของพวกเขา 5 คนเพิ่มมา แต่ก็ไม่กระทบอะไร และเป็นเพราะได้พวกเขาเพิ่มมา จำนวนคนจึงพอใช้ขึ้นมาในบัดดล
ถ้าต้องเดินทางธุรกิจขึ้นมา เจ้าสามจะเรียกหนึ่งในพวกเขาไปช่วย
อย่างครั้งนี้เจ้าสามตั้งใจจะไปดูงานที่เซี่ยงไฮ้หน่อย ไม่ได้ไปมาพักหนึ่งแล้ว
หลินชิงเหอจึงมอบของให้เขาหนึ่งห่อ ตอนนี้อู่นีท้องโตแล้ว ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าเด็ก อีกหน่อยสาวน้อยหยวนหยวนของซื่อนีเริ่มโต แล้วส่งเสื้อผ้าเด็กของเธอไปให้ก็พอ
ถึงอย่างไรเจ้าสามก็ต้องไปบ่อย ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องรีบ
หลินชิงเหอห่อของกินของใช้ เป็นของกินจากร้านอาหารทะเลแห้ง แน่นอนว่าส่วนของพ่อเฒ่าเจียงแม่เฒ่าเจียงและเซวียเหม่ยลี่ก็ไม่ขาด
แถมยังเอาเสื้อผ้าตัวใหญ่ใส่สบายสำหรับคนท้องให้โจวอู่นีอีกสองชุด
ด้านเซวียเหม่ยหลี่ก็โทรมาหาในคืนนั้นเอง “ให้เจ้าสามเอาของมาให้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ? ของที่เธอให้มาในวันแต่งงานของเจ้าใหญ่ยังกินไม่หมดเลย”
…………………………………………………………
บทที่ 691 แผนสำหรับพี่รองโจว
ถ้าจะบอกว่าพี่รองโจวไม่อิจฉาที่น้องชายคนเล็กเจริญก้าวหน้าขนาดนี้คงเป็นไปไม่ได้
นับอายุเขาเต็ม ๆ ก็โตกว่าน้องสี่อย่างโจวชิงไป๋เพียง 4 ปีเท่านั้น แต่น้องสี่ของเขาเหมือนคนอายุ 30 ปีต้น ๆ หลายปีมานี้เหมือนไม่ได้แก่ลงเลย
มองกลับมาที่เขา เดี๋ยวนี้เหมือนตาแก่อายุ 60 กว่าแล้วมั้ง
สมัยหนุ่ม ๆ ยังมีความคิดจะต่อสู้ดิ้นรน ดูว่าจะพลิกชีวิตได้หรือไม่ แต่ตอนนี้เขาอิจฉาไม่ไหวแล้ว และล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้ว
ใช้ชีวิตไปแบบนี้แหละ อยู่ไปแบบวันต่อวัน ไม่เป็นภาระให้ลูกก็พอแล้ว
หลินชิงเหอเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ดีเลย
หลินชิงเหอปล่อยให้เขาคุยกันไปกับโจวชิงไป๋ ส่วนตัวเธอเข้าบ้านไปคุยกับสะใภ้ใหญ่โจว “เห็นพี่รองเป็นแบบนี้แล้วฉันรู้สึกไม่ดีเลยค่ะ”
“ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่รู้สึกไม่ดี บางทีพี่ยังปวดใจเลย” สะใภ้ใหญ่โจวถอนหายใจ
เดี๋ยวนี้ชีวิตทุกคนดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ชีวิตของบ้านรองยังวนเวียนอยู่ที่เดิม
ที่จริงถ้าเทียบกับสมัยอดอยากแร้นแค้น ชีวิตเดี๋ยวนี้ไม่ถือว่าแย่หรอก อย่างน้อยยังอิ่มท้องได้
แต่คนเราต้องมีความใฝ่ฝันสิ จะเอาแต่เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ ต้องเทียบกับอนาคตสิ ดูจากที่หมู่บ้าน เดี๋ยวนี้บ้านอิฐบ้านปูนไม่ได้หาดูยากแล้ว คนอื่นเขาคิดกันไปถึงจะเลียนแบบตึกรามบ้านช่องในเมือง
ชีวิตเดี๋ยวนี้รุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ
แต่บ้านรองหยุดอยู่ที่เดิมจริง ๆ
บางครั้งสะใภ้ใหญ่โจวจะให้พี่ใหญ่โจวเอากับข้าวไปให้อย่างสองอย่าง เพราะเห็นแล้วสงสารจริง ๆ
“แม่ลิ่วนีไม่สนใจเลยหรอ” หลินชิงเหอถาม
“เดี๋ยวนี้ไปอยู่ในเมืองแล้ว กลับมาบ้างตอนหน้าเก็บเกี่ยว คนไม่รู้จะคิดว่าลูกสะใภ้ที่ดูถูกหล่อนคนนั้นเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของหล่อนซะอีก” สะใภ้ใหญ่โจวบ่น
