ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 269 ทำตัวเหมือนพ่อ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 269 ทำตัวเหมือนพ่อ

ตอนที่ 269 ทำตัวเหมือนพ่อ

เมื่อได้ยินถังจวิ้นเฟิงพูดถึงถังหลิง และมองดูด้วยสายตาที่คลุมเครือ เซี่ยไห่ก็กลอกตาไปทางถังจวิ้นเฟิงอีกครั้ง “นายพยายามจะสื่อถึงอะไร? ลูกพี่ลูกน้องนายไม่มีโอกาสหรอก ไม่ต้องมาวุ่นวายกับภาพนกยวนยาง(1)เลย”

ฟางจิ้นเป่าซุบซิบ “แปลว่ามีคนอื่นอยู่แล้วเหรอ?”

“พี่ไห่ สุดท้ายนายก็ยอมสละโสดแล้วสินะ? ยินดีด้วยแล้วกัน”

ยกเว้นเฉินเจียเหอ อีกหลายคนพยายามคาดเดา

“ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ แล้วก็ไม่สละโสดด้วย มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาส่วนตัวของฉัน” เซี่ยไห่มองพวกเขาพลางเผยรอยยิ้มดูลึกลับ “แต่มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเซี่ยเซี่ยต่างหาก พวกนายจะรู้เองเมื่อถึงเวลา”

“บอกมาตรง ๆ เถอะน่า มันเกี่ยวอะไรกับน้องสะใภ้กันแน่?”

เมื่อพูดถึงหลินเซี่ย พวกเขายิ่งนึกเบาะแสอะไรไม่ออกเลย

ถังจวิ้นเฟิงมองเซี่ยไห่และเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าแปลก ๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงจนเล็กเท่าเม็ดถั่ว

สองคนนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

เขานึกถึงพฤติกรรมผิดปกติทั้งหมดของเซี่ยไห่เวลาอยู่ต่อหน้าหลินเซี่ยก่อนหน้านี้ ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยไห่และหลินเซี่ยมากขึ้น

เขาเคยเตือนเซี่ยไห่มาก่อนว่าควรระวังไม่ให้ถูกเฉินเจียเหอทุบตีเอาได้

ตอนนี้ดูเหมือนว่าสายตาของเซี่ยไห่ที่มีต่อหลินเซี่ยไม่ใช่การล้อเล่นไร้สาระอย่างแน่นอน

เขามองไปทางเซี่ยไห่ พยายามอ่านข้อมูลบางอย่างจากสีหน้าอันบูดบึ้ง

เซี่ยไห่โบกมือ “อย่ามองแบบนั้นสิ เดี๋ยวนายจะรู้เองเมื่อพี่ชายฉันกลับมา ฉันยังบอกนายตอนนี้ไม่ได้”

เฉินเจียเหอเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย เขามองไปทางถังจวิ้นเฟิงแล้วถามว่า “จริงสิ นายอยู่ที่สถานีรถไฟทั้งวัน เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกไหม?”

ความสนใจของฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ถูกคำพูดของเฉินเจียเหอดึงดูดอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างหันมองมาที่เขา “ผู้หญิงคนไหน?”

เฉินเจียเหอโบกมือให้ถังจวิ้นเฟิงเล่าให้พวกเขาฟัง

ถังจวิ้นเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่แท้ ๆ ของหู่จือ”

เมื่อฟางจิ้นเป่าได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน พลางลืมตาอย่างตื่นเต้น “อะไรนะ? ทำไมหล่อนถึงยังโผล่หน้ามาอีก? คิดจะมาแย่งเด็กไปงั้นเหรอ?”

