ตอนที่ 267 เรื่องของหนวดเครา
ตอนที่ 267 เรื่องของหนวดเครา
หลินเซี่ยรู้สึกเหมือนสมองของเธอกำลังจะระเบิดเมื่อคิดถึงสิ่งนี้
ในความเป็นจริงแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดเซี่ยไห่กับเซี่ยหลานก็รู้จักกัน ส่วนเสิ่นอวี้อิ๋งก็ทำตัวเหมือนแมลงวันมองสิ่งปฏิกูล ตราบใดที่มีคนให้ความสนใจหล่อน หล่อนก็จะกระตือรือร้นที่จะยึดติดอยู่กับพวกเขา
ชาติที่แล้วเธอพยายามหลีกเลี่ยงเฉินเจียเหอ ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับเซี่ยไห่
อีกทั้งธุรกิจส่วนตัวของเซี่ยไห่ก่อนหน้านี้ก็มุ่งเน้นตีตลาดที่เชินเฉิงเป็นหลัก
พอมาชาตินี้ เนื่องจากประสบการณ์ชีวิตของเธอถูกเปิดเผย ทำให้เธอมีความสัมพันธ์กับเซี่ยไห่ในฐานะอาหลาน อีกทั้งครอบครัวของเซี่ยไห่ก็กำลังจะย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่อย่างถาวร
เฉินเจียเหอสังเกตเห็นว่าหลินเซี่ยชะลอความเร็วในการกินลง อีกทั้งแววตาก็หมองลงราวกับว่ากำลังคิดฟุ้งซ่าน เขาจึงถามเบา ๆ “เซี่ยเซี่ย เป็นอะไรหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปและส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
เซี่ยไห่ผลักจานอาหารไปทางหลินเซี่ยอย่างเอาใจใส่ “กินของพวกนี้เร็วเข้า วันนี้ฉันสั่งอาหารจานหรูทุกอย่างในร้านมาเป็นพิเศษ กินให้เต็มที่ ไว้ฉันค่อยห่อของที่หู่จือชอบกลับไปฝากเขาทีหลัง”
ถังหลิงที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกับหลินจินซานและแขกคนอื่น ๆ เอาแต่ทำตัวแข็งทื่อตลอดเวลา แม้ว่าบรรยากาศรอบโต๊ะอาหารจะเป็นไปอย่างดีมาก ทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรสและกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อย แต่หล่อนกลับไม่สามารถทำตัวให้กลมกลืนไปกับพวกเขาได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าหล่อนไม่ได้อยากจะกลมกลืนด้วย
หล่อนรู้สึกว่าการที่ตัวเองถูกจัดให้มานั่งร่วมกับคนเหล่านี้ ถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามในตัวตนของหล่อน
ใบหน้าของหล่อนเผยรอยยิ้มแข็งกระด้างตลอดเวลา ได้แต่เงี่ยหูฟังเซี่ยไห่และคนอื่น ๆ พูดคุยกัน
เมื่อได้ยินพวกเขาให้คำปรึกษาแนะนำกับสหายน้องชายของกลุ่มอย่างจริงใจ ทั้งยังมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องอาชีพที่น่าสนใจมากมาย หล่อนก็ยิ่งอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแวดวงนั้นจริง ๆ
ประกายแวววาวพาดผ่านดวงตาของหล่อน
หลังจากนี้หล่อนต้องวางแผนชีวิตอย่างรอบคอบ หากทำผิดครั้งหนึ่ง ก็จะผิดพลาดไปตลอดชีวิต
คราวนี้หล่อนจะต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้
หลังจบมื้ออาหารแสนพิเศษ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานบราวนี่ออนไลน์
ถังหลิงอยากปรี่เข้าไปทักทายเซี่ยไห่และบรรดาสหายพี่น้องของเขา แต่พวกเขากลับเดินข้ามถนนกลับไปที่ร้านฝั่งตรงข้ามก่อนที่หล่อนจะไล่ตามทัน
เซี่ยไห่เชื้อเชิญลู่เจิ้งอวี่ “มาเถอะ ฉันจะพานายไปสำรวจดูรอบ ๆ ห้องเต้นรำสักหน่อย เผื่อจะช่วยให้นายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และรู้แผนการในอนาคตของฉัน”
ลู่เจิ้งอวี่มองไปที่ฟางจิ้นเป่า ฟางจิ้นเป่าจึงสนับสนุนว่า “เหล่าเซี่ยแนะนำแบบนั้นก็เพราะหวังดีต่อนาย ทุกคนพูดถูก นายยังเด็กควรวางแผนเกี่ยวกับอนาคตอย่างรอบคอบ ต่างจากฉันที่มีภรรยากับลูกที่ต้องคอยเลี้ยงดู ชีวิตของฉันหลังจากนี้คือการทำงานหนักเพื่อหาเงิน และแสวงหาความมั่นคงในอนาคต เพื่อไม่ให้ลูก ๆ ของตัวเองเดือดร้อนลำบาก นายอายุยังน้อย มีความก้าวหน้ามากมายรออยู่ ถ้านายไม่คิดมาเรื่องงานแล้วเปลี่ยนใจมาติดตามเหล่าเซี่ย อีกไม่นานนายต้องหาคู่ครองได้แน่ ปัญหาเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน”
ฟางจิ้นเป่าเหลือบมองหลินเยี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านตัดผมของหลินเซี่ย จากนั้นก็ทำท่าทางบุ้ยใบ้ให้กับลู่เจิ้งอวี่ “นายไม่เห็นเหรอ น้องสาวของหลินเซี่ยหน้าตาใช้ได้ทีเดียว ถ้านายมาทำงานกับเหล่าเซี่ย แถวนี้มีสาว ๆ ตั้งมากมายให้นายเลือก มีโอกาสมากมายเชียวล่ะ”
ลู่เจิ้งอวี่หันมองไปตามสายตาของฟางจิ้นเป่า ทันใดนั้นเองหญิงสาวที่เดินคู่มากับหลินเซี่ยก็บังเอิญหันหน้ามองมาในทิศทางของพวกเขาพอดี
ดวงตาของลู่เจิ้งอวี่สบเข้ากับสายตาหล่อนอย่างจัง ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น ใบหน้าแดงก่ำก่อนจะก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย
ฟางจิ้นเป่ารู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าตรงหน้าแทบไม่ต่างอะไรจากเด็กวัยรุ่นไม่รู้ประสา
ตอนที่เขาอายุได้สิบแปดย่างสิบเก้าปี เขาก็รู้จักขลุกอยู่กับผู้หญิงในกองฟางแล้ว ในขณะลู่เจิ้งอวี่ไม่เคยแม้แต่จะจับมือถือแขนหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ
ฟางจิ้นเป่าตบไหล่ลู่เจิ้งอวี่แล้วพูดอย่างจริงใจ
“ย้ายมาทำงานที่ห้องเต้นรำเพื่อเห็นโลกกว้างเถอะ ถ้านายคิดดีแล้วว่าจะติดตามเขา ฉันจะเป็นคนพานายไปคุยกับหัวหน้าหลังจากที่นายตัดสินใจได้เอง”
ลู่เจิ้งอวี่พยักหน้า “ได้ ขอบคุณพี่เป่านะครับ”
เซี่ยไห่พูดว่า “พวกนายทุกคนจะไม่มีใครได้กลับไปไหนทั้งนั้น วันนี้เป็นวันพักผ่อน คืนนี้เรามาสนุกกันเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงส่ายหัวและปฏิเสธ “ฉันคงอยู่ต่อไม่ได้ ยังต้องกลับไปทำงาน เพื่อที่จะมาร่วมพิธีเปิดร้านของนายในเช้าวันนี้ ฉันต้องไปขอแลกเวรกับเพื่อนร่วมงานอีกคนมา เย็นนี้เลื่อนเวลาออกไปไม่ได้แล้ว”
“นี่เพิ่งจะกี่โมงเอง? นายเข้ากะช่วงกลางคืนไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ยังไม่ทันจะบ่ายเลยด้วยซ้ำ”
เฉินเจียเหอพูดกับลู่เจิ้งอวี่ “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เจิ้งอวี่ นายเข้าไปให้พี่สะใภ้ตัดผมสักหน่อยสิ ฉันเห็นว่าผมนายเริ่มยาวรุงรังแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นทุกที ตัดผมให้สั้นลงหน่อยจะช่วยให้รู้สึกสบายหัวขึ้น”
ลู่เจิ้งอวี่มองดูป้ายร้านตัดผมที่สะดุดตา แล้วพยักหน้า “ได้สิ”
ฟางจิ้นเป่าลูบผมแข็ง ๆ ที่แทงนิ้วเหมือนหนามของตัวเอง ก่อนจะพูดว่า “ฉันก็อยากตัดเหมือนกัน อยากโกนหัวทีเดียวไปเลย ไม่อย่างนั้นพอกลับไปทำงานอีกครั้งคงนานกว่าจะได้ตัดอีกรอบ”
วันนี้หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนไม่ต้องกลับไปเตรียมแป้ง พวกหล่อนจึงไม่มีอะไรทำ และมารวมตัวกันอยู่ในร้านของหลินเซี่ย
เมื่อเห็นว่าสหายพี่น้องของเฉินเจียเหอเดินเข้ามา หลิวกุ้ยอิงก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
น้ำเสียงของเซี่ยไห่ทั้งสนิทสนมและเป็นมิตร “พี่อิงจื่อ นั่งลงเถอะครับ ปล่อยพวกเราอยู่กันเอง”
หลิวกุ้ยอิงยังคงเสียสละเก้าอี้นั่งให้พวกเขา “พวกเธอนั่งก่อนสิ”
เมื่อได้ยินเซี่ยไห่เรียกหลิวกุ้ยอิงว่าพี่ ฟางจิ้นเป่าก็บ่นทันทีว่า “เหล่าเซี่ย เมื่อไหร่นายจะเลิกนิสัยนับลำดับญาติไปเรื่อยซะที? หล่อนเป็นแม่ของลูกน้องนาย แถมยังเป็นแม่ยายของเจียเหออีกด้วย เหมาะสมไหมที่จะเรียกหล่อนว่าพี่สาว? ถึงหล่อนจะยังไม่แก่มาก แต่ก็ควรเรียกโดยอิงตามลำดับญาติหรือเปล่า?”
เซี่ยไห่หัวเราะเยาะ “เหล่าฟาง นายก็อายุสี่สิบเหมือนกัน งั้นนายลองเรียกพี่อิงจื่อว่าป้าดูสิ? คิดว่ามันเหมาะสมหรือเปล่าล่ะ?”
“ฉัน…”
ฟางจิ้นเป่าลูบหัวตัวเองและแสดงสีหน้าลำบากใจ
อันที่จริงแม่ยายของเฉินเจียเหอมีอายุใกล้เคียงกันกับเขา ถ้าว่ากันด้วยเรื่องวัยแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเรียกหล่อนว่าป้าได้จริง ๆ นั่นแหละ
ฟางจิ้นเป่าจึงไม่รู้ว่าควรจะเรียกหลิวกุ้ยอิงว่าอะไรดี เขามองหล่อนแล้วคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า “คุณคงเห็นแล้วว่าต้องโทษเจียเหอที่ทำให้เรื่องยุ่งยากวุ่นวาย เขานับพวกเราเป็น ‘เพื่อน’ ไปหมด”
หลิวกุ้ยอิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ คุณสามารถเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ ขอแค่เป็นอันเข้าใจว่าหมายถึงฉัน ดังนั้นรีบนั่งลงเร็วเข้า”
ฟางจิ้นเป่าพูดด้วยเสียงอันดังว่า “น้องสะใภ้ เจิ้งอวี่กับฉันผมเผ้าหนวดเครารุงรัง ช่วยตัดเล็มให้พวกเราด้วย เจิ้งอวี่อยู่ในวัยที่ควรหาคู่ครอง เธอต้องออกแบบทรงผมให้เขาดูหล่อที่สุด ส่วนฉันแค่โกนให้ดูเรียบร้อยก็พอแล้ว ฉันไม่อยากให้ภรรยาที่รักต้องลำบากใจเวลาออกไปข้างนอก ถ้าโกนหัวแล้วมันอาจจะช่วยกลบความหล่อเหลาของฉันไว้ได้นิดหน่อย”
ทุกคน “!!!”
เซี่ยไห่มองเขาด้วยสายตารังเกียจ “พระเจ้าช่วย นายไม่รู้สึกกระดากอายในความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตอนพูดแบบนี้ออกมาเลยหรือไง? พูดมาได้ว่าตัวเองหล่อเหลา นายไม่เคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองหรือยังไงกัน?”