ใน 1 ปีสะใภ้รองโจวกลับมา 3-4 ครั้ง กลับมามือเปล่าทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่ไปในเมืองหล่อนถึงกับเรียกรถลากหน้าหมู่บ้านมาช่วยขนเสบียงต่าง ๆ ไปในเมือง
“อย่างกับโดนทำของใส่ ฉันดูไม่ออกจริง ๆ ว่าหล่อนต้องการอะไร” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าว
หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวภรรยาของโจวเซี่ยเป็นคนคบยาก ตอนแต่งงานปีก่อนหล่อนเองก็มาพร้อมโจวเซี่ย แน่นอนว่าต่อให้หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวจะคบยากขนาดไหน พอไปอยู่ปักกิ่งก็ไม่กล้าทำกร่าง
แต่ดูจากกิริยาท่าทางก็พอดูออกว่าลับหลังไม่ใช่คนน่าอยู่ด้วย
หลินชิงเหอเองก็รู้สึกเหมือนสะใภ้ใหญ่โจว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสะใภ้รองโจวทำดีด้วยขนาดนี้เพื่ออะไรกัน
“ปีนี้เซี่ยเซี่ยอยากรับน้องชายของเขาไปเรียนหนังสือในเมือง เริ่มตั้งแต่เทอมหน้าเลย ที่บ้านคงเหลือพี่รองโจวแค่คนเดียว” สะใภ้ใหญ่โจวเอ่ยขึ้น “พี่กับพี่ใหญ่เธอเลยคิดไว้ว่าจะเอาของกินให้เขาดีไหม? ให้เขามากินด้วยกันที่นี่? อยู่ตัวคนเดียวไม่รู้จะได้กินอะไรบ้าง”
นี่คือเหตุผลที่ทำไมหลินชิงเหอถึงชอบสมาคมกับสะใภ้ใหญ่โจว สะใภ้ใหญ่โจวเป็นคนจิตใจดีจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงตอนสาว ๆ ที่สมัยนั้นทรัพยากรมีจำกัดเลย ตอนนี้หล่อนมีมาดสะใภ้ใหญ่บ้านโจวแล้วจริง ๆ
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋กลับไปพักผ่อนที่บ้านตอนกลางคืน โจววั่งรมยากันยุงไปแล้วรอบหนึ่งก่อนพวกเขากลับมา ไหนจะมุ้งกันยุงอีก เลยไม่ค่อยมียุง
สาวน้อยมี่มี่หลับไปแล้ว พ่อของเธอรับปากว่าพรุ่งนี้จะพาเธอไปดูน้องวัวกับน้องลา
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋คุยกันถึงพี่รองโจว “พี่รองเป็นแบบนี้ดูแล้วน่าเศร้าใจจริง ๆ นะคะ”
โจวชิงไป๋ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
พ่อแม่เดียวกันแท้ ๆ แต่พี่น้องคนอื่น ๆ แม้กระทั่งพี่ใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันก็มีชีวิตที่ดีกันหมด ในหมู่บ้านเตรียมจะเลือกเขามาเป็นเลขานุการด้วย
ร้านที่เจ้าสามเปิดในเมืองทำกำไรดีอยู่ เหลือแค่พี่รองเขานี่แหละ กลับมาครั้งนี้รู้สึกว่าเขาแก่ลงไปอีกมาก
“คุณว่าจะเปิดฟาร์มบ้านเราที่ชานเมืองล่วงหน้าเลยดีไหมคะ” หลินชิงเหอถาม
“คุณอยากให้พี่รองไปอยู่ปักกิ่งเหรอ?” โจวชิงไป๋ประหลาดใจ
“ฉันได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าปีนี้น้องชายของเซี่ยเซี่ยจะไปเรียนหนังสือในเมือง อีกหน่อยที่บ้านจะเหลือแค่พี่รองคนเดียว ปีนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ปีหน้าให้พี่รองไปอยู่กับเราดีไหมคะ ฉันเห็นคุณแม่เองก็บ่นถึงพี่รองเหมือนกัน” หลินชิงเหอเอ่ย
ท่านแม่โจวเคยบ่นถึงจริง ๆ
พี่ใหญ่โจวพี่สามโจวและสะใภ้สามโจวต่างเคยไปเยี่ยมพวกเขาสองสามีภรรยาเฒ่าที่ปักกิ่ง แต่สองสามีภรรยาเฒ่าจากบ้านเกิดมานานหลายปี จนถึงตอนนี้ ลูกชายคนรองอย่างพี่รองโจวยังไม่เคยไปพบหน้าเลย
ท่านพ่อโจวไม่ได้พูดอะไร แต่คงมีความคิดอยู่เหมือนกัน
“จะเปิดฟาร์มตอนนี้ต้องลงทุนเยอะมากนะครับ บ้านเรายังติดหนี้อยู่มาก” ในที่สุดโจวชิงไป๋ก็บอกกับภรรยาเขา แน่นอนว่าเขาอยากให้พี่รองโจวไปปักกิ่งอยู่ แต่อยากก็ส่วนอยาก ต้องมีสติด้วย
“ฟาร์มของเราปล่อยไปก่อนก็ได้ค่ะ ฉันอยากสร้างตึกปล่อยเช่าแล้ว” หลินชิงเหอกล่าว
เธอและโจวชิงไป๋มีที่ในปักกิ่งอยู่ไม่น้อย ล้วนแล้วแต่เป็นบ้านเก่า แต่ทุบแล้วค่อยสร้างบ้านชาวนาก็ได้นี่
“ถึงตอนนั้นให้พี่รองไปนั่งควบคุมการทำงาน ช่วยเฝ้าแทนเรา ตอนที่บ้านชาวนาใกล้เสร็จ โรงนาบ้านเราคงใกล้ได้เปิดแล้ว” หลินชิงเหอบอก
บ้านชาวนาที่เธออยากสร้างมีไม่น้อยเลย บ้านชาวนาหนึ่งหลังสูงแค่ 7 ชั้นพอ ไม่สร้างที่สูงมาก แต่คงไม่เสร็จไวขนาดนั้น
เรื่องนี้ต้องมีคนคอยควบคุมจริง ๆ ให้พี่รองโจวไปเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
โจวชิงไป๋รู้ดีว่าให้พี่รองเขาไปเป็นทางเลือกที่ดี แต่…..
“ผมกลัวว่าด้านพี่สะใภ้รองจะโวยวาย” โจวชิงไป๋ขมวดคิ้วพลางเอ่ย
“หล่อนจะโวยวายอะไรได้ เงินเดือนของพี่รองโอนไปให้หล่อนหมด พี่รองเองก็ว่าง ยังไงหล่อนคงไม่กล้าขัด” หลินชิงเหอกล่าวเรียบ ๆ เธอไม่เหลือภาพดี ๆ ของสะใภ้รองโจวเลยสักนิด
“รอให้จัดการเรื่องในชนบทเสร็จแล้วค่อยไปเยี่ยมเซี่ยเซี่ย และบอกเรื่องนี้กับหล่อนแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย
เธออยากให้พี่รองโจวไปที่นั่นไม่ใช่แค่อยากให้ไปช่วยเฝ้าคนงาน แต่อยากช่วยให้ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวสมปรารถนาด้วย ส่วนสะใภ้รองนั้นเธอไม่ให้ไปหรอก
เธอเองรู้สึกว่าขอแค่พี่รองโจวโอนเงินมา สะใภ้รองโจวไม่อยากไปด้วยแน่นอน ถึงยังไงหล่อนก็คงไม่อยากทนดูตัวเธอเองที่มีชีวิตดีนักหรอก
สะใภ้รองโจวเป็นคนทัศนคติแบบไหนเธอพอรู้อยู่
โจวชิงไป๋กุมมือภรรยาตัวเอง เม้มปากพลางเอ่ย “ภรรยา ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณฉันทำไมกันคะ ตัวพี่รองเองก็ไม่แย่ด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่พูดเรื่องนี้หรอก” หลินชิงเหอหัวเราะและกลอกตาใส่เขา
เธอจำได้ว่าตอนเจ้าใหญ่ยังเด็ก มีอยู่วันหนึ่งกลับบ้านมาและเห็นเธอกำลังต้มไข่ไก่ เขาก็พลันพูดขึ้นมาว่าเมื่อก่อนตอนเขาหิว ลุงรองเอาไข่นกเล็ก ๆ ให้เขากินสองฟอง อร่อยมากเหมือนกัน พอเธอได้ยินจึงถามว่าให้อะไรอย่างอื่นอีกมั้ย?
เจ้าใหญ่ที่ยังใส่เอี๊ยมบอกว่ามีมันเผา มันเผาของลุงรองอร่อยมาก
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเธอมา หลินชิงเหอฟังแล้วไม่ได้ว่าอะไร
ทว่าเธอจดจำพี่รองโจวคนนี้ไว้
………………………………………………
บทที่ 685 พระเอกกับนางเอกมากันครบ
สวี่เชิ่งเหม่ยก็ด่าแม่ของหล่อนไปเหมือนกัน ว่าเห็นใครก็เอาหมด ไม่รู้จักไปสืบให้รู้เรื่องก่อน!
หลังจากวางสาย สวี่เชิ่งเหม่ยก็กลับไป บ้านตัวเองมีแต่พวกขุนไม่ขึ้น หล่อนไม่อยากจะยุ่งแล้ว!
ส่วนสวี่เชิ่งเฉียงก็โทรกลับไปหาแม่เขาเหมือนกัน บอกว่าอีกหน่อยคงไม่ได้ส่งเงินกลับไปแล้ว เขาตั้งใจจะเก็บเงินซื้อบ้านเล็ก ๆ สักหลังที่ปักกิ่ง
ป้าใหญ่โจวรักลูกชายคนโตคนนี้มากอยู่แล้ว ได้ยินเขาพูดแบบนี้จึงดีใจมาก หล่อนเอ่ยขึ้น “ที่บ้านยังมีเงินเหลืออยู่ เงินที่แกโอนมาแม่เก็บไว้ให้แกหมด ถึงเวลาแกจะซื้อบ้านก็บอก เดี๋ยวแม่โอนไปให้”
“ไม่ต้องครับ น้าสะใภ้บอกว่าถึงตอนนั้นผมขาดเท่าไหร่หล่อนออกให้ก่อน ผมค่อยคืนน้าทีหลังก็ได้” สวี่เชิ่งเฉียงกล่าว
ป้าใหญ่โจวผงะ “น้าสะใภ้แกบอกเหรอ?”
“อื้ม” สวี่เชิ่งเฉียงพยักหน้า
ป้าใหญ่โจวกระอึกกระอัก “ตอนนี้น้าสะใภ้แกยอมให้อภัยแกแล้วเหรอ?”
“ผมกลับตัวกลับใจแล้ว น้าสะใภ้ย่อมไม่ถือโทษโกรธผมอีก ตอนนั้นผมไม่รักดีเอง หล่อนถึงไม่อยากสนใจผม” สวี่เชิ่งเฉียงบอก
ป้าใหญ่โจวเอ่ยตะกุกตะกัก “คราวก่อนทะเลาะกันเรื่องแกหนักอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้น้าสะใภ้แกจะยอมคุยกับแม่ไหม”
ให้อภัยหรือไม่ให้อภัยไม่ใช่ประเด็นสำหรับหลินชิงเหอ เธอแค่ไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนอย่างป้าใหญ่โจวก็เท่านั้น
สมัยก่อนตอนอยู่บ้านเกิดยังดูไม่ออก คิดว่าหล่อนเป็นคนไม่เลว ถึงอย่างไรปีหนึ่งก็ได้กลับบ้านแค่ครั้งสองครั้ง สิ่งที่ได้เห็นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี
แต่พอได้สัมผัสมากขึ้นหลังจากนั้นมา ก็เห็นได้ชัดว่าหล่อนเป็นคนแยกแยะอะไรไม่ได้ หลินชิงเหอจึงไม่อยากยุ่งกับคนแบบนี้และขอหลีกเลี่ยงมาตลอด
เพราะฉะนั้นตอนที่ป้าใหญ่โจวโทรมาและเธอเป็นคนรับสายพอดี เธอก็ยื่นโทรศัพท์ให้โจวชิงไป๋โดยไม่ลังเลหลังได้ยินแล้ว
โจวชิงไป๋จึงคุยอะไรกับพี่สาวคนโตเขานิดหน่อย
ก่อนหน้านี้พี่สาวคนโตของเขาคนนี้ทำให้เขาผิดหวังมาก แถมยังขู่พ่อแม่เขาว่าถ้าช่วยเฉียงจือออกมาไม่ได้ก็จะตัดความสัมพันธ์ แถมตอนเฉียงจือโดนจับหล่อนดันตัดความสัมพันธ์จริง ๆ
ผู้ใหญ่ทั้งสองโกรธมาก ถึงจะไม่เป็นอะไรมากนัก แต่ก็ใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะอาการดีขึ้น
เพราะฉะนั้นหลังจากบอกพี่สาวคนโตเขาว่าพ่อแม่สุขภาพดีอยู่ก็วางสายไป
หลินชิงเหอเอ่ย “เธอโทรมาทำไมคะ”
“คงอยากขอสงบศึกกับบ้านโจว” โจวชิงไป๋พูดขึ้น เขาพอรู้จักพี่สาวคนโตอยู่บ้าง
หลินชิงเหอเอ่ยเรียบ ๆ “สงบศึกหรือไม่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ไม่ได้จำเป็นอะไรหรอกค่ะ”
เธอคิดว่าต้องเป็นเพราะป้าใหญ่โจวรู้ถึงความเป็นอยู่ของสวี่เชิ่งเฉียงในตอนนี้เข้า ถึงได้กระอึกกระอักโทรมา แต่อย่างที่เธอบอก มันไม่มีความจำเป็นจริง ๆ
ถ้าสวี่เชิ่งเฉียงอยากตั้งใจทำงาน เธอก็ยอมรับเขาไว้ ถ้าสวี่เชิ่งเฉียงไม่ยอมตั้งใจทำงาน เธอก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน
โจวชิงไป๋ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ความจริงท่าทางที่ภรรยามีต่อหลานชายอย่างเฉียงจือได้ทำให้เขาประหลาดใจพอตัว
ชีวิตในตอนนี้สงบและสุขสันต์ พริบตาเดียวก็เข้าเดือนมิถุนายน
คืนนี้หลินชิงเหอได้รับโทรศัพท์จากเจ้าใหญ่และเหม่ยเจี่ย แน่นอนว่าเธอดีใจมาก คุยกันอยู่ 10 กว่านาทีถึงวางสาย
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว กังจือก็เพิ่งกลับมาจากการไปตั้งแผงขายของที่ตลาดกลางคืน
“ในครัวมีข้าวโพดที่นึ่งไว้อยู่ ไปหยิบมากินเองนะ” หลินชิงเหอพูดกับเขา
“ผมไปอาบน้ำก่อนครับ” กังจือเอ่ย ไปอาบน้ำแล้วกลับมาอย่างสดชื่น
ในตอนนี้เจ้าสามได้เอ่ยขึ้นมา “นายยังไม่แต่งงานก็ตากแดดซะดำขนาดนี้ ระวังอีกหน่อยจะโดนรังเกียจเอานะ”
“ผิวฉันก็แบบนี้แหละ บำรุงยังไงก็ไม่ขาวไปกว่านี้หรอก” กังจือพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ถือว่าดำหรอก ผิวแบบนี้แหละถึงจะดูมาดแมนเป็นลูกผู้ชาย เมื่อก่อนน้าสี่เธอก็แบบนี้แหละ” หลินชิงเหอบอก
สมัยก่อนตอนทำนาทำไร่ที่บ้านเกิด ชิงไป๋ของเธอก็มีผิวสีน้ำตาลแบบนี้แหละ แต่เธอก็หลงเสน่ห์เขาหัวปักหัวปำ
แต่ตอนนี้บำรุงจนฟื้นกลับมาหมดแล้ว ขาวขึ้นไม่น้อย และเพราะขาวขึ้น คนทั้งคนจึงดูอ่อนเยาว์ลง บวกกับเขารักษาหุ่นด้วยการออกกำลังกายบ่อย ๆ
ทำเป็นเล่นไป แม้กระทั่งตอนนี้ บางครั้งหลินชิงเหอยังมีอาการปลาบปลื้มอยู่เลย
เนื้อแดดเดียวแบบนี้สิ ยิ่งตากนานยิ่งหนึบหนับ
“ม้าครับ ตอนนี้รสนิยมสาว ๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทุกคนชอบเด็กหนุ่มหน้ามนกันทั้งนั้น” เจ้าสามกล่าว
“อย่าไปฟังที่เจ้าสามพูด ตั้งใจหาเงินสำคัญกว่าของภายนอกพวกนี้ทั้งหมด” หลินชิงเหอบอก
ทั้งบ้านนั่งดูไซอิ๋วกัน ซีรี่ส์เรื่องนี้เหมือนมีพลังวิเศษ แม้แต่บัดนี้หลินชิงเหอยังดูได้ด้วยความสนุก
ที่จริงชีวิตสงบมาโดยตลอด กระทั่งกลางเดือนมิถุนายน หลินชิงเหอก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง
“สวัสดีครับคุณน้า คุณน้ายังจำผมได้อยู่มั้ยครับ หานสวี้เจี๋ย” หานสวี้เจี๋ยที่ปลายสายเอ่ย
หลินชิงเหอจะไม่รู้จักเขาได้ยังไงกันเล่า ก็พระเอกของเรื่องนี่นา
แต่เธอมองหานสวี้เจี๋ยว่าดีใช้ได้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่บรรดาลูกชายเธออยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว กับเขาจึงเป็นได้แค่เพื่อนไม่ใช่ปรปักษ์ ดังนั้นหลินชิงเหอจึงทำดีด้วยเป็นธรรมดา
หานสวี้เจี๋ยถามยิ้ม ๆ ถึงโจวข่าย หลินชิงเหอจึงเล่าให้เขาฟัง และถามเขาว่าตอนนี้ทำงานที่ไหน หานสวี้เจี๋ยบอกว่าอีก 2-3 วันเขามีรอบออกรถ เดี๋ยวจะมาที่ปักกิ่ง จึงโทรมาบอกล่วงหน้าก่อน
หลินชิงเหอดีใจมาก “งั้นเธอมาอยู่ที่บ้านสิ จะถึงสถานีตอนไหนล่ะ เดี๋ยวฉันให้เจ้าสามไปรับ”
“น้าเอาที่อยู่ให้ผมได้เลยครับ ถึงเวลาเดี๋ยวผมไปเอง” หานสวี้เจี๋ยกล่าว
หลินชิงเหอจึงเอาที่อยู่บ้านให้เขา คุยกันอีกสักพักแล้วถึงวางสาย
แน่นอนว่าหลินชิงเหอดีใจมากที่หานสวี้เจี๋ยจะมา เธอจึงพูดเรื่องนี้ให้โจวชิงไป๋และเจ้าสามฟัง
“ผมว่าแล้วว่าพี่สวี้เจี๋ยต้องโทรมา” เจ้าสามบอก
“ลูกรู้ได้ยังไง?” หลินชิงเหอเอ่ย
“ผมเป็นคนเอาเบอร์ให้พี่สวี้เจี๋ยเอง” เจ้าสามยิ้ม “ครั้งก่อนที่แม่ใช้ผมให้เอาเสื้อผ้าเด็กไปส่งให้พี่สะใภ้ใหญ่ ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่งบนรถไฟ ตอนคุยกันเลยได้ยินเรื่องของพี่สวี้เจี๋ยและรู้ว่าเป็นคนเดียวกัน เอาเลยฝากเบอร์ไปกับหล่อน ให้หล่อนส่งต่อให้พี่สวี้เจี๋ย”
ตอนแรกหลินชิงเหอไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ แต่ตอนที่หานสวี้เจี๋ยพาจงฉิงมาด้วย และได้ยินหานสวี้เจี๋ยแนะนำนางเอกจงฉิง หลินชิงเหอก็รู้สึกเวียนหัว
โดยเฉพาะตอนเห็นเจ้าสามของตัวเองมีท่าทางกระตือรือร้นกับแม่นางจงฉิงเป็นพิเศษ แถมยังตั้งใจแต่งตัวออกมาพบหล่อนอีก
เรื่องเดียวที่ยังถือว่าโชคดีคือหานสวี้เจี๋ยแค่มาดูว่าบ้านอยู่ที่ไหน เขาเองก็ยุ่งมาก มีเวลาแค่ตอนบ่าย ตอนค่ำเขาก็ต้องไปแล้ว
แน่นอนว่าจงฉิงก็ต้องไปเหมือนกัน เจ้าสามขับรถไปส่งพวกเขาที่สถานีรถไฟ หลังจากกลับมาหลินชิงเหอก็จัดการบิดหูเขาไปสามร้อยหกสิบองศา
“เจ็บเจ็บเจ็บ!” เจ้าสามหน้าเหยเก
“บอกม้ามาตามตรงซะ นี่มันเรื่องอะไรกัน!” หลินชิงเหอถลึงตา
…………………………………………
บทที่ 693 สามีภรรยาแค่ในนาม
ให้โจวตงเอาอย่างน้องชายของเธอและพี่สามโจวในเรื่องเปิดร้านขายของแล้วกัน แน่นอนว่าแค่ทำเป็นอาชีพเสริม อาชีพหลักของเขายังต้องทำโรงเลี้ยงสัตว์อยู่
เธอให้โจวตงไปดูที่อำเภอว่ามีหน้าร้านตรงไหนที่น่าซื้อบ้างไหม ถ้ามีก็ซื้อไว้สักร้านสองร้าน แล้วตัวเองค่อยเปิดธุรกิจ
จะจ้างคนที่เชื่อใจไปทำหรือจะไปทำเองก็ได้ เรื่องพวกนี้ให้โจวตงจัดการเอง
โจงตงฟังแล้วพยักหน้ารับ ไม่มีข้อกังขาเลยสักนิด
เจ้าสามยิ้มและเอ่ยขึ้น “พี่ตง พี่ไม่ถามมากกว่านี้เลยเหรอ ไม่กลัวว่าจะโดนแม่ผมหลอกไปขายเหรอครับ”
“แม่ขายแค่ชา ไม่ขายคน” สาวน้อยมี่มี่พูดเข้าข้างแม่เธอ
“มี่มี่พูดถูก” โจวข่ายอุ้มน้องสาวคนเล็กออกไป สาวน้อยมี่มี่ไม่ค่อยคุ้นชินกับพี่ชายคนโตคนนี้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายตัวเอง เธอจึงไม่ได้รังเกียจ
ส่วนโจวตงหัวเราะ “ที่อาสะใภ้บอกว่าดีเคยพลาดซะที่ไหนล่ะ ไม่ต้องถามให้มากความหรอกครับ”
ดูแค่น้องสามหลินและพี่สามโจวก็รู้แล้ว บ้านของพี่สามโจวที่อำเภอติดตั้งโทรศัพท์บ้านด้วย น้องสามหลินก็เปลี่ยนจากจักรยานเป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์เป็นรถกระบะ
ส่วนโจวตงเองก็มีความคิดด้านนี้เหมือนกัน ต่อให้เขาเปิดฟาร์มไก่ได้ไม่เลว แต่ถ้าเปิดร้านเองไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง?
ด้วยความที่เขาไม่มั่นใจ จึงฉวยโอกาสที่หลินชิงเหอกลับมาที่นี่ถามเรื่องนี้ดู เมื่อหลินชิงเหอชี้ทางให้แล้ว เขาจะได้ไปทำอย่างสบายใจ
เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะขายแค่ไก่ อย่างอื่นไม่ขาย
ที่หลินชิงเหอคิดไว้คืออาจจะขายได้ในระดับธรรมดา แต่ถ้าเพิ่มอาชีพเสริมมาอีกหนึ่งอย่าง ที่บ้านก็จะมีรายได้เพิ่มมาอีกแหล่ง
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ถึงแม้ที่เล็ก ๆ อย่างอำเภอในยุคหลังจะไม่ก้าวกระโดดมหาศาลเหมือนอย่างเมืองใหญ่ แต่ร้านที่ตั้งในทำเลดีก็ได้เงินไม่น้อยเหมือนกัน
ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะยังขายได้ในระดับธรรมดา ไม่อาจหาเงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ซื้อไว้แล้วบริหารไปเรื่อย ๆ สักร้านก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน
โจวตงเป็นเด็กที่เธอเห็นมาตั้งแต่เล็กเหมือนกัน เธอย่อมอยากเห็นเขาได้ดี
เพราะฉะนั้นก่อนที่หลินชิงเหอจะไป เธอจึงบอกว่าน้องชายของเธอและพี่สามโจวต่างซื้อบ้านในเมืองซึ่งไม่เลวเลย ถ้าเขามีเงินเย็นก็ซื้อไว้สักหลัง อีกหน่อยลูก ๆ ไปเรียนมัธยมปลายที่อำเภอจะได้มีที่อยู่กัน ไม่ต้องไปพักในหอพักของโรงเรียน
หลินชิงเหอไม่รู้ว่าโจวตงฟังเข้าหูไหม แต่ก็บอกเขาไปแบบนั้น
วันรุ่งขึ้นเป็นวันจัดงานศพของพ่อหลิน
คนทั้งครอบครัวไปร่วมงานกันหมด ไม่เจอกันนานหลายปี พี่ใหญ่หลินพี่รองหลินรวมถึงพี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองที่หลินชิงเหอไม่ค่อยติดต่อไปต่างผงะกันหมดเมื่อได้เห็นครอบครัวของเธอ
โดยเฉพาะบรรดาหลานชาย แต่ละคนล้วนเป็นที่จับตามองจนคนในหมู่บ้านหยุดมองไม่ได้เลย
ทั้งหมู๋บ้านหาเด็กหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
พี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองล้วนอยากปรับความเข้าใจให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่หลินชิงเหอไม่อยากข้องแวะอะไรกับบ้านหลินแล้วจริง ๆ
แม่หลินเพิ่งจากไป ตอนนี้พ่อหลินก็จากไปอีกคน พอพ่อหลินสิ้นแล้ว หลังจากนี้เธอคงไม่มาที่บ้านหลินอีก
ทั้งบ้านหลินเธอยอมรับแค่น้องชายของเธอ ส่วนคนที่ด่าว่าเธออกตัญญูดูแลแค่บ้านสามีแต่ไม่ดูแลบ้านตัวเองก็ปล่อยให้ด่าไปไม่เป็นไรหรอก
เงินที่ต้องออกก็ออกแล้ว ของที่ต้องให้ก็ให้แล้ว หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงพาเจ้าสามและมี่มี่อยู่ในหมู่บ้านเพิ่มอีกวันด้วย
ส่วนเจ้าใหญ่และเจ้ารองมีงานยุ่งเกินไป หลังจากจัดการเรื่องในวันนั้นเสร็จก็เข้าอำเภอเลย พวกเขาค้างคืนที่บ้านลุงสามหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็นั่งรถรอบเช้าไปในตัวเมืองใหญ่เพื่อต่อรถไฟ
ทุกคนตั้งใจทิ้งอย่างอื่นกลับมากันหมด เสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้จริง ๆ
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่พวกเจ้าใหญ่ทิ้งไว้ให้มาที่อำเภอในวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่ามาเยี่ยมโจวเซี่ยที่บ้านด้วย
โจวเซี่ยงานยุ่งจึงไม่อยู่บ้าน หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวก็เช่นกัน ทั้งคู่อยู่ในโรงงานเฟอร์นิเจอร์กันหมด
มีแค่สะใภ้รองโจวที่อยู่บ้านเลี้ยงเด็ก พอเห็นหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พามี่มี่มา หล่อนก็ชะงักไปนิดหน่อย
ถึงแม้ความสัมพันธ์จะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องไล่ออกไป ถึงอย่างไรถ้าลูกสะใภ้หล่อนรู้เข้าว่าหล่อนบังอาจไล่คนออกไป ลูกสะใภ้หล่อนได้ไล่หล่อนกลับบ้านเกิดแน่
แม้ว่าไม่มีอะไรจะพูดกับสะใภ้รองโจวจริง ๆ แต่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็เข้าบ้านไปทักทายเรียบ ๆ ก่อนจะยิงเข้าประเด็น
เธอไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าพี่รองโจวจะไป เพียงแต่ทำเป็นถามสะใภ้รองโจว “ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมหรอก แต่ชิงไป๋เป็นคนรักพี่น้อง เลยอยากให้พี่รองไปอยู่ที่นู่น เงินเดือนร้อยกว่าหยวนกินฟรีอยู่ฟรี เขาไปคุยกับพี่รองโดยไม่ถามความเห็นฉันก่อนเลยค่ะ”
สะใภ้รองโจวผงะ อะไรนะ? เจ้าสี่จะให้สามีของหล่อนไปทำงานที่ปักกิ่ง เดือนหนึ่งให้ร้อยกว่าหยวน?
หล่อนไม่สนใจว่าพี่รองโจวไปปักกิ่งแล้วได้ทำงานอะไร จึงเอ่ยขึ้นทันที “เดือนหนึ่งได้ร้อยกว่าหยวนจริงหรอ?”
“ใช่ แต่ฉันไม่ค่อยอยากให้ไป พี่รองไปแล้วอีกหน่อยพี่สะใภ้รองก็ต้องไปด้วย ความสัมพันธ์ของเราสองคนพี่ก็รู้ดีแก่ใจ” นอกจากหลินชิงเหอจะทำท่าทางร้ายกาจแล้ว ยังพูดออกไปตรง ๆ อีกด้วย
เธอบอกเลยว่าเพราะไม่อยากเห็นหน้าสะใภ้รองโจว เลยไม่อยากให้พี่รองโจวไปหาเงินก้อนนี้
“ให้พ่อเซี่ยเซี่ยไปเถอะ ฉันไม่ไปหรอก ฉันต้องช่วยเซี่ยเซี่ยดูแลลูกด้วย” สะใภ้รองโจวรีบบอก
เดือนละร้อยกว่าหยวน ปีหนึ่งได้ตั้งพันกว่า ต้องทำไร่กี่ที่ถึงจะได้เท่านี้กัน?
“ถ้าพี่ไม่ไป ฉันจะฝืนรับพี่รองไว้ก็ได้ ส่วนเรื่องเงินเดือนฉันจะจ่ายให้พี่รอง พวกพี่สามีภรรยาอยากจะจัดการยังไงก็ทำกันเองเลย แต่ฉันพูดดักไว้ก่อนนะ ฉันยอมให้พี่รองไปแค่คนเดียว คนอื่นไม่ว่าจะใครถ้าไปฉันไม่รับทั้งนั้น” หลินชิงเหอกล่าว
เธอไม่ได้พูดจาด้วยน้ำเสียงแบบนี้มานานแล้ว แต่น้ำเสียงแบบนี้สิถึงจะเป็นคนบ้านเจ้าสี่ในความทรงจำของสะใภ้รองโจว
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้นั่งอยู่นานนักก็พามี่มี่กลับไป
ส่วนสะใภ้รองโจวนั่งไม่ติดที่แล้ว หล่อนไม่อยากไปปักกิ่งหรอก แต่เงินก้อนนี้ไม่รับไม่ได้ ปีละพันกว่าหยวนเชียวนะ จะไปหาที่ไหนได้อีก
หล่อนต้องให้สามีส่งเงินนี่กลับมาให้หล่อนให้ได้
เพราะฉะนั้นตอนที่โจวเซี่ยและหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวเลิกงานกลับมา หล่อนจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และจะกลับหมู่บ้านไปคุยกับพี่รองโจว
“พรุ่งนี้แม่นั่งรถอาสามกลับไปก็ได้ครับ” โจวเซี่ยบอก
จากนั้นตัวเขาเองมาหาอาสามอาสะใภ้สาม แต่อาสี่อาสะใภ้สี่ของเขานั่งรถเข้าเมืองไปแล้ว ป่านนี้คงถึงในเมืองพอดี เผลอ ๆ ขึ้นรถไฟไปแล้วด้วย
สะใภ้รองโจวแต่เดิมที่ไม่สนใจเรื่องนี้ก็รีบให้สะใภ้สามโจวยืนยันเรื่องนี้ หลินชิงเหอเคยพูดเรื่องนี้กับสะใภ้สามโจว หล่อนจึงบอกไป
ฉะนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น สะใภ้รองโจวนั่งรถมอเตอร์ไซค์ของพี่สามโจวกลับหมู่บ้าน และรีบไปคุยเรื่องนี้กับพี่รองโจว
ประเด็กหลักมีอยู่ว่าต้องส่งเงินกลับมาบ้านโดยไม่หายไปสักแดง แล้วหล่อนจะไม่ไปรบกวนแม้แต่ก้าวเดียว
พี่รองโจวรับปากหล่อน บอกว่าจะส่งเงินกลับมา และการที่เห็นหล่อนไม่ขัดสนแค่เรื่องเงิน พี่รองโจวก็รู้สึกเฉยชาอย่างมาก
สองสามีภรรยาคู่นี้เหลือแค่ในนามเท่านั้น พวกเขาหมดรักกันไปนานแล้ว
……………………………………………………