ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 279 ผลการสอบสวน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 279 ผลการสอบสวน

ตอนที่ 279 ผลการสอบสวน

ตามที่คาดไว้ หลิวจื้อหมิงปฏิเสธที่จะยอมรับในตอนแรก

พอบันทึกคำให้การเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีอะไรจะถามอีก

หวังเฉียงขอเผชิญหน้ากับเขาแบบตัวต่อตัว

เพื่อคลี่คลายคดีโดยเร็วที่สุด ตำรวจจึงอนุญาตให้พวกเขาเผชิญหน้าและถกเถียงกันโดยตรง

หวังเฉียงซึ่งกลายเป็นคนตกงานรู้สึกโกรธและผิดหวังมากเมื่อเห็นหลิวจื้อหมิง เขาแทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เกือบจะปรี่เข้าไปชกหน้าหลิวจื้อหมิงบนโรงพัก

หลิวจื้อหมิงยังมีทัศนคติที่แข็งแกร่ง แม้จะเผชิญกับเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวของหวังเฉียง ก็ยังมีอารมณ์มั่นคงราวกับหินผา “หวังเฉียง การเลิกจ้างของคุณถูกกำหนดโดยโรงงานผ่านการประชุมและติดตามผล มันไม่ใช่ความผิดของผม สาดน้ำสกปรกใส่ผมต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

หวังเฉียงคำรามด้วยแรงอารมณ์ “ฉันจะสาดน้ำสกปรกไปเพื่ออะไร? คุณไม่ได้บอกให้ผมไปสร้างปัญหาให้กับแผงขายของของหลิวกุ้ยอิงหรอกเหรอ? ผมอุตส่าห์ยอมเอาชีวิตแม่วัยใกล้แปดสิบไปเสี่ยง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย แถมยังโดนแจ้งความอีก ตอนนี้คุณคิดจะโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ผมหรือไง?”

“คุณมีหลักฐานไหมล่ะ?” หลิวจื้อหมิงมองเขาอย่างมั่นใจ

เจ้าหน้าที่ตำรวจโยนแฟ้มเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดลงตรงหน้าหลิวจื้อหมิง

“เราคงไม่ไปพาตัวคุณมาถ้าเราไม่มีหลักฐาน”

ตำรวจมีหลักฐานแน่นหนาว่าบุคลากรในโรงงานเครื่องจักรมีการแก้ไขเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหวังเฉียง

ซึ่งหลักฐานทั้งหมดเป็นสิ่งที่เฉินเจียเหอได้มาจากเจียงกั๋วเซิ่ง

“ในใบรายชื่อพนักงานชุดแรกที่ถูกเลิกจ้างของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ตอนแรกมีชื่อของหวังเฉียงรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่ต่อมาชื่อของเขาถูกขีดฆ่าออก ฝ่ายบุคคลบอกว่าคุณเป็นคนสั่งให้พวกเขาทำแบบนั้น และหลังจากนั้นรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงก็ตัดสินใจเลิกจ้างหวังเฉียงอย่างเป็นทางการ”

หลิวจื้อหมิงโต้กลับ “แต่นั่นก็พิสูจน์ไม่ได้ซะหน่อยว่าผมเป็นคนบอกให้หวังเฉียงไปวางยาแม่ของเขาด้วยการกินผัดกุยช่ายเน่า”

“ไม่ว่ามันจะเป็นความคิดของคุณจริงไหม เราจะทำการตรวจสอบเพิ่มเติม”

หวังเฉียงและหลิวจื้อหมิงถูกควบคุมตัวด้วยกันทั้งคู่

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจต่อไป

เซี่ยไห่ถามเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย “พวกเธอคิดว่าหลิวจื้อหมิงจะกล้าทรยศเสิ่นเถี่ยจวินไหม?”

หลินเซี่ยส่ายหัว “ไม่มีทางซะหรอก”

หลิวจื้อหมิงเป็นสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ได้รับการฝึกฝนโดยเสิ่นเถี่ยจวินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

แม้แต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เขายังปิดปากเงียบสนิท

เมื่อได้ยินแบบนี้เซี่ยไห่ก็เริ่มกังวล “งั้นหมายความว่าพวกเราทำอะไรคนสารเลวนั่นไม่ได้เลยเหรอ?”

