บทที่ 680 เหม่ยเจี่ยท้อง
“คอนโดนี่ดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
หลินชิงเหอยิ้มพลางบอก “ไม่แย่อยู่แล้ว ถ้าเธอกับสามีเธอซื้อได้สักห้องก็เท่ากับบ่มเพาะนักศึกษาปริญญาเอกออกมาได้คนหนึ่งเลยล่ะ”
นักศึกษาปริญญาเอกในยุคหลังจากนี้ก็ใช่ว่าจะซื้อคอนโดมิเนียมที่ปักกิ่งไหว
โจวเสี่ยวเหมยประหลาดใจ หันมองพี่สะใภ้สี่ของหล่อน “พี่สะใภ้สี่คิดว่าฉันควรซื้อเหรอคะ?”
“ต่อให้บ้านพวกเธอจะไม่เล็ก แต่อีกหน่อยลูก ๆ ก็โตแล้ว จากนั้นก็แต่งภรรยา ถึงเธอจะอยากอยู่กับพวกลูกสะใภ้เธอ ก็ใช่ว่าพวกลูกสะใภ้เธอจะอยากอยู่กับพวกเธอนี่” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ
เธอกับโจวชิงไป๋ถึงให้ค่าสร้างบ้านกับลูกชายและลูกสะใภ้ไป 100,000 หยวน ถ้าอยากออกไปอยู่ข้างนอกก็ออกไปอยู่ได้ ถ้าอยากกลับมาอยู่ที่บ้านก็กลับมาอยู่ได้เหมือนกัน จะเลือกอย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาเลย
“ไม่อยากอยู่กับพวกเราเหรอ งั้นพวกเราก็ไม่อยากอยู่กับลูกสะใภ้เหมือนกันแหละค่ะ ที่ดี ๆ ยังไม่เท่าไหร่ ถ้าเจอพวกชอบคิดเล็กคิดน้อยฉันได้กระอักเลือดตาย” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“ก็ให้เฉิงเฉิงกับสวิ่นสวิ่นเบิกตาดูให้ดีแล้วกัน” หลินชิงเหอหัวเราะ “แต่เตรียมคอนโดไว้ให้พวกเขาสองห้องก็ดี ถ้าทำได้ก็เตรียมไว้ให้เถียนเถียนกับหย่าหย่าด้วยเลย”
โจวเสี่ยวเหมยแทบกระอักเลือด “ห้องเดียวยังไม่มีเงินซื้อเลย จะให้ซื้อสี่ห้องเลยเหรอคะ”
“ปีนี้ขายของเป็นไงล่ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ต้าหลินออกไปตั้งแผงขายของแล้ว รวมกับหน้าร้านถือว่าไม่เลว แต่รายจ่ายเยอะมาก เลี้ยงพวกเขาสี่คนไม่ง่ายเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยถอนหายใจ
ดีนะที่หล่อนตามพี่สะใภ้สี่มาเปิดร้านที่ปักกิ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยอยู่อำเภอ ด้วยเงินเดือนแค่นั้นของต้าหลิน อย่าว่าแต่เลี้ยงนักเรียนสี่คนให้รอดเลย แต่ละคนน่าจะต้องออกไปหางานทำก่อนวัยอันควรด้วย
ภาระใหญ่หลวงมากจริง ๆ
สมัยปี 1986 เริ่มใช้มาตรการการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีแล้ว และเก็บค่าเทอมแค่นิดหน่อย ลูกสาวสองคนที่เกิดทีหลังจึงใช้เงินไม่มาก แต่ลูกชายสองคนก่อนหน้านั้นอย่าให้ต้องพูดเลย
บวกกับค่าใช้จ่ายประจำวันอย่างอื่น เท่ากับซื้อบ้านได้หนึ่งหลังแบบไม่โม้เลยล่ะ
“อีก 2 ปีเฉิงเฉิงก็เรียนจบแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาออกมาทำงาน พวกเธอสองคนก็ไม่ต้องรับภาระอีก จะว่าไปเฉิงเฉิงคิดหรือยังว่าจะทำอะไร หรือให้ทางมหาวิทยาลัยจัดสรรให้?” หลินชิงเหอเอ่ย
ยุคนั้นเด็กจบมหาวิทยาลัยถือว่าหาได้ยาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นสมัยยุคต้นทศวรรษ 80 ที่หายากยิ่งราวกับหมีแพนด้า
ที่มหาวิทยาลัยมีการจัดสรรงานให้ก็จริง แต่ก็มีพวกที่มีแผนของตัวเอง แล้วยกโอกาสนั้นให้คนอื่น
“ฉันยังไม่รู้ว่าเลยว่าเขาอยากทำอะไร เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลย คราวหน้าเขากลับมา ฉันจะลองถามเขาดูค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
“ถ้าเขายอม ให้เขาไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ก็ได้ ร้านขายชาที่นั่นฉันปล่อยให้เจียงเหิงดูแลอยู่ เขาไปช่วยได้ เงินเดือนไม่ต่ำกว่าเวลาเขาไปทำงานแน่นอน ส่วนสวัสดิการตอนนี้ยังไม่มี อีกหน่อยจะทำให้เหมือน ๆ กันทั้งหมด” หลินชิงเหอกล่าว
“ฉันจะลองถามดูค่ะ ถ้าเขายอม ให้เขาไปอยู่นู่นก็ไม่เลว” โจวเสี่ยวเหมยพูด
หล่อนไม่คิดว่าลูกชายตัวเองเป็นถึงเด็กจบมหาวิทยาลัยแล้วออกมาขายใบชาจะเป็นปัญหาอะไร ดูร้านไวน์ของเจ้าสามสิ นั่นก็เด็กจบมหาวิทยาลัยเหมือนกัน!
เนื่องจากขายดี เงินเดือนทุกคนเกิน 200 หยวนหมด มีระดับเท่ากับคนเงินเดือนสูงอย่างแน่นอน
และเป็นเพราะซูเฉิงเรียนเอกการตลาดด้วย หลินชิงเหอถึงถามแบบนี้ ถ้าเขาเรียนคณะอื่นหลินชิงเหอคงไม่ถามมาก
พริบตาเดียวก็ถึงเดือนสี่ อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
วันนี้หลินชิงเหอได้รับโทรศัพท์จากเวิงเหม่ยเจี่ย ครั้นได้ยินเสียงลูกสะใภ้คนโตอย่างเวิงเหม่ยเจี่ย หลินชิงเหอก็เริ่มใจเต้นแรง
เธอจะเป็นย่าคนแล้วใช่ไหม?
และก็จริง เวิงเหม่ยเจี่ยไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังเลย หล่อนแจ้งข่าวดีผ่านทางโทรศัพท์
หล่อนท้องตั้งแต่เดือนที่แต่งงาน จนถึงเดือนนี้ นับว่าอายุครรภ์ครบหนึ่งเดือนพอดี
“นี่ก็ท้องได้หนึ่งเดือนแล้วถึงเพิ่งโทรมาบอก” หลินชิงเหอบ่น
“ขอโทษด้วยค่ะคุณแม่ หนูมัวแต่ยุ่งจนลืมไปเลย” เวิงเหม่ยเจี่ยบอกยิ้ม ๆ
หล่อนยุ่งจนลืมจริง ๆ วันนี้เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้โทรไปบอก เลยรีบโทรมาบอกทันที
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะ อย่าหักโหมเกินไป เดี๋ยวฉันจะไปบอกแม่เธอเอง หลังจากนั้นจะหาทางไปเยี่ยมเธอพร้อมกับแม่ของเธอนะ” หลินชิงเหอกล่าว
แม่สามีและลูกสะใภ้คุยกันไปสักพักถึงวางสาย
ครั้นวางสายแล้ว โจวชิงไป๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ยืดตัวตรง “ท้องเหรอ?”
“อื้ม คุณกำลังจะเป็นคุณปู่แล้วนะคะ” หลินชิงเหอหัวเราะ แน่นอนว่าเธอดีใจมาก
แววตาโจวชิงไป๋ก็ยิ้มแย้มเหมือนกัน “ถือว่าเขามีน้ำยา”
หลินชิงเหอมองบนใส่เขาพลางหัวเราะ ก่อนจะขับรถไปหาคุณแม่เวิง พอคุณแม่เวิงได้ยินก็ดีใจมากเหมือนกัน “ฉันก็ว่าสองสามีภรรยารักกันขนาดนั้น ต้องท้องแน่ ๆ นี่ยังคิดอยู่เลยว่าจะโทรมาบอกกันไหม ที่แท้ก็ยุ่งจนลืมนี่เอง”
“ฉันบอกเหม่ยเจี่ยว่าหล่อนท้องระยะหลังเมื่อไหร่ เราสองคนหาเวลาไปเยี่ยมหน่อยดีไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ได้สิ ถึงเวลานั้นก็ไปเยี่ยมสักหน่อย” คุณแม่เวิงพยักหน้า
การที่เวิงเหม่ยเจี่ยท้อง ในฐานะลูกสะใภ้คนโตของที่บ้าน และถือว่าเป็นลูกสะใภ้คนโตของบ้านโจวแล้ว มันก็ทำให้ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวดีใจมาก ๆ
เฒ่าหวังถึงกับเอ่ยขึ้น “ปีนี้ไม่รู้ว่าเจ้าสามจะว่างเมื่อไหร่ ไปดูที่นู่นกันไหม?”
“ถึงตอนนั้นฉันกับพี่เวิงก็ว่าจะไปค่ะ พอถึงระยะหลัง ๆ แล้ว ถึงตอนนั้นคุณอาหวังไปด้วยกันกับพวกเราไหมคะ” หลินชิงเหอยิ้ม
แม้เฒ่าหวังจะมีสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี แต่ก็เป็นเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น หน้าร้อนเขาไม่เป็นอะไรมาก จึงพยักหน้า
ท่านพ่อโจวก็อยากไปด้วย จึงมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่ง ส่วนท่านแม่โจวนั้นอย่าเลย สมัยนั้นที่นั่งรถไฟมาปักกิ่ง การเดินทางบนท้องถนนในครั้งนั้นก็กลายเป็นปมในใจของท่านแม่โจวไปแล้ว นางจึงกลัวการขึ้นรถไฟมาก
ไม่อย่างนั้นนางคงต้องกลับไปหาเพื่อนที่ยังอยู่บ้านเกิดปีละครั้งเพื่อเล่าเรื่องของทางปักกิ่งให้ฟัง
เป็นเพราะหลินชิงเหอกำชับไว้ เวิงเหม่ยเจี่ยจึงโทรศัพท์กลับมาอาทิตย์ละครั้ง ช่วงก่อนยุ่งมากจริง ๆ เลยไม่ค่อยได้โทร เดี๋ยวนี้อากาศอบอุ่นขึ้นเยอะ จึงว่างขึ้นเยอะ
แม่สามีและลูกสะใภ้คู่นี้ไม่กลัวว่าจะไม่มีอะไรให้คุย ทุกครั้งที่โทรมาจะต้องคุยกัน 7-8 นาที
ต่อให้รู้ว่าสิ่งแวดล้อมที่นู่นไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับล้าหลัง หลินชิงเหอจึงเบาใจลงมาก
โจวข่ายออกไปทำภารกิจ กว่าจะกลับมาก็อีกหนึ่งเดือนให้หลัง ตอนที่เขาออกไปทำภารกิจยังไม่รู้เลยว่าภรรยาตั้งครรภ์แล้ว กลับมาถึงได้รู้
ตอนโทรมาหาแม่ของเขา น้ำเสียงนั้นก็แฝงความดีใจอย่างยากจะปิดบัง
“ไอ้เด็กตัวเหม็น จำไว้ว่าต้องดูแลเหม่ยเจี่ยให้ดี ๆ ลูกไม่อยู่บ้านทีเหม่ยเจี่ยต้องดูแลลูกชายเพียงคนเดียว มันไม่ง่ายเลยนะ!” หลินชิงเหอเตือน
“ผมรู้ครับผมรู้ พรุ่งนี้ผมจะไปซื้อแอปเปิ้ลและสาลี่ในเมืองสักสองลัง” โจวข่ายยิ้มกว้าง
“ซื้อนมผงกับผงมอลต์มาด้วย” หลินชิงเหอบอก
“ผมรู้ครับ ผมจะซื้อทุกอย่างเลย” โจวข่ายรับปากรัว ๆ เห็นได้ชัดว่ามีความสุขที่สุด
………………………………………………………………………………………………………………………….
บทที่ 696 ตอนพิเศษ 2-บันทึกวิธีรวยของตระกูลโจว
บันทึกวิธีรวยของตระกูลโจวต้องเริ่มนับหลังจากที่มาปักกิ่งแล้ว
ตั้งแต่ร้านเกี๊ยวร้านแรกที่เปิดที่ปักกิ่ง หลังจากเปิดร้านเกี๊ยวแล้วก็ขยายกิจการต่อจนหยุดไม่ได้
ในยุค 80 พวกเขามีรายได้แต่ละเดือนสูงถึงหลักพันหลักหมื่นหยวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลายยุค 80 ที่แค่กำไรในแต่ละเดือนก็มากถึงหลักแสนสองแสนหยวนแล้ว
พวกเขาซื้อที่แถบชานเมืองขนาด 80,000 กว่าตารางเมตรไว้ ติดหนี้ธนาคารไม่น้อย แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคืน
เพราะตั้งแต่ยุค 90 หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็เริ่มสร้างตึก สร้างแฟลตสวัสดิการชาวนา แบบที่เอาไว้ปล่อยเช่าโดยเฉพาะ
จากนั้นก็ปล่อยให้พี่รองโจวเป็นคนเฝ้าดูการทำงาน ความคืบหน้าและคุณภาพงานให้อยู่ในเกณฑ์เยี่ยมยอด ไม่ต้องกังวลเลยสักนิด
พวกเขาสร้างแฟลตสวัสดิการชาวนารวม ๆ แล้วถึงสิบกว่าหลัง บางหลังไม่สูงมาก มีแค่ 7 ชั้น แต่บางหลังสูงถึง 13 ชั้น
ค่าเช่ายุค 90 ถือว่าไม่แพง แต่ต่อให้ไม่แพง ก็เก็บค่าเช่าห้องได้มากมายขนาดนี้ ซึ่งนับว่ามากจนประเมินไม่ได้
การสร้างตึกแบบนี้ใช้เงินมาก ถึงแม้ยุค 90 จะยังไม่แพงเท่ายุคหลัง แต่ก็ไม่ใช่ถูก ๆ เช่นกัน
สมัยปี 1991 หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไปแวะที่ไห่หนานมารอบหนึ่ง
ทั้งคู่ได้เงินมาก้อนหนึ่งจากที่นั่นเหมือนกัน และนำมาสร้างรากฐานการเงินให้กับธุรกิจครอบครัวในอนาคตได้อย่างมั่นคง
สมัยปี 1991 คอนโดมิเนียมมีราคาตารางเมตรละ 1,000 กว่าหยวนเท่านั้น แพงหน่อยก็ 2,000 กว่าหยวน แต่ในเวลาเพียง 1 ปีหลังจากเข้าสู่ปี 1992 แล้วราคาก็พุ่งสูงถึงหลายพันหยวน ถึงขั้น 5,000 กว่าหยวน
คิดดูสิว่าพุ่งสูงขนาดไหนเชียว
แน่นอนว่าพอถึงปี 1993 มันก็จะพุ่งถึง 7,000 กว่าหยวน แต่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้อยู่ที่นี่นานมาก พวกเขาซื้อบ้านไว้ 20 หลังตอนปี 1991 พอถึงปี 1992 ที่กราฟราคาอสังหาริมทรัพย์เริ่มพุ่งเป็นเส้นตรงก็ขายทิ้งออกไปจนหมด
พอขายบ้านไปแล้ว ก็มีเงินหมุนในมืออย่างเหลือเฟือ
กระทั่งราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งอีกครั้งในภายหลัง หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็ไม่ได้หากำไรเพิ่ม หลังกลับจากไห่หนานในปี 1992 แล้วก็ไม่เคยไปที่นั่นอีก
แต่โจวชิงไป๋กลับชอบสภาพอากาศที่นั่น
เพราะฉะนั้นเมื่อถึงปี 2000 หลังจบคดีกับลูกชายของเฒ่าหวังแล้ว สองสามีภรรยาก็ไปไห่หนานกันอีกครั้ง และซื้อที่ไว้ผืนหนึ่งสำหรับสร้างวิลล่าตากอากาศ
วิลล่าแห่งนี้ไม่เล็กเลย ด้านในมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ทิวทัศน์อย่างอื่นก็งดงามชวนให้ใจสงบ ที่สำคัญที่สุดคือหลังจากผ่านช่วงฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์แตกในยุค 90 แล้ว ที่นี่ในปี 2000 ก็มีราคาไม่แพง
หลังสร้างวิลล่าแห่งนี้แล้วก็ยังจ้างคนไว้คอยดูแลโดยเฉพาะ ทำให้มีเวลาว่างไปพักผ่อนตากอากาศได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว
และเป็นเพราะการได้โกยเงินจากตรงนี้ไปเป็นกอบเป็นกำ เป็นผลให้นอกจากจะคืนเงินที่กู้มาก่อนหน้านี้จนหมดแล้ว ในช่วงกลางยุค 90 หลังจากสร้างแฟลตสวัสดิการชาวนาเสร็จ ก็เริ่มสร้างฟาร์มบนที่ดินแถบชานเมือง
พื้นที่ตรงนั้นค่อนข้างแห้งแล้ง ต้องบำรุงดินกันหน่อย ซึ่งเรื่องพวกนี้พี่รองโจวรู้ดี
เขาเป็นคนพาคนไปจัดการทั้งหมด ไม่ต้องลงมือเอง แค่ชี้นำก็พอ ใช้เวลาถึง 2 ปีเต็ม ๆ ถึงบำรุงดินผืนนั้นจนใช้ได้
จากนั้นก็เริ่มสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ โรงเรือนเลี้ยงหมู แถมยังมีบ่อน้ำเล็ก ๆ ด้วย เอาไว้เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงเป็ดโดยเฉพาะ
นอกจากนั้นยังมีสัตว์ใหญ่อย่างวัว แพะ ลา แม้กระทั่งม้า
โจวชิงไป๋บอกให้โจวข่ายแนะนำทหารปลดประจำการมาทำงานที่นี่อยู่ 7-8 คน นอกจากทำงานตรงนี้แล้วต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของฟาร์มด้วย
หลังจากจัดตั้งฟาร์มขึ้นมาแล้ว หลินชิงเหอก็เริ่มขายผัก และตั้งชื่อร้านขายผักและสาขาว่า ‘ท่านโจว’
เป็นผักออร์แกนิคทั้งนั้น ไม่ใช่ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงใด ๆ
‘ท่านโจว’ จะขายก็ต้องขายพืชผักผลไม้ออร์แกนิค ไม่อย่างนั้นก็ไม่ขาย พวกไข่และเนื้อไก่เนื้อเป็ดเนื้อปลาก็มาจากโรงนาจริง ๆ
ฟาร์มขนาด 80,000 กว่าตารางเมตรใหญ่ไม่ใช่เล่นเลย ถึงกับต้องจ้างนายทหารมาทำงานตั้งมากมาย
ยิ่งกว่านั้นหลินชิงเหอยังเล่นใหญ่สร้างแฟลตสวัสดิการชาวนาขึ้นมาในฟาร์ม เพื่อให้เป็นที่พักอาศัยของเหล่าคนงานที่ทำงานในฟาร์มด้วย
มีทั้งหอเดี่ยวให้ได้พักอาศัย ซึ่งคนที่แต่งงานแล้วสามารถยื่นคำร้องออกไปอยู่กันฉันท์สามีภรรยาได้
ที่ฟาร์มนี้มีคุณน้าคนหนึ่งคอยดูแลเรื่องอาหารการกินโดยเฉพาะ หล่อนเป็นแม่ของนายทหารคนหนึ่ง มีฝีมือดีทำอาหารเก่ง หลังจากได้แนะนำตัวกับหลินชิงเหอแล้วหลินชิงเหอก็ให้หล่อนมาทันที
ทั้งฟาร์มครึกครื้นไม่น้อย ในแต่ละวันต้องส่งของโดยรถกระบะถึง 2-3 คัน
ช่วงฤดูหนาวจะเป็นผักในเรือนกระจก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำเลย
ฟาร์มที่แถบชานเมืองมีชื่อเสียงมาก ในภายหลังจึงมีคนจำนวนมากอยากจะเข้าไปเยี่ยมชม ถึงขั้นทางโรงเรียนต้องจัดทัศนศึกษาเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมเลยล่ะ
หลินชิงเหอก็ไม่ว่าอะไร แต่มีเงื่อนไขคือห้ามย่ำยีอะไรในฟาร์มตามอำเภอใจ อย่างไรก็ตามเด็กก็คือเด็ก ไม่ค่อยรักษากฎระเบียบนัก ทำให้หลังจากนั้นหลินชิงเหอจึงปฏิเสธการเข้าชมฟรี
ใครอยากเข้าไปต้องจ่ายค่าตั๋ว หลังจ่ายค่าตั๋วแล้วก็ห้ามย่ำยีอะไรในโรงนาตามอำเภอใจเช่นเดียวกัน หากไปพบเข้าก็มาทางไหนกลับทางนั้นไปเลย และไม่คืนค่าตั๋วด้วย
ฟาร์มแห่งนี้จัดทำขึ้นได้อย่างประสบความสำเร็จสุด ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกคนโหยหาไล่ตามทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ
ชื่อเสียงของ ‘ท่านโจว’ ที่ปักกิ่งก็โด่งดังเช่นกัน สินค้าขายได้หมดเกือบทุกวัน
หลังจากที่สร้างฟาร์มเสร็จ รวมถึงธุรกิจ ‘ท่านโจว’ มั่นคงแล้ว สภาพการเงินของบ้านโจวก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
ธุรกิจอย่างอื่นก็ดำเนินต่อไปได้ด้วยดี ในภายหลังที่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องการรื้อถอนที่เพื่อสร้างตึก พอดีกับโรงงานหนึ่งของโจวชิงไป๋อยู่ในพื้นที่ เลยได้เงินชดเชยมาอย่างงาม
โรงงานที่อื่นก็มีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หมายตาอยู่เหมือนกัน จนกระเป๋าเงินของโจวชิงไป๋ตุงมาก เป็นผลให้เวลาที่สองสามีภรรยาไปในทุกสถานที่ก็จะเลือกที่ทำเลดีมาซื้อเก็บไว้ หากมาท่องเที่ยวคราวหน้าจะได้เข้าอยู่ได้เลย ไม่ต้องไปนอนโรงแรม
อสังหาริมทรัพย์ที่สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของนั้นเยอะจริง ๆ ตึกที่สร้างขึ้นภายหลังก็มีมหาศาลจนน่ากลัว
เหล่าลูกชายลูกสะใภัและหลานชายหลานสาว แน่นอนว่ามีลูกสาวคนเล็กโจวมี่ด้วย ล้วนอยู่ในรายชื่อรับมรดกตกทอด
แต่ ณ ตอนนี้โจวชิงไป๋และหลินชิงเหอยังไม่ได้โอนให้เด็ก ๆ
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ของพวกนี้ก็ต้องเก็บไว้ให้เด็ก ๆ อยู่ดี
อย่างที่เจ้าสามโจวกุยหลายกล่าวไว้ก็คือ การได้เป็นหลานชายหลานสาวของพวกเขาสองสามีภรรยาก็เท่ากับว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
จุดเริ่มของชีวิตเป็นจุดหมายปลายทางที่คนอื่นดิ้นรนมาทั้งชีวิตก็ยังไปไม่ถึง
แต่จะพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด
แฟลตสวัสดิการชาวนาทั้งตึกในปักกิ่งเป็นทรัพย์สินเลอค่าขนาดไหนกัน อย่าว่าแต่คนทั่วไปต้องต่อสู้ทั้งชีวิตเลย แม้จะเกิดใหม่สักสองสามชาติก็อาจไปไม่ถึงปลายทางแบบนั้น
แต่เด็ก ๆ พวกนี้กลับมีสิทธิ์ครอบครองตั้งแต่เกิด ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ได้รับโอนมา แต่ทรัพย์สินของปู่ย่าพวกเขา ตายไปแล้วต้องเป็นของพวกเขาแน่นอน
ทว่ามีเงื่อนไขคือพวกเขาต้องเอาการเอางาน
หลินชิงเหอก็คือหลินชิงเหอ เธอไม่อยากเป็นแบบที่โบราณว่าไว้ว่ารวยไม่เกินสามรุ่น จึงอบรมหลานชายหลานสาวได้เข้มงวดมาก
กลายเป็นว่าหลานชายหลานสาวพวกนี้ชอบปู่ แต่กลัวย่า
แต่ย่าของพวกเขาก็เก่งกาจมาก อย่างเช่นเวลาเล่นเกมพวกเขาชอบอยู่ทีมเดียวกับย่า ตะลุยด่านฟาดฟันได้ทั่วทุกสารทิศ สนุกสุด ๆ ไปเลย
………………………………………………