ถังจวิ้นเฟิงเห็นด้วยกับเขา “ฮ่าๆ พูดได้ดี นับวันเหล่าฟางยิ่งมีความถ่อมตัวน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว เขาคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนอู่ซง(1) แต่ที่แท้เขาเหมือนหลู่จื้อเซิน(2)ต่างหาก”
เซี่ยไห่ลากเขาไปส่องกระจก “นี่ ส่องกระจกซะ คิดว่าตัวเองน่ากลัวไหม?”
ฟางจิ้นเป่ามองดูใบหน้าที่ยังไม่ได้โกนหนวดเคราของตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย “เหล่าเซี่ย เจียเหอ นายต่างหากที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สมัยพวกเราเข้าร่วมกองทัพแรก ๆ ตอนนั้นฉันหน้าตาดีจะตายไป ตอนนี้ฉันแค่ไม่ได้แต่งตัวดี ๆ เท่านั้นเอง ถ้าเอาจริงขึ้นมาฉันก็เป็นคนหล่อคนหนึ่งเหมือนกัน”
เซี่ยไห่เยาะเย้ยเบา ๆ “คนเก่งจะไม่บอกว่าตัวเองเก่ง ย้อนกลับไปตอนนั้นฉันก็เป็นอันดับหนึ่งในไห่เฉิงเหมือนกัน”
เฉินเจียเหอคิดสักครู่แล้วพูดว่า “ฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนนายหน้าตาเป็นยังไง”
ฟางจิ้นเป่ารู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ จึงได้แต่เบะปากแล้วนั่งลง
หลินเซี่ยมองไปทางพวกผู้ใหญ่ที่เถียงกันเหมือนเด็ก ๆ อย่างพูดไม่ออก ก่อนที่เธอจะพูดกับลู่เจิ้งอวี่ว่า “เจิ้งอวี่ เดี๋ยวชุนฟางจะสระผมให้นายก่อน แล้วฉันค่อยตัดผมให้นะ”
“ครับ”
จากนั้นหลินเซี่ยก็เริ่มตัดผมให้กับลู่เจิ้งอวี่ ในขณะที่สหายพี่น้องนั่งดูสลับกับทะเลาะวิวาทและคุยโม้ถึงเรื่องในอดีต
…………………………………………………………………………………………………………………………
อู่ซง 武松 หรือบู๊สง ตัวละครในเรื่องซ้องกั๋ง เป็นนายโจรคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมาก รูปลักษณ์ของอู่ซงนั้นสูงใหญ่หกฟุต หล่อเหลาสง่างาม
หลู่จื้อเซิน 鲁智深 ตัวละครในเรื่องซ้องกั๋งเช่นเดียวกัน เป็นดาวสวรรค์อันดับสิบสาม ฉายา ‘ดาวสวรรค์โดดเดี่ยว’ บุคลิกหน้ากลม หูใหญ่ ตาโปน หนวดเคราหนาดก ปากกว้าง พูดจาโผงผางเสียงดัง
สารจากผู้แปล
เจิ้งอวี่เจอคนที่ใช่หรือยังนะ
ไม่ต้องเถียงกันค่ะหนุ่มๆ ผ่านกรรไกรเซี่ยเซี่ยเมื่อไหร่ก็จะหล่อดูดีกันหมดทุกคนเอง
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 261 นายว่าฉันมีโอกาสไหม?
ตอนที่ 261 นายว่าฉันมีโอกาสไหม?
หลินเซี่ยคว้ามือชุนฟางที่ปิดตาตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “โธ่เด็กน้อย เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว เดี๋ยวนี้เธอสามารถใส่เสื้อสบาย ๆ แบบนี้เวลาไปชายหาดได้แล้ว และก็ไม่มีใครมาถ่มน้ำลายใส่เราหรอก”
เจียงอวี่เฟยเห็นด้วย
“ใช่แล้ว ฉันเคยเห็นคนใส่เสื้อแบบนี้ออกทีวีด้วย มันคือศิลปะ”
พูดตามตรง เจียงอวี่เฟยไม่แปลกใจเลยกับปฏิกิริยาของชุนฟาง
จนถึงตอนนี้ แม้แต่หล่อนเองก็ยังกังวลไม่หาย ในขณะที่การประกวดยังดำเนินต่อไป พ่อของตนคงต้องรู้เรื่องนี้ในไม่ช้าก็เร็ว
จินตนาการไม่ออกเลยว่าพ่อของหล่อนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าเห็นหล่อนในทีวี แถมยังแต่งตัวแบบนั้นอีก?
เขาคงจะโกรธมากจนหยิกตีหล่อนไม่หยุด หรือใช้ไม้กวาดไล่ฟาดจนกว่าหล่อนจะสำนึกผิด
แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
หลินเซี่ยเริ่มเตรียมเครื่องสำอาง พลางพูดกับเจียงอวี่เฟยว่า
“คราวนี้เรามาแต่งเบา ๆ กันดีกว่า มาลองแต่งหน้ากันหน่อย ฉันจะแต่งให้เธอดูหวานขึ้นสักหน่อย อย่าแต่งจนฉูดฉาดเกินไป เวลาเดินอยู่บนเวทีจะได้ดูเป็นธรรมชาติ”
“เซี่ยเซี่ย เธอช่วยแต่งจัด ๆ ไปเลยได้ไหม? คงดีกว่าถ้าแต่งให้คนรู้จักจำหน้าฉันไม่ได้ไปเลย”
หลินเซี่ยตอบกลับ “ไม่ได้ สไตล์การแต่งหน้าครั้งก่อนส่งเสริมบุคลิกให้เธอดูสง่าและเป็นตัวเองไปแล้ว คราวนี้เราต้องเปลี่ยนสไตล์ จะแต่งหน้าจัดเกินก็ไม่ได้ นอกจากนี้เธอยังเด็กเกินไป ไม่เหมาะกับการแต่งหน้าหนัก ๆ แต่งให้มันดูสดชื่นและหวานฉ่ำจะดีกว่า รูปร่างหน้าตาเธอเองก็สวยใช่เล่น ถือเป็นข้อได้เปรียบเยอะเลย เดี๋ยวเสียของหมด”
หลินเซี่ยไม่ได้คำนึงถึงเจียงอวี่เฟยเพียงอย่างเดียว เธอยังต้องการแสดงทักษะการจัดแต่งทรงผมของตัวเอง และให้ทุกคนเห็นความสามารถและทักษะของเธอในฐานะสไตลิสต์
เธอพูดมานานแล้วว่านี่คือโอกาสของเจียงอวี่เฟย และมันก็เป็นโอกาสของเธอเองด้วย
เจียงอวี่เฟยทำได้แค่ฟังหลินเซี่ย และปล่อยให้เธอจัดแจงทุกอย่าง
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหลินเซี่ยเป็นมืออาชีพขนานแท้
ชุนฟางมองดูทักษะการแต่งหน้าอันยอดเยี่ยมของหลินเซี่ย ไม่นานก็ต้องตกตะลึง
“เซี่ยเซี่ย นี่มันสุดยอดไปเลย”
หลังจากแต่งหน้าเสร็จแล้ว ดูเผิน ๆ อาจจะยังดูคล้ายลุคเดิม แต่พอมองดูดี ๆ จะเห็นได้ว่ามันให้อารมณ์เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งเลย
เจียงอวี่เฟยสวมชุดราตรีสีขาวนวลประดับเพชร หล่อนบอกว่านี่เป็นสินค้านำเข้าที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้าด้วยเงินก้อนโต หลังสวมชุด แต่งหน้า ทำผม และยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมสวมรองเท้าส้นสูง ทั้งร่างก็ดูเปล่งประกายมาก ๆ
หลินเซี่ยพูดขึ้น “ในเมื่อแต่งตัวเสร็จหมดแล้ว งั้นไปที่ห้องเต้นรำของเถ้าแก่เซี่ยใกล้ ๆ กันสิ ที่นั่นกว้างขวางมาก เราสามารถใช้เป็นห้องฝึกซ้อมได้”
เจียงอวี่เฟยสวมเสื้อคลุมแล้วเดินตามหลินเซี่ยไปที่ห้องเต้นรำ
การฝึกอบรมในห้องเต้นรำเพิ่งจบลง และพนักงานกำลังเลิกงาน
เมื่อพวกเขาได้ยินว่านางแบบสาวสวยกำลังจะมาซ้อมเดินแบบที่นี่ พวกเขาจึงหยุดและมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
แน่นอนว่าทันทีที่หลินเซี่ยถอดเสื้อคลุมของเจียงอวี่เฟยออก เจียงอวี่เฟยที่ยืนอยู่ท่ามกลางคนที่นั่นได้กลายเป็นที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
เมื่ออาจารย์ฝึกอบรมจากเซินเจิ้นเห็นรูปร่างหน้าตาของเจียงอวี่เฟยเข้า ดวงตาของเขาก็พลันสว่างวาบ
เขาเอ่ยชื่นชมว่า “การแต่งหน้าทำให้เธอดูสดใสมาก”
หล่อนช่างงดงามเหลือเกิน รูปลักษณ์ที่สดใสและอ่อนหวานนี้ ประกอบกับใบหน้าอันบอบบางและเรียวเล็กของหล่อน ทำให้ผู้คนละสายตาจากหล่อนไม่ได้จริง ๆ
เมื่อเห็นเจียงอวี่เฟยกลับมาซ้อมเดินแบบอีกครั้ง หลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงก็พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง จึงเตรียมเพลงสำหรับประกอบการแสดงของหล่อนอย่างกระตือรือร้น และยังเปิดไฟโทนเย็นรอบห้องเพื่อสร้างบรรยากาศ
หลินเซี่ยเหลือบมองหลินจินซานที่ควบคุมระบบไฟ ริมฝีปากของเธอพลันกระตุกเล็กน้อย เขาเห็นคนแต่งตัวแบบนี้เข้ามาเต้นดิสโก้เธคหรือไง ถึงจัดแสงสีเจิดจ้าวิบวับแบบนี้?
“พี่ชาย แสงมันแพรวพราวเกินไปหน่อย เปิดแค่ไฟสีขาวก็พอแล้ว”
“โอ้”
เจียงอวี่เฟยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อเผชิญกับสายตาของคนที่ไม่คุ้นเคยนับสิบซึ่งเต็มไปด้วยความสนใจ
หลินเซี่ยกระซิบ
“คิดซะว่าทุกคนเป็นผู้ชมด้านล่างเวที ผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย ไม่ต้องกังวลจนเกินไป”
พอได้ยินคำเตือนนี้ เจียงอวี่เฟยก็เข้าสู่สถานะตั้งอกตั้งใจอย่างรวดเร็ว
หล่อนซ้อมเดินอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นก็ได้รับเสียงปรบมือ ทั้งยังได้รับเสียงเชียร์จากผู้ชมมากมาย
ห้องเต้นรำจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้แล้ว ซึ่งตอนนั้นเจียงอวี่เฟยจะไม่สะดวกใช้พื้นที่ตรงนี้ซ้อมเดินแบบอีกต่อไป หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ หล่อนก็มองไปยังเซี่ยไห่และขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าเซี่ย ขอบคุณที่ให้ฉันยืมสถานที่สำหรับฝึกซ้อมนะคะ ถ้าฉันชนะหรือได้อันดับในการประกวด ฉันจะเลี้ยงมื้อค่ำสุดพิเศษให้พวกคุณทุกคนเป็นการตอบแทน”
“คุณเจียง ผมเชื่อมั่นในความสามารถของคุณ เราจะตั้งตารอนะ”
เจียงอวี่เฟยสวมเสื้อคลุม ก่อนกล่าวอำลาพวกเขา “งั้นขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เจียงอวี่เฟยและหลินเซี่ยเดินออกไป ขณะที่หลินจินซานยังคงยืนมองไปทางประตู
เฉียนต้าเฉิงเข้ามาแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าเขา “ตาแทบจะถลนออกมาแล้วมั้ง”
“พี่เฉิง นายคิดว่าฉันยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่า?” หลินจินซานพูดพลางแสดงสีหน้าว่างเปล่า
“ทั้งนายและทุกคนต่างก็รู้จักเสี่ยวหลินและน้องเขยของเธอดี นายคิดว่าตัวเองมีโอกาสแค่ไหนกันล่ะ? เฉินเจียวั่งจะยอมให้นายเป็นคู่แข่งไหม ถ้านายมีโอกาส ฉันกับหัวหน้าก็มีโอกาสเหมือนกันแหละวะ ขนาดโฉมงามยังคู่กับเจ้าชายอสูรได้เลย โลกนี้มีความยุติธรรมที่ไหนกันล่ะ?”
เด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเสียงดัง เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียนต้าเฉิง
“ฮ่าๆๆ พี่เฉิง อย่าเปรียบเทียบพี่ซานแบบนั้นสิ”
ถังหลิงเห็นหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ เข้าไปในห้องเต้นรำ เดิมทีหล่อนต้องการจะเข้าไปทักทายและร่วมสนุก เพื่อหาทางตีสนิทกับพวกเขาให้มากขึ้น
ขั้นแรกคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเซี่ยไห่
ไม่คาดคิดว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยจะเอายืนจ้องมองร้านตัดผมของหลินเซี่ย พลางบ่นและสาปแช่งทุกสิ่งทุกอย่าง
ถังหลิงได้แต่เหม่อลอย ขี้เกียจเกินกว่าจะฟังสารพัดคำด่าของหล่อน
หลิวลี่ลี่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างมากกับเสิ่นเสี่ยวเหมย เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่ม หลิวลี่ลี่ก็พูดเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับหลินเซี่ยในทุกรูปแบบ
จนกระทั่งหลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยออกมาจากประตูห้องเต้นรำ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็จากไปพร้อมกระเป๋าของหล่อน
ถังหลิงรู้ว่าตัวเองคลาดโอกาสแล้ว จึงมองตามแผ่นหลังของเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยสายตามืดครึ้ม
คนโง่คนนี้ นับจากนี้หล่อนจะพยายามไม่ติดต่อใกล้ชิดอีกต่อไป
คนๆ นี้ช่างไร้ประโยชน์ ดีแต่ถ่วงความเจริญของหล่อนก็เท่านั้น
หลังกลับมาที่ร้านตัดผม เจียงอวี่เฟยก็เปลี่ยนชุดมาสวมกางเกงยีนส์กับแจ็กเก็ตผ้าฟลีซที่สวมใส่สบายและเคลื่อนไหวได้สะดวก
หล่อนถามหลินเซี่ยอย่างลังเลว่า “เธอได้เจอเฉินเจียวั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้บ้างไหม? เขาจะมาดูการประกวดของฉันหรือเปล่า?”
ครั้งล่าสุดเขาออกไปกลางคัน ไม่หันมามองหล่อนบนเวทีด้วยซ้ำ เจียงอวี่เฟยจึงหวังว่าครั้งนี้ในรอบการประกวดอย่างเป็นทางการ เฉินเจียวั่งจะมานั่งชมการแสดงของหล่อนอีกครั้ง
ดวงตาหลินเซี่ยกะพริบเล็กน้อย และเกิดความลังเล
“ช่วงนี้เขาค่อนข้างยุ่ง คงอาจจะเป็นครั้งหน้า”
“ยุ่งเรื่องอะไรเหรอ?” เจียงอวี่เฟยถามอย่างสงสัย
“รักษาตัวน่ะ”
หลินเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หมอเย่กำลังดูเรื่องฝังเข็มให้เขาอยู่ ตอนนี้เขาต้องเก็บตัวตามคำสั่งหมอ อย่าเพิ่งรบกวนเขาจนกว่าสภาพร่างกายจะฟื้นตัวเต็มที่ดีกว่า”
เธอไม่กล้าบอกเจียงอวี่เฟยว่าเฉินเจียวั่งมีอาการลมบ้าหมูกำเริบหนักอีกครั้ง
เธอไม่อยากให้เจียงอวี่เฟยคิดว่าเฉินเจียวั่งยังไม่หายดีเหมือนคนไม่ปกติทั่วไป
เฉินเจียวั่งรับการรักษาจากหมอเย่แล้ว คาดว่าไม่นานน่าจะหายเป็นปกติ ในภายหน้าตราบใดที่เขารักษาความมั่นคงทางอารมณ์เอาไว้ได้ ความถี่ของการโจมตีจากโรคก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ
เจียงอวี่เฟยผิดหวังเล็กน้อยเมื่อฟังจบ “โอ้ งั้นคราวหน้าเราชวนเขาออกไปเที่ยวกันเถอะ”
ระหว่างทั้งสองกำลังคุยกัน จู่ ๆ เจียงกั๋วเซิ่งก็เดินเข้ามา
เจียงอวี่เฟยถึงกับสะดุ้งตกใจ
“พ่อ ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”
เจียงกั๋วเซิ่งประหลาดใจเมื่อเห็นเจียงอวี่เฟย “เป็นพ่อมากกว่าที่ควรจะถาม ลูกไม่ได้ไปเรียนหนังสือหรือไง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เจียงอวี่เฟยรีบอธิบาย “ฉันมาที่นี่หลังจากเลิกเรียนแล้วต่างหาก”
หล่อนกลัวว่าพ่อจะโกรธและหาทางจับผิด จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พ่อมาที่นี่เพราะอยากกินเหลียงเฝิ่นของป้าหลิวอีกแล้วเหรอ?”
เจียงกั๋วเซิ่ง “…”
หลินเซี่ยเหลือบมองเจียงกั๋วเซิ่งที่เขินอาย และอธิบายให้เจียงอวี่เฟยด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเป็นคนนัดลุงเจียงให้มากินข้าวด้วยกันเมื่อมีเวลาว่างเองแหละ ไม่คิดว่าเขาจะมีเวลาว่างเร็วขนาดนี้”
เจียงอวี่เฟยสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมหลินเซี่ยถึงอยากกินข้าวกับพ่อของหล่อน?
เป็นไปได้ไหมที่ป้าหลิวอาจเปลี่ยนใจอีกครั้ง
เจียงกั๋วเซิ่งเข้ามาข้างใน หลินเซี่ยขอให้ชุนฟางเฝ้าร้าน แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ออกไปนั่งในร้านน้ำชาตรงนั้นกันค่ะ”
“อืม”
ทั้งสามคนไปที่โรงน้ำชาตรงหัวมุมถนน บรรยากาศที่นั่งบนชั้นสองนั้นเงียบสงบมาก
เมื่อก่อนมีอาจารย์สอนเล่าเรื่องอยู่ที่ชั้นหนึ่งของโรงน้ำชา แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย บรรยากาศจึงดูเงียบเหงา
หลังจากนั่งลงและสั่งชากับของว่างแล้ว เจียงกั๋วเซิ่งก็มองไปทางหลินเซี่ยแล้วถาม
“เซี่ยเซี่ย เธอโทรเชิญฉันมาที่นี่เป็นการส่วนตัวแบบนี้ มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่า?”
“ลุงเจียง ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณจริง ๆ ค่ะ และยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์บางอย่างในโรงงานเครื่องจักรอีกด้วย” หลินเซี่ยมองเขาอย่างจริงจังแล้วตอบกลับ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่ซานคิดจะสู้กับเจียวั่งเหรอ รายนั้นนางฟ้าน้อยของพี่เขามีใจให้ด้วยนะ
เอาล่ะ เซี่ยเซี่ยจะบอกความลับอะไรในโรงงานให้รองผอ.เจียงนะ?
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 255 แล้วถ้าไม่ใช่ลูกของคุณเองล่ะ?
ตอนที่ 255 แล้วถ้าไม่ใช่ลูกของคุณเองล่ะ?
เมื่อเห็นว่าทัศนคติของหลินเซี่ยไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เสิ่นเถี่ยจวินก็แตะจมูก ก้าวไปข้างหน้า มองเธอและเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับธุระสำคัญ “เซี่ยเซี่ย แม่เธอคงมาคุยเรื่องนี้กับเธอแล้ว ตำรวจก็ได้รับเอกสารและสรุปผลการสอบสวนออกมาเป็นที่เรียบร้อย ถ้าตำรวจไม่ตามเจอพยาบาลที่อยู่ในห้องคลอดตอนนั้น ฉันเองก็คงไม่รู้ว่าพฤติกรรมที่ขาดความรอบคอบในยามลนลานจะนำไปสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่แบบนี้
ตอนนั้นแม่บุญธรรมของเธออ่อนแอมากหลังจากคลอดลูกเสร็จ แถมยังอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าอยากรีบกลับมาดูแลหล่อนเร็ว ๆ ถึงได้ละเลยและบังเอิญอุ้มเธอกลับมาสลับกับอวี้อิ๋งโดยไม่ตั้งใจ หลายปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองอุ้มเด็กกลับมาผิดคน ไม่อย่างนั้นฉันคงส่งเธอกลับบ้านนอกไปนานแล้ว”
น้ำเสียงของเสิ่นเถี่ยจวินมีความจริงใจ และสิ่งที่เขาพูดก็สมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ
แม้แต่ตำรวจก็ไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ ในการให้ปากคำครั้งนี้
หลินเซี่ยสบตาที่จริงใจของอีกฝ่าย จากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ และเลือกที่จะประชดด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ผู้อำนวยการเสิ่น คุณแค่ประมาทเลินเล่อไปเองจริง ๆ เหรอ? ในเมื่อคุณเป็นคนอุ้มเด็กออกมาจากห้องคลอดก่อนใคร แล้วทำไมคุณถึงไม่เคยบอกฉันถึงความจริงข้อนี้ แถมยังสาดน้ำสกปรกให้แม่ฉันกลายเป็นคนผิดด้วย?”
เหตุผลเหล่านี้ไม่ตรงกันกับสิ่งที่เขาพูดในตอนแรกเลย เธอยังไม่ลืมว่าเขาผลักความผิดไปทางหลิวกุ้ยอิงเพียงฝ่ายเดียว
ดวงตาของเสิ่นเถี่ยจวินกระพริบเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะอธิบายด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าเธอกับอวี้อิ๋งถูกสลับตัวกัน ฉันโกรธมากจนขาดความยั้งคิด ประกอบกับได้ยินคนอื่น ๆ สันนิษฐานไปต่าง ๆ นานา ทำให้ฉันพลอยโทษแม่เธออย่างไม่ยุติธรรม”
“สหายกุ้ยอิง ผมต้องขอโทษจริง ๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเข้าใจคุณผิดไป” เสิ่นเถี่ยจวินมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ย ก่อนจะถอนหายใจ “เหตุการณ์มันผ่านมานานมากจนตัวผมจำไม่ได้แล้วว่าในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนตำรวจมาหาผมแล้วเอ่ยถึงชื่อของพยาบาลคนนั้น ผมก็เกือบจำหล่อนไม่ได้ อย่าลืมว่ามาตรฐานของโรงพยาบาลในพื้นที่ห่างไกลตอนนั้นไม่ดีเท่าตอนนี้ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเล็ก ๆ ที่ทุรกันดาร สหายกุ้ยอิง คุณคงจำได้ว่าในโรงพยาบาลนั้นเล็กมาก มีห้องคลอดใหญ่ ๆ แค่ห้องเดียว มีผ้าม่านปิดประตูกั้นวอร์ดเอาไว้ แถมตอนนั้นบุคลาการทางการแพทย์ก็งานยุ่งมาก ในฐานะญาติคนไข้ที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนั้น คงไม่แปลกที่ผมจะสับสนและเข้าใจผิดถูกไหม?”
หลิวกุ้ยอิงสบสายตาที่จริงใจของเสิ่นเถี่ยจวิน จึงฝืนยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “ใช่ค่ะ ตอนนั้นสภาพแวดล้อมค่อนข้างแย่จริง ๆ”
เสิ่นเถี่ยจวินได้ยินดังนั้นก็กางมือออกแล้วพูดด้วยท่าทางเอื้อเฟื้อ “นอกจากนี้ ต่อให้ผมต้องการสลับตัวเด็กจริง ๆ ผมก็ไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรเลย!”
หลินเซี่ยยิ่งแสดงสีหน้าเสียดสีหนักขึ้นไปอีก
เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วถามย้ำว่า “ไม่มีแรงจูงใจอื่นจริง ๆ เหรอคะ?”บราวนี่ออนไลน์
“คิดว่าฉันมีแรงจูงใจอะไรล่ะ?” เสิ่นเถี่ยจวินพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อยเอ๋ย ในขณะที่ในใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธ เธอไม่ควรคาดเดาอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะ ถ้าพูดถึงแรงจูงใจ พูดตามตรงว่าแม่ของเธอยังมีแรงจูงใจมากกว่าฉันซะอีก”
เสิ่นเถี่ยจวินในวันนี้แตกต่างจากวันอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง เขาไม่เพียงโกรธเคืองเมื่อเห็นหลินเซี่ย กลับส่งยิ้มให้อย่างใจเย็นยิ่ง “ถึงในตอนนั้นฉันจะทำงานอยู่ที่อำเภอห่างไกล แต่แม่บุญธรรมของเธอและฉันต่างก็จดทะเบียนสมรสกันในเมืองใหญ่ ไม่ช้าก็เร็วเราต้องได้กลับเข้ามาอยู่ที่นี่ ถ้าถึงวันที่ต้องกลับมา พ่ออย่างฉันคงไม่สามารถทำใจทิ้งลูกของตัวเองไว้ข้างหลังแล้วกลับมาพร้อมกับเด็กบ้านนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแน่ มันไม่สมเหตุสมผลเลย”
“แล้วถ้าไม่ใช่ลูกของคุณเองล่ะ?” หลินเซี่ยมองหน้าเขา จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย ใบหน้าของเขาก็กระตุกด้วยความตกใจทันที แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“เธอพูดเรื่องอะไร?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชา ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถพูดคุยกับเธออย่างใจเย็นได้อีกต่อไป
หลินเซี่ยมองเขา หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ผู้อำนวยการเสิ่น ฉันเชื่อว่าตัวคุณน่าจะรู้ดีกว่าฉันนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นบ้าง”
ท่าทางดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังของหลินเซี่ย ทำให้เสิ่นเถี่ยจวินเริ่มอยู่ไม่สุข
ดูเหมือนเธอจะรู้อะไรบางอย่าง
แต่คนอย่างเธอจะรู้ความคิดอันดำมืดที่ซ่อนอยู่ลึกสุดในใจของเขาได้อย่างไร?
“เซี่ยเซี่ย ฉันรู้ว่าเธอมีช่องว่างทางจิตใจบางอย่าง หรืออาจจะโกรธที่พวกเราขับไล่ไสส่งเธอออกจากบ้าน แต่เธอไม่สามารถใส่ร้ายใครได้ตามใจชอบ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ครอบครัวของเราก็ทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูเธอมาจนโต”
เสิ่นเถี่ยจวินสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว มองหน้าหลิวกุ้ยอิงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “สหายกุ้ยอิง เนื่องจากความประมาทของฉันในตอนนั้น จึงบังเอิญให้ครอบครัวของเราทั้งสองต้องเลี้ยงดูลูกผิดคน หลังจากผ่านไปหลายปี ผมได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับครอบครัวของคุณก็จริง แต่ในที่สุดพวกหล่อนก็ยังโชคดีที่ได้กลับไปสู่ที่ของตัวเองแล้ว ลูกสาวได้กลับมาสู่อ้อมอกของคุณอีกครั้ง ถือว่ายังไม่สายเกินไป”
เสิ่นเถี่ยจวินพูดต่อ “เพื่อแสดงความจริงใจ ผมวางแผนว่าจะจ่ายเงินค่าชดเชยให้คุณสองพันหยวน ถือว่าแทนคำขอโทษจากผม ผมได้ยินมาว่าพวกคุณดูแลอวี้อิ๋งเป็นอย่างดีเสมอมาเช่นกัน ฉะนั้นเงินในส่วนนี้จะถือเป็นการตอบแทนสินน้ำใจที่คุณเคยเสียไปในเวลานั้น ค่ารักษาพยาบาลของหล่อนถือเป็นอันหายกันแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเราสองครอบครัวจะปฏิบัติต่อกันเหมือนญาติ อวี้อิ๋งจะปฏิบัติต่อคุณในฐานะแม่บุญธรรม ส่วนเซี่ยหลานและผมจะปฏิบัติต่อเซี่ยเซี่ยเหมือนเป็นลูกสาวแท้ ๆ”
“ผู้อำนวยการเสิ่น เราไม่สามารถรับเงินของคุณไว้ได้จริงๆ ค่ะ ฉันคิดว่าพวกเราจะยังมอบหมายหน้าที่ให้ตำรวจทำการสืบสวนความจริงต่อไป แล้วให้คำอธิบายที่ชัดเจนกว่านี้ให้พวกเรา” หลินเซี่ยแย้ง
เสิ่นเถี่ยจวินไม่สามารถเสแสร้งได้อีกต่อไป ดวงตาเฉียบคมของเขาหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเริ่มแฝงกลิ่นอายข่มขู่อย่างรุนแรง รังสีเย็นชาทำให้หลิวกุ้ยอิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวสั่น
“เธอหมายความว่ายังไง? ฉันอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อขอโทษ แต่เธอกลับไม่ยอมรับมันงั้นเหรอ?”
หลินเซี่ยไม่เกรงกลัวสายตาและท่าทางของเขาเลย เธอจ้องตาเขากลับด้วยทัศนคติที่มั่นคงไม่แพ้กัน “พวกเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับความยุติธรรม”
“ความยุติธรรมแบบไหน? ตอนนั้นฉันผิดเองไง ฉันยอมรับผิดแล้ว และฉันก็ยินดีมาขอโทษพวกเธอด้วยตัวเองด้วยโดยที่ไม่ต้องรอให้ตำรวจมาไกล่เกลี่ย ทำไมถึงได้ดื้อรั้นขนาดนี้?”
หลินเซี่ยมองเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้อำนวยการเสิ่น คุณอยากให้ฉันบอกความจริงกับคุณทุกอย่างหรือเปล่าล่ะคะ?”
สายตาของเธอแหลมคมราวมีดกรีดเฉือน ทำให้เสิ่นเถี่ยจวินร้อนรนเกินกว่าจะมองเธอกลับ
น้ำเสียงของเขาอ่อนลงอีกครั้ง “เซี่ยเซี่ย ฉันหวังว่าหลังจากนี้ไปเธอกับแม่จะมีความสุขตามอัตภาพโดยที่ไม่ลำบาก ยื้อคดีไว้แบบนี้มันไม่เป็นการดีสำหรับเราทั้งคู่ ทั้งฉันและครอบครัวของสามีเธอต่างก็เป็นที่รู้จักกันดีในละแวกเมืองไห่เฉิง ถ้าเรื่องวุ่นวายขื้นมา มันจะส่งผลเสียลามไปถึงตระกูล ไม่อย่างนั้นคิดเหรอว่าฉันจะยอมมาขอโทษเธอง่าย ๆ”
“ผู้อำนวยการเสิ่น ก็เพราะครอบครัวของคุณค่อนข้างมีชื่อเสียง คุณถึงได้เอาเหตุผลข้อนี้มาเบี่ยงเบนประเด็น คิดว่าเงินและอำนาจจะสามารถปิดปากคนที่มีฐานะด้อยกว่าได้ตลอดไป”
หลินเซี่ยเม้มปากเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอแฝงนัยบางอย่าง “ฉันเดาว่าตำรวจก็คงไปคุยเรื่องนี้กับหมอเซี่ยแล้วใช่ไหมคะ? หล่อนเป็นคนฉลาด น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก”
เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เขาก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ รู้ทันทีว่าหลินเซี่ยได้เจาะลึกเข้าไปถึงความคิดที่เป็นความลับอันมืดมนที่สุดจองตัวเองแล้ว
เขาตอบกลับ “ตอนนั้นหล่อนอยู่ในอาการโคม่าหลังคลอด มีฉัน หมอ และพยาบาลทุกคนในเหตุการณ์เป็นพยานปากคำให้กับเรื่องนี้แล้ว ตำรวจยังจะตามหาหล่อนอีกทำไม?
พวกเธอควรกลับไปคิดให้รอบคอบ อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตโดยที่ไม่จำเป็น ฉัน เสิ่นเถี่ยจวินไม่ได้มีอำนาจอยู่แค่ภายในโรงงานอย่างที่เธอคิด”
หลังจากที่เสิ่นเถี่ยจวินพูดจบ เขาก็เดินจากไป
คำพูดข่มขู่ครั้งสุดท้ายของเสิ่นเถี่ยจวิน ทำให้หลิวกุ้ยอิงเริ่มหวาดกลัว
“เซี่ยเซี่ย หรือว่าพวกเราควรจบเรื่องกับเขาแต่โดยดี ถึงยังไงเขาก็เป็นถึงผู้อำนวยการโรงงาน แถมยังมาจากตระกูลใหญ่ในไห่เฉิง แม่ไม่ได้กลัวอะไรหรอก กลัวก็แต่เขาจะมาสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับลูก”
หลินเซี่ยหัวเราะเยาะ “เขาจะทำอะไรฉันได้ล่ะคะ?”
“แม่ ผลสรุปออกมาชัดเจนแล้วว่าตอนนั้นเขาเป็นคนสลับตัวเด็กจริง ๆ การที่เขามายอมรับผิดก็เพราะอยากรับบทว่าตัวเองก็เป็นเหยื่อไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกเราเจรจาตกลงกันได้ ท่ามกลางผลการสอบสวนที่ไม่ชัดเจน อ่างน้ำสกปรกก็ยังพร้อมจะสาดใส่แม่ทุกเมื่อ ฉันจะไปหาหลักฐานมายื่นให้ทางตำรวจเพิ่มเติม เรื่องนี้ต้องถูกเปิดโปง คดีจะต้องปิดฉากลงโดยที่ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน”
“แต่ว่า…”
หลังจากกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น หลินเซี่ยก็เล่าให้เฉินเจียเหอฟังว่าทำไมเสิ่นเถี่ยจวินถึงมาหาเธอ
เฉินเจียเหอบอกว่า “ต่อให้เรารู้ความจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันไม่ง่ายเลยที่ตำรวจจะรวบรวมหลักฐาน แรงจูงใจของเสิ่นเถี่ยจวินที่เราเข้าใจเป็นเพียงการคาดเดาส่วนตัวเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้”
หลินเซี่ยพึมพำ “แต่เขาเป็นคนทำจริง ๆ นะ”
เฉินเจียเหอไม่อยากให้เธอเสียกำลังใจ แต่ยังคงบอกความจริงว่า “ยี่สิบปีมันผ่านมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือหลักฐานต่างก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสรุปผลออกมาแบบนั้นจึงมีน้อยมาก”
ดวงตาของหลินเซี่ยมืดลง “ต่อให้เป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากคืนดีกับเขา”
“คุณอย่าโมโหไปเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ เดี๋ยวผลการสอบสวนที่ถูกต้องก็ตามมาเอง อีกอย่างบทลงโทษทางกฎหมายไม่ใช่หนทางเดียวที่จะทำให้เขาได้ชดใช้การกระทำของตัวเองซะหน่อย”
หลินเซี่ยหรี่ตาลงพลางครุ่นคิดถึงบางอย่าง
ถึงเวลาแล้วที่เซี่ยหลานควรรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไหนจะเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังในโรงงานเครื่องจักรอีก…
เสิ่นเถี่ยจวินอาจรอดพ้นจากการถูกลงโทษทางกฎหมายในข้อหาสลับตัวเด็กทารก แต่พฤติกรรมที่ขัดต่อหลักกฎหมายและระเบียบวินัยของโรงงานเครื่องจักร กฎหมายก็ยังเอาผิดเขาได้ใช่ไหม?
เฉินเจียเหอบอกว่า “จริงสิ วันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของลุงเซี่ยพอดี พวกเราควรไปฉลองวันเกิดของเขา”
“อืม ได้ค่ะ”
…
บ่ายวันอาทิตย์ เฉินเจียซิ่งโทรหาเสิ่นเสี่ยวเหมย นัดหมายให้หล่อนออกมาที่สำนักงานกิจการพลเรือนในวันพรุ่งนี้เวลาเก้าโมงเช้า
เสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่มคร่ำครวญหวนไห้ทางโทรศัพท์อีกครั้ง “เจียซิ่ง ฉันไม่หย่ากับคุณ ฉันไม่มีทางหย่ากับคุณเด็ดขาด”
ทว่าทัศนคติของเฉินเจียซิ่งทั้งเย็นชาและเด็ดขาด “พรุ่งนี้เช้าคุณต้องมาตามนัดเวลาเก้าโมง ผมไม่ยินยอมให้สถานะการแต่งงานของเราคงอยู่ต่อไป อย่าหาเหตุผลบ้าบออะไรมาเลื่อนเด็ดขาด ขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ เราสองคนขาดกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยตอนนี้ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มแล้วนะ จะข่มขู่อะไรก็ดูสถานะของอีกฝ่ายด้วย ถึงไม่มีหลักฐานเอาผิดเรื่องสลับตัวลูก แต่หลักฐานทุจริตในโรงงานน่าจะมีเพียบล่ะ
เจียซิ่งเอาจริงแล้ว หย่าเป็นหย่า มาคร่ำครวญตอนนี้ก็สายไปแล้วยัยเหมยเน่า
ไหหม่า(海馬)