“จะรีบร้อนไปทำไม? มะรืนนี้ก็จะถึงงานวันเกิดของผู้เฒ่าเซี่ยแล้วไม่ใช่เหรอ? เราไม่ต้องคุยกันแล้วว่าเขาจะโดนลงโทษทางกฎหมายไหม มาฉีกหน้ากากหน้าซื่อใจคดของเขาต่อหน้าทุกคนกันเถอะ”

ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็เริ่มสนใจ เดินเข้าไปใกล้เธอแล้วถามว่า “เซี่ยเซี่ย เธอคิดจะทำอะไรล่ะ?”

หลินเซี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแสดงความคิดของเธอต่อพวกเขา

ทั้งสองเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อกังขา

“ได้ เอาแบบนี้แหละ ต่อให้เราจะไม่สามารถจับเขาเข้าคุกได้ อย่างน้อยโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาก็จะถูกเปิดโปงจนไม่เหลือชิ้นดี ถ้าพี่เซี่ยหลานรู้ว่าเขาเป็นคนทำเรื่องเลวทรามในตอนนั้น หล่อนต้องขอหย่ากับเขาแน่ คราวนี้เขาจะกลายเป็นคนทรยศในบรรดาเครือญาติ ได้รับความอับอายขายหน้า”

เมื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ มาจนถึงระดับนี้ ในที่สุดหลิวกุ้ยอิงก็หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมด

ถึงอย่างนั้นพวกหล่อนก็ไม่สามารถตั้งแผงลอยได้อีกต่อไป

แผงขายอาหารของหล่อนไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกรมอาหารและยาตั้งแต่แรก แถมยังไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ถ้าไม่เกิดปัญหาขึ้น แผงลอยก็จะยังเปิดขายในที่สาธารณะริมถนนได้โดยที่ไม่มีใครมาตรวจสอบ

มาตอนนี้มันได้เกิดปัญหาขึ้น แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่ใช่ความผิดของหล่อน แต่แผงขายอาหารที่ไม่มีเอกสารคุ้มครองด้านสุขอนามัยก็ยังถูกจัดให้เป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

เมื่อไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้อีกต่อไป หลิวกุ้ยอิงก็เริ่มรู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

หลินเซี่ยจับมือหล่อนและเอ่ยปลอบโยน “แม่ นี่ถือเป็นบทเรียนหนึ่งสำหรับพวกเราเท่านั้นค่ะ แต่เรายังมีอุปกรณ์สำหรับทำมาหากินอยู่ในมือ ตราบใดที่เราหาเช่าร้านค้าได้ แล้วจัดการขอใบอนุญาตด้านสุขอนามัยและใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว เราก็จะยังเปิดร้านที่ถูกกฎหมายได้ คิดซะว่าป้องกันตัวด้วย อย่าเพิ่งสิ้นหวังไปเลย”

หลิวกุ้ยอิงกังวล “แต่นั่นก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่”

“รอให้พ่อแท้ ๆ ของฉันมาก่อนสิคะ พวกคุณค่อยลงทุนเปิดร้านด้วยกัน แบบนี้จะได้ประหยัดต้นทุนลงมาหน่อย”

หลินเซี่ยเห็นด้วยอย่างมากกับข้อเสนอของเซี่ยไห่ที่จะให้แม่เปิดร้านกับพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอ บางทีพวกเขาอาจจะมีโอกาสได้กลับมาสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง

หลิวกุ้ยอิงถอนหายใจ “ตอนนี้เขาไม่รู้จักแม่ด้วยซ้ำ แม่จะไปเปิดร้านร่วมกับคนอื่นเขาได้ยังไง? เขาจะเต็มใจเหรอ?”

หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ไม่แน่ว่าทันทีที่เขาเห็นหน้าแม่ ความทรงจำที่ตายด้านไปแล้วของเขาอาจจะฟื้นคืนกลับมาก็ได้นะคะ ใช้ชีวิตหลังจากนี้ให้มีความสุขเถอะ ไหน ๆ วันนี้แม่ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ออกไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่กันดีกว่า”

เธออยากให้ผู้เป็นแม่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อที่จะได้เจอหน้าอดีตคนรักของหล่อนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

ช่วงบ่าย เฉินเจียเหอออกไปรับหู่จือกลับจากโรงเรียนและไปที่ร้านตัดผมหลังจากนั้น เขาบอกว่าครอบครัวโทรมาชวนให้พวกเขากลับไปกินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน

สามพ่อแม่ลูกกลับไปที่บ้าน เฉินเจียซิ่งและเฉินเจียวั่งต่างก็อยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน

มองแวบแรกเหมือนพวกเขาถูกปู่เรียกกลับมาเพื่อร่วมงานรวมญาติอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากเฉินเจียซิ่งหย่าร้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น การแต่งตัวเริ่มทันสมัย แม้แต่ทรงผมก็เปลี่ยนใหม่ ดูเหมือนว่าเขามีความสุขกับการได้รับอิสระโดยที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของใคร

ผู้เฒ่าเฉินถามพวกเขา “เจียเหอ เซี่ยเซี่ย ในวันเกิดของเหล่าเซี่ยที่ใกล้จะมาถึง พวกเธอได้เตรียมของขวัญอะไรให้เขาบ้าง?”

