ตอนที่ 258 รายงาน
ตอนที่ 258 รายงาน
“เขาไม่เป็นไรแล้ว ผมขอตัวก่อน จำไว้ว่าอย่าทำให้เขาได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอีก ถ้ายังเกิดเรื่องแบบนี้เป็นครั้งที่สอง จำไว้ว่าไม่ต้องมาตามผมอีกแล้ว”
หมอแผนจีนเย่เตือนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทั้งครอบครัวจึงให้คำรับรองซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทุกคนเดินออไปส่งหมอเย่ที่หน้าประตู ขอให้คนขับรถช่วยพาเขากลับไปส่งถึงที่
หลังจากส่งหมอเย่ออกไปแล้ว ทุกคนก็เข้าไปในห้องแล้วนั่งลง
เฉินเจียเหอรีบถาม “เกิดเรื่องอะไรกันแน่ครับ?”
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยความโกรธ “เหล่าเสิ่นพาเสิ่นเสี่ยวเหมยบุกมาที่บ้านเราเพื่อเอาเรื่อง จากนั้นเสิ่นเสี่ยวเหมยก็พูดจากระทบกระทั่งจนเจียวั่งทนไม่ไหว”
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นต้นเหตุอีกแล้ว เฉินเจียเหอก็จ้องไปที่เฉินเจียซิ่งด้วยสายตาคมกริบ “รีบไปจัดการเรื่องของตัวเองซะ อย่าปล่อยให้หล่อนมายุ่งกับเจียวั่งอีก”
“พรุ่งนี้ผมจะไปหย่าครับ”
“ฉันขอขึ้นไปดูเจียวั่งหน่อย” เฉินเจียเหอกล่าว
เฉินเจียวั่งนอนสงบอยู่บนเตียง โจวลี่หรงยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงเขาพลางเช็ดน้ำตาไปด้วย
“แม่ หยุดร้องไห้เถอะ หมอเย่ทำการรักษาให้เขาแล้ว อีกไม่นานเดี๋ยวเขาก็หายดี”
เสิ่นเสี่ยวเหมยทำให้ตระกูลเฉินวุ่นวายขนาดนี้ เซี่ยไห่อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “คนในตระกูลเสิ่นนี่แย่กันทั้งบ้านเลย ทำตัวเป็นเหมือนคนป่าเถื่อนไร้การศึกษาไปได้”
เสิ่นเถี่ยจวินจงใจสับเปลี่ยนเด็กไม่พอ เสิ่นเสี่ยวเหมยยังโกหกเรื่องท้องเป็นตุเป็นตะอีก ผู้เฒ่าเสิ่นเป็นผู้ใหญ่แท้ ๆ แต่กลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว คนสายเลือดนี้ไม่มีใครเป็นคนดีสักคน
ทว่าคนเหล่านั้นกลับมีสถานะทางสังคมที่สูงส่งมาก
ถ้าโลกนี้คนชั่วยังเรืองอำนาจ แล้วคนดีจะมีที่ยืนได้อย่างไร?
โชคดีที่ก่อนหน้านี้หมอแผนจีนเย่ได้มาทำการรักษาให้กับเฉินเจียวั่งอย่างทันเวลา ทำให้ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงไปกว่านี้
ผู้เฒ่าเฉินถามเซี่ยไห่ “กิจการห้องเต้นรำของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
หลังจากได้ยินคำถามของผู้เฒ่าเฉิน เซี่ยไห่ก็แอบปาดเหงื่อเย็น ๆ ออกจากหน้าผาก และตอบกลับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “ใกล้จะเปิดในเร็ว ๆ นี้แล้วครับ”
“เจียเหอกับเซี่ยเซี่ยบอกว่าเธอเป็นนักธุรกิจ ต้องแสวงหาโอกาสจากกระแสสังคมเป็นธรรมดา ฉันอาจไม่เข้าใจเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้น จำไว้ว่าอย่าหลงเดินทางผิด”
เซี่ยไห่ตอบรับอย่างรวดเร็ว “เข้าใจแล้วครับลุงเฉิน”
ผู้เฒ่าเฉินเหลือบมองเขา จากนั้นหัวร่อในลำคอแล้วเหน็บแนม “ไม่เรียกฉันว่าปู่ แต่เปลี่ยนมาเรียกลุงอีกแล้ว? ทำไมการลำดับญาติของเธอถึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลยล่ะ เจอหน้าครั้งหนึ่งเรียกอย่างหนึ่ง!”