ถังจวิ้นเฟิงดึงเขาและขอให้นั่งลง “เหล่าฟาง ลดเสียงนายลงหน่อย”

“โอ้ เล่ามาหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฟางจิ้นเป่านั่งลงอีกครั้ง

เนื่องจากหัวข้อนี้เป็นประเด็น บรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่ารื่นรมย์แต่เดิม จึงกลับกลายเป็นบรรยากาศจริงจังขึ้นมาทันที

สีหน้าของทุกคนดูเคร่งขรึมมาก พวกเขาทั้งหมดมองไปทางถังจวิ้นเฟิง และเฝ้ารอคำตอบ

“ครั้งสุดท้ายที่ฉันอยู่สถานีรถไฟ เห็นแม่ของหู่จือเข้ามาที่สถานีรถไฟกับใครบางคน ตอนนั้นตรงกับเป็นช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และพวกเขาก็หายตัวไปหลังจากนั้น” ถังจวิ้นเฟิงพูดต่อ “ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ให้ความสนใจเรื่องนี้มาตลอด แต่ไม่ได้เจอหล่อนอีกเลยสักพักใหญ่ เดาว่าหล่อนน่าจะออกจากไห่เฉิงไปแล้ว”

ฟางจิ้นเป่าถามอย่างเร่งรีบ “ฉันจำได้ว่าตอนที่หล่อนทิ้งหู่จือ จดหมายที่หล่อนให้มาเหมือนจะบอกว่าพ่อแม่ของหล่อนแนะนำให้รู้จักกับผู้ชายอีกคนไม่ใช่เหรอ? แล้วตอนนั้นหล่อนมาทำอะไรที่ไห่เฉิง? เป็นไปได้ไหมว่าหล่อนต้องการพาหู่จือกลับไปด้วย?”

ถังจวิ้นเฟิงตอบกลับอย่างจนใจว่า “ถ้าหล่อนต้องการพาเขากลับไปด้วย เราก็คงทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้วหล่อนก็เป็นแม่แท้ ๆ ของเด็ก”

ฟางจิ้นเป่าถ่มน้ำลายลงพื้น “แม่แท้ ๆ งั้นเหรอ? ไร้สาระสิ้นดี มีแม่ผู้ให้กำเนิดที่ไหนทิ้งลูกในไส้ได้ลงคอ? ตอนนั้นหู่จืออายุไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำ แต่หล่อนก็ทิ้งเด็กไว้หน้าประตูบ้านเจียเหออย่างไร้ความรับชอบ แล้วป่านนี้หล่อนจะกลับมาเอาลูกคืนได้ยังไง?”

“เหล่าฟาง อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม บางทีหล่อนอาจแค่ผ่านมาทางไห่เฉิงเพื่อทำธุระก็ได้ ถ้าต้องการเจอลูกจริง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับหล่อนนานถึงวันนี้”

เซี่ยไห่ดื่มชาและถอนหายใจ “อันที่จริงเมื่อคิดดูแล้ว มันไม่ง่ายเลยสำหรับหล่อนที่เป็นผู้หญิง กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวในวัยยี่สิบต้น ๆ แถมไม่มีญาติหรือครอบครัวที่นี่ด้วยซ้ำ ไม่มีใครเลยที่พึ่งพาได้ พ่อแม่ของหล่อนคงต้องการพาหล่อนกลับไปอยู่กับครอบครัวด้วยกัน แถมพ่อแม่ฝั่งสามีที่เป็นผู้บัญชาการกองร้อยก็ดันเสียชีวิตซะก่อน ถ้าหล่อนไม่ทิ้งเด็กไว้ให้เรา แล้วหล่อนกับลูกจะอยู่กันยังไง?”

ฟางจิ้นเป่าตะคอกอย่างเย็นชา “แต่หล่อนก็ไม่ควรรีบร้อนแต่งงานหรือเปล่า ถ้าภรรยาฉันทิ้งลูกในไส้และเจอผู้ชายคนใหม่หลังจากฉันตายไม่ถึงครึ่งปี ฉันคงต้องโกรธมากจนคลานขึ้นมาจากหลุมศพแน่ เป็นสามีภรรยาหนึ่งวันผูกพันกันตลอดชีวิต คนเรามันจะใจร้ายขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

นอกจากนี้หล่อนยังไม่ทิ้งเงินชดเชยที่กองทัพมอบให้ไว้ให้ลูกเลยสักแดง เอาเงินทั้งหมดออกไปใช้เวลาอยู่กับคนอื่น แค่คิดเรื่องนี้ฉันก็รู้สึกแย่แทนผู้บัญชาการกองร้อยจริง ๆ”

ฟางจิ้นเป่าเป็นคนตรงไปตรงมา ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เมื่อพูดถึงผู้บัญชาการกองร้อยที่เสียสละ

รอยยิ้มบนใบหน้าของคนอื่นหายไป พวกเขาทั้งหมดเริ่มจริงจังมากขึ้น

เฉินเจียเหอพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย หู่จือเติบโตมาอย่างมีความสุขกับพวกเราก็พอแล้ว เมื่อคิดดูดี ๆ ฉันรู้สึกโชคดีมาก โชคดีที่หล่อนทิ้งเด็กไว้กับฉัน ถ้าหล่อนพาเด็กไปที่อื่นและแต่งงานใหม่ ฉันเกรงว่าหล่อนจะไม่เห็นลูกติดอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าลูกจะอยู่หรือตายไปกับหล่อน

ผู้บัญชาการกองร้อยเสียสละเพื่อเรา มันเป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องเลี้ยงดูลูกของเขา ฉันดีใจมากที่มีลูกชาย ห้าปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยรู้สึกว่าเขาเป็นภาระเลย กลับสนุกเสียอีกกับการดูเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่”

แม้การเลี้ยงลูกจะเป็นงานหนัก แต่การเฝ้าดูเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นทีละน้อยก็ทำให้รู้สึกถึงความสำเร็จที่คนอื่นไม่สามารถสัมผัสได้

“เจียเหอ นายจะเปลี่ยนแซ่ของหู่จือเมื่อไหร่? ถ้าจะเปลี่ยนชื่อแซ่ นายต้องบอกความจริงเกี่ยวกับช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาให้ฟังด้วย” ฟางจิ้นเป่ามองเขาแล้วถาม

หู่จือเป็นลูกชายคนเดียวของผู้บัญชาการกองร้อย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขาใช้แซ่เฉินตลอดไป

หลังจากได้ฟังคำถามของฟางจิ้นเป่า เฉินเจียเหอลดสายตาลงเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “รอจนกว่าเขาจะโตมากกว่านี้”

“ก่อนหน้านี้พอฉันเห็นว่าผู้ชายร่างใหญ่อย่างนายกลายเป็นพ่อหู่จือโดยที่นายไม่สนใจจะแต่งงานซะที ฉันก็แอบรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ นายน่ะใจแข็งเกินไป ฉันบอกให้นายทิ้งเด็กไว้ที่บ้านฉัน แล้วปล่อยให้ภรรยาของฉันช่วยเลี้ยงดูอีกแรง แต่นายก็ไม่เห็นด้วย“

ฟางจิ้นเป่าจิบน้ำชา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “แต่ตอนนี้ดีแล้ว นายโชคดีมากและได้แต่งงานกับหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง แถมยังมีความสามารถและจิตใจดี จากการสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านมา ฉันเห็นแล้วว่าเธอใจดีกับหู่จือมาก เป็นการดีเลยที่เธอยอมรับเขาจากก้นบึ้งของหัวใจในฐานะลูกชายแท้ ๆ ไม่ใช่แค่การแสดงละครต่อหน้าคนอื่น ฉันบอกเจิ้งอวี่ครั้งที่แล้วว่าผู้บัญชาการกองร้อยต้องอวยพรนายอยู่บนสวรรค์แน่ ถึงได้ให้หู่จือพบแม่เลี้ยงที่ดีแบบนี้”

“เหล่าฟาง นายก็พูดเกินไป พวกเราทุกคนล้วนเป็นนักวัตถุนิยม อย่าไปเชื่อโชคลางอะไรนั่นเลย ต่อให้เขาจะอวยพรจริงไหมก็แล้วแต่ เจียเหอเองก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เขาถึงดึงดูดเซี่ยเซี่ยที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เซี่ยเซี่ยก็เป็นคนจิตใจดีเสมอต้นเสมอปลาย เข้าอกเข้าใจ ทั้งยังยุติธรรม และหู่จือก็เป็นเด็กดีมาก เจียเหออบรมสั่งสอนเขามาอย่างดี เพราะแบบนี้ครอบครัวสามพ่อแม่ลูกถึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้”

เมื่อพูดถึงหลินเซี่ย ดวงตาของเฉินเจียเหอก็ดูอ่อนโยนและมีความสุข น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงมาก “เหล่าเซี่ยพูดถูก เซี่ยเซี่ยเป็นคนมีเหตุผลและใจดีมาก ฉันโชคดีที่ได้แต่งงานกับหล่อน ยินดียอมรับหู่จือเพราะรักฉันจริง ๆ จะรักบ้านก็ต้องรักอีกาบนหลังคาบ้านหลังนั้นด้วย”

“เฮ้ ฟังนายพูดชมเชยเมียอย่างไร้ยางอายเข้าสิ ไม่อายตัวเองหรือไงกัน?”

ฟางจิ้นเป่ารับบทเป็นพี่ใหญ่ เขาเตือนอย่างมีความรับผิดชอบว่า “ถ้านายมีลูกเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ อย่าปฏิบัติต่อหู่จือต่างไปจากเดิม เด็กคนนั้นน่าสงสารมาก”

เซี่ยไห่พูดอย่างจริงจังว่า “อย่ากังวลไปเลย ถ้าเซี่ยเซี่ยมีลูกในอนาคต เราทุกคนจะช่วยกันดูแล แต่ถ้าดูแลไม่ได้ ฉันจะเอาหู่จือมาอยู่ด้วยและเลี้ยงดูเขาเอง และจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เซี่ยเซี่ยยังเด็ก ดังนั้นเราไม่ควรวางภาระหรือกดดันเธอมากจนเกินไป“

เซี่ยไห่พูดอย่างจริงใจ แฝงมีความรู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งในน้ำเสียง

ฟางจิ้นเป่าสังเกตและถามอย่างสงสัยว่า “เหล่าเซี่ย ทำไมฉันรู้สึกว่าวันนี้นายกำลังพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นพ่อคนจังเลย?”

“เหมือนยังไง?” เซี่ยไห่เหลือบมองอย่างสงสัย

แม้เซี่ยไห่จะอายุพอ ๆ กันกับเขา แต่อาจเป็นเพราะเขายังไม่ได้แต่งงาน ทำให้เขายังดูเป็นผู้ชายที่ไร้เดียงสา เหมือนเด็กโข่งที่ไม่เคยเข้าใจชีวิต

…………………………………………………………………………………………………….

วุ่นวายกับภาพนกยวนยาง 乱点鸳鸯谱

หมายถึงการจับคู่ให้กับคนสองคนที่ไม่ชอบพอกัน

สารจากผู้แปล

พี่ไห่เตรียมพร้อมเป็นพ่อแล้ว ขาดแต่ภรรยานี่แหละที่จะเป็นใคร

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 263 หมายความอย่างนั้นกับคุณ

ตอนที่ 263 หมายความอย่างนั้นกับคุณ

หลินเซี่ยอำลาจากพวกเขา ระหว่างทางกลับบ้านก็เดินผ่านร้านขายผ้าที่ตัวเองมักจะแวะประจำ จึงเข้าไปเลือกซื้อผ้ามาชิ้นหนึ่ง

จากนั้นตรงก็กลับไปที่อาคารพักอาศัย

ทุกคนเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ลานกว้างหน้าอาคารจึงมีชีวิตชีวามาก

อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อย กลางวันเริ่มยาวนาน ช่วงนี้ลุง ๆ ป้า ๆ ทั้งหลายจะยังไม่กลับบ้านไปทำอาหาร แต่ออกมารวมตัวและเต้นแอโรบิกอย่างเบิกบาน

แม้แต่เสี่ยวฮวาก็ตามพี่สาวหวังออกไปเต้นกับพวกเขาด้วย

ล่าสุดคุณลุงคุณเหล่านี้เริ่มเรียนรู้จากคนอื่น ๆ คิดค้นท่าเต้นต่าง ๆ ขึ้นมาด้วยตัวเอง แม้ท่าทางพื้นฐานมองแล้วจะดูคล้ายกับการรำไทเก็ก แต่พอเปิดเพลงคลอกับกลุ่มคนที่เต้นไปในทิศทางเดียวอย่างพร้อมเพรียงกัน มันก็ดูมีเอกลักษณ์สะดุดตา

เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยกลับมาแล้ว ลุงหลี่ก็ทักทายหลินเซี่ยอย่างอบอุ่นและกระตือรือร้น

“มาสิ มาเต้นด้วยกัน”

หลินเซี่ยวางกระเป๋าและถุงขนมไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เข้าไปร่วมสนุกกับพวกเขาด้วย

หลังจากยืนทำงานมาตลอดทั้งวัน พอได้ออกกำลังกายยืดเส้นตามแขนขาสักพัก ทั้งร่างกายก็เหมือนถูกปลดปล่อย

ทันทีที่หลินเซี่ยเข้าร่วม คุณลุงคุณป้าที่เข่าไม่ดีและเฝ้าดูทุกคนจากข้างสนามก็ยิ้มและพูดว่า

“เสี่ยวหลินนี่รูปร่างดีจริง ๆ”

“คนอื่น ๆ ก็เต้นเก่งกันทุกคน ดีแล้วที่รู้จักออกกำลังกาย สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด”

หลังจากร้องเพลงจบ ลุงหลี่ก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “เร็ว ๆ นี้พวกเราออกไปเต้นที่สวนสาธารณะกับบรรดาพนักงานที่เกษียณอายุแล้วจากโรงงานทอผ้า เสี่ยวหลิน พวกเราเอาท่าเต้นทั้งหมดที่เธอออกแบบให้ก่อนหน้านี้ไปสอนพวกเขา จากนั้นเราก็ปรับเปลี่ยนท่าเต้นอื่น ๆ ให้หลากหลายมากขึ้น พวกเราพัฒนากันเร็วมาก ถ้าเธอมีเวลาอย่าลืมแวะมาเลือกเพลงใหม่ให้พวกเราด้วยล่ะ”

หลินเซี่ยตอบกลับอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน “ได้ค่ะ”

หลังจากเต้นเสร็จ หลินเซี่ยก็หยิบของขึ้นมาตามเดิมแล้วกลับบ้าน แต่ไม่ลืมเรียกหวังซิ่วฟางก่อน

“พี่หวัง เจอพี่พอดีเลย”

เธอยื่นถุงขนมใบใหญ่ให้อีกฝ่าย “นี่ขนมของเสี่ยวฮวาค่ะ”

พี่สาวหวังมองดูขนมถุงใหญ่ในมือหลินเซี่ยแล้วรีบปฏิเสธ “เซี่ยเซี่ย นี่ไม่ใช่ปีใหม่หรือช่วงเทศกาลสักหน่อย จะซื้อขนมมากมายขนาดนี้มาฝากทำไมกัน?”

หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “ฉันไม่ได้เป็นคนซื้อน่ะค่ะ”

พี่หวังสับสน “มีคนให้มาอีกทีเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเก็บไว้เองเถอะ”

หลินเซี่ยกลัวว่าเพื่อนบ้านจะได้ยิน ดังนั้นเธอจึงลดระดับเสียงลงและพูดด้วยรอยยิ้ม “รองผอ.โรงงานเจียงตั้งใจซื้อมาให้เสี่ยวฮวาโดยเฉพาะเลยนะคะ”

ทันทีที่พูดถึงรองผู้อำนวยการโรงงานเจียง สีหน้าของพี่สาวหวังก็เบิกบานขึ้นทันที “รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงซื้อให้? ทำไมจู่ ๆ เขาถึงอยากซื้อของให้เสี่ยวฮวากันล่ะ?”

หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาตั้งใจซื้อขนมพวกนี้มาฝากเสี่ยวฮวาโดยเฉพาะ แล้วเขาก็ซื้ออีกถุงหนึ่งให้หู่จือด้วย ต้องบอกว่าหู่จือได้ลาภเพราะเสี่ยวฮวาเลยนะคะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย หวังซิ่วฟางก็มองไปที่ขนมถุงใหญ่ จากนั้นก็เริ่มบิดตัวพลางจับผมตัวเองอย่างเขินอาย ก่อนมองไปที่หลินเซี่ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เสี่ยวหลิน เขาหมายความว่ายังไง?”

“จะหมายความว่ายังไงได้อีกล่ะ? ก็แสดงความปรารถนาดีกับพี่น่ะสิ”

หลินเซี่ยเดินเข้าไปใกล้เธอ มองหน้าแล้วพูดว่า “รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับพี่ พี่ล่ะคิดยังไงกับเขา?”

หวังซิ่วฟางสังเกตจากสีหน้าของหลินเซี่ย รู้ทันทีว่าพวกเธอยังมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกยาว

หล่อนดึงหลินเซี่ยให้ตามกลับไปที่บ้านตัวเอง จากนั้นก็บอกให้เสี่ยวฮวากลับไปอยู่ในห้องของตัวเองก่อน

“เสี่ยวเซี่ย เธอคิดว่าเขาหมายความอย่างนั้นกับฉันจริงเหรอ? ครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน เขาค่อนข้างเย็นชากับฉันมาก ฉันเคยเดินไปอยู่หน้าประตูโรงงานเครื่องจักรเพื่อรอเขาด้วย แต่ทันทีที่เห็นหน้าฉัน เขากลับดูไม่มีเยื่อใย บอกว่าเขายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ไม่มีความกระตือรือร้นต่อฉันเลย ทำให้ฉันรู้สึกว่าใจจริงแล้วเขาอาจจะไม่สนใจฉันเท่าที่ควร ถ้าฉันออกตัวแรงเกินไป สุดท้ายอาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย ในที่สุดก็หยุดคิดเรื่องนี้”

หลังจากผ่านความผิดหวังที่ได้รับจากเฉินเจียเหอมาแล้ว แม้หวังซิ่วฟางจะยังกังวลเรื่องการหาคู่ครองคนใหม่ แต่ความทรงจำเก่า ๆ ก็ทำให้หล่อนตระหนักรู้ถึงสัจธรรมบางอย่าง ความพยายามฝ่ายเดียวไม่เพียงแต่จะไม่ได้ผลตอบรับ ยังเป็นการสร้างความลำบากใจให้กับอีกฝ่ายด้วย

หวังซิ่วฟางมองไปที่หลินเซี่ย จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างหนัก

“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ ที่จะหาผู้ชายสักคนที่เต็มใจแต่งงานกับฉันและช่วยกันดูแลลูก ๆ ก่อนหน้านี้ฉันอาจจะคิดตื้นเขินเกินไป คิดเสมอว่าในเมื่อตัวเองสามารถหาเลี้ยงครอบครัวและดูแลลูกสาวได้เป็นอย่างดี ว่าที่สามีใหม่จะต้องประทับใจในตัวฉันแน่ และจะชอบฉันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่านั่นไม่เสมอไปซะทีเดียว”

“ผู้ชายดี ๆ ไม่ได้ต้องการแค่แม่บ้านที่สามารถซักผ้าและทำกับข้าวได้ ก็เหมือนกับคนหนุ่มสาวสมัยนี้ พวกเขาให้ความสำคัญกับอัธยาศัยที่ดี นิสัยใจคอที่เข้ากันได้ รวมถึงความรู้สึก

ตอนแรกฉันแค่รู้สึกว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าฉันได้ลงเอยกับเขา ถึงยินดีที่จะทำความรู้จักเขาอย่างแข็งขัน ที่แท้ชุดความคิดของฉันก็ล้าสมัย”

หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “พี่สาวหวัง แล้วชุดความคิดพวกนั้นไม่ดีเหรอ การรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ยาวนานและมั่นคง ดีกว่าการแต่งงานเพียงเพื่อหาที่พึ่งพาในชีวิตนะ ถ้าพี่แต่งงานกับใครบางคนแค่เพราะเหตุผลว่าอยากให้เขามาช่วยแบ่งเบาภาระ นานวันเข้าพี่นั่นแหละที่จะกลายเป็นฝ่ายต้องแบกรับความทุกข์”

หวังซิ่วฟางคิดตามอยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็จริง”

“คุณอายุยังน้อย มั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย ฉันรู้ว่าคุณอยากหาสามีจริงจัง แต่คุณอย่าเอาแต่คิดเรื่องแต่งงาน ต้องเผื่อระยะเวลาได้พวกคุณได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นด้วย ไปออกเดตเหมือนคู่รักหนุ่มสาว ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความทรงจำที่ดีต่อกันดีกว่า”

“เสี่ยวหลิน รอบนี้รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจริงจังกับฉันแน่ใช่ไหม? อย่าให้ความหวังกับฉันจนเกินไป ฉันทนรับความผิดหวังไม่ได้แล้วจริง ๆ ฉันอยากเข้าใจความคิดของเขา”

หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “รอบนี้เขาจริงจังค่ะ พี่คงเห็นแล้วว่าเขาพยายามที่จะแสดงความจริงใจ เพียงแต่ช่วงนี้รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงค่อนข้างงานยุ่ง ดังนั้นไม่แปลกที่จะทำให้พี่คิดว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับคุณในเชิงนั้นเลย แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้ไม่สนใจ เพราะฉะนั้นถ้าเขามาหาพี่อีกครั้ง พี่ก็แค่ยอมคุยกับเขาดี ๆ แล้วเปิดใจทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น”

หลังได้รับคำตอบยืนยันแล้ว ในที่สุดหวังซิ่วฟางก็รู้สึกโล่งใจ และตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ ตราบใดที่เขาเป็นฝ่ายมาชวนฉันออกเดต ฉันจะจริงจังอย่างแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เมื่อหลินเซี่ยกลับถึงบ้าน ก็พบว่าเฉินเจียเหอยังไม่กลับมา

หลินจินซานก็ไม่ได้พาหู่จือกลับมาที่นี่ หมายความว่าเฉินเจียเหอยังไม่เลิกงาน เขาต้องฝากท้องไว้กับข้าวในโรงงานแน่ เธอที่ยังไม่ค่อยหิวจึงเปิดทีวีและหยิบบิสกิตออกมาหนึ่งห่อจากบรรดาขนมที่เจียงกั๋วเซิ่งซื้อให้หู่จือ ก่อนเอนหลังพิงบนโซฟา กินขนมไปพลางดูทีวีไปพลาง

จากนั้น ก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เธอตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะถูกใครบางคนปลุก เมื่อเธอลืมตาขึ้นก็ต้องหรี่ตาให้กับแสงไฟในห้อง กระทั่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ส่องสว่างด้วยแสงไฟ เธอมองเขาด้วยความงุนงงและถามออกไปด้วยความเคยชิน “เช้าแล้วเหรอคะ?”

เฉินเจียเหอรู้สึกขบขันกับท่าทางงัวเงียของเธอ เขาเกลี่ยผมหน้าม้าของเธอออกจากหน้าผาก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโง่ ตอนนี้ยังไม่ทันข้ามคืนเลย”

หลินเซี่ยขยี้ตาทันที พอมองนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเข็มนาฬิกาบอกเวลาทุ่มครึ่ง ถึงตระหนักว่าเมื่อกี้นี้ตัวเองแค่เผลอหลับไปบนโซฟา

เขาดึงเธอให้ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นมากินข้าวมื้อเย็นเร็วเข้า”

“หู่จืออยู่ไหนคะ?” ทันทีที่หลินเซี่ยลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าทั้งห้องเงียบสงบ ปฏิกิริยาแรกของเธอคือมองหาหู่จือ

“เขาไปกินข้าวมื้อเย็นกับลุงที่บ้านแม่ยาย คืนนี้น่าจะนอนค้างไม่กลับมา”

“โอ้”

เฉินเจียเหอดึงหลินเซี่ยให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นเธอก็เข้าไปล้างหน้าล้างตา ทำให้หายจากอาการง่วงงุนโดยสมบูรณ์

เธอสูดจมูกแล้วถามว่า “กลิ่นหอมจังเลย คุณทำอะไรเหรอ?”

“ทำสตูว์แบบง่าย ๆ น่ะ”

“ว้าว เดี๋ยวนี้คุณชักจะเก่งขึ้นทุกวัน ทำสตูว์ได้ด้วย”

“ผมถามขั้นตอนต่าง ๆ จากแม่ ฟังแล้วดูเหมือนจะทำตามไม่ยาก”

ไม่นานนักเฉินเจียเหอก็ยกชามสตูว์สองชามออกมาวางบนโต๊ะ

ในชามมีทั้งวุ้นเส้น กะหล่ำปลี ลูกชิ้น และเนื้อหั่นบางพอดีคำ ส่วนผสมค่อนข้างหลากหลาย

“กินเยอะ ๆ นะ ช่วงนี้พวกเราไม่ได้กินข้าวอร่อย ๆ ที่บ้านด้วยกันแบบนี้มานานแล้ว”

หลินเซี่ยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็เห็นจริงตามนั้น ช่วงที่ผ่านมาเธอมักจะไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเฉิน หรือไม่ก็บ้านแม่ และมักจะมีเซี่ยไห่หรือคนอื่น ๆ ติดสอยห้อยตามอยู่เสมอ

หลินเซี่ยตักเข้าปาก จากนั้นชมเปาะอย่างไม่ลังเล “กลิ่นหอมน่ากินมากค่ะ ทักษะการทำอาหารของคุณเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย”

เมื่อเฉินเจียเหอได้รับคำชมเรื่องทักษะในการทำอาหาร มุมปากของเขาก็โค้งขึ้น อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “ช่วงนี้ผมยังพอมีเวลาว่าง ไว้จะทำกับข้าวให้พวกเรากินทุกเย็นนะ”

“แล้วคุณจะงานยุ่งอีกทีเมื่อไหร่?”

เฉินเจียเหอบอกว่า “ยังมีเวลาอีกประมาณสองเดือนในการเตรียมย้ายทรัพยากรการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ ถึงตอนนั้นงานผมน่าจะรัดตัวมาก หัวรถจักรคันใหม่จะถูกใช้งานอย่างเป็นทางการในปีหน้า ช่วงครึ่งปีหลังผมอาจต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในโรงงานใหม่ ทำงานในพื้นที่ปิดตลอดเวลา ดังนั้นผมจะมีเวลาอยู่กับคุณและลูกน้อยลง”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พี่สาวหวังมีหวังแล้วค่ะ สู้ๆ กับการเดตครั้งนี้นะคะ

พี่เหออบอุ่นเหลือเกิน เห้อ ช่วงคริสต์มาสอากาศเย็นแล้วรู้สึกเหงาขึ้นมาเลย ขอคนอย่างพี่เหอสักคนได้ไหมคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท