ตอนที่ 198 สิ่งที่ถูกถอดออกไม่ใช่กางเกงแต่เป็นศักดิ์ศรี
ตอนที่ 198 สิ่งที่ถูกถอดออกไม่ใช่กางเกงแต่เป็นศักดิ์ศรี
เฉินเจียเหอพาเซี่ยไห่ไปที่บ้านตระกูลเซี่ย
ผู้เฒ่าเซี่ยกำลังนั่งอยู่บนโซฟาพลางอ่านหนังสือพิมพ์ พอเห็นชายที่เดินอยู่ข้าง ๆ เฉินเจียเหอก็ปรับแว่นอ่านหนังสือไว้บนดั้งจมูก แต่จดจำเขาไม่ได้
เฉินเจียเหอแนะนำว่า “ลุงเซี่ยครับ นี่เซี่ยไห่”
“เซี่ยไห่?” ผู้เฒ่าเซี่ยถึงกับถอดแว่นอ่านหนังสือออก จ้องมองเซี่ยไห่ด้วยความไม่เชื่อและตกใจ “เธอคือเซี่ยไห่จริงเหรอ?”
เซี่ยไห่ทักทายเขาด้วยความเคารพและสุภาพ “คุณลุงเซี่ย ไม่ได้เจอคุณมานานหลายปี ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”
“สบายดี สุขภาพก็แข็งแรงดี” ผู้เฒ่าเซี่ยลุกขึ้นเดินไปหาเซี่ยไห่ มองดูชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาในชุดสูทและรองเท้าหนังที่อยู่ตรงหน้า “เธอใช่เซี่ยไห่จริง ๆ เหรอ?”
เซี่ยไห่วางกล่องของขวัญในมือลง ตอบด้วยความเคารพซ้ำอีก “ลุงเซี่ย ผมเซี่ยไห่เอง”
“ก่อนหน้านี้ฉันยังถามข่าวคราวของเธอจากเซี่ยตงอยู่เลย ได้ยินมาว่าเธอลาออกจากกรมการรถไฟแล้วไปทำธุรกิจส่วนตัว ฉันเคยอยากให้เขาเชิญเธอมาที่บ้าน แต่เขาเอาแต่หยิบยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาปฏิเสธตลอด”
เมื่อผู้เฒ่าเซี่ยได้เจอเขาในเวลานี้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้เธอจะมีแก่ใจคิดถึงฉัน และยินดีที่จะมาเยี่ยมฉันในที่สุด”
“ลุงเซี่ย ผมไม่เคยลืมเลยว่าในอดีตตัวเองกับพี่สาวเคยมาอาศัยข้าวปลาอาหารที่บ้านคุณตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่างานของผมค่อนข้างยุ่ง แถมยังย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่มีโอกาสได้แวะมาเยี่ยมเลย”
“มา พวกเธอสองคนนั่งลงเร็วเข้า”
เซี่ยไห่มองไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่นแล้วถามว่า “คุณอยู่บ้านคนเดียวเหรอครับ? ป้าจางกับคนอื่น ๆ ล่ะ?”
ผู้เฒ่าเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “หล่อนกำลังทำซุปอยู่ในครัว หลังจากเกษียณอายุ หล่อนก็ออกมาทำงานที่บ้านได้สองสามปีแล้ว ปีก่อน ๆ ก็ไปอยู่ดูแลลูก ๆ ของเซี่ยตงในหนานเฉิง พอเซี่ยตงถูกโยกย้ายกลับมาที่ไห่เฉิงปีนี้ พวกเขาก็เลยกลับมาพร้อมกันหมด”
ผู้เฒ่าเซี่ยตะโกนเข้าไปในครัว “อาจารย์จาง เจียเหอกับเซี่ยไห่มาเยี่ยมน่ะ หยุดทำงานในครัวแล้วออกมาทักทายเด็ก ๆ เร็วเข้า”
คุณยายหน้าตาฉลาดเฉลียวและสง่างามบนศีรษะเสียบปิ่นปักผมรีบเดินออกมาจากห้องครัวบราวนี่ออนไลน์
เซี่ยไห่รีบเดินเข้าไปทักทาย “คุณป้าจาง ไม่เจอกันนานเลย คุณยังสวยไม่สร่างเลยนะครับเนี่ย”
“เซี่ยไห่ เธอนี่ยังปากหวานเหมือนเดิมเลยนะ”
เฉินเจียเหอก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อกล่าวทักทายนาง “สวัสดีครับอาจารย์จาง”
“สวัสดีจ้ะ นั่งลงเร็วเข้า เดี๋ยวฉันจะไปทำกับข้าวมาให้”
ป้าจางเดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง ผู้เฒ่าเซี่ยก็ตะโกนตามหลังเธอว่า “ขอจานเพิ่มอีกสองที่”
“ได้”
“เซี่ยเซี่ยฝากชาที่คุณชอบมาให้คุณด้วยครับ” เฉินเจียเหอชี้ไปยังถุงชาบนโต๊ะแล้วพูด
“ทำไมหล่อนไม่มาด้วยตัวเองล่ะ?” เมื่อเอ่ยถึงหลินเซี่ย ผู้เฒ่าเซี่ยก็พูดด้วยรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า “เด็กคนนั้นใจจืดใจดำซะจริง ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะมาพบฉัน”
“ช่วงนี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะครับ หล่อนเลยปลีกตัวออกมาเยี่ยมคุณไม่ได้”
ผู้เฒ่าเซี่ยถาม “ธุรกิจหล่อนเป็นยังไงบ้างล่ะ? ไม่มีใครโดนโกนหัวใช่ไหม?”
“ลุงเซี่ย เดี๋ยวนี้ฝีมือของเซี่ยเซี่ยดีมากครับ”
ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่เซี่ยไห่ซึ่งนั่งตัวตรงด้วยความเกร็งตลอดเวลานับตั้งแต่เขาเข้ามา ก่อนจะพูดว่า “เซี่ยไห่ ฉันเดาว่าถ้าเธอไร้เรื่องร้อนใจคงไม่เข้าวัด วันนี้เธอมาหาฉันด้วยเรื่องอะไรกันแน่?”
เซี่ยไห่ยืดตัวตรงทันที สีหน้าจริงจัง “ลุงเซี่ย ผมละอายใจที่ต้องพูดตามตรง แต่ผมมีธุระบางอย่างจริง ๆ ครับ”
เขาพูดต่อ “เป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของผม”
“พี่ใหญ่ของเธอเหรอ? ตั้งแต่เขาไปอยู่ฮ่องกงเป็นยังไงบ้าง? ฉันแทบไม่ได้ยินข่าวคราวจากเขาเลย” ขณะที่ผู้เฒ่าเซี่ยพูดถึงเซี่ยเหลย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและสงสาร
เซี่ยไห่ตอบกลับ “เขาประคองอาการด้วยยามาหลายปีแล้ว ถึงอย่างนั้นความทรงจำที่สมบูรณ์ของเขาก็ไม่เคยฟื้นคืนกลับมาอีกเลย”
“พี่ใหญ่ของเธอคือวีรบุรุษ เขาสมควรได้รับความเคารพและยกย่องสรรเสริญจากทุกคน ในปีนั้นเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก ถ้าเขายังอยู่ที่ไห่เฉิง พวกเราก็ยังสามารถไปเยี่ยมเยียนเขาเป็นครั้งคราว พอพี่สาวของเธอพาครอบครัวย้ายไปอยู่ฮ่องกง เราก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก”
“ผมได้ยินแม่โทรมาเล่าให้ฟัง ว่าเขาละเมอพูดชื่อของคนคนหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ในบรรดาพวกเราไม่มีใครรู้จักคนคนนั้น ผมเลยมาที่นี่ในวันนี้เพื่อสอบถามคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ”
เฉินเจียเหอเสนอว่า “จริงด้วยครับคุณลุง คุณช่วยโทรนัดพี่เซี่ยกับหมอเซี่ยให้มารับประทานอาหารด้วยกันได้ไหมครับ? ผมได้ยินมาว่าพวกเขาทุกคนต่างก็รู้จักพี่เซี่ยเหลยในตอนนั้น บางทีพวกเขาอาจจะมีข้อมูลเชื่อมโยงกันก็ได้”
เมื่อได้ยินว่าเฉินเจียเหอเรียกลูกชายตัวเองว่าพี่เซี่ย ผู้เฒ่าเซี่ยก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยังมีหน้ามาเรียกพี่เซี่ยอีกเรอะ?”
เฉินเจียเหอทำหน้ากระดากอายทันที กระแอมไอแก้เขิน
แม้ว่าหลินเซี่ยจะไม่ใช่หลานสาวของผู้เฒ่าเซี่ยอีกต่อไป ถึงอย่างนั้นตระกูลเซี่ยก็ใจกว้างพอ และเต็มใจที่จะปฏิบัติต่อเธอในฐานะญาติคนหนึ่งต่อไป
ด้วยเหตุนี้สถานะของเซี่ยตงจึงถือว่าเป็นผู้อาวุโส เขาไม่สามารถเรียกเซี่ยตงว่าพี่ได้อีก
“ฉันจะลองโทรเรียกพวกเขามา บอกตามตรง ฉันไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของเธอเลยจริง ๆ ควรไปสอบถามจากพวกเขาดีกว่ามาถามฉัน”
หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยตงก็กลับมาที่บ้านอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นชายคนนั้นนั่งอยู่กับเฉินเจียเหอ ใบหน้าจริงจังของเขาก็กระตุกเล็กน้อย ราวกับเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเซี่ยไห่จะยอมเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้
นับตั้งแต่วันที่พวกเขาทะเลาะกันกลางถนนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว และได้เปิดบั้นท้ายของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็กลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของเซี่ยไห่จากนั้นมา
เฉินเจียเหอยิ้มและทักทายเขา “ผู้อำนวยการเซี่ย กลับมาแล้วเหรอครับ?”
เซี่ยตงกลอกตามองเขาพลางพูดว่า “เจียเหอ ฉันไม่อนุญาตให้นายเรียกฉันแบบนั้น ถ้านายไม่สะดวกใจจะเรียกฉันว่าพี่ตง จะเรียกว่าลุงเขยแทนก็ได้ อย่าหยิบยกตำแหน่งผู้อำนวยการมาเรียกให้ระคายหู”
เซี่ยตงเดินไปหาชายที่ทำหน้าตาอึดอัด ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ “เหล่าเซี่ย ลมแรงอะไรหอบเอานายมาถึงที่นี่? หรือนายยอมมาเหยียบบ้านหลังนี้เพื่อแก้แค้นฉันกัน?”
เซี่ยไห่ยกมือขึ้นปัดมือเขาออกจากไหล่ตัวเองด้วยความรังเกียจ พูดว่า “ฉันไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น”
“ฉันนึกแล้วว่านายคงไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น คงไม่ถือสาหาความจากตอนที่เราทะเลาะกันแล้วฉันเผลอถอดกางเกงนายหรอกจริงไหม? ต้องโทษเนื้อผ้าที่ใช้ผลิตกางเกงในสมัยนั้นคุณภาพไม่ดี ไม่ใช่ความผิดฉันเลย ฉันก็ไม่เข้าใจทำไมนายไม่คุยกับฉันมาตั้งหลายปี”
เซี่ยไห่ “!!!”
เฉินเจียเหอที่อยู่ด้านข้างถึงกับอึ้ง “???”
พอเข้าใจอะไรบ้างแล้ว!
พวกเขาบาดหมางกันเพราะเรื่องกางเกงจริง ๆ สินะ?
พวกเขาต่างก็เป็นผู้ชาย แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เซี่ยไห่ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธแค้นเรื่องนั้นมาจนถึงทุกวันนี้เลยนี่!
เซี่ยตงมองเซี่ยไห่แล้วพูดอย่างจริงใจ “ฉันต้องขอโทษนายอย่างเป็นทางการด้วย ฉันไม่ควรถอดกางเกงนายลงเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำให้นายต้องอับอายขายหน้าเพราะถูกถอดกางเกงต่อหน้าผู้หญิงที่นายแอบชอบ ฉันรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว”
เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาถอดออกในเวลานั้นไม่ใช่กางเกง แต่เป็นศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย
พอเขาดึงกางเกงอีกฝ่ายจนมันลงไปกองอยู่ที่ขา จนเหลือแต่กางเกงชั้นในที่ขาดและเต็มไปด้วยรอยปะ ศักดิ์ศรีของเด็กหนุ่มก็หล่นลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมกางเกง
โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่เขาหลงรัก
เมื่อได้ยินเซี่ยตงเปิดเผยอดีตอันน่าอับอายต่อหน้าเฉินเจียเหอและผู้เฒ่าเซี่ย เซี่ยไห่ก็อับอายมาก ทั้งยังโกรธจัดจนขบฟันดังกรอด ๆ แค่นเสียงคำรามว่า “เซี่ยตง!!!”
เขาไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป มือข้างหนึ่งเงื้อกำปั้นขึ้นหมายจะต่อยเขา แต่ก็ต้องเผชิญกับสายตาที่จริงใจและไร้เดียงสาของเซี่ยตง
“เซี่ยไห่ ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันตั้งใจมาตลอดว่าจะขอโทษนายอย่างเป็นทางการ ที่ตอนนั้นฉันเด็กและทำอะไรโดยไม่คิด”
เซี่ยไห่ยกกำปั้นค้างไว้ ไม่นานก็ลดระดับลงอีกครั้ง
การแสดงออกของเฉินเจียเหอค่อนข้างละเอียดอ่อน เซี่ยไห่อาจจะรู้สึกละอายใจและโกรธก็จริง แต่เขายังมีธุระที่ต้องขอความช่วยเหลือ ไม่ควรเอาอารมณ์มาเป็นใหญ่ในตอนนี้
เฉินเจียเหอมองหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายของเซี่ยไห่ กระแอมขัดจังหวะ แล้วพูดกับเซี่ยตงว่า “วันนี้เหล่าเซี่ยมาที่นี่ เพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับคุณและหมอเซี่ย”
เซี่ยตงถาม “มีอะไรเหรอ?”
เซี่ยไห่พูดว่า “เรื่องพี่ชายฉันเอง”
“พูดถึงพี่เหลยแล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?” เซี่ยตงได้ยินเซี่ยไห่พูดถึงเซี่ยเหลย สีหน้าของเขาก็กลับมาจริงจัง จากนั้นถามด้วยความกังวล
เซี่ยไห่ตอบกลับ “ก็ยังทรง ๆ เหมือนเดิม แต่ช่วงนี้เขาละเมอเรียกชื่ออิงจื่อ ฉันเลยอยากแวะถามเพื่อนเก่าของเขาหน่อยว่าพอจะรู้จักคนที่เขาพูดถึงบ้างไหม?”
เซี่ยตงไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับเซี่ยเหลยมากนัก
เขาอธิบายว่า “ฉันอายุอ่อนกว่าพี่เหลยหลายปี แถมเมื่อก่อนเขาก็เป็นคนลึกลับเก็บตัวยิ่งกว่าอะไร เรียกได้ว่าไม่ค่อยรู้จักเขาเป็นอย่างดีสักเท่าไหร่ รอให้พี่สาวฉันมาถึงซะก่อน แล้วเราค่อยมารำลึกความหลังกัน”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คิดภาพตามแล้วมันก็เป็นเรื่องน่าอายจริงๆ แหละค่ะ ผช เวลาเจอเรื่องน่าอายตอนอยู่ต่อหน้าคนที่ชอบมีใครไม่อายบ้าง
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 196 เลี้ยงเธอเหมือนเลี้ยงลูกสาว
ตอนที่ 196 เลี้ยงเธอเหมือนเลี้ยงลูกสาว
แขนขาวผ่องเรียวของหญิงสาวโอบรอบคอของชายหนุ่ม ดวงตาของเธออ่อนระโหยหยาดเยิ้ม ถามเสียงกระเส่า “เมื่อกี้พวกเขาได้ยินหรือเปล่าคะ?”
เฉินเจียเหอจับหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนอย่างพึงพอใจ หอบหายใจเข้าเล็กน้อย “ครั้งต่อไปถ้าพวกเขามารบกวนเราอีก คุณส่งเสียงดังกว่านี้ก็ได้ ผมชอบ”
“ลามก”
“พรุ่งนี้เราสองคนตื่นนอนแต่เช้ากันเถอะ กลับบ้านกันเร็วหน่อย ฉันไม่อยากเจอหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมย”
ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นคงคิดใช้การตั้งครรภ์ของตัวเองเพื่อวางอำนาจบาตรใหญ่ในเช้าวันพรุ่งนี้แน่นอน ซึ่งเธอปฏิเสธที่จะให้โอกาสนั้นแก่หล่อน
“ได้”
เขาดึงเธอเข้ามากอดในอ้อมแขน แล้วจูบเธอเบา ๆ ที่หน้าผาก “นอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าผมจะปลุกคุณเอง”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” หลินเซี่ยจูบตอบเขาด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้า ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไป
……..
วันรุ่งขึ้น บรรยากาศนอกหน้าต่างยังมืดอยู่ แต่เฉินเจียเหอกลับเขย่าตัวเธอเบา ๆ
“เซี่ยเซี่ย ถึงเวลาต้องตื่นแล้ว”
หลินเซี่ยง่วงมากจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เธอหันกลับมาและบ่นพึมพำ “ดูเหมือนฉันเพิ่งจะหลับเมื่อไม่นานนี้เอง ไม่ทันไรก็เช้าแล้วเหรอ?”
เฉินเจียเหอบอกว่า “หกโมงแล้ว คุณบอกว่าอยากตื่นแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”
“โอ้ งั้นลุกก็ได้ อีกไม่นานคงถึงเวลาที่ผู้หญิงคนนั้นตื่นนอนเหมือนกัน ถ้าวันนี้ฉันเจอหน้าหล่อน คงเป็นวันที่โชคร้ายมาก” หลินเซี่ยพูดพร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้น ใบหน้ายังคงง่วงงุนตาปิด
เธอเหยียดแขนมาออกจากผ้าห่ม “ช่วยแต่งตัวให้ฉันหน่อยสิคะ”
เฉินเจียเหอตอบกลับอย่างมีน้ำใจ “ได้ ผมจะใส่เสื้อผ้าให้”
“คืนนี้ฉันไม่ค่อยอยากนอนค้างที่นี่เลยค่ะ”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “ไม่มีปัญหา เรากลับไปอยู่ในบ้านหลังน้อยของเรากันดีกว่า”
เขาอุ้มเธอขึ้นมาจากเตียงเป็นอันดับแรก หยิบชุดชั้นในขึ้นมาพันรอบเนินเนื้ออวบขาวเย้ายวนอย่างชำนาญ จากนั้นก็ติดตะขอด้านหลังให้เธอด้วยทักษะอันช่ำชอง
จากนั้นก็คว้าเสื้อสเวตเตอร์มาสวมทับ
รูปร่างของเธอทั้งสมบูรณ์แบบและทรงเสน่ห์ ทุกสัดส่วนดูเหมือนเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ สำหรับเขาที่ถูกปลุกเร้าได้ง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้มาแต่งตัวให้เธอแบบนี้ ก็นับว่าเป็นทั้งพรและความทรมานสำหรับเขา
หลินเซี่ยอ้าปากหาวติดต่อกันหลายครั้ง ในที่สุดก็ตื่นเต็มตา หลังจากแต่งตัวเสร็จก็ไปล้างหน้า แล้วทั้งสองคนก็วางแผนว่าจะออกไปข้างนอก
ตอนนี้ยังไม่มีใครในครอบครัวตื่นนอน ดังนั้นเฉินเจียเหอจึงพูดเบา ๆ ว่า “รอผมสักเดี๋ยว ผมจะไปบอกเจียวั่งว่าก่อนเขาไปเรียนในตอนเช้า ช่วยพาหู่จือไปส่งที่โรงเรียนระหว่างทางด้วย พวกเราจะออกไปกันก่อน”
“ค่ะ”
เฉินเจียเหอเคาะประตูห้องเฉินเจียวั่ง พูดกับเขาจากหน้าประตูสองสามคำ จากนั้นก็จับมือของหลินเซี่ยแล้วออกจากบ้าน
ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะเปิดร้านตัดผม ทั้งสองจึงตรงดิ่งกลับไปอาคารพักอาศัยของโรงงานทันที
เมื่อพวกเขาไปถึงอาคารพักอาศัยก็เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว บรรยากาศในลานกว้างเริ่มเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
บางคนออกไปซื้อวัตถุดิบอาหาร บางคนก็เพิ่งกลับมาจากกะกลางคืน
ลุงหลี่กำลังจะยกเครื่องเล่นเทปออกไปข้างนอกตัวอาคาร บอกว่าวันนี้เขานึกอยากเต้นแอโรบิก
เมื่อลุงหลี่เห็นหลินเซี่ยกลับมา เขาก็ชวนเธอให้มาเต้นออกกำลังกายยามเช้าด้วยกันอย่างกระตือรือร้น
ครั้นตระหนักถึงความเจ็บปวดในร่างกายตัวเอง หลินเซี่ยจึงยิ้มอย่างเชื่องช้าและปฏิเสธ “ลุงหลี่ รอให้ร้านของฉันเข้าที่เข้าทางกว่านี้จะปลีกตัวมาเต้นเป็นเพื่อนนะคะ ช่วงนี้ฉันยังต้องจัดการงานที่ร้านเพียบเลย”
น้ำเสียงของลุงหลี่เต็มไปด้วยความเสียดาย “ไม่เป็นไร พวกเธอหนุ่มสาวต่างก็มีอาชีพการงาน งานยุ่งถือเป็นเรื่องดี ไม่เหมือนพวกเรา หลังเกษียณก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์”
ชายชราถอนหายใจ จากนั้นก็เดินไปเคาะประตูบ้านลุงหนิว
หลังจากกลับถึงบ้าน เฉินเจียเหอก็พาเธอกลับไปที่ห้องนอน “นอนต่ออีกสักพักเถอะ ผมจะเตรียมอาหารเช้าให้”
เธอโอบแขนไว้รอบคอเขาอีกครั้ง ท่าทางออดอ้อน “ฉันอยากกินโจ๊กฝีมือคุณมากกว่า”
“ได้ งั้นผมจะทำโจ๊กให้นะ” ชายหนุ่มจูบหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนโยน ตอบรับคำขอของเธอโดยไม่อิดออด
เมื่อกี้ตอนหลินเซี่ยเพิ่งลุกจากเตียง เธออยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนมาก จึงเดินโงนเงนไปมาตลอดทาง แต่ตอนนี้เธอไม่ง่วงแล้ว หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เริ่มทำความสะอาดบ้าน จากนี้ไปเธอน่าจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่
การใช้ชีวิตในบ้านหลังน้อยของพวกเขานับว่าสะดวกสบายกว่ามาก
เสิ่นเสี่ยวเหมยกำลังตั้งท้อง ตอนนี้จึงนับว่าเป็นคนที่ตระกูลเฉินควรทะนุถนอมมากที่สุด จากนิสัยเสียของผู้หญิงคนนั้น หล่อนต้องใช้การตั้งท้องของตัวเองมาเป็นเครื่องแสดงอำนาจอย่างไม่ต้องสงสัย กลัวว่าถึงเวลานั้นเธออาจทนไม่ได้จนเผลอเตะคนท้องเข้า
บอกเลยว่าหลินเซี่ยก็รู้จักเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
หลังจากที่เสิ่นเสี่ยวเหมยตื่นนอนในตอนเช้า หล่อนก็จงใจสวมกางเกงยีนส์แบบมีสายเอี๊ยมที่ตัวหลวมโพรกเป็นพิเศษ ทำให้ดูเหมือนหญิงตั้งครรภ์
แม้แต่ตอนจะเดินลงไปชั้นล่าง ยังเรียกร้องการประคองจากเฉินเจียซิ่ง
จากนั้นก็เดินไปที่ห้องอาหารด้วยท่าทางกรีดกราย
ถึงอย่างนั้น เมื่อมาถึงห้องอาหาร หล่อนเห็นแค่ผู้อาวุโสทั้งสองคนนั่งอยู่ที่นั่น นอกจากนั้นก็เป็นเฉินเจียวั่งและหู่จือที่กำลังกินข้าวมื้อเช้า
เมื่อคุณย่าเฉินเห็นพวกเขาลงมาแล้ว นางก็ส่งยิ้มให้พลางพูดว่า “เจียซิ่ง เสี่ยวเหมย ตื่นแล้วเหรอ? มานั่งกินซาลาเปาด้วยกันสิ”
“คนอื่น ๆ ไปไหนกันหมดคะ?” สีหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมยเต็มไปด้วยความผิดหวังอีกครั้งขณะถามคุณย่าเฉิน
คุณย่าเฉินตอบว่า “แม่สามีของเธอเพิ่งจะออกไปทำงานเมื่อกี้นี้เอง”
เสิ่นเสี่ยวเหมยเหลือบมองไปยังห้องนั่งเล่น เห็นว่ามันเงียบผิดปกติ ก็ทราบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านอีก
หล่อนยังคงมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เต็มใจ ใจจริงอยากเอ่ยปากถาม แต่กลัวพวกเขาจะมองออกว่าจงใจ
เฉินเจียวั่ง ‘มองเจตนาออก’ เขามองหล่อนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงมีความหมาย “พี่สะใภ้รองกำลังจะถามหาพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใช่ไหมล่ะ? น่าเสียดาย พวกเขาออกจากบ้านไปแต่เช้าแล้ว”
“หู่จือ กินข้าวเสร็จหรือยัง? ไปกันเถอะ” เฉินเจียวั่งเช็ดปากก่อนจะลุกยืนขึ้น
“เสร็จแล้วฮะ” หู่จือยัดซาลาเปาอีกครึ่งหนึ่งเข้าปากในคราวเดียว แล้วรีบเดินตามเขาออกไป
หู่จือเคยทักทายเฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างสุภาพเสมอเมื่อเห็นพวกเขา แต่ด้วยความที่เสิ่นเสี่ยวเหมยและหลินเซี่ยมีความขัดแย้งกันหลายประการ แถมเสิ่นเสี่ยวเหมยก็แสดงท่าทางก้าวร้าวทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว หู่จือจึงเลือกที่จะไม่ทักทาย
“คุณปู่ทวด ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ”
ผู้เฒ่าเฉินถาม “เจียวั่ง ตอนเช้าพอจะมีเวลาไหม? ถ้าไม่ว่าง เดี๋ยวปู่จะออกไปส่งหู่จือที่โรงเรียนเอง”
“เดี๋ยวผมไปส่งเขาเองครับปู่”
ว่าแล้วเฉินเจียวั่งก็พาหู่จือออกไป ทันใดนั้นภายในบ้านก็เหลือแค่ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลเฉินเท่านั้น
“เสี่ยวเหมย ได้ยินเจียซิ่งบอกว่าหนูกำลังท้องอยู่ใช่ไหม?”
คุณย่าเฉินลุกขึ้นยืนอย่างมีความสุข เดินไปดึงมือหล่อน “มาเร็ว นั่งลงกินข้าวก่อนเร็วเข้า คนท้องต้องเสริมสร้างโภชนาการทางอาหารให้มาก จากนี้ไปไม่ว่าอยากกินอะไรก็บอกได้เลย”
ผู้เฒ่าเฉินเห็นด้วย “ใช่ อยากกินอะไรก็บอกแม่สามีบอกย่าเขาเถอะ พวกหล่อนจะได้เข้าครัวทำให้”
“ฉันไม่กินค่ะ ต้องออกไปทำงานแล้ว”
เสิ่นเสี่ยวเหมยพลันทำหน้าบึ้งตึง รู้สึกเบื่ออาหารขึ้นมาทันที หันหลังกลับอย่างไร้มารยาทเพื่อออกไปข้างนอก
ในเมื่อหล่อนไม่ยอมกินอะไร เฉินเจียซิ่งจึงจำใจต้องตามออกไปส่งหล่อน
…………
ตอนเที่ยง เฉินเจียเหอแวะมาที่ร้านเพื่อส่งอาหารให้หลินเซี่ย แต่ก่อนจะเข้าร้านตัดผมก็ถูกเซี่ยไห่ขวางทางไว้
เซี่ยไห่จ้องมองไปที่กล่องอาหารกลางวันซึ่งถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันในมือ ดวงตาเปล่งประกาย “เฮ้ ในนั้นมีของอร่อยบ้างไหม? ฉันเริ่มหิวแล้ว”
ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือไปหยิบกล่องอาหารกลางวันด้วย
เฉินเจียเหอหลบเลี่ยง “ไม่ใช่ของนาย”
“ขี้เหนียวดีจริง ๆ นายก็รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ไม่คิดจะซื้อของอร่อย ๆ มาฝากกันบ้างเลยหรือไง?”
“มีแต่ภรรยาฉันเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษแบบนี้” เฉินเจียเหอถึงกับกอดกล่องอาหารกลางวันเอาไว้ ด้วยกลัวว่าเซี่ยไห่จะแย่งเอาไป
เซี่ยไห่ “…”
เขากลอกตาไปที่เฉินเจียเหอด้วยความรังเกียจ “ภรรยาประสาอะไรกัน? เห็น ๆ อยู่ว่านายเลี้ยงดูหล่อนเหมือนเลี้ยงลูกสาว ไม่งั้นจะถือกล่องข้าวมาส่งหล่อนทุกวันทำไม? เมื่อก่อนนายชอบพาลูกชายไปกินข้าวในโรงอาหารไม่ใช่เหรอ?”
เฉินเจียเหอไม่สนใจเขา เดินจ้ำอ้าวตรงไปที่ร้านตัดผม
“จริงจังไปกันใหญ่แล้ว ฉันกินข้าวแล้วต่างหาก เหลียงเฝิ่นฝีมือแม่ยายของนายไงล่ะ” เซี่ยไห่เอามือล้วงกระเป๋า เชิดคางขึ้น และส่งสัญญาณให้เขา “ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย เสร็จธุระแล้วก็รีบออกมาเร็วเข้า”
เฉินเจียเหอเดินเข้าไปในร้านตัดผม ส่วนเซี่ยไห่ยืนอยู่นอกประตูเพื่อรอเขา
ขณะนี้มีลูกค้าอยู่ในร้านตัดผมเนืองแน่น หลินเซี่ยยังไม่มีเวลาปลีกตัวมากินข้าวได้ในเร็ว ๆ นี้แน่ เฉินเจียเหอจึงวางกล่องอาหารกลางวันทิ้งไว้ แล้วเดินออกไปถามเขา “มีเรื่องอะไร?”
เซี่ยไห่พูดอย่างจริงจังว่า “ฉันมาขอความช่วยเหลือจากนายในเรื่องที่สำคัญมาก”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีแล้วค่ะ คนประเภทเสี่ยวเหมยหลบเลี่ยงได้ก็หลบ ไม่งั้นก็จะเจอแต่พลังงานลบ ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิต
ไหหม่า(海馬)