เซี่ยไห่นั่งหลังตรง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและสุภาพต่อหน้าผู้เฒ่าเฉิน จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต่อจากนี้ไปผมจะเรียกคุณว่าลุงเฉิน จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก”
เพราะตามหลักแล้วเขามีสถานะเป็นอาของหลานชายอีกฝ่าย
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ วันข้างหน้าเมื่อพวกเขามาเยี่ยมบ้านตระกูลเฉิน เขากับพ่อของเฉินเจียเหอควรมีสถานะที่ทัดเทียมกัน
ในอนาคตเขาจะต้องทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ มีความมั่นคงด้วยวัยวุฒิ
“ช่วงนี้สุขภาพร่างกายของพี่ชายเธอเป็นยังไงบ้าง? พวกเขาได้เขียนจดหมายหรือโทรมาทักทายบ้างไหม?”
เซี่ยไห่ยิ้มและตอบว่า “ลุงเฉิน ผมกำลังจะบอกข่าวดีให้คุณฟังเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของผมอยู่พอดี แม่และพี่ใหญ่ของผมกำลังจะเดินทางมาที่ไห่เฉิงในอีกไม่กี่วันนี้ครับ”
“มาไห่เฉิงเหรอ?” ผู้เฒ่าเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูประหลาดใจมาก
“ใช่ครับ เราจัดการเรื่องเอกสารขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว และจะพักอยู่ที่นี่อย่างถาวรนับจากนี้ไป”
“ถือเป็นข่าวดีจริง ๆ” ผู้เฒ่าเฉินมีความสุขมากเมื่อทราบข่าว “ถ้าพี่ชายของเธอมาถึงเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกฉันด้วย ฉันจะไปพบเขาด้วยตัวเอง”
เซี่ยไห่มีรอยยิ้มบนใบหน้า เกือบจะเปิดเผยความลับล่วงหน้าให้เขาประหลาดใจเล่นแล้ว “ไม่มีปัญหาครับ ที่จริงพี่ใหญ่และแม่ของผมก็อยากเจอคุณเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าเฉินยิ้มแก้มปริ “จริงเหรอ?”
เซี่ยไห่เหลือบมอง เฉินเจียเหอและหลินเซี่ย ใบหน้ามีความลับลมคมในอย่างรู้กัน “ใช่แล้ว พวกเขาตั้งตาคอยที่จะพบพวกคุณทุกคนเชียวล่ะครับ”
พวกเขาทั้งสองฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่ของฝั่งสามีภรรยา จะไม่เจอกันได้ยังไง?
ถ้าหลินเซี่ยไม่ส่งสายตาเป็นเชิงปรามไม่ให้เขาพูดเรื่องไร้สาระ เขาคงจะบอกความจริงกับผู้เฒ่าเฉินตั้งแต่ตอนนี้
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง”
หลังจากอาการของเฉินเจียวั่งเริ่มคงที่แล้ว เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ ก็ขอตัวกลับไปที่บ้านพักในเขตโรงงานยานยนต์
ก่อนออกเดินทาง ผู้เฒ่าเฉินไม่ลืมเตือนว่า “อย่าลืมจัดการตัวเองให้ว่างเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเหล่าเซี่ยด้วย พวกเธอทุกคนควรไป อย่าปล่อยให้เขามาตัดพ้อเอาภายหลังอีก”
“พวกเราไปแน่นอนครับคุณปู่”
เซี่ยไห่ขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ระหว่างทางเขาบอกว่าอยากกินอาหารมื้อเย็นกับทุกคน โดยจะทำกับข้าวกินเอง
หลินเซี่ยบอกให้เขาเรียกหลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงมากินด้วยกัน
หลินจินซานหาหู่จือมาด้วย แล้วไปเรียกเฉียนต้าเฉิงให้มากินข้าวมื้ออร่อยเจ้านาย