หลินเซี่ยตอบ “คุณปู่ ฉันตัดเสื้อคลุมเข้าคู่กับกางเกงตัวใหม่ให้ผู้เฒ่าเซี่ยค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้เฒ่าเฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เธอนี่เข้าใจคิดจริง ๆ เหล่าเซี่ยจะต้องพอใจกับเสื้อตัวใหม่ที่เธอตัดเย็บด้วยตัวเองแน่นอน”

ผู้เฒ่าเฉินเหลือบมองเฉินเจียซิ่งซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าเล่นเพจเจอร์อยู่ แล้วพูดกับพวกเขาว่า

“วันนี้ฉันเรียกพวกเธอทุกคนให้มารวมตัวกัน ก็เพราะอยากจะเล่าให้ทุกคนฟังเกี่ยวกับผลการสอบสวนของโรงพยาบาลเหรินกวง เกี่ยวกับเรื่องท้องปลอมของเสิ่นเสี่ยวเหมย”

“เรื่องเป็นอย่างนี้ เดิมทีโรงพยาบาลเหรินกวงต้องการสรุปผลให้จบ ๆ ไป แล้วรายงานผลการตรวจสอบว่าเป็นเพราะหมอประมาทเลินเล่อวินิจฉัยผิดพลาด แต่โรงพยาบาลจะยิ่งด้อยคุณภาพ ตราบใดที่บุคลากรภายในได้รับผลประโยชน์ก็จะฝ่าฝืนกฎหมายและจรรยาบรรณแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

“ฉันขอให้ลูกน้องที่รู้จักสร้างความกดดันให้ทางโรงพยาบาล บีบให้ผู้บริหารลงมาสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็พบว่าหมอของโรงพยาบาลถูกติดสินบนจริง ๆ และจงใจเขียนใบตรวจวินิจฉัยอันเป็นเท็จ เปลี่ยนการมีประจำเดือนให้กลายเป็นภาวะแท้งบุตร

“และคนที่จ่ายเงินติดสินบนหมอ ก็คือถังหลิง”

ผู้เฒ่าเฉินพูดเสียงทุ้มต่ำ

ว่าแล้วเชียว หลินเซี่ยคาดเดาต้นตอของเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด

กลับกัน เฉินเจียซิ่งกลับรีบคว้าเอกสารผลการสอบสวนที่ปู่ของเขาหยิบออกมาวางขึ้นอ่านด้วยความไม่เชื่อ

เมื่อเห็นข้อมูลทั้งหมดบนหน้ากระดาษ ตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกตะลึง

เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดจินตนาการมาก่อนว่าใบหน้าที่ไม่มีพิษภัยของถังหลิง จะมีความร้ายกาจซุกซ่อนอยู่

หล่อนมีส่วนวางแผนสมรู้ร่วมคิดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยเรื่องท้องปลอมตั้งแต่ต้นจนจบ สุดท้ายก็ยังมาวิพากษ์วิจารณ์เสิ่นเสี่ยวเหมยต่อหน้าเขา

ทำไมหล่อนถึงสร้างเรื่องทุกอย่างได้แนบเนียนถึงขนาดนี้

หลินเซี่ยพูดขึ้นว่า “ถังหลิงเป็นคนต้นคิดเรื่องเสิ่นเสี่ยวเหมยท้องตั้งแต่แรก พอรู้ว่าตัวเองเดาผิดก็วางแผนใส่ร้ายฉัน พวกหล่อนเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกัน เมื่อเห็นว่าความจริงดังกล่าวอาจจะถูกเปิดเผยในสักวัน หล่อนกลัวว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบ ช่วงนี้หล่อนเลยแวะเวียนมาเอาใจใส่ฉันเป็นพิเศษ”

คุณย่าเฉินคร่ำครวญด้วยความผิดหวัง “สมัยเหล่าถังยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นคนดีมีคุณธรรมมาก ทำไมลูกหลานรุ่นหลังในครอบครัวเขาถึงได้มีจิตใจชั่วร้ายผ่าเหล่าผ่ากออย่างนี้? พ่อของถังหลิงโดนไล่ออกจากราชการข้อหายักยอกเงินและละเมิดวินัยของหน่วยงาน ไม่กี่ปีต่อมา น้องชายของเขาก็เข้าไปมีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ ทำให้ทั้งครอบครัวต้องย้ายออกจากเขตชุมชนนี้ไป เราคิดว่าครอบครัวของพวกเขาจะประพฤติตัวดีขึ้นหลังจากได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด ใครจะคิดว่ามาถึงตอนนี้ ถังหลิงยังวางแผนชั่วร้ายทำลายครอบครัวของคนอื่น?”

โชคดีที่หล่อนไม่ถูกจับแต่งงานกับเจียเหอตั้งแต่แรก

ไม่อย่างนั้นถ้าผู้หญิงสองคนนี้กลายมาเป็นสะใภ้ครอบครัวเดียวกันเมื่อใด ครอบครัวของพวกเขาอาจต้องเป็นฝ่ายย้ายออกไปจากชุมชนบ้านพักทหารซะเอง

หลินเซี่ยบอกว่า “เสิ่นเสี่ยวเหมยเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่หรอกค่ะ ถ้าหล่อนมีจิตสำนึกในความถูกต้อง หล่อนหรือจะเชื่อฟังถังหลิงง่าย ๆ?”

“เซี่ยเซี่ย ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยกับเฉินเจียซิ่งหย่ากันเรียบร้อย นับจากนี้หล่อนจะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับครอบครัวของเราอีก

“จากนี้ไป พวกเธอทุกคนต้องระวังถังหลิงให้มากขึ้น พวกเธอทำธุรกิจอยู่ในละแวกเดียวกันไม่ใช่เหรอ คนอย่างหล่อนต้องมีความคิดแย่ ๆ ตลอดเวลา เธอยังเด็กต้องระวังคนอื่นไว้ให้มาก และต้องรู้จักป้องกันตัวเอง”

หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินตักเตือนหลินเซี่ยเสร็จแล้ว เขาก็มองไปที่เฉินเจียเหอ แล้วเตือนเขาด้วย “หลานเองก็ควรอยู่ห่างจากหล่อน”

เฉินเจียเหอลูบจมูกตัวเองด้วยความลำบากใจทันที รู้สึกว่าตัวเองโดนพาดพิง

เขาเคยใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนั้นเสียที่ไหนกัน?

ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างหากที่พยายามจะจับคู่ให้เขากับถังหลิงไม่ใช่เหรอ?

เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพราะพวกเขาจัดแจงทั้งนั้น

หลินเซี่ยเหลือบมองเฉินเจียเหอซึ่งกำลังทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างไร้เดียงสา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณปู่ คุณย่า เดี๋ยวนี้ถังหลิงไม่สนใจเขาแล้วค่ะ ตอนนี้เธอกำลังมุ่งเป้าไปที่เซี่ยไห่ บางทีอาจจะเป็นเพราะตาลุกวาวกับฐานะทางการเงินของเซี่ยไห่ก็ได้”

“หวังว่าเขาจะไม่ตาบอดไปหลงหล่อน”

ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่เฉินเจียเหออีกครั้ง และเตือนว่า “ฝากไปบอกเซี่ยไห่ ถ้าเขาตาบอด อีกหน่อยหลานจะตัดมิตรภาพกับเขาซะ”

เฉินเจียเหอแตะจมูกเขาอีกครั้งแล้วพยักหน้า “ผมจะเอาคำเตือนของปู่ไปบอกเขาครับ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พระโคเจียเหอปังมาก แฉคนชั่วสองคนในเวลาติดๆ กันเลย

ยัยถังหล่อนเตรียมตัวโดนขึ้นแบล็คลิสต์ตระกูลเฉินได้แล้ว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 274 ผู้ต้องสงสัย

ตอนที่ 274 ผู้ต้องสงสัย

ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สิ

แต่เขาจะจัดฉากใส่ร้ายเพื่อพุ่งเป้ามาที่แม่เธอทำไม

บางทีเขาอาจต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อแสดงอำนาจให้เธอเสียขวัญก็ได้

ถังหลิง…

มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหล่อนเพิ่งจะมาขอให้ฉันร่วมมือทางธุรกิจในตอนเที่ยง ช่วงเวลาแบบนี้ หล่อนคงไม่โง่พอที่จะรนหาที่ตายแน่

เสิ่นเสี่ยวเหมย?

เสิ่นอวี้อิ๋ง?

หลินเซี่ยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ถ้ามีคนบงการอยู่เบื้องหลังจริง ๆ แน่นอนว่าคงไม่พ้นเป็นฝีมือของคนตระกูลเสิ่น

ศัตรูที่เธอนึกออกในปัจจุบันมีแค่พวกตระกูลเสิ่นเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยหรี่ตาลงและครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เฉินเจียเหอก็ถามเบา ๆ ว่า “เซี่ยเซี่ย ทำไมคุณไม่ยอมพูดอะไรเลย? มีความคิดยังไงบ้างกับเรื่องนี้?”

ตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยหลายคนเกินไป หลินเซี่ยจึงไม่ได้แสดงความคิดที่แท้จริงของเธอออกมา

“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาไม่ใช่เหรอ”

หลินเซี่ยพูดกับเซี่ยไห่ว่า “เถ้าแก่เซี่ยคะ ให้พี่ชายฉันออกไปทำธุระชั่วคราวได้ไหม ฉันอยากให้เขาไปสะกดรอยตามคนในครอบครัวของหญิงชรา ถ้ามีใครยุยงหล่อนอยู่เบื้องหลังจริง ๆ จะต้องมีเบาะแสอะไรสักอย่างแน่นอน ตราบใดคอยจับตาดูความเป็นไปของพวกเขา เราจะเจอเบาะแสได้ไม่ยาก”

เซี่ยไห่พยักหน้า “ได้ จินซาน นายกับเฉียนต้าเฉิงไปด้วยกัน อย่าลืมว่าต้องรู้จักหลบเลี่ยงสายตาคนอื่นไม่ให้ถูกจับได้”

“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยไห่หยุดพวกเขา แล้วโยนกุญแจให้กับเฉียนต้าเฉิง “ตู้ในห้องของฉันมีกล้องอยู่ นายไปหยิบออกมาสะพายหน่อย แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทำเหมือนตัวเองเป็นช่างภาพ ถ้านายเห็นคนในครอบครัวยายป้าคนนั้นไปเจอกับผู้ต้องสงสัย ให้นายถ่ายรูปเขามาด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถระบุตัวเขาได้แม้ว่าจะสะกดรอยตามอย่างกระชั้นชิดก็ตาม”

“เข้าใจแล้วครับเถ้าแก่”

เฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานพากันออกไป

เนื่องจากถังจวิ้นเฟิงยังมีบางอย่างที่ต้องทำ เขาจึงกลับไปที่หน่วยของเขา โดยไม่ลืมบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็สามารถมาตามหาเขาได้ทุกเมื่อ

หลินเซี่ยคอยปลอบใจหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยน

“เสี่ยวเยี่ยน อย่าเศร้าไปเลย ร้านตัดผมของฉันกำลังมีแผนจะรับสมัครเด็กฝึกงาน ช่วงนี้เธอก็อยู่กับฉันไปก่อนและเรียนรู้เคล็ดลับบางอย่างก็ได้”

“แม่ ไม่ต้องกังวลนะคะ อีกไม่นานเดี๋ยวเรื่องต่าง ๆ ก็จะคลี่คลาย”

ไม่ว่าหลินเซี่ยจะพูดอะไรก็ตาม น้ำตาของหลิวกุ้ยอิงก็ยังไหลริน

หล่อนอดเศร้าใจไม่ได้เมื่อคิดว่าพวกหล่อนสองแม่ลูกอาจจะทุ่มเทแรงกายทำงานไปเปล่า ๆ ถึงสองเดือนเต็ม และในอนาคตอาจไม่สามารถเปิดแผงขายของได้อีก

ขณะเดียวกัน เซี่ยไห่ก็รับโทรศัพท์

“เสี่ยวไห่ พวกเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย มีอะไรอยากฝากพวกเราเอาไปให้ไหม?”บราวนี่ออนไลน์

เซี่ยไห่ตอบกลับ “แม่ครับ ไม่เป็นไร พวกคุณต้องเดินทางไกลเป็นเวลานาน ดังนั้นอย่าหอบข้าวของพะรุงพะรังจนเกินไปดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นแกอยากกินอะไรจากฮ่องกงหรือเปล่าล่ะ?” แม่เซี่ยถามลูกชายด้วยรอยยิ้ม “แกน่ะติดนิสัยกินขนมมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ชอบตระเวนกินของอร่อย ๆ ถ้าอยากกินอะไรให้บอก เดี๋ยวแม่จะขอให้พี่สาวช่วยออกไปซื้อมาให้”

เซี่ยไห่เตือนอย่างรอบคอบ “แม่ ผมยังไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษ ผมเป็นเถ้าแก่นะ มีเงินซื้อของอร่อยทุกชนิดกินตลอดทั้งวัน ถ้าแม่อยากกินอะไร ผมจะเป็นคนซื้อให้เอง และจะดูแลพวกคุณเป็นอย่างดี เอาสัมภาระจำเป็นมาก็พอแล้ว อย่างอื่นค่อยซื้อเพิ่มตอนพวกคุณมาถึงไห่เฉิง”

“จริงสิ หลานสาวชอบกินอะไรหรือเปล่า แม่จะได้ซื้อไปฝากหล่อนด้วย” แม่เซี่ยพูด “อิงจื่ออีกล่ะ หล่อนชอบอะไร? พวกเราต้องให้อะไรบางอย่างแก่พวกหล่อนนะ”

เซี่ยไห่เหลือบมองหลิวกุ้ยอิงซึ่งดวงตาบวมจากการร้องไห้ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ รอพวกคุณมาถึงไห่เฉิงก่อนค่อยว่ากัน ที่นี่มีทุกอย่าง ซื้อทีหลังก็ยังไม่สาย”

เมื่อเห็นว่าหลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ยอยู่ใกล้ ๆ ในเวลานี้ เซี่ยไห่ก็มีท่าทางกะปรี้กะเปร่าเล็กน้อย ถามแม่ของเขาว่า “แม่ พี่ใหญ่อยู่ไหน?”

“อยู่นี่แหละ” แม่เซี่ยยื่นโทรศัพท์ให้คนที่อยู่ข้าง ๆ “เสี่ยวเหลย น้องชายเขาอยากคุยกับแกน่ะ”

เซี่ยไห่ยิ้มและถามว่า “พี่ใหญ่ เราจะได้เจอกันที่ไห่เฉิงวันพรุ่งนี้แล้วนะ พี่ตั้งตารออยู่ไหม?”

“จะให้ฉันตั้งตารออะไร?” เสียงของเซี่ยเหลยนุ่มนวลและทรงพลัง ทว่าเจือริ้วเฉยชา “จู่ ๆ แม่กับเสี่ยวอวี่ก็อยากไปไห่เฉิง พวกหล่อนบอกว่าที่นั่นคือบ้านเก่าของเรา แถมยังบอกด้วยว่ามีคนมากมายที่นั่นที่อยากเจอฉัน ฉันไม่เห็นจะจำใครได้เลย”

“ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะเปิดร้านอาหาร แต่พอพวกหล่อนอยากเดินทางฉุกละหุก ร้านอาหารของฉันก็มีอันต้องเลื่อนออกไป”

เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่ของเขาอยากเปิดร้านอาหาร เซี่ยไห่ก็เหลือบมองหลิวกุ้ยอิงอีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกาย แม้แต่น้ำเสียงก็ร่าเริง “พี่ใหญ่ รอให้พี่มาถึงไห่เฉิงเมื่อไหร่ ผมจะลงทุนเปิดร้านอาหารให้”

เซี่ยเหลยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันมีเงินทุนอยู่แล้ว ทำไมฉันต้องขอให้นายช่วยลงทุนด้วยล่ะ? พอไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย การเปิดร้านอาหารอาจมีความเสี่ยง ฉันตั้งใจว่าจะรอกลับมาที่ฮ่องกงกับแม่แล้วค่อยเปิดร้านอาหารอีกที”

“พี่ใหญ่ ถ้าพี่มาถึงไห่เฉิงแล้ว พี่จะไม่มีวันได้จากไปไหนอีก”

เซี่ยไห่พูดจามีลับลมคมในกับพี่ชาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “อย่าลืมแต่งตัวหล่อ ๆ ก็แล้วกัน”

เซี่ยเหลยไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระของเขา “วางสายเถอะ ฉันอยากพักผ่อน”

เซี่ยไห่วางสาย จากนั้นก็มองไปที่หลิวกุ้ยอิง

เขายิ้มและปลอบเธอ “พี่อิงจื่อ อย่ามัวแต่เศร้าไปเลย ผมว่าต่อให้แผงขายอาหารของคุณจะไม่สามารถกลับมาเปิดได้ตามปกติอีก ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเป็นร้านอาหารไปเลยล่ะ?”

“เปิดร้านอาหารเหรอ?” หลิวกุ้ยอิงเงยหน้าขึ้นมองเขา

เซี่ยไห่ยิ้มและพยักหน้า “ใช่ พี่ใหญ่ของผมก็อยากเปิดร้านอาหารเหมือนกัน รอให้เขามาที่ไห่เฉิงเมื่อไหร่ พวกคุณค่อยร่วมหุ้นกันเปิดร้านอาหารดีไหม?”

หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ พวกเขาหันมองหน้ากันและแสดงท่าทางเห็นด้วย

“แต่ว่าอาหารที่พวกเขาทำเป็นอาจไม่ใช่อาหารประเภทเดียวกันก็ได้ แล้วจะเปิดร้านอาหารด้วยกันได้ยังไง?”

เซี่ยไห่อธิบายว่า “เซี่ยเซี่ย ตอนพี่ใหญ่ของฉันอยู่ในฮ่องกง เขาก็ชอบทำอาหารทางเหนือ แม้ว่าเขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว แต่เขาก็มีใจรักในการทำอาหารทางเหนือเป็นพิเศษ ไม่ค่อยคุ้นเคยกับอาหารกวางตุ้ง”

“พี่อิงจื่อ อย่าเศร้าไปเลย คิดซะว่าชีวิตคนเราก็แบบนี้ หนทางอยู่ใต้เท้าของเราเอง อนาคตที่สดใสอยู่เบื้องหน้า ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น เราคงไม่มีโอกาสได้วางแผนเปิดร้านอาหาร”

ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก

รู้สึกว่าหญิงชราที่ป่วยเพราะอาหารเป็นพิษคนนี้เข้ามาช่วยพี่ใหญ่ของเขาได้อย่างตรงจังหวะ

“เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ปล่อยให้ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกเราเอง”

หลินเซี่ยก็กำชับเสริมด้วยว่า “แม่ แม่กับเสี่ยวเยี่ยนกลับไปนอนก่อนเถอะ ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นทั้งนั้น”

เฉินเจียเหอกับเซี่ยไห่พาหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ ไปส่งที่บ้านเช่าในตรอก จากนั้นเซี่ยไห่ก็กลับไปที่ห้องเต้นรำ เฉินเจียเหอก็แยกย้ายกลับมาที่บ้าน

เมื่อเขากลับถึงบ้าน หลินเซี่ยยังคงนั่งอยู่บนโซฟา

“ไม่ต้องห่วงนะ เราจะสอบสวนทุกอย่างให้ชัดเจน”

ในเวลานี้ภายในบ้านมีเพียงสองคนเท่านั้น หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอ แล้วพูดว่า “ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น พูดตามตรง ฉันรู้สึกสงสัยว่านี่อาจเป็นฝีมือของตระกูลเสิ่น”

“เสิ่นเสี่ยวเหมย?” ความคิดแรกของเฉินเจียเหอคือผู้หญิงบ้าคนนั้น

หลินเซี่ยบอกว่า “หล่อนต้องมีแรงจูงใจแน่ เสิ่นเสี่ยวเหมยหย่ากับเฉินเจียซิ่ง เรื่องนี้คงทำให้หล่อนคับข้องใจจนแทบจะกลั้นใจตาย หล่อนคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าฉันมาตั้งแต่พวกเรายังเด็ก ตอนแรกหล่อนสร้างเรื่องท้องปลอมเพื่อให้พวกเราเลิกกัน แต่สุดท้ายหล่อนกลับเป็นฝ่ายที่ต้องหย่าซะเอง โดนเหยียบย่ำขนาดนี้ คนอย่างหล่อนไม่มีทางยอมแพ้แน่”

อย่างไรก็ตาม หลินเซี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนหน้านี้ถังหลิงเป็นคนวางแผนให้เสิ่นเสี่ยวเหมย ด้วยบุคลิกของเสิ่นเสี่ยวเหมยแล้ว หล่อนไม่มีทางกล้าแทงเธอลับหลังถ้าไม่มีใครเป็นผู้ช่วยคิดกลยุทธ์ อย่างมากก็แค่มาสร้างปัญหาที่ร้านตัดผมของเธอเท่านั้น

เสิ่นอวี้อิ๋งพักอยู่ในมหาวิทยาลัย กำลังหัวหมุนอยู่กับการรับมือเจิ้งต้าหมิง ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมว่าเสิ่นอวี้อิ๋งอาจจะเป็นคนเสนอแนวคิดให้กับเสิ่นเสี่ยวเหมย?

ขณะที่เธอครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เฉินเจียเหอก็พูดขึ้นทันทีว่า “เซี่ยเซี่ย ครั้งที่แล้วผู้อำนวยการเสิ่นมาเจรจาประนีประนอมเรื่องคดีใช่ไหม?”

“ใช่ แต่พวกเราปฏิเสธ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบต่อไปตามขั้นตอน ถึงยังไงก็ยังไม่พบหลักฐานที่สำคัญ เรากลัวว่าสุดท้ายจะถูกจัดว่าเป็นความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นแม่ฉันเลยไม่ยอมรับเงินของเสิ่นเถี่ยจวิน เพราะถ้ารับไว้ ความจริงทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไป แล้วเสิ่นเถี่ยจวินก็จะปราศจากข้อสงสัยโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น”

“คุณกำลังจะบอกว่า… คุณสงสัยเสิ่นเถี่ยจวิน?” การแสดงออกของหลินเซี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอมองไปที่เฉินเจียเหอ

เฉินเจียเหอครุ่นคิด “ผมก็ไม่แน่ใจ ด้วยสถานะของผู้อำนวยการเสิ่นแล้ว เขาไม่ควรหันไปใช้วิธีที่น่ารังเกียจแบบนี้ แต่แม่คุณไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครมาก่อน ดังนั้นผู้อำนวยการเสิ่นจึงถือเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดแล้วในตอนนี้”

หลินเซี่ยสงสัยเสิ่นอวี้อิ๋งมาโดยตลอด แต่หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของเฉินเจียเหอ เธอก็รู้แจ้งทันที

อันที่จริง เสิ่นเถี่ยจวินต้องการให้แม่ของเธอยอมความ แต่พวกเธอกลับยืนกรานที่จะดำเนินคดีเพื่อสอบสวนต่อไป

บางทีนี่อาจเป็นคำเตือนเล็กน้อยจากเสิ่นเถี่ยจวินถึงหลิวกุ้ยอิงหรือเปล่า?

เฉินเจียเหอดึงเธอเข้าไปในบ้านแล้วพูดว่า “นอนเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน เราจะหาเบาะแสทุกอย่างให้ชัดเจน”

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยไปโรงพยาบาล หญิงชรายังคงรับการรักษาอยู่ หมอบอกว่าหญิงชราท้องไส้ไม่ดี หลินเซี่ยจึงไปเชิญเย่ไป๋มาดูแลเคสนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะหวังว่าภายใต้ความน่าเชื่อถือของเขาจะไม่เกิดเรื่องตุกติกอะไรขึ้นในระหว่างที่มีการตรวจสุขภาพ

ปรากฏว่าหญิงชรามีอาการอาเจียนและท้องเสียอย่างรุนแรงจริง แถมยังขาดน้ำอย่างรุนแรง และอ่อนแรงมาก

ตรวจเบื้องต้นพบว่าในท้องว่างเปล่า สมาชิกในครอบครัวก็ยืนกรานว่าหล่อนกินแค่เหลียงเฝิ่นอย่างเดียวตลอดทั้งวัน

เมื่ออาการของหญิงชราดีขึ้น หลินเซี่ยก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาบันทึกคำให้การ

หวังว่าจะได้รู้อะไรบางอย่างจากปากหญิงชรา

คนแก่ที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงวัยชราแบบนี้ มักจะมีมโนธรรมมากกว่าคนหนุ่มสาว ถ้าไม่มีเหตุจะไม่แบล็กเมล์คนตามอำเภอใจ

แต่พอเริ่มบันทึกคำให้การ หญิงชราก็พูดแต่คำเดิม ๆ ว่าตัวเองกินเหลียงเฝิ่นแค่อย่างเดียว พอตำรวจถามต่อ หญิงชราก็บอกว่าเวียนหัว แล้วผล็อยหลับไป

ในขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความกังวล หลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงที่ไปเฝ้าติดตามสมาชิกในครอบครัวของหญิงชราทั้งวันทั้งคืน ก็มีความคืบหน้ามาแจ้งในตอนเย็น

หลินจินซานถือกล้องแล้วรีบกลับมาที่บ้าน “เซี่ยเซี่ย ลูกชายของยายป้าคนนั้นออกไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในตรอก”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่เหอวิเคราะห์แม่นมาก คนบงการเป็นผู้ชาย งั้นก็เหลือแค่ไม่กี่คนแล้วล่ะที่น่าจะเข้าข่าย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท