ตอนที่ 259 พวกเธอแค่ไม่ได้เกิดมาคู่กัน
ตอนที่ 259 พวกเธอแค่ไม่ได้เกิดมาคู่กัน
รองผู้อำนวยการเจียงมองหล่อนแล้วถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ทุกประเด็นที่รายงานว่ามาข้างต้นเป็นความจริงหรือเปล่า? ไม่ใช่แค่ฝ่ายบริหารที่มีสำเนาของรายงานฉบับนี้ แต่มันยังถูกติดกระจายไปทั่วทั้งโรงงาน แถมยังเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกพื้นที่”
เสิ่นเสี่ยวเหมยโยนกระดาษลง ปฏิเสธเสียงแข็ง “ต้องมีใครบางคนพยายามจะใส่ร้ายฉันแน่ๆ ค่ะ”
“เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่คุณแกล้งแท้งเพื่อใส่ร้ายหลินเซี่ย? ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโรงงานและแม้แต่ภายในอาคารพักอาศัย เท่าที่ผมรู้ คุณสร้างเรื่องในโรงพยาบาลด้วยซ้ำ”
เจียงอวี่เฟยกลับมาเล่าเรื่องนี้ที่บ้าน ทำให้เจียงกั๋วเซิ่งรับรู้ ‘วีรกรรมอันอุกอาจ’ ของเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ดังนั้นเมื่อเทียบกับเนื้อหาในเอกสารรายงานนี้ เนื้อหาของมันก็ค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงแทบทุกประการ ยกเว้นข้อกล่าวหาเกินจริงบางคำที่เป็นอารมณ์ของผู้เขียน
เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองอันร้อนระอุของเจียงกั๋วเซิ่ง เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยอมสารภาพ “นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่ส่งผลกระทบต่องานที่ฉันทำอยู่”
“จะไม่ส่งผลกระทบได้ยังไง? คุณไม่ได้มาทำงานตั้งกี่วันแล้ว? เรื่องส่วนตัวของคุณทำให้พนักงานของเราได้รับความยุ่งยากครั้งใหญ่ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตัวคุณเองเท่านั้น มันยังลามไปถึงชื่อเสียงของโรงงานเครื่องจักรอีกด้วย คุณอาจจะไม่สนใจ แต่ในฐานะที่พวกเราเป็นฝ่ายบริหารของโรงงาน เราต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของโรงงานก่อนสิ่งอื่น หลาย ๆ คนกำลังลือเรื่องความเสื่อมเสียของคุณกันสนุกปาก บ้างก็บอกว่าคุณเหิมเกริมถึงขนาดนี้ก็เพราะผู้อำนวยการเสิ่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ มาทำงานสาย เลิกงานก่อนเวลา ฝ่าฝืนกฎนับครั้งไม่ถ้วน
ตอนนี้คุณยังไปทำเรื่องอื้อฉาวข้างนอก ทำลายชื่อเสียงของโรงงานจนป่นปี้ พนักงานในโรงงานนินทากันหนาหู แผนกบัญชีของโรงงานเราก็ต้องมาแบกรับหน้าที่ในส่วนของคุณอีก เราต้องมีคำตอบในการจัดการกับเรื่องนี้ให้ทุกคน ถ้าทางโรงงานไม่จัดการ แล้วเรื่องไปถึงสหภาพแรงงานหรือองค์กรใหญ่ ผู้อำนวยการเสิ่น ผม และผู้นำทุกคนในโรงงานจะถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”
ผู้อำนวยการจากสำนักงานรัฐวิสาหกิจก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “รองผู้อำนวยการเจียงพูดถูก เสี่ยวเสิ่น เรื่องนี้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างจริง ๆ โรงงานเรามีพนักงานร่วมร้อย เราต้องให้คำอธิบายกับทุกคนอย่างกระจ่าง ไม่อย่างนั้นจะยิ่งยากต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้พวกเขา!”
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะกล้าสั่งพักงานหล่อน ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนยังอยู่ต่อหน้า
หล่อนพูดอย่างไม่ยอมรับ “รองผู้อำนวยการเจียง อย่าเพิ่งพูดเรื่องส่วนตัวอื่น ๆ เลยค่ะ ฉันทำงานอยู่ฝ่ายการเงิน แล้วฉันไปทำให้แผนกบัญชีวุ่นวายตรงไหน?”
รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงถามกลับ “คุณย้ายไปเป็นผู้ช่วยฝ่ายบัญชีแล้วไม่ใช่เหรอ? จะไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบัญชีได้ยังไง?”
เมื่อหลิวจื้อหมิงได้ยินเจียงกั๋วเซิ่งพูดถึงปัญหาเกี่ยวกับฝ่ายบัญชี สายตาของเขาพลันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะช่วยพูดแทนเสิ่นเสี่ยวเหมย “รองผู้อำนวยการเจียงครับ ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น อย่าโอนอ่อนไปตามกระแสคนหมู่มากเลย ผมเชื่อว่าพี่เสี่ยวเหมยสามารถแก้ไขปัญหาส่วนตัวได้ หลังจากนี้มันจะไม่มีผลกระทบต่อการทำงานแน่ครับ”
“เสี่ยวหลิว คุณเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายผลิต สนใจแค่เรื่องจัดการการผลิตก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่น”
ทัศนคติของเจียงกั๋วเซิ่งแข็งแกร่งมาก จนหลิวจื้อหมิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหุบปาก และมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวิน
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปทางเสิ่นเถี่ยจวินซึ่งเอาแต่นิ่งเงียบ จากนั้นก็ขอความช่วยเหลือจากเขา “พี่ชาย สิ่งที่รองผู้อำนวยการเจียงว่ามาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานของฉันเลย ฉันไม่มาทำงานก็เพราะมีเหตุผลส่วนตัว ถ้าฉันสบายดีจะขอลาหยุดพร่ำเพรื่อไปทำไม? ทั้งหมดเป็นปัญหาส่วนตัวของฉัน จะส่งผลต่อชื่อเสียงของโรงงานได้ยังไง?”
ก่อนที่เสิ่นเถี่ยจวินจะพูดอะไร เจียงกั๋วเซิ่งยังคงพูดเสียงเข้ม “เสี่ยวเสิ่น แม้แต่ผู้อำนวยการเสิ่นก็ไม่สามารถหนุนหลังคุณได้ในกรณีนี้ คุณควรพักงานสักระยะนะ ผมคิดว่าช่วงนี้คุณยังไม่เหมาะกับการกลับมาทำงาน ยิ่งเมื่อสถานการณ์ในโรงงานอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังการผลิตของโรงงานเรามีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร พนักงานจำนวนมากอาจเผชิญกับการเลิกจ้าง คุณกลับไม่สนใจไยดีกับวิกฤติข้อนี้ และทำตัวเฉื่อยชาท่ามกลางความคับขัน ถ้าคุณยังไม่ถูกพักงาน เราคงอธิบายให้คนในโรงงานฟังไม่ได้”
ผู้อำนวยการเจิ้งแสดงท่าทางสนับสนุนเจียงกั๋วเซิ่ง
รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงผู้ใจดีมาโดยตลอด วันนี้เหมือนเป็นคนละคน เขายืนกรานว่าจะสั่งพักงานให้ได้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพลักษณ์รองผู้อำนวยการโรงงานผู้ใจกว้างและมีเมตตาในอดีตนัก เห็นชัดว่าทัศนคติของเขามีความผิดปกติ
เสิ่นเสี่ยวเหมยเพิ่งจะสูญเสียสถานะการแต่งงานมาหมาด ๆ แน่นอนว่าหล่อนย่อมไม่อยากตกงาน
หล่อนมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง “พี่ชาย พูดอะไรหน่อยสิ”
เสิ่นเถี่ยจวินพูดด้วยใบหน้ามืดมน “เธอพักงานไปสักระยะก่อนเถอะ แล้วค่อยกลับมาทำงานเมื่อพร้อม”
แม้แต่เสิ่นเถี่ยจวินยังไม่ปกป้องหล่อน
นั่นเพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะตามเช็ดตามล้าง เอกสารรายงานกระจัดกระจายไปทั่ว แถมเจียงกั๋วเซิ่งและผู้อำนวยการสำนักงานรัฐวิสาหกิจยังมีทัศนคติที่แข็งแกร่งแบบนี้ ต่อให้เขาจะเป็นผู้อำนวยการโรงงาน แต่ก็ไม่สามารถช่วยเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ในเวลานี้
ใบหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมยบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ก่อนจะตะคอกอย่างเย็นชา
“ไม่ให้ทำงานก็ไม่ทำ ใครอยากจะสนใจชนชั้นแรงงานที่น่าสมเพชพวกนั้นล่ะ?”
หล่อนคว้ากระเป๋าแล้วเดินสะบัดจากไปด้วยความโกรธ
หลังออกจากโรงงานแล้ว หล่อนก็โกรธมากจนต้องไปหาเรื่องกับเฉินเจียซิ่ง
. เฉินเจียซิ่งทำงานอยู่ฝ่ายการตลาด หลังจากทำเรื่องหย่าเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับไปทำงานทันที เพิ่งจะพักกินข้าวมื้อเที่ยงได้ไม่นาน ก็เห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยเดินหน้างอตรงมาทางนี้
เฉินเจียซิ่งกำลังกัดเต้าหู้เข้าปาก เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยใบหน้าของเขาก็มืดลงทันที “มาทำอะไรที่นี่อีก?”
พวกเขาหย่าขาดจากกันไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่วายตามมาราวีเขา
กระทั่งเวลาพักกลางวันก็ไม่เว้น
เฉินเจียซิ่งมองดูอาหารในกล่องอาหารกลางวันตรงหน้า สูญเสียความอยากอาหารไปทันที
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองหน้าเขาและสาปแช่งด้วยความโกรธ “เฉินเจียซิ่ง คุณมันไม่ใช่คนแล้ว”
“ผมไปทำอะไรให้คุณมิทราบ?” เฉินเจียซิ่งมองหล่อนด้วยความรังเกียจ
เสิ่นเสี่ยวเหมยตะคอกด้วยความโกรธและเสียใจ “ฉันอุตส่าห์ยอมหย่ากับคุณดี ๆ แล้ว ทำไมคุณยังเขียนรายงานส่งไปที่โรงงานเพื่อฟ้องผิดฉัน นี่มันวิธีสกปรกสิ้นดี คนโง่อย่างคุณรู้จักวิธีสกปรกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พูดเรื่องไร้สาระอะไรของคุณ? ผมไปเขียนรายงานพฤติกรรมของคุณตอนไหน?”
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว คุณมันขี้ขลาดตาขาว กล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ”
พอพวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากัน เฉินเจียซิ่งก็วางตะเกียบลง ยืนขึ้น และมองหล่อนอย่างจริงจังขณะที่พูด
“ผมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเสมอ แต่ในเมื่อคุณสาดน้ำโสโครกใส่ผม จะให้ผมยืดอกยอมรับหรือยังไงกัน? ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ทำ
เราหย่ากันแล้ว ผมได้แต่หวังว่าตัวเองจะอยู่ห่างจากคุณให้ไกลที่สุด แล้วผมจะใช้วิธีสกปรกมายั่วยุให้คุณตามมาหาเรื่องตัวเองอีกครั้งไปทำไม”
เฉินเจียซิ่งแสดงท่าทางชัดเจนว่าอยากจะอยู่ห่างจากหล่อนสักแปดศอก ทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยผ่อนคลายลง มองหน้าเขาแล้วถามยืนยันอีกครั้ง “ไม่ใช่คุณจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่ใช่ผม จากนี้ไปอย่ามารบกวนผมอีก เราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว”
เฉินเจียซิ่งหันหลังกลับและจากไปพร้อมกับกล่องอาหารกลางวันที่ถืออยู่ในมือ
เขาเพิ่งก้าวไปสองก้าว ทันใดนั้นก็หยุดชะงักฝีเท้ากลางคันราวกับนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
แต่ไม่นานเขาก็เดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อเฉินเจียซิ่งปฏิเสธไม่ยอมรับ เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมจากใครได้ สมองเอาแต่คิดว่าใครเป็นคนเขียนรายงานตลอดทาง
ในเมื่อไม่ใช่เฉินเจียซิ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นนังโสโครกหลินเซี่ย
เสิ่นเสี่ยวเหมยตั้งใจว่าจะบุกไปที่ร้านของหลินเซี่ยเพื่อสะสางคดีแค้น แต่แล้วก็ฉุกคิดว่าหลินเซี่ยต้องวิ่งโร่ไปแจ้งความเพื่อเอาผิดตนอีกแน่ นอกจากเอาเรื่องไม่ได้แล้วยังเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
นอกจากนี้ เนื้อหาในรายงานนั้นก็เป็นจริงตามนั้นทุกอย่าง
ดังนั้น เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงต้องไปหาถังหลิง ด้วยต้องการฟังความคิดเห็นของหล่อนในฐานะนักวางแผนกลยุทธ์
ทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหาใหญ่ หล่อนมักจะสูญเสียสติปัญญาในการวางแผนเสมอ ที่ผ่านมาหล่อนเคยชินกับการโจมตีทางวาจาอย่างหยาบคายเพื่อเอาชนะหลินเซี่ย แต่ดูเหมือนว่าวิธีการเหล่านั้นแบบเมื่อก่อนจะใช้ไม่ได้ผลเลยในตอนนี้
ด้วยการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดถังหลิงก็มีฐานลูกค้าจำนวนหนึ่งที่แวะเวียนมาใช้บริการที่ร้าน
ทั้งถังหลิงและหลิวลี่ลี่ต่างก็มีงานยุ่งตลอดทั้งวัน
เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยเดินหน้าบูดเข้ามา ถังหลิงก็ขมวดคิ้วมุ่น
แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรอย่างมืออาชีพโดยเร็ว “เสี่ยวเหมย ลมอะไรหอบเธอมาถึงนี่ล่ะ?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “พี่หลิง ฉันหย่ากับเขาแล้ว”
“หืม? ไวขนาดนี้เชียวเหรอ?” ถังหลิงมองหน้าหล่อนพลางแสร้งทำเป็นแปลกใจ
เสิ่นเสี่ยวเหมยพยักหน้า “อืม”
“เฮ้อ คราวนี้เฉินเจียซิ่งหุนหันพลันแล่นเกินไปจริง ๆ ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำจากใครทั้งนั้น เขาตัดสินใจพลาดแล้วล่ะที่หย่ากับเธอ ในอนาคตเขาจะต้องเสียใจภายหลังแน่ ๆ”
ถังหลิงตบไหล่ของหล่อนแล้วปลอบโยน “ไม่เป็นไรนะ ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าเธอยอมเปิดใจสักหน่อยจะรู้ว่าการหาคู่ครองคนใหม่ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องยากเลย การที่เธอกับเฉินเจียซิ่งมีจุดจบแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้เกิดมาคู่กันก็ได้”
หลังจากได้รับการปลอบโยนจากถังหลิงแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยก็รู้สึกดีขึ้นมาก
เฉินเจียซิ่งจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นแม้ว่าเขาจะกลับใจมาคุกเข่าตรงหน้าหล่อน หรือขอร้องอ้อนวอนให้หล่อนกลับไปแต่งงานกับเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสมหวัง
“ทำไมวันนี้เธอไม่ไปทำงานล่ะ?” ถังหลิงถามอีกครั้ง
“ฉันตกงานน่ะ”
พูดถึงเรื่องงาน เสิ่นเสี่ยวเหมยก็โกรธเคืองขึ้นมาอีก เหลือบมองไปทางร้านตัดผมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “นังสารเลวหลินเซี่ยนั่นเขียนรายงานถึงโรงงานเพื่อฟ้องผิดฉัน สำเนาเอกสารรายงานถูกพิมพ์เป็นใบปลิวปึกหนาแล้วโยนเกลื่อนไปทั่วทั้งในโรงงานและนอกโรงงาน กล่าวโทษฉันอย่างร้ายแรงจนฉันถูกพักงาน”
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง?” ถังหลิงก็เหลือบมองอีกด้านหนึ่ง “แน่ใจเหรอว่าเป็นหลินเซี่ยที่ทำแบบนี้?”
“ไม่ใช่หล่อนแล้วจะเป็นใครล่ะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องหย่า ตอนนี้แม้แต่งานฉันยังกอดเอาไว้ไม่ได้ หล่อนคงคิดจะสู้กับฉันให้ตายกันไปข้าง”
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่อยากปะทะกับหลินเซี่ยตัวต่อตัวในขณะนี้ ดังนั้นจึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับที่ปรึกษาประจำตัวอีกครั้ง “พี่หลิง ช่วยฉันคิดหาวิธีเร็วเข้า เราจะจัดการกับนังนั่นยังไงดี?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เตรียมเผชิญชีวิตแบบอยู่ไม่สู้ตายได้เลยนังเหมย บอกแล้วว่าอย่าไปหาเรื่องผิดคน
ยัยถังระแวงแล้วมั้ง ตัวเองทำท่าจะลอยแพนังเหมยเน่าอยู่แล้ว แต่ก็โดนตามมาราวีขอให้ช่วย
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 253 เปลี่ยนแวดวงสังคมใหม่
ตอนที่ 253 เปลี่ยนแวดวงสังคมใหม่
เมื่อสบสายตาประหม่าของเฉินเจียวั่ง เฉินเจียเหอก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ต่อให้นายคิดเรื่องนี้ก็ตาม ยังไงพี่สะใภ้ใหญ่ของนายก็ใส่ใจแค่กับฉันเท่านั้น”
เฉินเจียวั่ง “…”
เฉินเจียซิ่งปล่อยมือจากเฉินเจียวั่ง มองเขาแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “นายควรรักษาโรคนี้ให้หายขาดก่อนแล้วค่อยหาแฟนนะ ขอบอกเลยว่าผู้หญิงมีความจริงจังมาก ถ้านายสุขภาพไม่ดี ถึงตอนแรกหล่อนจะบอกว่าไม่สนใจ แต่ลับหลังแล้วหล่อนไม่ชอบใจนักหรอก นายต้องไม่เชื่อคำโกหกของผู้หญิงนะรู้ไหม เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ดูถูกฉันเพราะคิดว่าความสามารถในการทำงานของฉันไม่ดีหรือว่าฉันมีรายได้น้อยหรอก”
เฉินเจียเหอมองเฉินเจียวั่งแล้วพูดว่า “อย่าไปฟังเขาเลย แค่คนเดียวจะเหมารวมทุกคนไม่ได้หรอก”
“หยุดดื่มแล้วไปนอนซะ”
เฉินเจียซิ่งเดินโซเซเล็กน้อย กว่าจะขึ้นไปชั้นบนได้เหล่าพี่น้องต้องมาช่วยพยุงแล้วโยนลงบนเตียง จากนั้นต่างแยกย้ายกลับเข้าห้อง
…
วันรุ่งขึ้น เฉินเจียเหอไม่ต้องไปทำงาน จึงไปส่งหลินเซี่ยที่ร้านตัดผมแต่เช้าได้
ส่วนเฉินเจียซิ่งนั้นนอนหลับจนถึงเที่ยงวัน
พอลงมาชั้นล่าง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เฉินเจียซิ่งเดินไปเปิดประตูพร้อมกับผมเผ้ายุ่งเหยิง และมีอาการปวดหัวอันเป็นผลจากการเมาค้าง
เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาก็ทักทายอย่างไม่ใส่ใจว่า “พี่หลิง มาที่นี่ทำไมครับ?”
ถังหลิงยิ้มอย่างสดใสและพูดว่า “เจียซิ่ง ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
เฉินเจียซิ่งเหลือบมองถังหลิง พอจะคาดเดาจุดประสงค์ที่หล่อนมาหาได้
“พี่หลิง ถ้ามาที่นี่เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ผมกลับไปหาเสิ่นเสี่ยวเหมย บอกเลยว่าลืมไปซะเถอะ”บราวนี่ออนไลน์
เฉินเจียซิ่งไม่มีความตั้งใจที่จะเชิญหล่อนเข้ามาในบ้านด้วยซ้ำ
ถังหลิงมองเขาและพูดด้วยน้ำเสียงอย่างจริงใจ “เจียซิ่ง ฉันว่านายกำลังคิดผิด ออกไปข้างนอกแล้วคุยกันก่อนเถอะ”
“อืม งั้นรอเดี๋ยว”
เฉินเจียซิ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และออกไปข้างนอก
เขาไปสวนสาธารณะใกล้ ๆ กับถังหลิง
เฉินเจียซิ่งรู้ดีว่าถังหลิงต้องการจะพูดอะไร เขานั่งลงบนม้านั่ง ขณะที่ถังหลิงแทบจะรอไม่ไหวแล้วพูดขึ้นว่า “เจียซิ่ง เสี่ยวเหมยร้องไห้หนักมากเลยนะ ครั้งนี้หล่อนสับสนจนตัดสินใจผิดพลาดไปชั่ววูบ เหตุผลก็เพราะใส่ใจนายมากเกินไปนั่นแหละ และกลัวว่าถ้านายรู้นายจะโกรธที่หล่อนไม่ได้ท้องจริง เลยเกิดความคิดนั้นขึ้นมา”
เฉินเจียซิ่งปฏิเสธคำพูดของหล่อนด้วยสีหน้าเหน็บแนม “พี่หลิง หล่อนไม่ได้สนใจอะไรผมหรอก หล่อนปฏิบัติต่อผมเหมือนคนโง่ และพวกเราทุกคนก็เป็นคนโง่ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยจะนิสัยแย่ขนาดนี้ ใจดำอำมหิตเหมือนอสรพิษไม่มีผิดเลย”
ถังหลิงมองเขาและพูดสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างจริงจัง “หล่อนรู้ตัวแล้วว่าตัวเองผิดและไม่ต้องการหย่ากับนาย ฉันหวังว่านายจะเห็นแก่ฉันและให้โอกาสหล่อนอีกครั้ง อย่างน้อยยอมไปเจอหล่อนหน่อยก็ยังดี เรามาหันหน้าคุยกันก่อนเถอะ”
ตราบใดที่คนสองคนได้พบเจอกัน ก็อาจจะยังมีโอกาส
เฉินเจียซิ่งกลับตัดรอนอย่างเด็ดขาด ไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมใดๆ “ไม่มีอะไรต้องคุย เพราะเราจะไปหย่ากันวันจันทร์นี้”
ชายหนุ่มยืนขึ้นและไม่ต้องการพูดหัวข้อนี้ต่อ “พี่หลิง ผมรู้ว่าพี่หวังดี แต่นี่ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของผม ผมยังเด็ก และยังมีเส้นทางอีกยาวไกล ผมไม่อยากเอาชีวิตที่เหลือมาทิ้งกับคนอย่างหล่อนจริง ๆ แล้วผมก็ขอแนะนำให้พี่อยู่ห่างจากหล่อนด้วยเหมือนกัน”
“ขอตัวก่อน”
ถังหลิงยืนอยู่ที่นั่น มองดูแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาดของเฉินเจียซิ่งก็รู้แล้วว่าหล่อนไม่สามารถรักษาชีวิตคู่ของเสิ่นเสี่ยวเหมยได้อีกต่อไป
บางที เฉินเจียซิ่งอาจจะพูดถูก
มาถึงจุดนี้ หล่อนเองก็ควรอยู่ให้ห่างจากเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยจะดีกว่า
เธอควรจัดระเบียบแวดวงสังคมของตัวเองใหม่โดยด่วน
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่อาจอดทนรอฟังข่าวจากถังหลิงเฉย ๆ ที่บ้านได้ หล่อนกังวลมากจนร้อนใจแทบไม่ไหว จึงรีบออกไปที่ร้านเสริมสวย
ด้วยกลัวว่าหลินเซี่ยจะเห็น หล่อนจึงสวมหน้ากากและแอบเข้าไปในร้านเสริมสวยอย่างรวดเร็ว
หลิวลี่ลี่เป็นคนเดียวที่อยู่ในร้าน
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นถังหลิง จึงถามหลิวลี่ลี่ว่า ”พี่หลิงอยู่ไหน?”
“ไปอีกฝั่งน่ะ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยคิดว่าอีกฝั่งที่หลิวลี่ลี่พูดถึงคือร้านตัดผมของหลินเซี่ย เธอก็รู้สึกโกรธทันที “ทำไมถึงไปอยู่อีกฝั่งล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้ พี่หลิงมักจะไปที่ห้องเต้นรำนั่นบ่อย ๆ รู้สึกเหมือนจะไปหาเถ้าแก่เซี่ยอะไรนั่นแหละ” หลิวลี่ลี่เข้ามาซุบซิบอย่างลึกลับ
หลังจากได้ยินว่าอีกฝ่ายไปห้องเต้นรำ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็สงบลงอีกครั้งและพูดว่า “อย่าพูดไร้สาระ”
การไปที่ห้องเต้นรำเพื่อตามหาเซี่ยไห่ อาจเป็นเพราะหล่อนไปในฐานะผู้เจรจาสันติภาพแน่ เพื่อให้ชายคนนั้นไปคุยกับเฉินเจียเหอ ให้เจรจากับเฉินเจียซิ่งไม่ให้หย่า
“พี่เซี่ย ฉันกลับร้านก่อนนะคะ”
ถังหลิงหยิบสายวัดตัวที่ยืมมาจากเซี่ยไห่ เหยียบรองเท้าส้นสูง บิดเอวเล็ก ๆ แล้วเดินจากไป
ทันทีที่ถังหลิงจากไป หลินจินซานก็เข้ามาหาเซี่ยไห่ และเริ่มซุบซิบ “เถ้าแก่เซี่ย คุณถังคนนี้แอบชอบคุณหรือเปล่าครับ?”
ปกติคนเรามักจะมาคุยกับคนที่แอบชอบโดยอ้างว่าขอยืมอะไรบางอย่างเสมอ
ใครก็ตามที่มีสายตามีแววจะสามารถมองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ออก
เซี่ยไห่กลอกตาไปที่หลินจินซาน
“พูดไร้สาระ ฉันแก่กว่าหล่อนเป็นสิบปี เป็นลุงของหล่อนได้แล้วมั้ง”
หลินจินซานพูดอย่างจริงจังว่า “น้องเขยของผมแก่กว่าน้องสาวตั้งสิบปีไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้หัวหน้ายังดูไม่แก่เลย และก็ดูเหมาะกับหล่อนด้วยนะ”
เมื่อหลินจินซานชื่นชมเขาที่ยังดูอ่อนเยาว์ เซี่ยไห่ก็สัมผัสใบหน้าตัวเอง พลางรู้สึกภูมิใจอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดถัดไปของหลินจินซานก็ทำให้เซี่ยไห่กลอกตาด้วยความขุ่นเคือง “ถ้าหัวหน้าเข้ากับหล่อนได้ดี หล่อนก็จะไม่หันเหสายตามามองน้องเขยของผม คิดซะว่าตัวเองได้ทำความดีความชอบครั้งใหญ่เถอะครับ”
“ไปให้พ้นเลย ฉันไม่มีแผนจะแต่งงานทั้งนั้น นายคิดว่าการแต่งงานมันง่ายนักเหรอ? คนสองคนจะต้องมีหัวใจดวงเดียวกันเพราะความรัก พอแต่งงานกันแล้ว พวกเขาจะต้องภักดีต่อกันและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ถ้าน้องเขยของนายไม่มีสิ่งพวกนั้นแม้แต่น้อย และต้องการให้ฉันเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อที่จะช่วยกำจัดคู่แข่งทางความรักของตัวเอง หลานสาวฉันคงได้ทิ้งเขาแบบเร็วทันใจแน่ ๆ”
“ห้องเต้นรำใกล้เปิดแล้ว กลับไปอบรมต่อเถอะ พวกนายทุกคนควรเป็นงานให้ไวและมีขวัญกำลังใจที่ดีนะ”
…
ทันทีที่ถังหลิงมาถึงประตูร้าน พอเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยนั่งอยู่ในร้านก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เสี่ยวเหมย มาที่นี่มีธุระอะไรเหรอ?” หล่อนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม มองอีกฝ่ายแล้วถาม
เสิ่นเสี่ยวเหมยลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ มองดูถังหลิงอย่างคาดหวังแล้วถามว่า “ฉันขอถามพี่หน่อย พี่ไปหาเฉินเจียซิ่งมาใช่ไหม?”
ถังหลิงพูดอย่างลังเลว่า “ใช่ ฉันไปเจอเขามา แต่ตอนนี้เขายังคงโกรธอยู่ รอให้เขาใจเย็นลงกว่านี้ก่อนเถอะ”
“ต้องรอให้ใจเย็นอีกนานแค่ไหน?” เดิมทีหล่อนรู้สึกมั่นใจมากเมื่อถังหลิงไปพบอีกฝ่าย แต่ผลปรากฏว่าอีกฝ่ายอะไรไม่ได้เลย เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงอดไม่ได้ที่จะผิดหวังมากยิ่งขึ้น
“เสี่ยวเหมย ฉันได้บอกสิ่งดี ๆ ทั้งหมดเกี่ยวกับเธอให้เฉินเจียซิ่งไปหมดแล้ว แต่เขามีทัศนคติที่ค่อนข้างอธิบายได้ยาก และยังเล่าปัญหาก่อนหน้านี้ที่เธอก่อเป็นหางว่าว ดูเหมือนเธอจะกดขี่ข่มเหงเขาสารพัดเลยใช่ไหมล่ะ? ทำให้มีความสัมพันธ์ที่แย่ระหว่างกันมานาน ฉันเลยบอกเขาไปว่าเธอพยายามปรับปรุงตัวเองแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมั่นใจในตัวเธอเท่าไหร่ ฉะนั้นรอให้เขาใจเย็นลงอีกนิด แล้วฉันจะไปหาเขาทีหลัง เธอทำใจให้สบายๆ ไว้นะ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยเองก็รู้ด้วยว่าหลังจากหล่อนตบเฉินเจียซิ่งในที่สาธารณะเมื่อครั้งก่อน ทัศนคติของเขาที่มีต่อหล่อนก็แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก
“พี่หลิง อย่าลืมคุยกับเขาอย่างระมัดระวังนะ ครั้งนี้ฉันเปลี่ยนตัวเองแล้ว และจะไม่มีวันอารมณ์เสียใส่เขาอีก”
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองใบหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกบนผนัง ซึ่งดูซีดเซียวและสูญเสียความเย้ายวนแบบหญิงสาวก่อนหน้านี้ไปมากโข ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ หล่อนไม่กล้ากลับไปเผชิญหน้ากับเฉินเจียซิ่งเลย
จึงบอกกับถังหลิงว่า
“พี่หลิง ช่วยทำทรีตเมนต์ใบหน้าให้ฉันหน่อยสิ ช่วงนี้สภาพผิวของฉันแย่มากเลย ฉันปล่อยให้เฉินเจียซิ่งเห็นว่าฉันดูน่าเกลียดแบบนี้ไม่ได้”
ถังหลิงขอโทษ “เสี่ยวเหมย ฉันยังต้องออกไปข้างนอก ให้ลี่ลี่เป็นคนทำให้แทนนะ เรื่องโรงพยาบาลยังไม่คลี่คลาย ฉันต้องออกไปหาคนรู้จักมาช่วย”
ถังหลิงไม่ต้องการติดต่อใกล้ชิดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยอีก จึงหาข้ออ้างและเดินออกจากร้านไป
…
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยัยเหมยเน่าจะรู้ตัวไหมนี่ว่าตัวเองกำลังจะโดนคนรอบตัวเททิ้งทีละคน
ไหหม่า(海馬)
ปล. ขออภัยที่มาช้านะคะ ผู้แปลป่วยอีกแล้ว คราวนี้ติดโควิดล่ะค่ะ