บทที่ 690 สรรพสิ่งคงเดิม แต่คนเปลี่ยนแปลง
โจวอู่นีหัวเราะ เจียงเหิงเห็นหล่อนหัวเราะจึงหัวเราะตามเช่นกัน
ภรรยาของเขาสิดี อ่อนโยนใส่ใจผู้อื่นแถมยังใจกว้าง ไม่เหมือนพี่สะใภ้ใหญ่ของเขา เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยไม่จบไม่สิ้น
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้นะว่าหล่อนนั่นแหละที่ยุยงให้แม่เขาบอกให้น้องสาวสองคนของเขามาอยู่นี่
“ปีใหม่ปีนี้รับแม่คุณมาอยู่ด้วยดีไหมครับ” เจียงเหิงกล่าว
“แม่ฉันอาจจะไม่ว่างน่ะค่ะ ปกติสิ้นปีจะงานยุ่ง” โจวอู่นีบอก
เดี๋ยวนี้ธุรกิจทำง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ร้านของพ่อแม่หล่อนถือว่าขายดีใช้ได้ โดยเฉพาะช่วงสิ้นปี ปกติแล้วจะยุ่งมาก
“งั้นถ้าคุณว่างช่วงไหนก็โทรกลับไปหาคุณแม่บ่อย ๆ หน่อยแล้วกันครับ” เจียงเหิงกล่าว
สำหรับเจียงเหิงแล้ว บ้านแม่ยายเขาดีกว่าบ้านแม่แท้ ๆ ของตัวเองเสียอีก
เวลาแม่ยายมีอะไรดี ๆ จะนึกถึงทางนี้เสมอ ไม่ต้องพูดถึงสินสอดแต่งงานเมื่อปีที่แล้วเลย ไหนจะห่อที่ส่งผ่านไปรษณีย์มาทีหลังอีก ซึ่งข้างในนั้นเต็มไปด้วยอาหารแห้ง
มีทั้งเนื้อแดดเดียวทั้งเห็ด ใจดีกับพวกเขาสองสามีภรรยามาก
โจวอู่นีต้องพอใจมากเป็นธรรมดา ตอนคุยโทรศัพท์กับสะใภ้สามโจวจึงเล่าท่าทางของเจียงเหิงให้ฟัง
สะใภ้สามโจวเอ่ยยิ้ม ๆ “พวกเธอสองคนมีชีวิตที่ดีกันก็พอแล้ว ถ้าแม่ว่างจะไปหาลูกนะ ยังไงบ้านอาสะใภ้สี่ก็หาง่ายอยู่แล้ว”
หลังลงจากรถไฟไปต่อรถอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึง แน่นอนว่าไม่ได้ถึงหน้าบ้านเลย แต่ถึงโรงเรียน ตรงไปตามถนนที่ผ่านโรงเรียนจะเจอโรงพยาบาล เดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็ใกล้ถึงแล้ว
ถึงระยะทางจะไม่ใกล้ แต่ก็จำง่ายมาก
สองแม่ลูกคุยกันไปสักพักถึงวางสาย แต่ทันทีที่วางสาย น้องสะใภ้สามหลินก็มา
สะใภ้สามโจวเห็นหล่อนมีสีหน้าไม่ค่อยดีจึงถามขึ้น “เป็นอะไรไปจ๊ะ?”
“พ่อสามีฉันเข้าโรงพยาบาล ดูท่าคงจะไม่รอดแล้วน่ะค่ะ” น้องสะใภ้สามหลินบอก
ท่านแม่หลินเสียชีวิตไปเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว แต่ท่านพ่อหลินอยู่มาจนถึงบัดนี้ ทว่าเดี๋ยวนี้ชราภาพลงมาก เมื่อคืนไข้ขึ้นสูงจนวันนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล ด้วยความที่เขาอายุมากแล้ว ตอนนี้จึงเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง
จะว่าไปคงถึงเวลาของเขาแล้วล่ะ หลายปีมานี้เขามีสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก
สะใภ้สามโจวเข้าใจ จึงโทรศัพท์ไปที่เรือนสี่ประสาน หลินชิงเหอไม่อยู่บ้านเพราะอยู่ที่ห้องทำงานการแปล ส่วนโจวชิงไป๋อยู่ที่ร้านขายชา เป็นเจ้าสามที่ร้อนจนเหงื่อแตกเลยกลับบ้านไปอาบน้ำ ถึงได้ยินจากอาอี๋จ้าวว่าที่บ้านเกิดโทรมา บอกว่ามีเรื่องด่วน
พอได้อาบน้ำร่างกายก็สดชื่น เจ้าสามจึงโทรกลับไปหาป้าสะใภ้สามของเขา
จากนั้นก็ได้ยินเรื่องของคุณตาคนนั้น
กับบ้านทางฝั่งแม่ ครอบครัวเขายอมรับแค่น้าเล็กคนเดียว ไม่ยอมรับใครอื่นอีก
แต่คราวก่อนที่ยายของเขาเสียชีวิต แม่เขาก็ไม่ยอมให้พวกเขากลับไป ครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสมควรเลย พวกเขาควรจะได้กลับไปสิ
ครั้งนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เจ้าสามจึงให้คำตอบในโทรศัพท์เลยว่าครอบครัวเขาจะกลับไปแน่นอน
เสร็จแล้วเขาจึงโทรหาพี่ใหญ่เขาที่กองทัพ ตอนแรกพี่ใหญ่เขาจะออกไปปฏิบัติภารกิจ แต่คราวนี้ช่วยไม่ได้ ต้องให้คนอื่นไปแทน
เวิงเหม่ยเจี่ยไม่ได้กลับมาด้วย ท้องของหล่อนโตแล้วจึงเดินทางไม่ค่อยสะดวก อย่างไรเสียหล่อนก็ท้องอยู่
ที่เหลือก็คือพี่รองเขา ซึ่งต้องบอกเหมือนกัน
หลังจากแจ้งทุกคนเรียบร้อยแล้ว เจ้าสามถึงหยิบกุญแจรถออกจากบ้านไปบอกแม่เขา
หลินชิงเหอทราบข่าวแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้ว ส่วนถ้าถามว่ารู้สึกโศกเศร้าหรือไม่นั้น คงเป็นคำว่าไม่
แต่อย่างไรต้องกลับไปร่วมงานศพอยู่ดี
เธอออกมาที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรกลับหาสะใภ้สามโจว และสอบถามรายละเอียด
“ฉันได้ยินน้องสะใภ้เธอบอกว่าครั้งนี้คงไม่รอดแล้ว ทางโรงพยาบาลก็ออกใบแจ้งแล้วว่าวิกฤติ ให้เริ่มเตรียมงานศพได้แล้ว” สะใภ้สามโจวบอก
ท่านพ่อหลินได้จากไปในคืนนั้นเอง
ซึ่งหน้าร้อนแบบนี้เก็บศพไว้นานไม่ได้
ดังนั้น หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงพาเจ้าสาม หลินซิ่ว และสาวน้อยมี่มี่เดินทางกลับกันตั้งแต่วันรุ่งขึ้น
เจ้าใหญ่และเจ้ารองต่างคนต่างนั่งรถไฟกลับมา เวลาคลาดเคลื่อนกันไม่มาก
หลังจากมาถึงอำเภอแล้ว ก็ให้เจ้าสามไปอยู่บ้านน้าเล็กของเขา ส่วนหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พาสาวน้อยมี่มี่กลับไปอยู่ที่หมู่บ้าน
เนื่องจากพี่สามโจวบอกไว้ก่อนแล้ว สะใภ้ใหญ่โจวจึงเก็บกวาดบ้านไว้อย่างเรียบร้อย
ตอนนี้ที่บ้านสะอาดสะอ้านมาก
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พามี่มี่มากินข้าวที่นี่ และเอ่ยยิ้ม ๆ “พอกลับมาแต่ละที พี่สะใภ้ใหญ่ก็ทำความสะอาดไว้ซะเรียบร้อยเชียวนะคะ”
“ไม่ได้เปลืองแรงอะไรหรอกจ้ะ ที่บ้านมีพัดลมอีก เดี๋ยวอาสี่เอากลับไปด้วยตัวหนึ่ง อากาศแบบนี้ไม่มีพัดลมไม่ได้หรอก” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าว
หลังกินข้าวที่นี่เสร็จ โจวชิงไป๋จึงอุ้มลูกสาวคนเล็กไปเดินเล่นในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านชอบเธอสุด ๆ ได้ข่าวว่าโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอมีลูกสาวตอนแก่เพิ่มมาอีกคน แต่ยังไม่เคยเห็น พอได้เจอแล้วหน้าตาสวยจริง ๆ เลย
อย่างกับนางฟ้าตัวน้อย ๆ
หลินชิงเหอไม่ได้ออกไปอวดลูกสาวตัวเองเหมือนโจวชิงไป๋ เธออยู่คุยกับสะใภ้ใหญ่โจว
นอกจากเรื่องที่บ้านหลินแล้ว ก็เหลือแต่โจวลิ่วนี
“ไม่รู้ว่าไปไหนคนเดียว ปีที่แล้วกลับมาครั้งหนึ่งก็ไม่กลับมาอีกเลย ยืมพี่ไป 200 หยวนด้วย” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าว
ตอนแรกโจวลิ่วนีเรียกเงินก้อนโต จะขอยืมถึง 1,000 หยวน แต่สะใภ้ใหญ่โจวจะให้หล่อนยืมเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? เลยให้หล่อนยืมไปแค่ 200 เท่านั้น
ข้ออ้างที่โจวลิ่วนีใช้คือจะเอาไปคืนพ่อของหล่อน จะได้ไม่โดนพ่อด่า
ใครจะรู้ว่ายืมเงินไปได้วันเดียวหล่อนก็จากไปเลยตั้งแต่วันรุ่งขึ้น ส่วนไปไหนนั้นไม่มีใครรู้ จนบัดนี้ยังไร้ซึ่งข่าวคราว
หลินชิงเหอไม่สนใจโจวลิ่วนี ไม่ว่าหล่อนจะเกิดใหม่หรือทะลุมิติมา ทุกคนก็ต้องชดใช้ให้กับการกระทำของตัวเอง
เดินอยู่บนเส้นทางที่ดีก็จะได้ผลดี เดินอยู่บนเส้นทางไม่ดีก็ต้องได้ผลไม่ดี
แต่ในฐานะ ‘ผู้มาก่อนกาล’ ยังไงโจวลิ่วนีก็ดำเนินชีวิตไปได้ไม่แย่นักหรอก เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง หากมีความสามารถก็พอจะซื้อบ้านสักหลังสองหลังในเมืองชั้นนำได้ ก็ได้กำไรเห็น ๆ
เสียงโจวชิงไป๋คุยกับพี่รองโจวดังมาจากนอกประตู
หลินชิงเหอจึงเดินออกมาทักทาย เมื่อเห็นสภาพของพี่รองโจวแล้วหลินชิงเหอก็ต้องผงะ
ตอนที่เธอทะลุมิติมาพี่รองโจวยังหนุ่มอยู่เลย พริบตาเดียวผ่านไปแล้ว 20 ปี
ปีนี้พี่รองโจวอายุไม่น้อยแล้วจริง ๆ แต่สภาพของเขาดูแก่เกินไป แถมผอมแห้งไปทั้งตัว
หลินชิงเหอเห็นแล้วยังสงสาร
พูดกันตามตรง พี่รองโจวไม่ใช่คนเลวร้าย ถือว่าเป็นคนดีเลยด้วยซ้ำ แต่ภายในพริบตาเดียว สรรพสิ่งคงเดิมทว่าคนกลับเปลี่ยนแปลงไป
“น้องสะใภ้คงคิดว่าฉันแก่ขึ้นเยอะเลยใช่ไหม?” พี่รองโจวเอ่ยยิ้ม ๆ
“ของที่ปีนี้ฉันฝากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เอากลับมาเป็นของบำรุงทั้งนั้น พี่รองได้ตุ๋นกินไหมคะ” หลินชิงเหอถาม
“แม่ลิ่วนีเอาไปไว้ในเมืองหมดแล้ว” พี่รองโจวยังไม่ทันตอบ สะใภ้ใหญ่โจวก็ชิงตอบก่อน
“เซี่ยเซี่ยก็มีไม่ใช่เหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย
ได้กันทุกบ้าน ปริมาณเท่ากัน
“บ้านนั้นมี แต่แม่ลิ่วนีหาว่าน้อยเลยเอาไปด้วย” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าว
“เอาไปก็เอาไปเถอะ ฉันไม่ต้องกินของแบบนั้นหรอก” พี่รองโจวยิ้ม
……………………………………………
บทที่ 683 คู่บุญเก่า
หลินซิ่วต้องรอจนถึงฤดูร้อนปีนี้จึงจะเรียนจบ ถึงแม้หล่อนจะเรียนวิทยาลัยที่สู้มหาวิทยาลัยอย่างที่พวกโจวหยางและโจวอู่นีเรียนไม่ได้ แต่สำหรับสมัยนี้ถือว่าเป็นการศึกษาที่เชิดหน้าชูตาได้แล้ว
พอปิดเทอมกลับบ้านที่ตัวเมือง ก็ได้ฟังเรื่องนี้จากแม่หล่อน บอกหล่อนว่าเรียนจบแล้วไม่ต้องรอวิทยาลัยจัดสรรงานให้ ไปหาป้าสะใภ้สามของหล่อนที่ปักกิ่งได้เลย
หลินซิ่วเคยไปปักกิ่งหลายครั้งแล้ว แน่นอนว่าหล่อนชอบที่นั่นมาก ทีแรกหล่อนกำลังเตรียมตัวเรื่องการจัดสรรงาน แต่พอได้ข่าวว่าฝั่งป้าหล่อนกำลังขาดคน มีตำแหน่งว่าง หล่อนจึงไม่ต้องการให้วิทยาลัยจัดสรรงานให้อีก
หล่อนตั้งใจว่าเรียนจบแล้วจะไปปักกิ่งเลย และตั้งใจโทรหาป้าของหล่อนในตอนค่ำ เพราะรู้ว่าป้าอยู่บ้าน
กังจือนั่งอยู่ข้าง ๆ พอดี จึงรับโทรศัพท์ให้
พอได้ยินว่าเป็นหลินซิ่วจึงเรียกน้าสะใภ้เขา หลินชิงเหอเข้ามารับโทรศัพท์ และคุยกับหลานสาวพักหนึ่ง
หลังจากวางสายแล้ว กังจือถามขึ้น “น้าสะใภ้ครับ หลินซิ่วจะมาเหรอครับ?” แน่นอนว่าเขากับหลินซิ่วรู้จักกัน แม้จะไม่ค่อยสนิทก็ตาม
“อื้ม รอหล่อนเรียนจบปีนี้แล้ว จะมาเป็นนักบัญชีมืออาชีพให้ฉัน” หลินชิงเหอกล่าว
กังจือสงสัย “มีพวกพี่เอ้อร์นีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
“ไม่ต้องกลัวว่านักบัญชีจะเยอะไปหรอก อีกอย่างพี่เอ้อร์นีของเธอยุ่งจะตาย พี่เขยรองมีโรงงานเสื้อผ้าด้วย ให้หลินซิ่วมาช่วยพี่เอ้อร์นีจะได้หาเวลาไปเดินเที่ยวเล่นกับพี่เขยรองเธอบ่อยขึ้น คราวก่อนพี่เขยรองยังมาบ่นให้ฟังอยู่เลย” หลินชิงเหอบอก
กังจือหัวเราะ โจวชิงไป๋มองหลานชายตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น “เธอน่าจะแต่งงานได้แล้วนะ”
ในเรื่องนี้โจวชิงไป๋เห็นด้วยอย่างยิ่งกับพี่สะใภ้สามโจว เขายึดหลักการเรือล่มในหนองทองจะไปไหน หลังจากหลินซิ่วเรียนจบแล้วมานี่ เขาก็คิดจะให้หลานชายเอาอ่าวขึ้นมาบ้าง
กังจือไม่อาจเข้าใจความตั้งใจของน้าเล็กเขาได้ เขาส่ายหัว “ผมอยากซื้อบ้านก่อน!” เขาหมกมุ่นอยู่กับการซื้อบ้าน แต่เขาอยากมีห้องเล็ก ๆ ของตัวเองจริง ๆ นี่นา
แม้ว่าบ้านน้าและน้าสะใภ้ของเขาจะอยู่สบายมาก แต่จะอยู่ทั้งชีวิตคงไม่ได้ อนาคตต้องแต่งภรรยาอีก จะลากทั้งครอบครัวมาอยู่บ้านน้าเล็กเขาเหรอ?
เรื่องแบบนั้นถูกเสียที่ไหนล่ะ?
“ซื้อบ้านก็เพื่อแต่งภรรยา งั้นเจอคนที่ดีแล้วก็หมั้นหมายไว้ก่อนสิ ไม่อย่างนั้นรอเธอซื้อบ้านได้ก็ปาเข้าไปอายุเท่าไหร่แล้ว” โจวชิงไป๋กล่าว
ตอนเขาอายุเท่านี้ ลูกคนโตสามคนออกมาเกือบครบแล้ว
กังจือหัวเราะ “ก็ยังไม่เจอนี่ครับ”
“เดี๋ยวหาคนดี ๆ ให้ อย่าไปคบสะเปะสะปะกับคนข้างนอกล่ะ” โจวชิงไป๋บอก
กังจือพยักหน้า เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานของเขาปล่อยให้น้าและน้าสะใภ้เขาจัดการไม่มีปัญหาแน่นอน คนที่พวกเขาบอกว่าดี ไม่มีคู่ไหนที่อยู่อย่างไร้ความสุขเลย
ด้านพี่ใหญ่เขาบัดนี้ก็อยู่อย่างสุขสันต์ ถ้าเขาบอกว่าไม่อิจฉาคงเป็นไปไม่ได้ แต่ช่วยไม่ได้นี่ เขาอยากซื้อคอนโดมิเนียม แล้วก็ยังขาดเงินอีกตั้งเยอะ
เช้าวันรุ่งขึ้น กังจือบรรทุกสินค้าเต็มรถกระบะแล้วออกจากบ้านไป ไม่เพียงแต่มีเสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับวัยรุ่นเท่านั้น ยังมีพวกที่คาดผมด้วย ส่วนตัวเขาเองซื้อซาลาเปาข้างนอกกินก่อนจะไปตั้งร้าน
ปกติสินค้าหนึ่งคันรถขายได้หนึ่งในสามที่ตลาดนัดตอนเช้า และเวลาที่เหลืออยู่ในหนึ่งวันจะขายสองในสามได้ ปกติเวลาเก็บร้านกลับบ้านก็ไม่ค่อยเหลืออะไรแล้ว
เขาขายดีมาก ๆ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ถึงตอนนี้เขาจะแค่ตั้งแผงขาย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องขายดีหรือไม่นั้น ดีกว่าหน้าร้านบางแห่งเสียอีก
หลินชิงเหอไม่ได้ถามเขาว่าช่วงนี้ขายดีไหม แค่เห็นเขารับของส่งของทุกวันก็รู้ได้โดยไม่ต้องถาม
สู้ชีวิตแบบนี้เป็นเรื่องดี อีกหน่อยอยากตั้งแผงยังตั้งไม่ได้เลย เทศกิจจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอม ฉวยโอกาสตอนนี้รีบตักตวงหาเงินซื้อบ้านก็ถือว่ากำไรแล้ว
โจวกุยหลายกับหม่าเฉิงหมินเดินทางลงใต้ วุ่นวายกันอยู่ที่นั่น 20 กว่าวันถึงจะเดินทางกลับ
“ตอนผมกับอาเฉิงหมินไป เจอกับพ่อค้าชาอีกคนพอดี พวกเขาก็ตั้งใจจะไปเก็บชาครับ แต่พ่อลองเดาสิครับว่าเป็นยังไง” โจวกุยหลายยิ้ม
“ชาวไร่ชาไม่ขายให้พวกเขา?” โจวชิงไป๋พูดบ้าง
โจวกุยหลายยิ้มกว้าง “ใช่แล้วครับ ไม่ขายให้พวกเขา ขายให้แค่เรา”
อันที่จริงชาวไร่ชาก็มีความซื่อสัตย์เหมือนกัน ไม่ใช่พวกเห็นเงินแล้วตาโต มีการตกลงกับหลินชิงเหอแล้วว่าใบชาภายใน 5 ปีนี้เธอเหมาหมด ไม่เพียงเท่านั้น หากราคาตลาดในแต่ละปีเพิ่มขึ้น เธอก็จะขึ้นให้ ไม่ให้ชาวไร่ชาต้องเสียเปรียบ
และเนื่องจากเก็บชาเองขายชาเอง ไม่ต้องผ่านคนกลางที่สองที่สาม ราคาที่หลินชิงเหอจ่าย พ่อค้าชาคนอื่นล้วนเทียบไม่ได้เลย ราคาที่คนอื่นให้นับเป็นแค่หกส่วนของที่หลินชิงเหอให้ แต่เพราะใบชานี้ดีจริง ๆ บางคนยอมขึ้นให้เป็นเจ็ดส่วนหรืออาจจะถึงแปดส่วน
แต่จะเทียบกับราคาที่หลินชิงเหอให้ได้อย่างไรล่ะ ราคาสูงกว่านี้ก็ไม่มีกำไรแล้ว ทว่าเธอผลิตเองจำหน่ายเอง แค่ตัวเองยอมยกกำไรส่วนหนึ่งให้ชาวไร่ชา คนอื่นแย่งผู้ผลิตของเธอไปไม่ได้หรอก
และหลินชิงเหอก็เป็นคนรู้จักวางตัว ครั้งนี้ที่โจวกุยหลายกับหม่าเฉิงหมินไป เธอได้ฝากของขวัญไปให้ด้วย
เป็นของจากร้านอาหารทะเลแห้ง เป่าฮื้อ ปลิงทะเล กระเพาะปลาอย่างละห่อ
พวกนี้ถือว่าเป็นอาหารทะเลราคาแพงทั้งหมด เป็นของขวัญที่มีมูลค่ามาก ให้ใจพอไหม? ราคาที่ให้ก็ดี คนก็ดี ชาวไร่ชาไม่ได้โง่ ต้องให้พูดอีกหรือว่าจะร่วมงานกับใคร?
โจวกุยหลายและหม่าเฉิงหมินก็ไม่เจออุปสรรคอะไรตอนไป ชาวไร่ชาบอกให้พวกเขาวางใจ ตอนชาล็อตใหม่มาแล้วจะนำไปส่งให้ สบายใจเรื่องคุณภาพได้ ไม่แย่แน่นอน
ผู้รับซื้อแบบนี้ชาวไร่ชาก็อยากรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้เหมือนกัน
“แม่ผมนี่มีฝีมือจริง ๆ” โจวกุยหลายอุทานในตอนท้าย ก่อนจะชำเลืองมองพ่อเขา “พ่อ ได้แต่งงานกับผู้หญิงแบบแม่ พ่อรู้สึกสบายมากเลยใช่ไหม?”
โจวชิงไป๋เหล่มองลูกชาย
ถึงแม้ประโยคนี้จะน่าสงสัยว่าหมายถึงว่าเขาเกาะภรรยากิน แต่โจวชิงไป๋ไม่ปฏิเสธ แต่งงานกับภรรยาที่เก่ง คนเป็นสามีอย่างเขาโดยรวมก็เหลือเพียงประโยชน์เดียว นั่นก็คือรักษาหน้าตาของที่บ้าน ให้ที่บ้านรู้ว่าบ้านนี้ยังมีผู้ชายอยู่
ส่วนที่เหลือ ไม่ต้องให้เขาเหนื่อยอะไร แค่ไม่ทำตัวถ่วงภรรยาเขาก็ดีเท่าไรแล้ว
ส่วนเรื่องเสียศักดิ์ศรีหรือไม่นั้นโจวชิงไป๋ไม่ใส่ใจ ภรรยาเก่งแล้วอย่างไร เขาได้แต่งงานกับภรรยาแบบนี้และเธอยอมมีลูกให้ก็เป็นความสามารถของเขาเหมือนกัน
เจ้าสามไม่เพียงพูดต่อหน้าพ่อเขา แต่ยังชมต่อหน้าแม่เขาด้วย ว่าอีกหน่อยอยากได้ภรรยาแบบนี้เหมือนกัน
หลินชิงเหอโบกมือ “ลูกคงไม่โชคดีอย่างพ่อหรอก ขยันขันแข็งเป็นวัวเป็นควายต่อไปเถอะ”
ตอนที่เธอพูด โจวชิงไป๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เลิกมุมปากขึ้นเล็กน้อย อย่าให้พูดถึงสายตาอ่อนโยนที่มองภรรยาตัวเอง
หลินชิงเหอก็ส่งสายตาแพรวพราวให้เขาเหมือนกัน ผู้ชายของตัวเอง เธอย่อมรัก
เจ้าสามที่เป็นลูกชายได้แต่จิ๊ปาก จริง ๆ เลยนะ นี่ก็ตั้งหลายปีแล้ว สองสามีภรรยานี่ยังหวานแหววกันอยู่
นี่สินะ คู่บุญเก่าที่เขาว่ากัน
…………………………………………………………
บทที่ 695 ตอนพิเศษ 1-คนพวกนั้นกับสิ่งเหล่านั้น
โจวอู่นีคลอดลูกชายของเจียงเหิงในเดือนกันยายน
ได้ข่าวว่าเด็กคนนั้นหนัก 7 ชั่งกว่า ทำให้โจวอู่นีเหนื่อยแทบแย่กว่าจะคลอดออกมาได้
ตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้น หลินชิงเหอก็ดีใจมาก หลังจากถามเจียงเหิง จึงทราบว่าโจวอู่นีสบายดี เรียกแม่บ้านไปแล้ว ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาอะไร
หลินชิงเหอบอกให้เจ้าสามไปเยี่ยมและเอาของบำรุงไปให้ รวมถึงเสื้อผ้าตัวเล็ก ๆ ที่โจวซื่อนีฝากมาให้ไปด้วย
หากเด็ก ๆ มีเสื้อผ้าพวกนี้จะได้ไม่ต้องไปซื้ออีก เด็กพวกนี้โตไวราวกับลมพัด มีเสื้อผ้าตัวเล็กตัวอื่น ๆ ให้ใส่จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้ออีก
ถึงแม้หยวนหยวนของบ้านโจวซื่อนีจะเป็นเด็กผู้หญิง ส่วนบ้านโจวอู่นีได้ลูกชาย แต่ก็แลกกันใส่ได้
เจ้าสามไปอยู่ที่นั่นได้ 2 วันก็กลับมา และนำชุดกี่เพ้าที่เซวียเหม่ยลี่ซื้อมาฝากเธอกลับมาด้วย
หลินชิงเหอจึงโทรศัพท์หาเซวียเหม่ยลี่ “ตาถึงดีจริงนะจ๊ะ”
“ฉันตาถึงที่ไหนกันเล่า เธอหุ่นดี มีเสน่ห์ใส่แล้วเข้า จะใส่กี่เพ้าแบบไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” เซวียเหม่ยลี่กล่าวยิ้ม ๆ
หลินชิงเหอหัวเราะและพูดเรื่องโจวอู่นีกับหล่อน เซวียเหม่ยลี่จึงเอ่ยบอก “ปีนี้คงไปทำงานไม่ได้แล้วล่ะ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าคงดีขึ้น ถึงตอนนั้นลูกก็คงโตแล้ว หย่านมแล้วให้กินอาหารเหลวได้ ถ้าหล่อนอยากไปทำงานก็ให้ไปทำงานเถอะ”
เทียบกับแม่สามีของโจวอู่นีเองแล้ว แม่สามีรองอย่างเซวียเหม่ยลี่นี่สิถึงเหมือนแม่สามีจริง ๆ เพราะแม่สามีของหล่อนคิดแค่อยากเอาของกินดี ๆ จากบ้านเธอกลับไป
คุยกับเซวียเหม่ยลี่เสร็จแล้วเธอจึงโทรไปหาพี่สะใภ้สามโจว สองพี่น้องสะใภ้ก็คุยกันถึงลูกของโจวอู่นี
สะใภ้สามโจวถอนหายใจ “แต่งไปไกลขนาดนี้ อยากไปหายังต้องดูเวลาเลยจ้ะ”
ถึงแม้การที่ลูกสาวได้แต่งไปในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ต้องเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ทว่าดีก็ส่วนหนึ่ง เสียแต่ว่าไม่สามารถไปเจอกันบ่อย ๆ ได้
ตอนนี้เป็นช่วงที่หน้าร้านยุ่งมาก พี่สามโจวต้องรับของ เหนื่อยสุด ๆ ส่วนหล่อนก็ต้องช่วยขายของ ลูก ๆ ต้องเรียนหนังสือ ไม่มีใครว่างเลย
หล่อนก็เลยแยกร่างไม่ได้ ต้องรอจนสิ้นปีอาจจะไปหาได้
หลินชิงเหอกล่าว “ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกค่ะ สบายดีกันหมด”
สะใภ้สามโจวยิ้ม และพูดเรื่องโจวลิ่วนี
เมื่อวานนี้โจวลิ่วนีได้กลับมา ในสภาพสะพายกระเป๋าพร้อมกับสวมรองเท้าส้นสูงทาปากแดงแจ๋
“หล่อนหาเงินก้อนได้แล้วเหรอคะ?” หลินชิงเหอเลิกคิ้วถาม
“หาเงินก้อนได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่แค่การแต่งตัวนั่นก็โดนคนนินทาไม่น้อยเลยล่ะ” สะใภ้สามโจวบอก
ถึงแม้ตอนนี้ใกล้จะเข้ายุค 90 แล้ว แต่ที่ที่เปิดกว้างมีแค่ตามเมืองใหญ่ ๆ ขณะที่ในอำเภอเล็ก ๆ และตามหมู่บ้านอื่น ๆ ยังหัวโบราณอยู่มาก
การที่หล่อนกลับมาในสภาพนี้ คนอื่นต้องนินทาลับหลังแน่นอนว่าไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว ไหนจะเรื่องที่หล่อนก่อไว้ในหมู่บ้านเมื่อก่อนนี้อีก คนอื่นพูดกันลับหลังไม่น้อยเลยว่าหล่อนออกไปทำอาชีพไม่ดีอะไรหรือเปล่า
พี่รองโจวก็โมโหโจวลิ่วนีมาก บอกให้หล่อนโยนรองเท้าส้นสูงทิ้งไป แล้วก็เช็ดปากด้วย แต่โจวลิ่วนีที่เดินอยู่แถวหน้าของแฟชั่นจะยอมได้อย่างไร?
แถมกลับไปครั้งนี้หล่อนเอาเงินให้บ้านสามีเก่าไปเป็นจำนวนมาก และขอลูกชายกลับมาจนได้
บ้านสามีเก่าหล่อนรับเงิน 10,000 หยวนที่โจวลิ่วนีให้ไป บวกกับเห็นว่าเดี๋ยวนี้โจวลิ่วนีได้ดีแล้ว จึงยกลูกชายคืนให้หล่อน
แต่โจวลิ่วนีเลี้ยงลูกไม่เป็น ชาติก่อนลูกชายหล่อนกลายเป็นนักเลงก็เพราะบ้านสามีเก่าเลี้ยงนี่แหละ ชาตินี้พี่น้องโจวข่ายโจวเฉวี่ยนโจวกุยหลายได้ดีกันหมด ทำไมลูกชายของหล่อนจะไม่ได้ดีบ้างล่ะ?
ตอนแรกหล่อนอยากเลี้ยงเอง ถึงจะเลี้ยงไม่เป็น แต่ให้ข้าวให้เงินก็น่าจะพอแล้วนี่
ตอนนี้หล่อนไม่ขาดแคลนเงินจริง ๆ
แต่พอได้ยินจากพ่อหล่อนว่าหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้เสร็จก็จะไปปังกิ่ง มันก็ทำให้โจวลิ่วนีคิดอะไรไม่อาจทราบได้ จัดการยัดเยียดลูกชายหล่อนให้กับผู้เป็นพ่อ
พร้อมกับให้เงินพ่อหล่อนไป 5,000 หยวน ฝากพาลูกชายหล่อนไปปักกิ่งด้วย
จนถึงตอนนี้หล่อนยังไม่รู้เลยว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน ทำไมบ้านสี่ในชาตินี้ถึงต่างจากชาติก่อนมากขนาดนั้น แต่คนพวกนั้นกลับเป็นคนดีกันได้หมด ดังนั้นหากให้ลูกชายหล่อนไปปักกิ่งบ้างก็น่าจะกลับเป็นคนดีได้เหมือนกันใช่ไหม?
พี่รองโจวโมโหหล่อนมาก เขาแค่เล่าให้ฟัง ไม่เคยคิดจะพาหลานชายคนนี้ไปที่ปักกิ่งด้วย
หลินชิงเหอไม่ได้รู้เรื่องนี้จากสะใภ้สามโจว แต่เป็นพี่รองโจวเองที่โทรมาบอกในภายหลัง
พี่รองโจวอธิบายเรื่องนี้ด้วยเสียงอ่อย ๆ แต่ลูกเขยเก่าของเขาเลี้ยงหลานชายได้ไม่ดีจริง ๆ ลูกสาวของเขาเป็นแบบไหนเขาเองก็รู้ดี ขืนทิ้งหลานชายไว้ที่นี่อีกหน่อยเด็กคนนี้ต้องไร้อนาคตแน่ ๆ
พี่รองโจวจึงมีความคิดอยากพาเด็กชายไปด้วย
“งั้นก็พามาเลยค่ะ” หลินชิงเหอบอก
ที่เธอยอมก็เพราะเห็นแก่พี่รองโจว แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
พี่รองโจวถึงโล่งอก พาหลานชายไปยังติดปัญหาเรื่องเรียนหนังสือ ต้องให้บ้านเจ้าสี่คอยช่วยอีก
โจวลิ่วนีไม่ใช่คนมีความรับผิดชอบ นิสัยเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
ก่อนพี่รองโจวจะโทรศัพท์มาหล่อนก็จากหมู่บ้านไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน คงจะไปหาเงินนั่นแหละ
หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูใบไม้ร่วงในชนบทเสร็จ พี่รองโจวก็หมดความอาลัยต่อหมู่บ้านนี้ จึงโทรไปที่ปักกิ่ง เพราะเขานั่งรถไปไม่ถูก ต้องให้เจ้าสามมาพาเขาไป
เจ้าสามจึงมาที่หมู่บ้าน และพาพวกเขาสองตาหลานนั่งรถไฟมาที่ปักกิ่ง
ตอนที่ได้พบท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว อย่าให้พูดถึงท่าทางเจ็บปวดน้ำตาไหลของพี่รองโจวเลย แต่ถึงอย่างไรก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
ลูกชายของโจวลิ่วนีชื่อโจวโก่วจือ แน่นอนว่าโจวลิ่วนีรังเกียจชื่อนี้ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นโจวคัง
โจวคังเป็นเด็กไม่ค่อยกล้าแสดงออก ชีวิตที่อยู่กับแม่เลี้ยงคงจะลำบาก พ่อก็ไม่ได้เก่ง แม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ตอนอยู่ในหมู่บ้านก็โดนเด็กคนอื่นรังแกมาไม่น้อย
แต่หลังจากมาที่นี่แล้วเขาก็แตกต่างไปจากเดิม มีเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่ มีของกินอร่อย ๆ ให้กิน แถมปู่ทวดกับย่าทวดก็ดีกับเขามาก
ในภายหลังที่โจวลิ่วนีเดินตามเส้นทางเดิมเมื่อชาติก่อนและถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต โจวคังที่เติบโตแล้วก็ได้ไปเยี่ยมหล่อน
โจวลิ่วนีเห็นลูกชายที่แต่งตัวดี ไม่มีสภาพนักเลงเหมือนกับเมื่อชาติก่อนเลยสักนิด ก็รู้สึกโชคดีมากที่ตอนนั้นหล่อนบอกให้พ่อของตนพาลูกชายคนนี้ไปอยู่ที่ปักกิ่งด้วย
หล่อนยังคงไม่รู้ว่าอาสะใภ้สี่ของหล่อนเป็นเหมือนกับหล่อนหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าคงจะแตกต่างกัน
อย่างน้อยถึงอาสะใภ้สี่จะมีนิสัยน่ารำคาญไปนิด แต่การเลี้ยงดูที่เธอมอบให้กับคนรุ่นหลังนั้นไม่ใช่เล่น ๆ เลย
ลูกชายอย่างโจวคังหมดหวังขนาดไหนหล่อนรู้ดี ชาติก่อนเป็นแค่น้ำโคลนเหลวเละที่ปั้นเป็นรูปร่างไม่ได้
แต่ชาตินี้เขากลับเติบโตขึ้นมาได้ดีขนาดนี้
หล่อนรู้ว่าเป็นความดีความชอบของหลินชิงเหอทั้งหมด เพราะเมื่อก่อนหล่อนก็เคยโทรหาพ่อ ส่วนใหญ่ที่โทรไปก็เพราะอยากพูดคุยกับลูกชาย พ่อของหล่อนหรือปู่ย่าของหล่อนก็มักจะบอกว่าคังคังไม่ได้อยู่บ้าน ไปหาย่าสี่ของเขา
เห็นได้ว่าแม้อาสะใภ้สี่จะรังเกียจหล่อนที่เป็นหลานสาว ไม่ชอบหลานสาวอย่างหล่อน แต่กับลูกชายของหล่อน ป้าสี่ไม่ได้ไม่ชอบ
และในปี 1995 นี่เอง เฒ่าหวังก็จากไปด้วยรอยยิ้ม
ชีวิตนี้ของเขาต้องผ่านความลำบากตรากตรำมามากในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ลูกชายบุญธรรมมาคนหนึ่ง ชีวิตเขาในเวลาต่อมาจึงดีขึ้น
มีลูกชายบุญธรรมและบรรดาหลานชายบุญธรรมอยู่เฝ้าเขาในช่วงบั้นปลายชีวิตยามชราแล้ว ชีวิตในตอนท้ายของเขาจึงมีความสุขมาก ไม่มีห่วงอะไรให้ค้างคาใจอีก
ทรัพย์สินของเขาเป็นเรือนสี่ประสานหนึ่งหลัง เรือนนั้นปล่อยเช่าอยู่ตลอด หลายปีมานี้มีโจวชิงไป๋เป็นคนจัดการดูแล
เฒ่าหวังโอนชื่อเจ้าของเรือนสี่ประสานไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าให้เป็นของโจวชิงไป๋ผู้เป็นลูกชายบุญธรรม ส่วนบรรดาหลานชายก็มีเงินเก็บทิ้งไว้ให้เหมือนกัน แน่นอนว่าไม่มาก ได้กัน 5,000 หยวนทุกคน
เขายกแหวนหยกเขียวจักรพรรดิให้หลินชิงเหอหนึ่งวง เป็นของสะสมที่เขาเก็บมานาน
เรื่องเหล่านี้เขาได้ทำไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต และเขียนพินัยกรรมไว้ด้วย ในนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่าเนื่องจากลูกชายและลูกสะใภ้บุญธรรมของเขาเป็นคนดูแลเขาในช่วงบั้นปลายชีวิต มรดกตกทอดเหล่านี้จึงยกให้พวกเขาทั้งหมด
ที่จริงแล้วหลินชิงเหอก็ไม่รู้ว่าทำไมเฒ่าหวังถึงเขียนพินัยกรรมแบบนี้
จนกระทั่งต่อมาในปี 2000 ลูกชายและลูกสะใภ้ของเฒ่าหวังก็กลับมาจากต่างประเทศ
ในปีนั้นทั้งคู่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะเรือล่ม เนื่องจากทั้งสองขึ้นเรือลำนั้นไม่ทัน เพราะเจ็บป่วยกะทันหันและซ่อนตัวอยู่ในบ้านหมอจีนชราคนหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางในอีกหนึ่งเดือนถัดมา
เฒ่าหวังไม่ได้บอกใคร หลายปีมานี้เขาไม่เคยเชื่อว่าลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลายปีมานี้เขาเฝ้ารอมาตลอด รอให้พวกเขากลับมา แม้ว่าสภาพร่างกายไม่ดีก็ยังยื้อมาตลอด
แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหวอีกต่อไป ที่เขียนพินัยกรรมเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่อง
ดักทางไม่ให้ลูกชายขัดแย้งกับลูกชายบุญธรรม
ลูกชายของเขา เขาก็รัก แต่หลายปีมานี้ถ้าลูกยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเขาเลย ก็นับว่าใจดำเกินไปจริง ๆ
เขายกมรดกทั้งหมดให้กับลูกชายบุญธรรมที่ดูแลเขาก่อนจะสิ้นชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้
แต่ลูกชายและลูกสะใภ้ของเฒ่าหวังไม่ยอม
ปี 2000 แล้ว เรือนสี่ประสานในปักกิ่งราคาเพิ่มขึ้นขนาดไหน? พวกเขาไม่ได้มีชีวิตที่ดีอยู่ที่ต่างประเทศนัก จะยอมยกให้โจวชิงไป๋แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
เช่นนั้นจึงเกิดเป็นคดีฟ้องร้องกัน สุดท้ายคู่สามีภรรยาก็กลับไปต่างประเทศพร้อมกับลูกชายด้วยความอับอาย
มีพินัยกรรมของเฒ่าหวังอยู่ ต่อให้พวกเขาเป็นลูกแท้ ๆ ศาลก็ไม่ตัดสินยกมรดกของเฒ่าหวังให้พวกเขา
หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยทำหน้าที่เลี้ยงดูบุพการีเลย กลับเป็นลูกชายบุญธรรมอย่างโจวชิงไป๋ที่ดูแลเขามานานกว่า 10 ปี ให้เขาได้มีความสุขในบั้นปลายชีวิต และจากไปด้วยรอยยิ้มในที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยหลักเหตุผลหรือด้วยหลักจริยธรรม ศาลก็ไม่ตัดสินให้สองสามีภรรยานั้นชนะ
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็ไม่ใช่คนใจดี บ้านโจวพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว แค่เรือนสี่ประสานหลังเดียวไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขาหรอก
แต่การที่พวกเขากลับมาปุบปับแล้วก็ทำศึกชิงมรดกเลย เรื่องนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้พูดกันอีกเช่นกัน
ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวมีสุขภาพดีกว่าเฒ่าหวังอยู่นิดหน่อย
ทั้งสองมีชีวิตจนถึงปี 2002 ได้เห็นการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศในวันนี้แล้วจึงได้จากไปด้วยรอยยิ้ม อายุมากกันแล้วจริง ๆ นับได้ว่าเป็นงานศพมงคล
ลูกหลานทุกคนต่างมาส่งทั้งสองในช่วงเวลาสุดท้าย
ในปีนี้โจวชิงไป๋จึงมีอารมณ์ไม่สู้ดีนัก แม้จะเข้าใจว่าพ่อแม่ตนแก่เฒ่ากันมากแล้ว แต่การที่พวกท่านจากไปแบบนี้เขาก็ยังสะเทือนใจมากอยู่ดี
หลินชิงเหอพาเขาออกจากบ้านในหนึ่งเดือนให้หลัง ไม่พาใครไปเลย สองสามีภรรยาออกท่องเที่ยวกันเอง
เที่ยวกันนานกว่าหนึ่งเดือนกว่าจะเดินทางกลับบ้าน
………………………………………………………………
บทที่ 692 ผลิตเองขายเอง
หลังจากตัดสินใจจะให้พี่รองโจวไปอยู่ที่ปักกิ่ง นอกจากต้องไปคุยกับสะใภ้รองโจวแล้ว ต้องไปถามตัวพี่รองโจวเองด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น โจวชิงไป๋จึงไปหาพี่รองเขาเพื่อคุยเรื่องนี้
พี่รองโจวผงะ “จะทำแบบนั้นได้ยังไงเล่า ฉันทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง คนแบบฉันจะไปอยู่ที่นู่นได้ยังไง?”
“ไปเรียนไงครับ ไม่มีอะไรที่เรียนไม่ได้หรอก” โจวชิงไป๋บอก
“ไม่ได้ ๆ คนแบบฉันจะไปอยู่เมืองใหญ่แบบนั้นได้ยังไงกัน ค่าใช้จ่ายสูงมากเลยนะ” พี่รองโจวพูดโดยไม่ต้องคิด
โจวชิงไป๋เห็นพี่รองเขาแบบนี้จึงปล่อยให้ภรรยาเขาพูดแทน
หลินชิงเหอยิ้ม “พี่รอง เราให้พี่รองไปอยู่ปักกิ่งไม่ได้จะให้พี่ไปกินฟรีอยู่ฟรีหรอกนะคะ พี่ก็รู้ว่าตอนนี้พวกเราธุรกิจเยอะ และยุ่งมากด้วย ปีหน้าจะสร้างตึกแล้ว ถ้าไม่มีคนกันเองช่วยเฝ้าคงไม่สบายใจแน่ ถ้าพี่เต็มใจไปช่วยเราคิดเงินเดือนให้ปกติ ถึงพี่ขอเงินเดือนสูงฉันก็ให้ไม่ได้หรอกค่ะ ให้พี่เดือนละ 150 หยวน กินฟรีอยู่ฟรีด้วย”
“จะสร้างตึกหรอ?” พี่รองโจวประหลาดใจมาก
“ใช่ค่ะ ตั้งใจจะปล่อยเช่า” หลินชิงเหอพูดเรียบ ๆ “สูงประมาณ 7 ชั้น พี่รองว่าควรมีคนของตัวเองไปเฝ้าไหมคะ”
“ก็ต้องมีน่ะสิ” พี่รองโจวพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ สูงตั้ง 7 ชั้น จะสูงขนาดไหนกันนะ? เขาเคยเห็นตึกรามบ้านช่องของคนในเมืองอยู่ แต่นั่นแค่กี่ชั้นเอง
เขารู้ว่าสองสามีภรรยาเจ้าสี่หมายความว่ายังไง อดถูมือไม่ได้ “แต่ว่านะแม่เจ้าใหญ่ ฉัน….ฉันกลัวว่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ภาษาที่นู่นยังพูดไม่เป็นเลย”
“พี่รองอย่าดูถูกตัวเองไปค่ะ พี่ไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่มานานแล้วนะ ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ต่างพูดภาษาปักกิ่งได้คล่องเลยค่ะ พวกเขาสองสามีภรรยาเฒ่าอายุเท่าไหร่กันแล้ว? พี่จะสู้พวกเขาไม่ได้เชียวเหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยยิ้ม ๆ “อีกอย่าง ตอนนี้พ่อแม่ก็ชราลงแล้ว บางครั้งพวกเขาก็คิดถึงพี่รองเหมือนกัน คราวก่อนที่เจ้าใหญ่แต่งงาน คุณแม่ยังลากเซี่ยเซี่ยไปถามอยู่เลยว่าไม่ใช่หน้าเก็บเกี่ยวแต่ทำไมพี่ไม่ตามไปด้วย”
พี่รองโจวอดเศร้าใจไม่ได้ ที่จริงเขาอยากไปมาก อยากไปเยี่ยมพ่อแม่เขามาก เขาได้ยินจากเซี่ยเซี่ยตอนกลับมาว่าพ่อแม่แก่มากแล้ว ถึงแม้ชีวิตที่ปักกิ่งจะมีความสุขมาก แต่ตอนเห็นเซี่ยเซี่ย แม่ยังน้ำตาไหล
“ไปเถอะค่ะ ที่ปักกิ่งมีงานเยอะมาก พี่รองไม่ต้องห่วงว่าไปแล้วจะลำบากพวกเรา ฉันสิกลัวว่าถึงตอนนั้นพี่รองจะรู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ
“แต่ที่นี่ยังมีไร่ตั้งเยอะ” พี่รองโจวเช็ดน้ำตาที่ขอบตา พูดขึ้นอย่างลังเล
“เรื่องนั้นไม่เห็นจะเป็นไร พี่ไปประกาศในหมู่บ้าน รับรองว่าต้องมีคนเยอะแยะเลยที่อยากได้ ไม่ต้องคิดเงินหรอกค่ะ โอนที่ให้คนอื่นปลูกต่อได้เลย” หลินชิงเหอกล่าว
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้คงไปไม่ได้แน่ ๆ เนื่องจากเก็บเกี่ยวหน้าร้อนไปแล้วก็จริง แต่เก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงยังรออยู่
เก็บเกี่ยวหน้าร้อนเป็นแค่กำไรเล็ก ๆ เก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงสิกำไรก้อนโต ปลูกเมล็ดพันธุ์ลงไร่ไปแล้วด้วย
“เก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงของปีนี้แล้วค่อยไป ถึงตอนนั้นฉันจะให้เจ้าสามมารับพี่รองแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ถึงยังไงฝั่งปักกิ่งยังต้องติดต่อทีมงานรับเหมา แล้วก็แปลนแผนผังของบ้านชาวนาด้วย
พี่รองโจวโล่งอก เขานึกว่าครั้งนี้ต้องตามกลับไปเลย ที่ไร่มีงานอีกตั้งเยอะ โอนออกไปไม่ได้หรอก อีกอย่างอีกไม่นานก็เข้าช่วงเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงแล้ว เขานึกเสียดาย
รอเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงให้เสร็จก่อนก็ยังดี
แต่พอเขานึกไปถึงภรรยาตัวเอง ไม่ต้องให้เขาเอ่ยปาก หลินชิงเหอก็พูดขึ้นเอง “ตอนพวกเราไปอำเภอแล้วไปหาเซี่ยเซี่ยกันด้วย และจะบอกพี่สะใภ้รองให้ ถ้าอีกหน่อยพี่รองไม่มีเรื่องให้ใช้เงินที่ปักกิ่ง ฉันให้ที่อยู่ให้ข้าวกิน แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนที่เหลือโอนให้พี่สะใภ้รองหมดเลย พี่ว่าดีไหมคะ”
“ได้ ๆๆ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นก็ไม่ต้องเก็บไว้ให้ฉันหรอก ให้หล่อนไปหมดเลย ขอแค่หล่อนไม่ไปก่อกวนเป็นพอ” พี่รองโจวรีบบอก
“ให้หล่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว ที่เหลือพี่รองเก็บไว้เองเถอะค่ะ ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวอยากซื้ออะไรให้พ่อแม่จะไม่มีเงินใช้เอา ไหนจะพั่งพั่งอีก กำลังน่ารักเลยค่ะ รอให้เขาได้เจอตาของเขา ต้องแบมือขอค่าขนมกับตาแน่” หลินชิงเหอเอ่ย
พี่รองโจวหัวเราะ
และเรื่องนี้จึงตกลงตามนี้ไปก่อน
สะใภ้ใหญ่โจวรู้แล้วยังประหลาดใจ แต่ก็ดีใจ “ไปอยู่ปักกิ่งก็ดี สภาพแวดล้อมที่นั่นบำรุงคนดี” แต่ถามเรื่องงานอย่างลังเลขึ้นมา
หลินชิงเหอบอก “ไปนู่นแล้วพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องห่วงว่าพี่รองจะเป็นภาระพวกเราหรอกค่ะ งานเยอะมาก”
ลำพังแค่บ้านชาวนาก็ต้องสร้างตั้งหลายหลัง ปีสองปีนี้ไม่ได้อยู่เฉยหรอก
รอให้บ้านชาวนาขึ้นจนใกล้เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาพัฒนาฟาร์มใหญ่แถบชานเมือง พอฟาร์มเข้าที่เข้าทางแล้ว พี่รองโจวไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่มีอะไรทำ
ทำงานในไร่ในนามาแล้วทั้งชีวิต ให้เขาเป็นคนดูแลฟาร์มนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว
เห็นว่าหลินชิงเหอวางแผนไว้หมด สะใภ้ใหญ่โจวก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ก็ยินดีกับพี่รองโจวจากใจจริง
อย่างไรเสียไปอยู่ที่ปักกิ่งก็ไม่แย่กว่าอยู่ที่บ้านหรอก
เจ้าใหญ่โจวข่ายและเจ้ารองโจวเฉวี่ยนกลับมาไล่เลี่ยกัน เพิ่งถึงตอนค่ำ ทั้งสองยืมมอเตอร์ไซค์ของน้าเล็กและขับตรงกลับมาบ้าน
แต่ต้องยอมรับเลยว่า สองพี่น้องนี้กลับมาบ้านที เหล่าเด็กสาวคุณนายทั้งหลายต่างเขินอายที่ได้เจอ
แม่ของไฉ่ปาเม่ยหรือป้าไฉ่รู้สึกเสียดายสุด ๆ นางหมายตาเจ้าใหญ่ไว้นานแล้ว คิดว่าโตไปไม่แย่แน่เลยอยากหมั้นหลานสาวตัวเองไว้กับเขา ให้หมั้นกันแต่เด็กไว้เลย นางเคยยัดไข่ไก่ให้เจ้าใหญ่ไม่น้อย
แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไปตามนั้น ถึงแม้คนที่หลานสาวแต่งงานด้วยตอนนี้ก็ไม่เลว แต่หลานเขยของนางเทียบกับโจวข่ายไม่ได้หรอก
“แต่ละคนได้ดีกันหมดแล้ว เด็กหนุ่มแบบนี้ใครเห็นก็ต้องอิจฉา เธอนี่สอนลูกเก่งจริง ๆ เลยนะชิงเหอ” ป้าไฉ่กล่าว
หลายปีมานี้นางเองก็แก่ขึ้นเยอะ แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่
หลินชิงเหอยิ้ม “โตกันหมดแล้ว ได้ดีด้วยตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ”
ขณะนั้นเสียงของโจวตงก็ดังเข้ามา เขากำลังคุยอยู่กับพวกเจ้าใหญ่
ป้าไฉ่พูดขึ้น “โจวตงซื้อของกินกลับมาเยอะเลยล่ะ คืนนี้ต้องไปกินที่บ้านนู้น”
แม้ว่าบรรดาลูกชายจะไม่ค่อยลงรอยกับลูกเขยเพราะเรื่องร่วมทุน แต่นางในฐานะแม่ยายถือว่ายุติธรรมมาก ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างลูกชายตัวเอง
เดิมทีก็เป็นความผิดของลูกชายตัวเองอยู่แล้ว ที่ให้ครอบครัวภรรยาตัวเองเข้ามาวุ่นวายด้วย
ตอนนี้ลูกเขยออกไปทำเองก็ทำได้ดีมีผลงาน กลับเป็นลูกชายสองคนของนางนี่สิ ไม่จบไม่สิ้นเพราะครอบครัวภรรยาตัวเองเข้ามาวุ่นวาย
แต่ป้าไฉ่ขี้เกียจยุ่ง นางพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ไม่ใช่ว่าแช่งหรอก แต่ฟาร์มไก่นั่นไม่น่าจะเปิดรอด
“งั้นเราไปกินมื้อใหญ่ที่บ้านโจวตงกันค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม
ตอนกลางคืนจึงมากินข้าวที่บ้านโจวตงกัน โจวตงเตรียมอาหารมือใหญ่ไว้ให้จริง ๆ และขอความคิดเห็นจากหลินชิงเหอด้วย
หลินชิงเหอจึงแนะนำให้เขาผลิตเองขายเอง
………………………………………………