หลังหลินจินซานได้ยินว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยกระตุ้นเฉินเจียวั่งจนอาการลมชักของเขากำเริบ เขาก็โมโหและสาปแช่งไม่หยุดปาก
ในขณะที่เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอกำลังทำอาหาร หลินเซี่ยก็กระซิบบางอย่างกับหลินจินซานและเฉียนต้าเฉิง
เซี่ยไห่บอกว่าเขาจะเข้าครัวเอง แต่ฝีมือการทำอาหารกลับแย่มาก หลังจากหยิบจับวัตถุดิบอยู่นาน ปรากฏว่าเขาผัดพริกไม่ได้ด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยต้องมารับช่วงต่อจนสำเร็จ
“นายสองคนกินอาหารมื้อนี้แล้ว หลังจากนี้อย่าลืมทุ่มเททำงานให้หนักเพื่อฉัน” เซี่ยไห่มองไปที่หลินจินซานและ เฉียนต้าเฉิง แล้วให้สัญญากับพวกเขา “ตราบใดที่พวกนายทำงานหนักและไม่หยุดพัฒนาความสามารถของตัวเอง รอจนกว่าเราจะมีรายได้พอสำหรับลงทุนเปิดห้องเต้นรำสาขาอื่น ฉันจะมอบหมายให้พวกนายเป็นมือขวาบริหารงานแทนฉัน”
คำพูดของเซี่ยไห่ทำให้หลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงฮึกเหิมอย่างมาก พวกเขารับปากซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อเดินตามรอยเท้าของเจ้านายให้ได้
…
วันจันทร์ เฉินเจียซิ่งมายืนรอเสิ่นเสี่ยวเหมยที่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแต่เช้า
เสิ่นเสี่ยวเหมยมาสายมาก กว่าจะถึงก็เป็นเวลาเก้าโมงครึ่ง
“หย่าก็หย่า คนอย่างฉันหรือจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ คุณมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเฉินมีฐานะดี คิดว่าคนอย่างฉันจะยอมแต่งงานกับคุณหรือไง?”
“เข้าไปหย่าให้จบ ๆ”
ในที่สุดเสิ่นเสี่ยวเหมยก็ล้มเลิกความคิดที่จะยื้อสถานภาพสมรสไว้ เมื่อคืนผู้เฒ่าเสิ่นพยายามคุยกับหล่อน ว่าในเมื่อครอบครัวเฉินยื่นคำขาดถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ควรหย่าร้างโดยดีจะดีกว่า คงเป็นเรื่องน่าอับอายกว่านี้ถ้าตระกูลเสิ่นถูกฟ้องร้องเป็นคดีความในศาล
ในสายตาของผู้เฒ่าเสิ่น เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นเสมือนเทพธิดา เขามั่นใจว่าหล่อนยังสามารถหาสามีใหม่ได้หลังจากการหย่าร้าง
หลังจากขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จสิ้น เฉินเจียซิ่งก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“เฉินเจียซิ่ง สักวันคุณจะต้องเสียใจ”
เฉินเจียซิ่งไม่ตอบสนองต่ออะไรทั้งสิ้น จากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าพยายามหลีกเลี่ยงจากเทพเจ้าแห่งโรคระบาด
เสิ่นเสี่ยวเหมยกระทืบเท้าด้วยความโกรธทันที มองตามแผ่นหลังของเฉินเจียซิ่งไป กัดฟันกรามดังกรอด “เฉินเจียซิ่ง รอวันที่ฉันเจอผู้ชายที่ดีกว่าคุณซะก่อนเถอะ คอยดูว่าฉันจะทำให้คุณอับอายขายหน้ายังไงบ้าง”
เสิ่นเสี่ยวเหมยขึ้นรถโดยสาร ตรงไปที่โรงงานเพื่อกลับไปทำงานตามปกติ
หล่อนไม่ได้เข้าออฟฟิศที่โรงงานเครื่องจักรมาหลายวันแล้ว
เพื่อนร่วมงานอีกคนต้องมารับผิดชอบงานในส่วนของหล่อน เดิมทีเสิ่นเถี่ยจวินจัดแจงย้ายตำแหน่งจากแผนกการเงินไปฝึกงานเป็นผู้ช่วยพนักงานบัญชีให้หล่อน เหตุผลก็เพราะต้องการฝึกอบรมหล่อน เพื่อที่จะมอบหมายงานสำคัญให้ในอนาคต
หล่อนไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว พนักงานบัญชีที่หล่อนติดตามเรียนรู้งานก็ไม่ได้พูดคุยอะไรด้วยมากนัก แค่ทักทายไม่กี่คำแล้วไปทำงานของตัวเอง
เสิ่นเสี่ยวเหมยที่สมองยังคงมีความคิดกวนใจมากมายวนเวียนก็เริ่มปวดหัวเมื่อเห็นตัวเลขมากมายในรายการเดินบัญชี
โชคดีที่นั่งทำงานอยู่ไม่นานนักก็ถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน
ขณะที่เดินลงไปกินข้าวที่โรงอาหาร หล่อนก็มักจะรู้สึกราวกับทุกคนในโรงงานกำลังชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
แต่เมื่อหันขวับมองไปก็เห็นว่าพวกเขาต่างจดจ่ออยู่กับการกิน
ทว่าทันทีที่ก้มหน้าลงแล้วกินต่อ ก็สัมผัสได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองมาจากข้างหลัง
พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงนินทาถึงตัวเองลอยแว่วมาไกล ๆ
มนุษย์ป้าช่างพูดในอาคารพักอาศัยของโรงงานรู้เรื่องตั้งครรภ์เท็จของหล่อนยังไม่พอ ไม่นึกเลยว่าทุกคนในโรงงานก็รู้เรื่องนี้
“ใครกล้านินทาฉันลับหลัง?!” เสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่มโมโหขึ้นมา ทันทีที่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างไม่ปกติ หล่อนก็ผุดลุกขึ้นยืน และกวาดตามองไปที่พนักงานหลายคนในโรงอาหาร “ถ้าใครมันกล้านินทาฉัน ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายฉัน แล้วขอให้เขาไล่พวกคุณออก”
โรงงานเครื่องจักรแห่งนี้ ผู้อำนวยการโรงงานก็คือลูกพี่ลูกน้องของหล่อน เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่กลัวว่าตัวเองจะจัดการไม่ได้
ทันทีที่หล่อนคำราม ทุกคนก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่มีใครกระซิบกระซาบกันอีกต่อไป
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่มีอารมณ์จะกินต่อ เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากโรงอาหารไปด้วยความโกรธ
บังเอิญเหลือเกินว่าเสิ่นเถี่ยจวินและเจียงกั๋วเซิ่งกำลังเดินมาทางหล่อนพอดี
“พี่ชาย รองผู้อำนวยการเจียง”
หากแต่วันนี้ชายทั้งสองกลับมีสีหน้าไม่พอใจ รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงกวักมือพลางพูดว่า “เสี่ยวเสิ่น ตามพวกเรามาที่ห้องทำงานหน่อยสิ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็ต้องเดินตามไปตามคำสั่ง
ในห้องทำงานของเสิ่นเถี่ยจวิน นอกเหนือจากเขาแล้วยังมีผู้อำนวยการเจิ้งจากสำนักรัฐวิสาหกิจและหลิวจื้อหมิงนั่งอยู่ด้วย
“มีคนเขียนรายงานส่งมาถึงโรงงาน แถมยังติดประกาศแผ่นใหญ่ไว้ที่หน้าประตูโรงงาน เนื้อหาระบุว่าเธอประพฤติตัวขัดต่อหลักศีลธรรมอันดี ก่อปัญหาในทางที่ไม่ชอบ ก่อนหน้านี้สร้างเรื่องแสดงความเข้าใจผิดว่าแท้งลูกเพื่อใส่ร้ายผู้อื่น พฤติกรรมส่วนตัวของเธอแย่มาก แถมยังละทิ้งหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายซึ่งขัดต่อระเบียบของโรงงาน พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องงานของเธอซะใหม่”
เสิ่นเสี่ยวเหมยตกตะลึง “ว่าไงนะคะ? รายงานอะไร?”
“ดูเอาเองแล้วกัน”
รองผู้อำนวยการเจียงถ่ายเอกสารรายงานลงแผ่นกระดาษ A4 แล้วยื่นมาจ่อตรงหน้า
ในกระดาษมีแต่เนื้อหารายงานเต็มแน่นทั้งหน้า กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับหล่อนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือการตั้งครรภ์เท็จแต่สร้างละครตบตาว่าแท้ง แล้วพยายามใส่ร้ายผู้อื่น จนในที่สุดตระกูลเฉินก็ตัดสัมพันธ์โดยการหย่าร้าง
เนื้อหารายงานยังเล่าต่อไปว่าหล่อนเป็นผู้หญิงชั่วร้ายโดยสันดาน ทั้งละเลยหน้าที่ ละเลยงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ มีทัศนคติที่ย่ำแย่ต่อเพื่อนร่วมงาน ดูถูกพนักงานชั้นผู้น้อยภายในโรงงาน และมักจะดูหมิ่นพวกเขาด้วยวาจาอยู่เสมอ ฯลฯ
เสิ่นเสี่ยวเหมยนึกไปถึงคำขู่ของเฉินเจียซิ่งที่พูดกับหล่อนเมื่อวานนี้ ทันใดนั้นหล่อนก็กัดกรามกรอดจนฟันแทบหักด้วยความโกรธ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครเขียนรายงานนี้กันนะ จะใช่เจียซิ่งหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นใครเขียนมันก็เป็นวิธีเล่นงานยัยเหมยเน่าที่เจ็บแสบดีมากค่ะ
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 252 ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับพี่สะใภ้ใหญ่
ตอนที่ 252 ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับพี่สะใภ้ใหญ่
หลังมื้อเย็น ผู้ใหญ่แต่ละคนต่างกลับเข้าห้อง แต่ด้วยความที่เฉินเจียซิ่งยังอารมณ์ไม่ดี เขาจึงอยากชวนเฉินเจียเหอมาดื่มด้วยกัน
เฉินเจียเหอหันไปมองหลินเซี่ย
เฉินเจียซิ่งเห็นแล้วก็หงุดหงิด “ทำไมพี่เอาแต่มองหล่อนล่ะ? ชีวิตของพี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมหรอก เราทุกคนได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน พี่เองก็ควรเลิกกับหล่อนซะ”
เฉินเจียซิ่งพูดอย่างเปิดเผย ในใจเขาสาปแช่งให้อีกฝ่ายหย่าร้างด้วยซ้ำ
สีหน้าของเฉินเจียเหอมืดมนลง ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนราวกับกำลังตั้งท่าเตรียมต่อสู้
เฉินเจียซิ่งล่าถอยด้วยความกลัว เสตามองไปทางอื่น “ผม… ผมพูดอะไรผิดหรือ? พี่ไม่มีอิสระแม้แต่จะดื่มกับน้องชายเลยนี่ พวกพี่จำเป็นต้องตัวติดกันด้วยหรือไง? นี่พี่คงไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับแม่เสือสาวจริงๆ ใช่ไหม ทุกคนที่มาจากตระกูลเสิ่นก็คงเติบโตมามีนิสัยเหมือนกันหมดนั่นแหละ”
หลินเซี่ยจ้องเฉินเจียซิ่งและเตือนเขาว่า “ถ้ายังไม่หุบปากอีก เดี๋ยวฉันจะเป็นคนจัดการกับนายเอง”
ไม่แปลกที่เธอจะพูดแบบนี้ การเปรียบเทียบเธอกับเสิ่นเสี่ยวเหมยนั้นเหมือนเป็นการดูถูกกันเล็กน้อย
เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอและเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่เหมือนกัน หลินเซี่ยมองไปทางเฉินเจียเหอและพูดว่า “คุณอยู่ดื่มเป็นเพื่อนเขาเถอะ ฉันจะพาหู่จือขึ้นไปอ่านหนังสือนิทานก่อนนอนเอง”
เฉินเจียเหอไม่อยากดื่มกับเฉินเจียซิ่งจริง ๆ เพราะผู้ชายคนนี้ดื่มแล้วคุมตัวเองไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอารมณ์ไม่ดี ก็มักจะส่งเสียงดังเกินไป
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เฉินเจียเหอทำได้แค่สละเวลาจากครอบครัวของเขา และนั่งลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไร
เฉินเจียวั่งรีบเดินตามหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ ไปเพราะตั้งใจว่าจะวิ่งหนี แต่เฉินเจียซิ่งก็หยุดเขาไว้
“นายเองก็ไม่คิดจะนั่งดื่มเป็นเพื่อนฉันสักหน่อยเหรอ?”
เฉินเจียวั่งไม่อยากเห็นเขาร้องไห้และเห่าหอนหลังดื่มเกินขนาด “ผมอยากพักผ่อนน่ะ”
เฉินเจียเหอเงยหน้าขึ้น และพูดกับเฉินเจียวั่งว่า “นั่งลงเถอะ ในเมื่อเป็นพี่น้องกันก็ควรแบ่งเบาภาระร่วมกัน อย่าปล่อยให้พี่รองต้องแบกรับความเจ็บปวดอย่างโดดเดี่ยว”
เมื่อพี่ชายคนโตพูดแบบนี้ เฉินเจียวั่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งลงบราวนี่ออนไลน์
เฉินเจียซิ่งเตรียมเหล้าชั้นดีสองขวดมาจากที่ไหนสักที่แล้ว
เฉินเจียเหอเห็นเหล้าในมือเขาก็ต้องประหลาดใจ “นั่นมันของคุณปู่ไม่ใช่เหรอ? นายไปเอามันมาจากไหน?”
เฉินเจียซิ่งดูเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้มากขึ้นทุกที “ใครสนล่ะ เรามาดื่มให้สำราญใจกันเถอะน่า”
เฉินเจียวั่งแนะนำ “พี่รอง ผมเข้าใจว่าคืนนี้พี่แค่จะดื่มเพื่อลืมความเศร้า แต่การดื่มเจ้านั่นค่อนข้างสิ้นเปลืองไปหน่อยนะ ไว้พี่หย่าร้างก่อนแล้วพวกเราค่อยมาดื่มเหล้านี่ฉลองแล้วกัน ไปหาเอ้อโกวโถวสักขวดแทนเถอะ”
เขากลัวว่าคุณปู่จะหักขาของพี่รองในวันพรุ่งนี้ถ้ารู้เรื่องนี้เข้า
“ก็ฉลองล่วงหน้านี่ไง”
เฉินเจียซิ่งพูดจบก็เปิดฝาขวดโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงไปหาภาชนะใส่เหล้าอย่างรวดเร็ว
เขารินเหล้าให้เฉินเจียเหอแก้วหนึ่งก่อน จากนั้นจึงรินอีกแก้วสำหรับตัวเอง และพูดกับเฉินเจียวั่งว่า “ส่วนนายก็เทน้ำต้มสุกเอาเองแล้วกัน”
“ผมดูพวกพี่ดื่มก็พอแล้ว เพิ่งกินข้าวเสร็จหมาด ๆ คงดื่มน้ำเยอะไม่ได้ เดี๋ยวจะท้องอืดเอา”
เฉินเจียซิ่งปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงต้องหาบางอย่างให้กับเฉินเจียวั่ง หลังจากค้นหาดูรอบ ๆ ในที่สุดก็พบขวดโซดาและรินลงในแก้วให้เขา
“พวกเราพี่น้องไม่ได้นั่งดื่มและพูดคุยกันแบบนี้มานานแล้วนะ นับตั้งแต่ฉันแต่งงานกับเสิ่นเสี่ยวเหมย พี่กับนายก็ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นศัตรู เลี่ยงที่จะเจอหน้าอยู่ตลอด ฉันรอให้พวกนายมาประนีประนอม ยอมรับ และกลับมาสนิทสนมใกล้ชิดกันเหมือนเมื่อก่อนอยู่นาน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งพวกนายจะยอมแพ้”
เฉินเจียซิ่งดื่มเหล้าหมดแก้วในอึกเดียว และรินอีกแก้วให้ตัวเองทันที
“ฉันเสียใจมาก ตอนนั้นฉันเคยเป็นหนุ่มฮอตบนท้องถนน ขี่จักรยาน 28 บาร์ พอเห็นว่าพี่ใหญ่ยังเก็บชุดทหารหลังออกจากกองทัพไว้ก็เลยเอามันมาสวมทับเสื้อนักเรียน แล้วไปยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงเรียนมัธยมหงซิง มีแต่นักเรียนสาวๆ มองฉันอย่างคลั่งไคล้เป็นโขยง”
เฉินเจียซิ่งถือแก้วเหล้าพลางนึกถึงช่วงเวลาแห่งปีทองของตัวเอง ทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยความเปล่งประกาย
เฉินเจียเหอและเฉินเจียวั่งต่างพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่มองดูเขาอย่างเงียบ ๆ
พวกเขารู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี รำลึกถึงอดีตที่ดีนับว่าดีกว่าบ่นถึงความยากลำบากใจในปัจจุบัน
“การที่เสิ่นเสี่ยวเหมยโขกสับฉันอาจเป็นทัณฑ์สวรรค์ก็ได้ใครจะรู้ แต่ฉันรู้ว่าตัวฉันนี่มันไร้สาระจริง ๆ ทิ้งผู้หญิงที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นและไล่ตามเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะตามจีบหล่อนให้ติด ฉันทำงานหนักสารพัดอย่าง ส่งรองเท้า ส่งอาหาร และทำงานอีกตั้งหลายอย่าง เคยใช้เงินเดือนทั้งหมดเพื่อเอาใจหล่อนด้วยนะ แต่หล่อนก็ยังคิดว่าฉันยากจน
หลังจากนั้น การแต่งงานกับหล่อนถือเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายจริง ๆ ฉันใช้ชีวิตเยี่ยงทาสมาตลอดหกเดือน เดินตามก้นเสิ่นเสี่ยวเหมยต้อย ๆ ตลอดทั้งวัน ถ่อมตัวมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้”
เฉินเจียซิ่งพูดและตบหน้าตัวเองสองครั้ง “รู้ไหม ในชีวิตนี้ฉันไม่เคยถูกใครตบหน้าเลย พ่อแม่ยังไม่เคยตบหน้าฉันเลยด้วยซ้ำ แต่เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นใคร ต่อหน้าคนงานเกือบทั้งโรงงาน หล่อนตบหน้าฉันและพูดดูถูกสารพัด ฉันกลับเป็นเหมือนสุนัขกระดิกหางที่รอคอยความเมตตา ขอร้องให้หล่อนตามกลับบ้านอย่างนอบน้อมซะงั้น ฉันโคตรละอายใจเลย ศักดิ์ศรีตัวเองต้องถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าผู้หญิงคนหนึ่ง แทบไม่เหลือศักดิ์ศรีเหมือนผู้ชายคนอื่นแล้ว มันน่าอายมาก ยิ่งสำหรับตระกูลเฉิน มันยิ่งน่าอายเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องที่เคยทำงานในกองทัพ และน่าอายยิ่งกว่าการเอาชุดทหารของพี่ชายตัวเองมาใส่ซะอีก”
เฉินเจียซิ่งเริ่มสบถมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เขาพูด ส่วนเฉินเจียวั่งขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง
ถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยตบหน้าและดูถูกในที่สาธารณะงั้นเหรอ?
ช่างเลวร้ายจริง ๆ
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ในที่สุดฉันก็เป็นอิสระ พอฉันหย่าเมื่อไหร่ก็จะกลับมามีชีวิตที่มีความสุขเหมือนในอดีตและเป็นชายโสดได้อย่างเต็มตัว ไม่ต้องรองรับอารมณ์ผู้หญิงคนนั้นหรือผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นอะไรนั่นอีกต่อไป”
เฉินเจียซิ่งกระดกเหล้าอีกแก้วในอึกเดียวอีกครั้ง
เมื่อเขาเห็นว่าเหล้าในแก้วของเฉินเจียเหอยังเต็มอยู่ เขาก็เริ่มตื่นตัวเล็กน้อย “พี่ใหญ่ ทำไมไม่ดื่มล่ะ? นี่พี่ดูถูกฉันอยู่หรือเปล่า? นายยังไม่ให้อภัยฉันสินะ?”
“ดื่มสิ” เฉินเจียเหอโบกมือให้เฉินเจียวั่งเพื่อยกแก้วขึ้น ทั้งสามชนแก้วกันและจิบเป็นเชิงสัญลักษณ์
เฉินเจียซิ่งพอใจทันที
เขาดื่มอีกสองแก้ว อาการเมาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ลิ้นของเขาเริ่มเปลี้ยและพูดจาไม่เป็นภาษา
เขามองไปยังเฉินเจียเหอ อดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ
“พี่ใหญ่ ฉันอิจฉาพี่จริง ๆ ต้องยอมรับว่าชีวิตพี่ค่อนข้างดี ฉันไม่รู้ว่าพี่โชคดีแค่ไหนสำหรับผู้ชายในวัยเดียวกัน ได้แต่งงานกับภรรยาที่อายุน้อยกว่า ทั้งสวย ทั้งมีความสามารถ ฉันพอมองออกอยู่หรอกว่ายัยเด็กเวรหลินเซี่ยคนนี้ทุ่มเทเวลาให้พี่อย่างเต็มใจ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าหล่อนต้องการอะไรจากหู่จือบ้าง หวังว่าหล่อนจะไม่เปลี่ยนใจเอาภายหลัง”
เฉินเจียเหอ “!!!”
“นายเรียกเธอว่าไงนะ?” เฉินเจียเหอมองด้วยสายตาที่เฉียบคม น้ำเสียงของเขาก็เริ่มเย็นชา
เฉินเจียซิ่งเมาและสับสน “หลินเซี่ยไง”
“พี่เรียกหล่อนว่าเด็กเวร” เฉินเจียวั่งพูดเสริมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ดวงตาของเฉินเจียเหอเรืองวาบราวจะกินเนื้อคน จากนั้นเตือนว่า “ฉันจะให้โอกาสนายจัดระเบียบภาษาของตัวเองซะใหม่”
เฉินเจียซิ่งยอมแพ้และโบกมือ “โอเคๆ ฉันจะไม่เรียกหล่อนว่ายัยเด็กเวรอีกต่อไปแล้ว”
เฉินเจียวั่งพูดแทรก “พี่ควรเรียกหล่อนว่าพี่สะใภ้ใหญ่”
“นายขึ้นเสียงเหรอ?” เฉินเจียซิ่งกลอกตามาที่เขา
เฉินเจียวั่งกระแอมไอเบา ๆ และหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้
เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้พูดเสียงดังเลย
ทันทีที่เฉินเจียวั่งหลีกเลี่ยง เฉินเจียซิ่งซึ่งดื่มมากเกินไปโดยไม่ได้คุมตัวเอง ก็ได้กลิ่นผิดปกติบางอย่างทันที เขาโอบแขนรอบไหล่ของเฉินเจียวั่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า “จะว่าไปแล้วหล่อนกับนายเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนี่ หล่อนเคยช่วยชีวิตนายด้วย ชีวิตของหล่อนเมื่อก่อนก็ดูสูงส่งดีนะ แถมหน้าตาสวยด้วย ทำไมนายไม่เคยพูดถึงหล่อนมาก่อนเลยล่ะ?”
“นายก็ชอบหล่อนเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” เฉินเจียซิ่งมองหน้าน้องสาม แล้วถามอย่างติดตลก
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินเจียวั่งเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที และเขาก็สะบัดมืออีกฝ่ายออก “พี่พูดบ้าอะไรน่ะ?”
“โอ้ จริงสินะ ร้อนตัวเฉยเลย!”
เฉินเจียเหอมองน้องชายสองคนด้วยดวงตาอันลึกล้ำ ทันใดนั้นบรรยากาศก็ผ่อนคลายลง
“พี่รอง ดื่มมากไปแล้ว ถึงเวลาเข้านอนแล้ว”
เฉินเจียวั่งผู้เย็นชาเฉยเมยมาโดยตลอดในตอนนี้แก้มแดงระเรื่อ ก่อนจะอธิบายกับเฉินเจียเหอด้วยน้ำเสียงติดอ่าง “พี่ใหญ่ พี่… พี่อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขาเลย ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับพี่สะใภ้ใหญ่เลยนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจียซิ่งสมัยยังโสดก็ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย ใช้กรรมไปแล้วก็ขอให้ตัดกรรมได้แล้วกันนะ
พี่เหอใจเย็นๆ นั่นน้องชายไง
ไหหม่า(海馬)