ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 278 พาตัวหลิวจื้อหมิงขึ้นโรงพัก

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 278 พาตัวหลิวจื้อหมิงขึ้นโรงพัก

ตอนที่ 278 พาตัวหลิวจื้อหมิงขึ้นโรงพัก

“มีเรื่องฉาวเกิดขึ้นกับแผงขายเหลียงเฝิ่นเหรอ? จริงหรือเปล่า?” เสิ่นเสี่ยวเหมยรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินข่าว

หล่อนถามถังหลิงอย่างกระตือรือร้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

ถังหลิงตอบว่า “หญิงชราคนหนึ่งมีอาการอาหารเป็นพิษหลังจากกินเหลียงเฝิ่นจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล”

เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ยินแบบนี้ หล่อนก็กัดฟันและสาปแช่ง “สมควรแล้ว กรรมตามสนองชัด ๆ อยากทำของไม่ดีให้คนกินทำไม”

“บอกความจริงมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอหรือเปล่า? ฉันได้ยินมาว่าปัญหาไม่ได้เป็นเพราะวัตถุดิบที่หลิวกุ้ยอิงใช้ แต่มีใครบางคนจงใจจัดฉากใส่ร้าย” ถังหลิงถาม

“เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?”

น้ำเสียงของเสิ่นเสี่ยวเหมยหงุดหงิดเล็กน้อย “หล่อนคงทำนิสัยแย่ ๆ กับคนอื่นด้วย พอบางคนทนไม่ได้ก็เอาความแค้นมาลงกับแม่แทนลูกสาว ทำไมตอนนั้นฉันถึงคิดวิธีจัดการหล่อนแบบนี้ไม่ออกนะ?”

ถังหลิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชักนำเธอไปในทางที่ดี “เสี่ยวเหมย อย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ อีกล่ะ ต่อให้เธอจะกลั่นแกล้งหล่อนยังไง ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสาดน้ำโคลนใส่หลิวกุ้ยอิงได้ โบราณว่าไว้ตีงูต้องตีที่เจ็ดชุ่น ถ้าจัดการใครให้ราบคาบในครั้งเดียวไม่ได้ก็อย่าไปยุ่งกับคนคนนั้นอีก เพราะคนที่ต้องรับผลที่ตามมาจะกลายเป็นเธอซะเอง คราวที่แล้วเธอยังได้รับบทเรียนไม่พออีกเหรอ? ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่านี้หน่อยเถอะ”

คำพูดของถังหลิงดูเหมือนจะให้ความกระจ่างแก่เสิ่นเสี่ยวเหมยได้เป็นอย่างดี สีหน้าของหล่อนสดใสขึ้น หล่อนมองไปที่ถังหลิงแล้วตอบว่า “พี่หลิงพูดถูก ฉันจะทำอะไรโดยประมาทเกินไปได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องแบกรับผลที่ตามมา”

เมื่อเห็นว่าดวงตาของเสิ่นเสี่ยวเหมยหรี่แคบลงเล็กน้อย ถังหลิงจึงรีบพูดต่อ “เฮ้อ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะแนะนำหรอกนะ แต่อย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีกเลย เปลี่ยนนิสัยของตัวเองซะใหม่ บางทีถ้าเธอทำตัวน่ารักขึ้น เฉินเจียซิ่งอาจจะเปลี่ยนใจกลับมาหาเธอก็ได้”

เสิ่นเสี่ยวเหมยทำหน้าหยิ่งยโส “ฉันไม่รอให้เขาเปลี่ยนใจแล้ว คุณลุงบอกฉันว่าเขาจะแนะนำลูกชายญาติของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาให้ฉันรู้จัก เขาเป็นหมอ หน้าที่การงานดีไม่พอ ยังหล่อมากอีกด้วย ครอบครัวของเขาก็ร่ำรวยพอสมควรเลยนะ ภูมิหลังโดยรวมดีกว่าตระกูลเฉินมาก เราจะได้เจอกันวันอาทิตย์นี้แล้ว”

หลังจากได้ยินสิ่งที่เสิ่นเสี่ยวเหมยพูด ดวงตาของถังหลิงก็ฉายแววแห่งความอิจฉา

เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว แถมยังไร้สมอง แต่กลับมีโอกาสได้เจอคนใหม่ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแบบนั้นได้

นี่ทำให้หล่อนยิ่งมีความตั้งใจมากขึ้นที่จะจับเจ้าสัวบ่อเพชรอย่างเซี่ยไห่ให้ได้

ปัจจุบันครอบครัวของหล่อนอยู่ในสภาวะตกต่ำ ไม่เพียงแต่จะหวังพึ่งพาครอบครัวของตัวเองไม่ได้ ยังเคยทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวของแปดเปื้อน ฉะนั้นหล่อนต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเอง เพื่อฟื้นชีวิตให้กลับมาสุขสบายเหมือนตอนที่เธอยังสาว

หลินเซี่ยถามอย่างเร่งรีบ “เป็นยังไงบ้าง? พวกคุณได้เบาะแสอะไรบ้างไหม?”

เซี่ยไห่เห็นกาต้มน้ำและถ้วยวางอยู่บนโต๊ะ จึงเดินไปรินน้ำใส่แก้วแล้วพูดด้วยความโกรธ “โชคดีที่ฉันส่งคนมาเฝ้าอยู่หน้าวอร์ด ไม่งั้นไอ้ลูกชายใจดำของยายป้าคนนั้นคงจะสังเวยชีวิตแม่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเองไปแล้ว”

หลินเซี่ยดูกังวลและต้องการฟังผลจากการตามสืบ เฉินเจียเหอบอกกับเธอว่า “เราไปสืบเจอว่าหวังเฉียง ลูกชายของหญิงชราเคยทำงานเป็นพนักงานที่โรงงานเครื่องจักร ช่วงหลังโรงงานเครื่องจักรมีความจำเป็นที่จะต้องเลิกจ้างพนักงานหลายครั้ง”

หลินเซี่ยได้ยินดังนั้นก็โพล่งขึ้นก่อน “ดังนั้น หลิวจื้อหมิงก็เลยให้สัญญากับลูกชายของหญิงชรา ว่าถ้าทำงานให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะได้รับโอกาสได้กลับไปทำงานต่อได้?”

เฉินเจียเหอพยักหน้า

หลินเซี่ยถอนหายใจ “อย่างนั้นก็เถอะ นี่เป็นแค่การคาดเดา ยังไม่มีหลักฐานสำคัญ”

เซี่ยไห่ดื่มน้ำ จากนั้นก็ถอนหายใจแรง เมื่อรู้สึกเหนื่อยน้อยลงจึงยิ้มและให้เครดิตว่า “ถ้าเฉินเจียเหอลงมือเองซะอย่าง มีอะไรบ้างที่พวกเราทำไม่ได้?

เขาโบกมือให้เฉินเจียเหอ “รีบเล่าให้เซี่ยเซี่ยฟังถึงผลการตามสืบของเราเร็วเข้า”

เฉินเจียเหอเริ่มเล่าว่า “ผมไปขอพบรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงมา จากนั้นก็อธิบายเหตุผล รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงมีท่าทางโมโหมากเมื่อได้ยินว่าแม่ของคุณถูกปรักปรำ เขาก็เลยไปที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลเพื่อตรวจสอบข้อมูลของ หวังเฉียง จนรู้ว่าหวังเฉียงเป็นหนึ่งในรายชื่อของพนักงานที่กำลังจะถูกเลิกจ้างชุดแรก แต่แล้วรายชื่อกลับถูกปากกาขีดฆ่าอย่างไม่มีเหตุผล

“โชคดีที่รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงทำงานด้วยความเข้มงวดและเป็นกลาง พออเขารู้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เขาก็ขอให้ฝ่ายบุคคลเพิ่มชื่อของหวังเฉียงลงในรายการทันที แล้วบอกว่าจะเรียกหวังเฉียงมาคุยเป็นการส่วนตัว และบอกเหตุผลที่ทางโรงงานตัดสินใจเลิกจ้างเขา “

เฉินเจียเหอพูดต่อ “ถ้าหวังเฉียงถูกเลิกจ้าง เขาต้องแปรพักตร์แน่ แล้วถ้าพวกเราแสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อปรักปรำอันเป็นเท็จของเขา พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาแทรกแซง เขาต้องยอมสารภาพอย่างไม่มีทางเลือก”

“ต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะทำแบบนั้นได้?” หลินเซี่ยถาม

เฉินเจียเหอ “รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงบอกว่าเขาจะคุยกับหวังเฉียงช่วงบ่าย ๆ ตอนนี้เขาคงตระหนักแล้วว่าตัวเองถูกหลอกใช้ให้ทำงานโดยเปล่าประโยชน์ อีกสักพักเราจะออกไปหาเขาอีกที ทันทีที่หวังเฉียงสารภาพ หลิวจื้อหมิงก็จะถูกจับแทน ส่วนปลาตัวใหญ่ที่ชักใยอยู่ข้างหลังจะถูกซัดทอดหรือเปล่า ต้องรอดูกันว่าหลิวจื้อหมิงจะปากแข็งแค่ไหน”

“ผลการตรวจร่างกายของหญิงชราที่โรงพยาบาลก็ออกมาแล้ว หล่อนป่วยเพราะพิษจากกรดไนไตรท์ ทั้งเหลียงเฝิ่นและเครื่องปรุงรสที่แม่คุณทำไม่มีส่วนผสมไหนเลยที่ก่อให้เกิดกรดพวกนี้ แถมวัตถุดิบในวันนั้นก็สดใหม่ ไม่มีการเน่าเสีย”

เซี่ยไห่ขอให้คนรู้จักที่เป็นหมอเข้าไปพูดคุยหลอกถามจากหญิงชรา หญิงชราเผลอหลุดปากว่าตนกินผัดกุยช่ายที่บูดเสียไปหนึ่งจาน ก่อนจะออกจากบ้านมากินเหลียงเฝิ่น”

“ใช่ พอผัดกุยช่ายเริ่มบูด คนที่กินในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้กระเพาะอาหารเกิดพิษที่ว่าได้”

หลังจากอธิบายให้หลินเซี่ยฟังสั้น ๆ ถึงความคืบหน้าของเหตุการณ์ เฉินเจียเหอก็พูดว่า “มาเถอะ ออกไปร้านอาหารแล้วสั่งบะหมี่ผัดกินสักชามกัน หลังจากนี้พวกเราจะไปบุกบ้านหวังเฉียง”

หลินเซี่ยถาม “คุณอยากให้ฉันไปด้วยไหม?”

“ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวฉันจะไปรับหู่จื่อกลับบ้านเอง รอให้พวกเราจัดการเรื่องนี้กันเสร็จก่อน ฉันเป็นอารองของเธอ แถมนี่ยังถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับฉันที่จะขอรับเครดิตจากพี่อิงจื่อด้วย”

เซี่ยไห่เป็นคนตรงไปตรงมา ตอนนี้เขาถือว่าหลิวกุ้ยอิงเป็นพี่สะใภ้จากใจจริง ทั้งยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากพี่ชายของเขามาถึงไห่เฉิงแล้ว พวกเขาทั้งสองจะมีโอกาสได้สานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง

อดีตอันขมขื่นของหลิวกุ้ยอิง ทำให้เขารู้สึกสงสารและเห็นใจหล่อนยิ่งกว่าใคร ๆ

เมื่อได้ยินเขาเรียกตัวเองว่าอารองอย่างเต็มปากเต็มคำ หลินเซี่ยก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันฟังดูแปลก ๆ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้หัวใจของเธออบอุ่นมาก เธอถามว่า “แม่ของคุณกับคนอื่น ๆ จะมาถึงเมื่อไหร่เหรอคะ?”

“ยังไม่แน่ใจ พวกเขายังต้องไปรอเปลี่ยนเครื่องที่เชินเฉิง แม่ฉันอายุมากแล้ว ฉันเลยจองโรงแรมไว้ให้พวกเขาค้างที่เชินเฉิงก่อนหนึ่งคืน ไม่อย่างนั้นร่างกายพวกเขาคงทนไม่ไหวแน่ ส่วนพี่สาวก็ต้องไปตรวจดูกิจการห้องเต้นรำของฉันในเชินเฉิง บางทีการเดินทางอาจจะล่าช้าไปสองวัน”

“พวกเราไปก่อนนะ เย็นนี้ฉันจะพาหู่จือไปกินข้าวเอง ไม่ต้องรอพวกเรา”

คนกลุ่มใหญ่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเด็ดขาด หลังจากแวะกินข้าวในร้านอาหารแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่บ้านของหญิงชราเพื่อจับโจร

หวังเฉียงลูกชายของหญิงชรากำลังอารมณ์เสียหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยความโกรธอยู่ที่บ้าน

ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในบ้าน ก็เห็นว่าม้านั่งตัวเล็ก ๆ ถูกจับโยนจนยกหงาย ตามพื้นมีถ้วยชามตกแตกเกลื่อนกลาด

เซี่ยไห่มองดูเขา จากนั้นก็แค่นเสียงเยาะเย้ยว่า “ไง หวังเฉียง นี่คงเป็นผลจากการที่หลิวจื้อหมิงให้สัญญากับนายแต่เขากลับทำตามที่รับปากไม่ได้สินะ? นายคงโกรธมากเลยใช่ไหมล่ะ?”

เมื่อหวังเฉียงเห็นกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเซี่ยไห่ ทั้งเฉินเจียเหอและชายฉกรรจ์คนอื่น ๆ ตัวสูงและทรงพลัง พอได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงหลิวจื้อหมิง เขาก็เริ่มตื่นตระหนกเหมือนวัวสันหลังหวะ “พวกคุณมาทำอะไร? แม่ผมยังรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่เลย ที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้พวกคุณเลยด้วย”

ใบหน้าของเฉินเจียเหอมืดมน เขาแสดงท่าทางที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกกดดันอย่างรุนแรง “เราไม่ได้จะมาทำอะไรนาย แค่อยากจะบอกให้นายรู้ไว้ ว่าถึงนายจะเสียชามข้าวเหล็กไปแล้ว แต่อีกไม่นานนายก็จะได้ชามข้าวเหล็กใบใหม่ อย่ากังวลไปเลย ถึงมันจะไม่ทนทานเหมือนกับเหล็กรถถังหุ้มเกราะ แต่ก็ยังพอถูไถไปได้ ต่อให้อยู่ในนั้นหลายปีก็ไม่น่าจะอดอยากอะไร”

“หมายความว่าไง?” หวังเฉียงแสดงท่าทางแตกตื่น รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

“นายมันไร้จิตสำนึก เห็นแก่ตัวไม่ยอมถูกโรงงานเครื่องจักรเลิกจ้าง แม่ของนายอายุจวนจะแปดสิบอยู่แล้ว แต่หล่อนกลับยอมเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพื่อแลกกับการรักษางานของนายไว้ นายมันลูกอกตัญญูจริง ๆ”

เฉินเจียเหอเดินสืบเท้าเข้าไปหา และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าหลิวจื้อหมิงขอให้นายบีบคอหญิงชราคนนั้นจนตาย เพื่อที่จะรักษางานของตัวเองไว้ นายจะยอมทำโดยไม่ลังเลเลยหรือเปล่า?”

“คุณกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร? แห่มาที่บ้านของผมกันทำไม? ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” เวลานี้สายตาที่มีความผิดของหวังเฉียงฉายแววดุร้าย เขาถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว น้ำเสียงสั่นเทา แต่กลบเกลื่อนโดยการไล่กลุ่มคนตรงหน้าออกไป

“พวกเราได้หลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอจะพิสูจน์ว่าแม่นายไม่ได้อาหารเป็นพิษเพราะเหลียงเฝิ่น แต่เป็นแบบนั้นเพราะกินผัดกุยช่ายเน่า ๆ ที่เมียนายหามาให้หล่อนกินในตอนเช้า”

เซี่ยไห่โยนปึกรายงานผลการทดสอบให้เขา “นี่เป็นรายงานผลการทดสอบจากหมอที่เชื่อถือได้ การกินผัดกุยช่ายที่ปรุงสุกแล้วทิ้งไว้เป็นเวลานานจนบูดทำให้เกิดกรดบางอย่าง ปริมาณไนเตรตในกุยช่ายจะถูกแปลงเป็นไนไตรต์ ยิ่งเมื่อกินในปริมาณมากก็จะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย ขาดน้ำ และอาจถึงขั้นช็อกตายได้ ฉันได้ยินแม่นายบอกว่าลูกสะใภ้เอาจานผัดกุยช่ายมาให้หล่อนกินเป็นมื้อเช้าเมื่อสามวันก่อน หลานชายบอกแล้วว่าอย่ากิน แต่ลูกสะใภ้บอกว่าทิ้งไว้เดี๋ยวของจะเสียหมดก็เลยยกให้หล่อนกิน จากนั้นเมียนายก็พาหล่อนออกไปกินเหลียงเฝิ่น กรมอาหารและยาเอาเหลียงเฝิ่นที่เหลือรวมถึงเครื่องปรุงทั้งหมดที่หลิวกุ้ยอิงเป็นคนขายไปทดสอบแล้ว แถมยังไปสอบถามอาการของลูกค้าที่มากินในวันเดียวกันด้วย ซึ่งไม่มีใครมีปัญหา”

เฉินเจียเหอพูดเสริมว่า “นอกจากนี้ ตอนแรกชื่อของนายยังอยู่ในรายชื่อพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างชุดแรกของโรงงานเครื่องจักร ต่อมาหลิวจื้อหมิงก็ขีดฆ่าชื่อนายออก หลังจากเกิดเหตุ ชื่อของนายก็ถูกบรรจุเข้ามาอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วแม่นายก็ยังทุกข์ทรมานอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่มีใครช่วยไม่ให้นายถูกเลิกจ้างได้”

หวังเฉียงมองพวกเขาด้วยความสยดสยอง ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าพวกเขาจะตามสืบที่มาที่ไปได้อย่างชัดเจนขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขาเตือนผู้เป็นแม่แล้วว่าอย่าพูดอะไรโดยไม่จำเป็น ใครจะไปคิดว่านางจะแก่จนเลอะเลือน ถึงกับยอมสารภาพว่าตัวองกินผัดกุยช่ายบูดเข้าไป

หวังเฉียงมองไปที่กลุ่มผู้ชายน่าเกรงขามที่อยู่ตรงหน้า รู้ดีว่าคำแก้ตัวของตัวเองไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

“ท่าน ๆ ทั้งหลาย ปล่อยผมไปเถอะ ผมทำลงไปก็เพราะไม่มีทางเลือก ครอบครัวผมมีทั้งคนแก่และเด็กที่ต้องเลี้ยงดู ทั้งครอบครัวอาศัยเงินเดือนของผมคนเดียว ผมยอมให้ตัวเองโดนเลิกจ้างไม่ได้ พอหัวหน้าหลิวมาคุยกับผม ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตอบตกลง ใครจะคิดว่าพวกหัวหน้าระดับสูงฉลาดแกมโกง ทำตามที่พูดไม่ได้ ผมแค่หลงเชื่อคำโกหกของเขา ผมทำผิดไปแล้วจริง ๆ”

เฉินเจียเหอก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “พวกเราเข้าใจความยากลำบากของนายนะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นนายก็ไปสารภาพความจริงกับตำรวจเถอะ ถ้ายอมรับสารภาพก็จะได้รับการผ่อนปรนโทษ ตราบใดที่นายให้ปากคำตามความเป็นจริง พวกเราจะพิจารณายอมความ ไม่ดำเนินดดีตามกฎหมาย”

“จริงเหรอ?” หวังเฉียงที่หวาดกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพลันมีดวงตาเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินว่าเขาอาจไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย

“แน่นอน”

หวังเฉียงรีบรุดไปมอบตัวที่โรงพัก พอเสร็จสิ้นการให้ปากคำ หลิวจื้อหมิงก็ถูกพาตัวขึ้นโรงพักโดยทันที

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ยัยถังคิดจะเตะตัดขายัยเหมยเน่าแล้วหรือเปล่า พอได้ยินว่าอีกฝ่ายหาคนใหม่ได้หล่อรวยนี่ตาร้อนผ่าวๆ เลยนะ

โห พี่เหอสืบละเอียดมาก ทำงานละเอียดอย่างกับเป็นตำรวจสายสืบที่ปลอมตัวมาสืบคดี

ไหหม่า(海馬)

——————————————-

ตอนที่ 273 อาจมีคนจงใจใส่ร้าย

ตอนที่ 273 อาจมีคนจงใจใส่ร้าย

หลินเยี่ยนละล่ำละลักพูดไม่เป็นภาษา หลินเซี่ยเลยดึงหล่อนเข้าไปในร้านตัดผมก่อน “ไม่ต้องร้องแล้ว ฉันอยู่นี่แล้ว เดี๋ยวค่อย ๆ แก้ปัญหากัน”

“ฉันจะไปเรียกพี่ชาย”

หลินจินซานทำงานเข้ากะกลางคืน เวลานี้น่าจะยังหลับพักผ่อนอยู่

เมื่อหลินเซี่ยตามหาหลินจินซาน แม้แต่เซี่ยไห่และคนอื่นก็พลอยตื่นตระหนกไปด้วย

ลู่เจิ้งอวี่ไปเยี่ยมชมห้องเต้นรำโดยเซี่ยไห่เป็นคนอนุญาต ส่วนเฉียนต้าเฉิงและคนอื่น ๆ ก็มากันหมดแล้ว

หลินจินซานเพิ่งจะขึ้นไปนอนด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อเขาได้ยินว่าหลิวกุ้ยอิงถูกจับตัวไป เขาก็ถามอย่างกังวลใจว่า “แม่ถูกพาตัวไปที่ไหน? เราต้องไปช่วยแม่เดี๋ยวนี้เลย”

ทันทีที่หลินเยี่ยนเล่าเหตุการณ์ หล่อนก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าดุเดือด

“นั่นไงคนพวกนั้น” หลินเยี่ยนตกใจมากจนย่อตัวแล้วไปหลบอยู่ด้านหลังหลินจินซาน

ชายวัยกลางคนเหมือนเป็นผู้นำกลุ่มคนเหลือบมองพวกเขาอย่างมาดร้ายแล้วถามว่า “เธอคือลูกสาวของหลิวกุ้ยอิงใช่ไหม? เหลียงเฝิ่นที่แม่เธอทำมันสกปรกโสโครก แม่ฉันอาหารเป็นพิษหลังจากกินมันเข้าไป ตอนนี้แม่เข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล บอกมาสิว่าจะชดเชยให้ยังไง?”

“ใช่แล้ว ถ้ามันรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ใครจะรับผิดชอบ?”

หลินเซี่ยเปิดประตู และเข้ามาพูดอย่างสุภาพ “ทุกคนใจเย็นก่อนนะคะ เข้ามาคุยกันดี ๆ เถอะ”

“ไม่เข้าไปหรอก เราจะคุยกันตรงนี้ เราแค่อยากประจานให้ทุกคนรู้ว่าเหลียงเฝิ่นร้านเธอมันเป็นสกปรก”

หลินจินซานปกป้องน้องสาวทั้งสองให้ไปหลบอยู่ข้างหลัง ยืดหลังตรงและโต้แย้งกับพวกเขาว่า “ถ้ามันสกปรกจริงงั้นทำไมแม่คุณถึงป่วยอยู่คนเดียว? แม่กับน้องสาวฉันตั้งแผงขายของที่นั่นมาหลายเดือนแล้ว และเราก็ขายหมดตั้งแต่เช้าทุกวัน ทำไมแม่คุณถึงเพิ่งมาปวดท้องเอาตอนนี้? แล้วทำไมคนอื่นไม่เห็นเป็นอะไร?”

“อย่ามาแก้ตัวดีกว่า พวกเธอต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”

“แม่คุณถูกส่งเข้าโรงพยาบาลไหน? พวกเราขอไปดูอาการเธอหน่อย”

“ยังไงก็อย่าลืมพกเงินติดตัวไปด้วยแล้วกัน พวกเธอต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะนี่เป็นความรับผิดชอบของพวกเธอ เราไม่ยอมแน่ นอกจากจะไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว สุขอนามัยยังยอดแย่ แล้วยังกล้าออกมาตั้งแผงขายอีก ไม่ว่ายังไงเธอจะปัดความรับผิดชอบนี้ไม่ได้”บราวนี่ออนไลน์

เซี่ยไห่พูดกับทุกคนว่า

“เดี๋ยวเราแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม เซี่ยเซี่ยกับฉันจะไปสถานีตำรวจเพื่อดูว่าต้องทำเรื่องอะไรบ้าง ส่วนจินซาน เจิ้งอวี่ และต้าเฉิงไปโรงพยาบาลเพื่อติดตามอาการป่วยของแม่เขา อย่าลืมถามหมอด้วยว่าอาการอาหารเป็นพิษเกิดจากอะไร ถ้าทางนี้กลับจากสถานีตำรวจเมื่อไหร่จะรีบตามไปที่โรงพยาบาลทันที”

เซี่ยไห่ถามหลินเยี่ยน “จริงสิ เหลียงเฝิ่นที่เหลือยังมีอยู่ไหม?”

หลินเยี่ยนตอบ “ถูกตำรวจยึดไปหมดแล้วค่ะ”

เซี่ยไห่และหลินเซี่ยจึงรีบไปสถานีตำรวจทันที ทางหลิวกุ้ยอิงนั้นถูกพาตัวไปลงบันทึกประจำวันและถูกควบคุมตัวอยู่ที่นั่น โดยอยู่ในสภาพตื่นตระหนก

เมื่อเห็นหลินเซี่ยและเซี่ยไห่เข้ามา หลิวกุ้ยอิงร้องห่มร้องไห้พลางพูดว่า

“เซี่ยเซี่ย แม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาหารของเราไม่มีอะไรผิดปกติจริง ๆ เสี่ยวเยี่ยนและแม่ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยเสมอ เราทำทุกอย่างวันต่อวัน ทั้งยังสวมหน้ากากอนามัยระหว่างทำด้วย มันไม่มีทางสกปรกแน่นอน“

หลินเซี่ยจับมือเธอเบา ๆ และพูดปลอบใจ “แม่คะ ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

หลินเซี่ยและเซี่ยไห่ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบเรื่องนี้ โดยตำรวจชี้ว่าการตั้งแผงขายของโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจถือว่าขัดต่อกฎหมาย และควรได้รับบทลงโทษตามกฎหมายถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น แม้หลินเซี่ยจะเสนอให้จ่ายค่าประกันตัวก่อน แต่ทางตำรวจจะยังไม่ปล่อยตัวแม่ของเธอ

ถังจวิ้นเฟิงถูกเซี่ยไห่เรียกตัวมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถังจวิ้นเฟิงให้การรับประกัน และขอให้หลินเซี่ยจ่ายค่าประกันตัว หลิวกุ้ยอิงจะได้รับการปล่อยตัวก่อน ส่วนเรื่องคดีจะค่อย ๆ ดำเนินไปทีละขั้น

“ทางเราจะส่งรถเข็นแผงอาหารของคุณให้ทางกรมอาหารและยาทำการตรวจสอบ ไม่ว่าคุณจะมีส่วนผิดหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากคนคนนั้นเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล คุณควรให้ความร่วมมือกับเราและไปพบหมอก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนปลอดภัยดี แล้วจะได้จัดการเรื่องนี้ทีหลัง”

หลังจากหลิวกุ้ยอิงได้รับการประกันตัว ทุกคนก็ไปโรงพยาบาลทันที

ขณะนี้หลินจินซานกำลังทะเลาะกับสมาชิกในครอบครัวฝั่งคู่กรณี ส่วนลู่เจิ้งอวี่และหลินเยี่ยนก็กำลังช่วยกันโต้เถียง

เซี่ยไห่ตวาดใส่หลินจินซาน “หยุดเถียงก่อน”

หลินจินซานสงบลง และไปยืนอยู่ข้างเขา

หลินเซี่ยเจรจากับครอบครัวฝั่งนั้นว่า “เราจะสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้าไปก่อน จนกว่าผลการสอบสวนจะออกมา ถ้าไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา คุณจะต้องคืนเงินทั้งหมดอย่างเต็มจำนวน และจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายด้วย ในข้อหาใส่ร้ายฉ้อโกง”

เซี่ยไห่เห็นว่าครอบครัวนี้ชั่วร้ายพอ ๆ กับพวกอันธพาลในสังคม เขาจึงดึงถังจวิ้นเฟิงเข้ามาแล้วพูดว่า “ผมขอแนะนำให้พวกคุณรู้จักเพื่อนของผม เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งประจำการอยู่ที่สถานีรถไฟไห่เฉิง ส่วนผมเป็นเจ้าของห้องเต้นรำสวินเมิ่ง เธอเองก็เป็นหลานสะใภ้ของอดีตผู้บัญชาการกองทหาร แม่เธอเป็นเจ้าของแผงขายอาหารนี้ ผมคิดว่าพวกคุณอย่าได้หาเรื่องตุกติกอะไรจะดีกว่า ถ้าอาหารของเรามีปัญหาจริง เราจะรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด แต่ถ้าอาการอาหารเป็นพิษของแม่คุณเกิดจากสาเหตุอื่น เราไม่ปล่อยพวกคุณไปแน่”

รังสีของเซี่ยไห่นั้นแข็งแกร่งมาก ทำให้ท่าทางของสมาชิกในครอบครัวฝั่งคู่กรณีอ่อนแอลงไม่น้อย

เซี่ยไห่บอกกับเฉียนต้าเฉิงและคนอื่นว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลผู้ป่วย เราจะส่งคนสักสองคนมาเฝ้าประตูวอร์ดไว้ และคอยรายงานทุกอย่างทันทีเมื่อมีปัญหา”

เซี่ยไห่และหลินเซี่ยไปพบหมอเจ้าของไข้ หมออธิบายว่า “ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นว่าเป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม และการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในทางเดินอาหาร หล่อนมีอาการอาเจียนและท้องเสีย แต่หล่อนเป็นผู้สูงอายุค่อนข้างอ่อนแอ อาจจะต้องอยู่ต่ออีกสักสองสามวันเพื่อดูอาการ”

หลินเซี่ยทำเรื่องจ่ายค่ารักษาพยาบาล ส่วนทางครอบครัวคู่กรณีต้องการให้หลิวกุ้ยอิงมาคอยดูแลแม่พวกเขาที่นี่

ไม่อย่างนั้นจะต้องจ่ายค่าชดเชยการทำงานให้พวกเขา

“คนของเราอยู่หน้าประตูแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็คุยกับพวกเขาได้ ถ้าอาหารเรามีปัญหาจริง ๆ เราจะจ่ายค่าชดเชยตามวันที่แม่คุณไม่ได้ไปทำงาน”

หลินเซี่ยพูดต่อว่า “เราจะขอให้หมอที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้มาตรวจสุขภาพให้แม่คุณอย่างละเอียด ว่าสาเหตุของอาหารเป็นพิษเกิดจากอะไรกันแน่ แล้วเราจะได้รู้กันเร็ว ๆ นี้”

หลังจากจ่ายค่ารักษา ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

ทางด้านหลิวกุ้ยอิงก็เน้นย้ำอยู่เสมอว่าเหลียงเฝิ่นที่ทำอยู่ไม่มีปัญหาแน่นอน

“เซี่ยเซี่ย คิดว่ามีอะไรน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?” เซี่ยไห่ถามหลินเซี่ย

“แน่นอนว่าต้องมี” หลินเซี่ยพูดพลางแสดงสีหน้าเศร้าหมอง

ถังจวิ้นเฟิงมองหลินเซี่ยด้วยความประหลาดใจ “คุณหมายถึงมีคนจงใจใส่ร้ายงั้นเหรอ?”

หลินเซี่ยพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ฉันคาดเดา”

“พี่อิงจื่อ คุณเคยทำให้ใครขุ่นเคืองมาก่อนหรือเปล่า?”

เมื่อได้ฟังคำถามจากเซี่ยไห่ หลิวกุ้ยอิงก็ดูสับสน

“คิดว่าไม่ เสี่ยวเยี่ยนและฉันตั้งแผงขายของทุกวันตามปกติ นอกจากพวกคุณแล้ว เราก็ไม่รู้จักใครเลย”

ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถังจวิ้นเฟิงต้องเผชิญกับคดีทุกประเภท จึงไม่อยากให้คดีนี้เป็นการคาดเดาด้วยทฤษฎีสมคบคิด

“คุณคิดมากไปหรือเปล่า? บางทีเธอคนนั้นอาจกินอย่างอื่นแล้วบังเอิญมากินเหลียงเฝิ่นทีหลังก็ได้ จากนั้นก็เกิดปัญหาเรื่องทางเดินอาหารพอดี เพื่อจะประหยัดค่ารักษาพยาบาล ครอบครัวนั้นเลยจงใจปัดความรับผิดชอบให้เหลียงเฝิ่นของป้าหลิว”

หลินเซี่ยยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันก็หวังให้เป็นอย่างนั้น”

เฉินเจียเหอกลับมาจากเลิกงาน และได้ข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ยาย

“เราคงต้องรักษาผู้ป่วยไปก่อน”

เขาพูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “แม่ครับ ระยะนี้คงจะยังออกไปตั้งแผงขายของไม่ได้ ถือซะว่าใช้ช่วงเวลานี้เพื่อหยุดพักผ่อนไปก่อนแล้วกันนะครับ”

เซี่ยไห่ตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ใช่แล้ว เราพักกันสักหน่อยเถอะ บังเอิญว่าแม่ฉันและพี่ใหญ่ก็ซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว ไว้พวกเขามาถึง เรามาย้อนวันวานนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ กัน ส่วนเรื่องตั้งแผง เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง”

หลิวกุ้ยอิงไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยถึงแม้จะได้ยินชื่อของเซี่ยเหลย

ตั้งแต่พวกเธอมาที่ไห่เฉิงเพื่อทำธุรกิจแผงขายอาหาร ธุรกิจของพวกเธอก็ไปด้วยดี โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาสามารถรักษารายได้มากกว่าสามสิบหยวนคงที่ทุกวัน ในเวลาแค่สองเดือนก็เก็บเงินได้แล้วหนึ่งพันหยวน ถึงจะเหน็ดเหนื่อยไปบ้างแต่พวกเธอก็มีแรงบันดาลใจที่จะสู้ต่อ

เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เงินที่ได้รับอาจไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คู่กรณี

“แม่ ไม่ต้องกังวลนะคะ เรื่องนี้จะต้องถูกตรวจสอบ”

หลิวกุ้ยอิงปาดน้ำตา ราวกับความหวังในชีวิตทั้งหมดกำลังแหลกสลายเป็นเถ้าถ่าน

กว่าจะตั้งหลักในเมืองใหญ่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เฉินเจียเหอฟังเรื่องราวโดยละเอียดจากหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยน จากนั้นวิเคราะห์ว่า “ขายไปมากกว่าหกสิบชาม มีหล่อนแค่คนเดียวเท่านั้นที่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง เห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่ปัญหาจากอาหารของพวกคุณแน่”

เซี่ยไห่พูดขึ้นว่า “แต่พี่อิงจื่อไม่เคยมีปัญหากับใครเลย หล่อนตั้งแผงขายอาหารริมถนน แล้วอาหารที่ขายก็ต่างจากร้านอาหารแถวนั้นด้วย จะไปมีคู่แข่งที่ไหนกัน หรือจะเป็นอย่างที่จวิ้นเฟิงพูด หล่อนคนนั้นอาจท้องไส้ไม่ดีอยู่แล้ว ครอบครัวหล่อนเลยหาข้ออ้างเพื่อรีดไถค่ารักษาพยาบาลหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยส่ายหน้า “ฉันคิดว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”

นับตั้งแต่ที่เธอถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยใส่ร้าย หลินเซี่ยก็ไม่เชื่อเรื่องบังเอิญแบบนี้อีกต่อไป

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ถ้าให้เดานะ ผู้แปลเดาว่าเป็นฝีมือยัยเหมยเน่าหรือไม่ก็คนในตระกูลเสิ่นไปให้สินบนครอบครัวนี้มาใส่ร้ายแม่เซี่ยเซี่ย ดูทรงแล้วมีแต่คนตระกูลนี้แหละที่น่าจะทำอะไรชั่วๆ แบบนี้ได้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท