ตอนที่ 271 คุณไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับฉัน
ตอนที่ 271 คุณไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับฉัน
ทันทีที่หลินจินซานออกไป ถังหลิงก็ดึงเก้าอี้มาแล้วนั่งลงด้วยตัวเอง ก่อนจะมองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวหลิน ฉันว่าช่วงนี้ธุรกิจของเธอคงค่อนข้างดีเลยใช่ไหม?”
หลินเซี่ยก้มหน้ากินข้าวต่อไปด้วยทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรนัก “ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ”
ถังหลิงนั่งอยู่ตรงนั้น กวาดตาดูเฟอร์นิเจอร์ในร้านตัดผม จากนั้นก็ไม่ลืมชื่นชมหลินเซี่ยในความสามารถของเธอ
“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?” หลินเซี่ยขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งฟังเรื่องไร้สาระของหล่อน จึงเหลือบตาขึ้นแล้วถาม
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังหลิง น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าทุกครั้ง “เสี่ยวหลิน ฉันแค่คิดว่าก่อนหน้านี้ระหว่างเราอาจจะมีความเข้าใจผิดต่อกันบางอย่าง”
“เข้าใจผิดยังไงเหรอ?” หลินเซี่ยเงยหน้ามองหล่อน
ทันใดนั้นเธอก็เพิ่มความระมัดระวังทันที ผู้หญิงคนนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?
“ฉันรู้ว่าเธอมีอคติกับฉันเพราะเหตุการณ์ของเสิ่นเสี่ยวเหมย” ถังหลิงตีหน้าเศร้า “ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของฉันกับเสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยังโอเคอยู่หรอก แต่ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าหล่อนจะกลายเป็นคนแบบนั้นไปได้ หล่อนสับสนมากจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองท้องจริงหรือเปล่า แถมยังจงใจใส่ร้ายคนอื่น นี่มันมากเกินไปจริง ๆ
ฉันแค่อยากจะบอกเธอว่าฉัน… ถังหลิง เป็นคนซื่อสัตย์มาโดยตลอด และจะไม่มีวันผูกมิตรกับใครก็ตามที่มีเจตนาชั่วร้าย เกรงว่ามิตรภาพระหว่างฉันกับหล่อนจะสิ้นสุดลงหลังจากเหตุการณ์นี้จบลง”
หลังจากที่ถังหลิงพูดจบ หล่อนก็ถอนหายใจด้วยความเสียใจ
เมื่อเห็นทักษะการแสดงที่เกินจริงของหล่อน หลินเซี่ยก็แทบจะอาเจียนหมูตุ๋นที่เธอเพิ่งกินเข้าไปออกมา “คุณถังเป็นคนตรงไปตรงมาจริง ๆ เลยนะคะ”
ถังหลิงยิ้มและพูดว่า “คนเราไม่เคยมีใครมองคนผิดพลาดเลยเหรอ? เฮ้อ อาจเป็นเพราะฉันใจดีเกินไป แถมยังเชื่อใจคนง่าย ดันไปผูกมิตรอย่างไม่ระมัดระวัง จนเกือบจะติดร่างแหไปด้วยซะแล้ว”
ถังหลิงนั่งหลังตรงด้วยท่าทางที่สง่างามและใสซื่อ รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าตลอดเวลา ทำให้ดูเหมือนแม่ดอกบัวขาวน้อย
หลินเซี่ยเพิกเฉยหล่อน มุ่งความสนใจไปที่การกิน
ถังหลิงไม่มีอะไรจะพูดอีก พยายามกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น แถมยังระบายความผิดหวังเกี่ยวกับเสิ่นเสี่ยวเหมยต่าง ๆ นานา
หลินเซี่ยกินข้าวจนเสร็จ เก็บข้าวกล่อง ไม่อยากดูการแสดงละครของอีกฝ่ายต่อไป พูดตรง ๆ ว่า “ไม่ง่ายเลยที่คุณจะมาหาฉัน คุณคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อบ่นเรื่องพฤติกรรมของน้องสาวคุณหรอกใช่ไหม? ถ้ามีธุระอย่างอื่น คุณถังช่วยบอกฉันมาตามตรงเลยดีกว่า”
ถังหลิงเปลี่ยนท่านั่ง จากนั้นมองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวหลิน เราสองคนก็รู้จักกันมานานแล้ว แต่เรายังไม่เคยนั่งคุยกันจริง ๆ จัง ๆ เลยสักที ก่อนหน้านี้ทั้งเจียเหอและฉันต่างก็เป็นเพียงเพื่อนเล่นธรรมดา ๆ จนกระทั่งก่อนหน้านี้ป้าโจวและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าเจียเหออายุพอสมควรแล้ว แต่ยังหาคู่ครองที่เหมาะสมไม่ได้ พอรู้ว่าฉันยังโสด ดังนั้นพวกเขาจึงอยากจับคู่พวกเรา
ตอนนั้นฉันปฏิเสธอย่างไม่เต็มใจ และบอกไปว่าขอคิดดูก่อน ต่อมาฉันถึงรู้ข่าวว่าเจียเหอแต่งงานกับใครบางคนในชนบทแบบสายฟ้าแลบ ฉันไม่รู้สถานการณ์ในเวลานั้น เสิ่นเสี่ยวเหมยกับเฉินเจียซิ่งก็มาเป่าหูและพาฉันไปที่บ้านตระกูลเฉินเพื่อทำให้เธออับอาย โชคดีที่ฉันไม่ตกหลุมพรางของพวกเขา ฉันชอบอิสระและนับถือตัวเองสูง ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มีใจตรงกันกับฉัน ฉันก็จะไม่ตามตื๊อเขาอีก โลกนี้ยังมีผู้ชายดี ๆ อีกมาก
นอกจากนี้ ฉันคิดว่าผู้หญิงอย่างพวกเราควรให้ความสำคัญกับอาชีพการงานมากกว่า ไม่ควรเอาแต่คิดเรื่องความรักโลภโกรธหลงเป็นใหญ่ เธอว่าไหมล่ะ? “
ช่วงที่ผ่านมาถังหลิงได้รู้จักตัวตนของหลินเซี่ยอย่างจริงจัง เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นมืออาชีพสูง แถมยังมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง
ดังนั้นหล่อนจึงเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง โดยเน้นเฉพาะหัวข้อที่อีกฝ่ายน่าจะชอบ ค่านิยมที่แสดงออกในคำพูดจึงคล้ายคลึงกับนิสัยของหลินเซี่ยมาก
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “คุณถังพูดถูก เจียเหอเคยเล่าให้ฉันฟังเหมือนกันค่ะ ว่าตั้งแต่หนุ่ม ๆ มาจนถึงตอนที่เขาอายุสามสิบ ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาสนใจ ในสายตาของเขาผู้หญิงคนอื่นเป็นแค่คนธรรมดาดาษดื่น ไม่ได้ให้ความสำคัญด้วยซ้ำไป”
จากท่าทางมั่นใจของหลินเซี่ย ถังหลิงก็สังเกตว่าทัศนคติของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และดูเหมือนจะเชื่อในคำพูดของหล่อน รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น มองเธอด้วยสีหน้าของพี่สาวใจดีแล้วพูดต่อไป “คราวนี้ความเข้าใจระหว่างเราก็เป็นอันชัดเจนแล้ว จากนี้ไปเธอจะได้ไม่รู้สึกหึงหวงฉัน”
“คุณถัง คุณไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับฉันตั้งแต่แรก ฉันไม่เคยหึงหวงใครโดยไม่มีเหตุผล”
หลินเซี่ยยังมีท่าทางเย่อหยิ่ง จนถังหลิงรู้สึกกระดากอายมากที่อีกฝ่ายพูดอย่างไม่ให้เกียรติ
หล่อนลอบขบกรามกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการใช้อีกฝ่ายเป็นสะพานข้ามไปหาเซี่ยไห่ เรื่องอะไรจะยอมทนถึงขนาดนี้?
ดวงตาของหลินเซี่ยขยับเล็กน้อยขณะที่มองไปยังหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างงุ่มง่าม ลากพื้นรองเท้าอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนไม่ตั้งใจว่าจะออกไป
หากเธอเดาถูก สาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเธออย่างจริงใจ ต้องเป็นเพราะมีเจตนาบางอย่างลับหลังอย่างแน่นอน
ถ้าการคาดเดาไม่ผิดพลาด มันคงจะเกี่ยวข้องกับเซี่ยไห่
เป็นไปได้ว่าหล่อนอาจรู้ตัวว่าไม่สามารถงัดมารยาไหนมาใช้กับเซี่ยไห่ได้เลย ดังนั้นจึงใช้กลยุทธ์เอาชนะใจคนรอบข้างของเป้าหมายโดยเริ่มจากเธอก่อน
หรือไม่ ถังหลิงอาจจะคิดว่าสาเหตุที่เซี่ยไห่ยอมตกหลุมรักตัวเองง่าย ๆ อาจเป็นเพราะเธอเคยพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับหล่อนต่อหน้าเซี่ยไห่งั้นเหรอ?
เพราะอย่างนี้ถึงได้พยายามเข้าหาเธอก่อนใครสินะ?
ในขณะที่หลินเซี่ยกำลังคิดใคร่ครวญอย่างดุเดือด ถังหลิงก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“เสี่ยวหลิน ดีแล้วที่เธอไม่เคยมองว่าฉันเป็นคู่แข่งด้านความรัก ฉันรู้สึกโล่งใจมาก ที่จริงฉันมีไอเดียบางอย่างอยากจะบอกเธอด้วย เธอลองฟังดูว่าพอจะเป็นไปได้ไหม”
ริมฝีปากของหลินเซี่ยโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ว่าไงคะ”
เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยดูสนใจ ถังหลิงก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวเดิมแล้วมานั่งลงตรงหน้าเธอ พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ฉันจะบอกให้ อุตสาหกรรมที่พวกเราทำกันอยู่ในตอนนี้ ที่จริงแล้วเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมสูงมากทางตอนใต้หรือฮ่องกง เธอพอจะรู้ไหมว่าการเสริมความงามกับการทำผมอยู่ในแวดวงเดียวกัน?”
ดวงตาของหลินเซี่ยขยับเล็กน้อย
เธอเดาผิดไปเหรอเนี่ย?
หล่อนไม่ได้มาเพื่อพูดเรื่องเซี่ยไห่ แต่พูดถึงการร่วมงานกันอย่างนั้นเหรอ?
“ไม่รู้ค่ะ” หลินเซี่ยตอบกลับอย่างสุภาพและห่างเหิน
“ในเมื่อเป็นแบบนั้น คุณกำลังจะบอกอะไรฉันเหรอคะ?”
เห็นว่าหลินเซี่ยเริ่มสนใจ ถังหลิงจึงรีบบอกแผนของตัวเอง “ฉันคิดว่าเราสองคนสามารถร่วมมือกันได้ ทำธุรกิจโดยที่เอื้อเฟื้อผลประโยชน์ให้ทั้งสองร้าน ตัวอย่างเช่น เธอรับผิดชอบงานทำผมไป ส่วนฉันจะรับผิดชอบงานเสริมความงาม ด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถแบ่งปันทรัพยากรให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน และให้ผลลัพธ์แบบวิน-วิน แล้วถ้าอีกหน่อยมีหน้าร้านขนาดใหญ่ทำเลดี เราก็หารค่าเช่าและรวมธุรกิจเข้าด้วยกันได้ กลายเป็นเจ้าของร่วมเพื่อทำให้ธุรกิจใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น”
หลินเซี่ยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าถังหลิงจะมาหาเธอเพื่อเสนอแนวคิดแบบนี้
เกมกระดานหมากรุกของหล่อนใหญ่นับว่าใหญ่ใช้ได้
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ จะเปิดกิจการเป็นของตัวเองในสังคมแบบนี้ ฉันคิดว่าเราควรร่วมมือกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า และสร้างรายได้ร่วมกัน เพื่อที่เราจะมีโอกาสตั้งหลักในสังคมได้อย่างมั่นคงยังไงล่ะ”
หลินเซี่ยนั่งอยู่ที่นั่น ฟังแผนธุรกิจของถังหลิงอย่างเงียบ ๆ ต้องบอกเลยว่าผู้หญิงคนนี้มีความเฉียบแหลมทางธุรกิจพอสมควร ความทะเยอทะยานในการพัฒนาตัวเองของหล่อนก็ชัดเจนมากเช่นเดียวกัน
ถ้าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ของเธอ บางทีเธออาจจะเก็บข้อเสนอนี้กลับไปพิจารณาอย่างจริงจัง
ถือเป็นเรื่องธรรมดามากที่ผองเพื่อนจะกลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันในภายหลัง
สุดท้ายแล้วแผนการพัฒนาธุรกิจของเธอก็ยังเหมือนเดิม ทำร้านตัดผมเพื่อสร้างฐานลูกค้าให้มั่นคงก่อน หลังจากนั้นเมื่อมีทุนทรัพย์เพียงพอ ก็ค่อยวางแผนที่จะขยายโครงการออกไป
พอมีผู้ทำงานร่วมกัน ความเสี่ยงก็พลอยลดต่ำลงตามไปด้วย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้หญิงตรงหน้าเธอคือใครกันล่ะ? หล่อนเป็นหญิงสาวที่บูชาเงินและสักแต่จะแสวงหากำไรในชีวิต ถึงขั้นทอดทิ้งสามีกับลูกชาย แล้วหอบเงินทองของครอบครัวสามีเก่าหนีออกมา แสร้งทำตัวเป็นสาวโสดที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เทียวไปเทียวมาอยู่แถวนี้เพราะมีเป้าหมายคือการดึงดูดสามีใหม่ผู้มั่งคั่ง
เพื่อที่จะกดดันเธอให้เกิดความระหองระแหงกับเฉินเจียเหอ เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความขัดแย้งภายในครอบครัว แต่แล้วพอเสิ่นเสี่ยวเหมยล้มเหลวไม่บรรลุเป้าหมาย หล่อนก็ตัดความสัมพันธ์จากเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างไร้ความปรานี
พอรู้แน่แล้วว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้ลงเอยกับเฉินเจียเหอ จึงตั้งเป้าไปที่เซี่ยไห่แทน
เธอจะทำใจร่วมมือทางธุรกิจกับผู้หญิงร้ายลึกคนนี้ได้อย่างไร?
เกรงว่าข้อเสนอความร่วมมือก็เป็นเรื่องรองเหมือนกัน
หล่อนกับหลิวลี่ลี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่จ้องเขม็งมองเธอราวกับเป็นวิญญาณอาฆาตตลอดทั้งวัน พวกหล่อนคงเห็นว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซี่ยไห่ ดังนั้น จึงตั้งใจมาที่นี่เอาชนะใจเธอ
ให้ตายสิ ผู้หญิงเลว ๆ ที่มีเจตนาชั่ว ๆ คนนี้ ช่างรู้จักใช้งานคนโง่เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตัวเองจริง ๆ
หลังจากที่ถังหลิงเล่าความคิดของหล่อนจบ แล้วเห็นหลินเซี่ยนั่งนิ่งอย่างว่างเปล่าโดยไม่มีการตอบสนองใด ๆ หล่อนก็มองหน้าเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เซี่ยเซี่ย เธอคิดว่าไอเดียของฉันเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินเสียงอีกฝ่าย เธอก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า “คุณถัง ความคิดของคุณเข้าท่ามากเลยค่ะ”
ถังหลิงรู้สึกยินดีทันที มองหลินเซี่ยด้วยความชื่นชม “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเซี่ยเซี่ยมีหัวด้านธุรกิจ ต้องเข้าใจแผนการและแนวคิดที่ฉันเพิ่งพูดไปแน่ ๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยอย่าได้หลงกลตอบรับข้อเสนอเป็นเจ้าของร่วมกันเชียว หุ้นส่วนธุรกิจแบบนี้ไว้ใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะหันมาแทงข้างหลังเราวันไหน ต่างคนต่างแบ่งอาณาเขตกันทำงานไม่ยุ่งเกี่ยวกันน่ะดีแล้ว
เป็นไปได้ไหมนะว่ายัยถังนี่จะเป็นแม่แท้ๆ ของหู่จือ?
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 265 ห้องเต้นรำเปิดแล้ว
ตอนที่ 265 ห้องเต้นรำเปิดแล้ว
ห้องเต้นรำของเซี่ยไห่เปิดอย่างเป็นทางการในวันนี้ แน่นอนว่าพิธีเปิดก็ค่อนข้างใหญ่ พนักงานทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ามาทำงานต่างสวมเครื่องแบบเดียวกัน ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาว ผู้หญิงสวมกระโปรงสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาว สำหรับไห่เฉิงแล้วถือเป็นยูนิฟอร์มที่ทันสมัยและตามกระแสมาก
เครื่องเสียงชุดใหญ่ถูกลากออกมาตั้งหน้าประตู เปิดเพลงดิสโก้ดังกระหึ่ม ปูพรมแดงเข้าไปจากด้านหน้า
ห้องเต้นรำของเขาในเสิ่นเจิ้นมีชื่อกิจการว่าห้องเต้นรำสวินเมิ่ง (ห้องเต้นรำในฝัน)
ดังนั้น เมื่อมาเปิดสาขาใหม่ที่ไห่เฉิง จึงยังคงใช้ชื่อเดิมเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นเครือข่ายเดียวกัน
วันนี้เซี่ยไห่ได้โทรไปเชิญชวนฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ด้วยตัวเอง เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นสหายพี่น้องที่เคยทำงานในกรมการรถไฟ
เมื่อเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยเดินเข้าไปในร้าน ก็พบว่าบรรยากาศค่อนข้างมีชีวิตชีวามาก
ถังหลิงถึงกับยอมปิดร้านในวันนี้เพื่อมามอบของขวัญแสดงความยินดี จากนั้นก็เสนอหน้ามายืนอยู่ข้างเซี่ยไห่
หล่อนเห็นโลกมามาก ถึงกับลงทุนซื้อกระเช้าดอกไม้สองใบให้เซี่ยไห่ ทำให้มันถูกวางไว้ขนาบทั้งสองด้านตรงประตูทางเข้าของห้องเต้นรำ
ฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่รีบขยิบตาให้ถังจวิ้นเฟิง แล้วสอบถามเกี่ยวกับตัวตนของถังหลิง
“นั่นใครน่ะ? อย่าบอกนะว่าพี่ไห่มีแฟนแล้ว?”
ถังจวิ้นเฟิงเหลือบมองผู้หญิงที่พยายามทำให้ตัวเองมีตัวตนอยู่ข้าง ๆ เซี่ยไห่ตลอดเวลา เห็นแล้วก็ให้รู้สึกอายแทน
เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาคิดอย่างไรกับอีกฝ่าย
หล่อนคงรู้ว่าตัวเองไม่ได้ลงเอยกับเฉินเจียเหอแน่แล้ว จึงเปลี่ยนเป้าหมายมุ่งไปที่เซี่ยไห่
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทางคัดค้านในเรื่องนี้
ตราบใดที่เซี่ยไห่พึงพอใจ นั่นก็คือเป็นสิทธิ์ของเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ ถังจวิ้นเฟิงก็ไม่กล้าตอบแทนเซี่ยไห่ ทำได้เพียงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ที่จริงเซี่ยไห่รู้จักคนที่นี่เยอะพอสมควร แต่เนื่องจากเขาเปิดธุรกิจห้องเต้นรำซึ่งถือเป็นสถานที่อโคจรอย่างหนึ่ง ทำให้ไม่กล้าเชิญชายชรามาสนับสนุน
นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมมาตามคำเชิญแล้ว อาจจะตำหนิเขากลับมาด้วยซ้ำบราวนี่ออนไลน์
กล่าวหาว่าเขาไม่รู้จักกาลเทศะ
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่เชิญทั้งผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเซี่ย
แต่เลือกที่จะเชิญสหายพี่น้องสามสี่คนที่มีความสำคัญต่อเขามากกว่า อย่างน้อยพวกเขาก็เต็มใจมาร่วมสนุกแน่
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ห้องเต้นรำอาจจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรสำหรับเมืองใหญ่ แม้แต่เมืองไห่เฉิงเองก็มีห้องเต้นรำอยู่แล้วถึงสองแห่ง แต่ห้องเต้นรำของเซี่ยไห่ถือเป็นที่แรกบนถนนสายนี้
ทุกคนเห็นความคืบหน้าของการตกแต่งมาหลายวันแล้ว คนหนุ่มสาวในโรงงานต่างตั้งตารอมาเป็นเวลานาน
ยิ่งเมื่อตอนนี้หน้าร้านมีเสียงดนตรีอันเร้าใจเปิดเล่นอยู่ มันก็ดึงดูดผู้คนมากมายให้มาร่วมชมได้สำเร็จ
แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ถูกติดอยู่บนผนังด้านนอกประตู ซึ่งระบุข้อเสนอพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่
ช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังเปิดกิจการใหม่ ทุกบริการจะลดราคาเหลือครึ่งหนึ่งจากราคาเต็ม
เซี่ยไห่หยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วเริ่มพูด แนะนำลักษณะภายในห้องเต้นรำสั้น ๆ โดยหวังว่าสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และหนุ่มสาวทุกคนจากเขตโรงงานอุตสาหกรรมจะยินดีมาอุดหนุนร้านของเขา
จากนั้นเขาก็พาสหายพี่น้องทุกคนก้าวขึ้นไปเปิดป้าย
เซี่ยไห่จูงมือหลินเซี่ยด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“เซี่ยเซี่ย เธอยืนอยู่ตรงกลางเลย”
ถังหลิงยืนอยู่ข้างเซี่ยไห่ตลอดทั้งช่วงเช้า จุดประสงค์คือเพื่อให้คนอื่น ๆ มองเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามีอะไรที่มากกว่านั้น
แต่เมื่อถึงพิธีเปิดป้ายอย่างเป็นทางการ เซี่ยไห่ไม่เพียงแต่ไม่เชิญหล่อนขึ้นไปเท่านั้น ยังจับจูงมือหลินเซี่ยและเดินผ่านหน้าหล่อนไปด้วย ถึงหล่อนจะกลับมาในเมืองพร้อมกับวุฒิภาวะที่สูงขึ้น แต่ในตอนนี้ก็อดอารมณ์เสียไม่ได้
หล่อนยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าแข็งทื่อ มองดูเซี่ยไห่อย่างไม่เข้าใจขณะที่เขากำลังประคองแขนของหลินเซี่ยให้เดินขึ้นไปบนเวที มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น รู้สึกได้ว่าปลายเล็บจิกเข้าในฝ่ามือ
ทำไมเซี่ยไห่ถึงกล้าทำแบบนี้?
ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของเฉินเจียเหอ แต่เซี่ยไห่กลับไม่เคอะเขินเลยยามถูกเนื้อต้องตัวอีกฝ่าย หลังจากจัดแจงให้เธอยืนอยู่ตรงกลางเรียบร้อยแล้ว เขายังไม่วายมองเธอด้วยสายตาที่แฝงด้วยความรักบางอย่าง
ส่วนเฉินเจียเหอก็ไม่มีแม้แต่อาการหึงหวงหรือแสดงความไม่พอใจ เดินขึ้นไปอยู่ข้าง ๆ หน้าตาเฉย
ถังหลิงรู้สึกว่าบางทีความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยไห่และหลินเซี่ยอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะดูแล้วเขาไม่น่าจะปฏิบัติต่อเธอในฐานะที่พวกเขาเป็นพี่เขยและน้องสะใภ้
หลินเซี่ยถูกบังคับให้ขึ้นไปมีส่วนร่วมบนเวที ดังนั้นเธอจึงต้องตัดริบบิ้นและเปิดป้ายพร้อมกับพวกเขา
หลินจินซานสวมชุดสูทยืนอยู่ที่นั่น ส่งเสียงเชียร์และปรบมือเสียงดัง
ถังหลิงอาศัยช่วงที่ผู้คนกำลังเคลื่อนย้ายตำแหน่งเข้าหาหลินจินซานทันที แกล้งถามเขาว่า “จินซาน ดูเหมือนเถ้าแก่เซี่ยจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องสาวของนายไม่น้อยเลยนะ”
หลินจินซานหันหน้าไปมองเมื่อได้ยินเสียงของถังหลิง
“คุณถัง คุณพูดผิดแล้ว”
“ผิดเหรอ?” ดวงตาของถังหลิงสว่างขึ้นเล็กน้อย พวกเขามีความสัมพันธ์ลับลมคมในต่อกันจริง ๆ สินะ?
ภายใต้สายตาเปี่ยมความหวังของถังหลิง เขาแก้ไขคำพูดของหล่อนด้วยใบหน้าที่จริงจังมาก “ใช่ คุณเรียกผมผิด จากนี้โปรดเรียกผมว่าหัวหน้าหลิน”
ถังหลิง “…”
หล่อนกัดกรามอย่างขัดใจ พยายามสงบสติอารมณ์และฝืนยิ้ม “หัวหน้าหลิน ขอแสดงความยินดีด้วย”
หลินจินซานแสดงรอยยิ้มมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาพร้อมกับพยักหน้า “ขอบคุณครับคุณถัง”
หล่อนถือโอกาสล้วงความลับกับหลินจินซานในขณะที่เหล็กยังร้อนอยู่ “หัวหน้าหลิน เซี่ยเซี่ยกับเถ้าแก่เซี่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแบบนี้ เจียเหอเขาไม่รู้สึกหึงอะไรเลยเหรอ? ฉันคิดว่าเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ อย่างน้อยฝ่ายหญิงก็ควรมีความเกรงใจสามีบ้างจริงไหม?”
“คุณไม่เห็นเหรอว่าน้องเขยของผมมีความสุขมากกว่าใครซะอีก?”
ถังหลิงมองกลับไปบนเวทีที่มีหลินเซี่ยยืนอยู่ระหว่างเฉินเจียเหอกับเซี่ยไห่ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินเจียเหอกำลังอารมณ์ดีมากจริง ๆ
คนอย่างเขาเป็นผู้ชายที่ไม่เคยปั้นหน้าเสแสร้ง
ถังหลิงยังอยากจะถามหลินจินซานต่อไปว่าระหว่างพวกเขาทั้งสามมีความลับอะไรหรือไม่ แต่ความสนใจของหลินจินซานยังคงอยู่กับกิจกรรมบนเวที เขาคอยสั่งให้ทีมงานทำสิ่งนี้และสิ่งนั้นเป็นครั้งคราว ไม่มีความตั้งใจที่จะพูดคุยกับหล่อนเท่าใดนัก
ถังหลิงรู้สึกหงุดหงิดและสับสนมาก
ในที่สุดก็เสร็จสิ้นพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ
ทุกคนเข้าไปภายในห้องเต้นรำ จากนั้นก็เริ่มโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานไปตามเสียงดนตรี
เซี่ยไห่ทำงานอย่างรอบคอบและทุ่มเงินไปเป็นจำนวนมากกับการตกแต่งภายใน ทำให้เสียงรบกวนไม่ดังออกมาสู่ภายนอก ต้องเข้าไปข้างในก่อนถึงจะเหมือนก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง
กลางห้องเต้นรำมีไฟหลากสีสันที่หมุนไปรอบ ๆ ได้ ทันทีที่เปิดไฟ บรรยากาศข้างในก็สวยงามเจิดจ้า พอเสียงดนตรีเริ่มเปิดคลอ ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว
“มา จวิ้นเฟิง ออกสเตปกันหน่อย”
ฟางจิ้นเป่าผู้เป็นชายวัยกลางคนหยาบกระด้างและไม่โกนหนวดเครา สวมเสื้อแจ็กเกตกางเกงขายาวเก่า ๆ ที่มีรอยยับย่นตรงขา ออกไปยืนอยู่กลางห้องเต้นรำ บิดตัวโยกย้ายอย่างเงอะงะ ดูน่าขบขันมาก
ถึงอย่างไรถังจวิ้นเฟิงก็เป็นตำรวจ การเข้ามาในสถานที่อโคจรอย่างเช่นห้องเต้นรำ ทำให้เขาต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าจะฝ่าฝืนวินัย
ฟางจิ้นเป่าเต้นแร้งเต้นกาอยู่คนเดียวพักหนึ่งก็เดินเข้ามาดึงแขนเขา ถังจวิ้นเฟิงรีบผลักเขาออกไปแล้วพูดว่า “เหล่าฟาง ไม่ต้องมาลากฉันไป ฉันเต้นไม่เป็นและเต้นไม่เก่งเท่านายหรอก”
ดังนั้น ฟางจิ้นเป่าจึงหันไปดึงลู่เจิ้งอวี่ให้เข้ามาร่วมสนุกแทน
ลู่เจิ้งอวี่ก็เต้นอยู่กลางฟลอร์อย่างสนุกสนานเช่นเดียวกัน ราวกับพวกเขาทั้งสองมีพื้นที่ให้ปลดปล่อย จึงเพลิดเพลินไปกับมันมาก ๆ
“พวกเขาทำงานเครียด ๆ อยู่ในโกดังซ่อมรถไฟมานานเกินไป ปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนหย่อนใจหน่อยเถอะ”
ในยุคนี้ นอกเหนือจากจังหวะดิสโก้ที่เป็นที่นิยมแล้ว ยังมีท่าเต้นยอดฮิตอีกหลายประเภท
ยกตัวอย่างเช่น จังหวะวอลซ์ จังหวะฟอกซ์ทรอท จังหวะชะชะช่า และยังมีจังหวะเต้นอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้
ทันทีที่เข้ามาในที่ที่มีบรรยากาศสนุกสนานแบบนี้ ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลง
หลินเซี่ยเป็นฝ่ายดูทุกคนเต้นมาสักพัก ถึงตอนนี้เธอเองก็เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
เธอหันไปถามเฉินเจียเหอ “เฉินเจียเหอ คุณเต้นเป็นหรือเปล่า?”
เฉินเจียเหอส่ายหัว “ผมไม่สันทัดเลย”
“ให้ฉันสอนไหม?”
เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียเหอไม่เคยลองทำอะไรแบบนี้มาก่อน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงแสดงออกถึงการต่อต้าน
“ถ้าคุณไม่ไป งั้นฉันจะไปเต้นกับลู่เจิ้งอวี่สุดหล่อแทน”
เซี่ยไห่เดินเข้ามา จากนั้นก็ยื่นมือให้ด้วยท่านิยมของสุภาพบุรุษไปทางหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย ให้เกียรติเต้นเป็นคู่ฉันด้วย”
ก่อนที่หลินเซี่ยจะมีเวลาตอบ ทันใดนั้นเฉินเจียเหอก็ลุกขึ้นยืน ตบฝ่ามือของเซี่ยไห่ออกไป จากนั้นจูงมือภรรยาของเขาและเดินเข้าไปยังใจกลางของฟลอร์เต้นรำ
อวัยวะของเฉินเจียเหอไปไม่พร้อมเพรียงกัน เป็นเพราะเขาไม่รู้วิธีการก้าวเท้าที่ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หลินเซี่ยเป็นผู้นำตลอดกระบวนการทั้งหมด หลังจากทำซ้ำไม่กี่ครั้งเขาก็จับจังหวะได้
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นแค่การเต้น จุดประสงค์ก็เพื่อความสนุกสนาน แค่ขยับตัวไปตามเสียงเพลงก็น่าจะเพียงพอ
“มาเถอะ ขอเชิญทุกคนมาเต้นรำด้วยกัน”
ทันทีที่คนเข้าไปอยู่ในฟลอร์มากขึ้น สเตปการเต้นก็เริ่มวุ่นวายและไม่มีใครสนใจใคร
ถังหลิงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินเข้าไปอีกครั้ง
หล่อนมองไปทางเซี่ยไห่และพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ “พี่เซี่ย ออกไปเต้นเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิคะ”
เซี่ยไห่ยิ้มและส่ายหัวอย่างสุภาพ “ขอโทษด้วย ผมเต้นไม่เป็นจริง ๆ”
“คุณเปิดห้องเต้นรำแท้ ๆ แต่เต้นไม่เป็นเนี่ยนะ?”
เซี่ยไห่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ผมแค่เปิดห้องเต้นรำเพื่อหารายได้น่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หวายยย งานนี้มีคนนกซ้ำนกซ้อนล่ะค่ะ อุตส่าห์ปิดร้านตัวเองมาเรียกร้องความสนใจเขาเต็มที่ แต่เขาก็เมินตลอดงาน
ไหหม่า(海馬)