ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 287 การหัวเราะที่อัปลักษณ์กว่าร้องไห้

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 287 การหัวเราะที่อัปลักษณ์กว่าร้องไห้

ตอนที่ 287 การหัวเราะที่อัปลักษณ์กว่าร้องไห้

กล่าวถึงทางด้านตระกูลเซี่ย เมื่อสมาชิกทั้งสี่คนของตระกูลเสิ่นจากไป ญาติคนอื่น ๆ ต่างก็อับอายเกินกว่าจะอยู่ต่อได้นานกว่านี้ หลังจากทักทายและปลอบโยนกันสองสามประโยค พวกเขาต่างก็กลับไปเช่นกัน

ผู้เฒ่าเฉินและเฉินเจิ้นเจียงเองก็ต้องการออกไปจากที่นี่ จึงบุ้ยใบ้ให้เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยกลับบ้านพร้อมกับพวกเขาด้วย

ในเวลานี้พวกเขายังอยู่ในอาการตกใจกับเรื่องชาติกำเนิดของหลินเซี่ย จึงจำเป็นต้องรีบกลับบ้านเพื่อไต่ถามกันให้ชัดแจ้ง

หลินเซี่ยจะเป็นลูกสาวของเซี่ยเหลยได้อย่างไร?

เซี่ยเหลยจะมีลูกสาวได้อย่างไร?

หลินเซี่ยเข้าไปทักทายพวกผู้เฒ่าเซี่ย และวางแผนว่าจะกลับบ้าน

อาจเป็นเพราะผู้เฒ่าเซี่ยปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อยจากข่าวหนัก ๆ มากมายที่ปะทุพร้อมกันในวันนี้และจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองแยกแยะเรื่องพวกนี้ให้ดี เขาจึงโบกมืออนุญาต “กลับบ้านเถอะ”

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะออกไป เซี่ยหลานพลันเรียกเซี่ยไห่

คนที่เซี่ยไห่รู้สึกเกรงใจไม่กล้าเผชิญหน้าที่สุดในเวลานี้จริง ๆ คือเซี่ยหลาน

ไม่มีใครเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเซี่ยหลานที่มีต่อพี่ใหญ่ของเขาในตอนนั้นได้ดีไปกว่าเขา

ครั้งหนึ่งหล่อนเคยหนีไปหาพี่ใหญ่ของเขาในชนบทตามลำพัง เพียงเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มมากขึ้น

มาตุภูมินั้นแสนกว้างใหญ่ ต่อให้หล่อนจะไปยังมณฑลเดียวกับที่เซี่ยเหลยอยู่ ทว่าทั้งสองเทศมณฑลก็ถูกแยกจากกันด้วยภูผานทีอันนับไม่ถ้วน อีกทั้งเซี่ยเหลยยังปฏิเสธหล่อนอย่างชัดเจนในจดหมาย

ต่อมาเซี่ยอวี่พี่สาวของเขาช่วยปลอบใจเซี่ยหลาน โดยบอกว่าไม่ใช่ว่าหล่อนไม่ดี แต่พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นเพียงท่อนไม้ซื่อบื้อมาแต่ไหนแต่ไร ซ้ำยังไร้ซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา*

(*七情六欲 อารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป ประกอบด้วยความรู้สึกเจ็ดอย่าง ได้แก่ ความยินดี ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเกลียด และความเบิกบาน ส่วนความปรารถนาของมนุษย์นั้นมีอยู่ด้วยกันหกอย่าง ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ)

ในใจของเขาคิดเพียงจะอุทิศตนให้กับแผ่นดินเกิด เพื่อที่เซี่ยหลานจะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่หรือปฏิเสธตัวเองเพียงเพราะเซี่ยเหลยไม่ชอบหล่อน

ต่อมาพี่ใหญ่ก็ได้อุทิศตนเพื่อชาติอย่างแท้จริง

เซี่ยหลานจึงปล่อยวางได้เช่นกัน

มาวันนี้ เซี่ยหลานได้รับรู้ว่าพี่ใหญ่ของเขามีความสัมพันธ์กับสหายหญิงคนอื่นเมื่อยี่สิบปีก่อน ทั้งยังมีลูกด้วยกันอีก แค่คิดดูก็รู้แล้วหล่อนจะรู้สึกคับข้องใจมากเพียงใด

หากแต่เหตุการณ์นี้ก็ผ่านมากว่ายี่สิบปี เซี่ยหลานคงปล่อยวางมันได้แล้ว

ในขณะที่ความคิดของเซี่ยไห่กำลังวนเวียนไปมา ก็พลันได้ยินเสียงเอ่ยถามของเซี่ยหลาน “เซี่ยไห่ ตอนนั้นพี่ใหญ่ของคุณเคยคบหากับหลิวกุ้ยอิงจริงหรือ? คุณรู้ได้อย่างไร? พี่ชายของคุณไม่ได้สูญเสียความทรงจำหรอกหรือ? มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?”

เซี่ยไห่มองออกว่าเซี่ยหลานไม่ยินดีที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้อย่างยิ่ง

การที่หล่อนไม่เต็มใจที่จะยอมรับไม่ใช่เพราะหล่อนปล่อยวางจากเซี่ยเหลยไม่ได้

บางทีมันอาจเป็นการไม่อยากยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น

หล่อนยอมเชื่อว่าเขาปฏิเสธหล่อนในตอนนั้นเป็นเพราะการมีความรักลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวไม่ได้อยู่ในแผนการและการไตร่ตรองของเขาจริง ๆ เหมือนดั่งที่เซี่ยอวี่กล่าวบอกว่าตัวเขามุ่งมั่นที่จะรับใช้ประเทศและไร้ซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาราวกับท่อนไม้

แต่ตอนนี้ จู่ ๆ หล่อนก็ได้รับรู้ว่าเขาปฏิเสธการตามจีบอันดุเดือดของตัวเอง และหันไปหลงรักผู้หญิงอื่นเสียอย่างนั้น

สำหรับเซี่ยหลานแล้ว นี่คงจะเป็นความหวาดระแวงต่อโลกใบนี้

แม้ว่าจะโหดร้ายเพียงใด ทว่าเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เซี่ยหลานก็ยังคงพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา

“ช่วงหลัง ๆ พี่ชายของผมเอาแต่เรียกหาอิงจื่อในความฝัน หลังจากที่แม่บอกผมเรื่องนี้ ผมจึงไปที่กรมทหารที่พี่ชายของผมประจำการอยู่ในตอนนั้นเพื่อตรวจสอบ และบังเอิญไปรู้เรื่องหลิวกุ้ยอิงเข้า ซึ่งหลิวกุ้ยอิงก็ยอมรับว่าหล่อนคบหากับเซี่ยเหลยและกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่”

“แต่ถึงอย่างนั้นพี่ใหญ่ของผมกลับไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเซี่ยเซี่ย ในตอนที่เขาและหลิวกุ้ยอิงเพิ่งคบหาดูใจกัน เขาก็ต้องออกไปทำสงคราม หลิวกุ้ยอิงต้องอดทนต่อความกดดัน ทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่งเพื่อที่จะให้กำเนิดลูกคนนี้ ด้วยรู้ว่าหลังจากพี่ชายของผมยอมเสียสละตนแล้ว หล่อนก็อยากจะให้กำเนิดลูกของเขาไว้ดูต่างหน้า และเพื่อที่จะมีลูกคนนี้ หล่อนเองก็ต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อยเช่นกัน”

เซี่ยหลานหรี่ตาลงตั้งแต่ต้นจนจบ ใบหน้าที่ปกติจริงจังและเยือกเย็นมาตลอดปรากฏความตึงเครียด ซ้ำยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

“พี่สาวเซี่ยหลาน ผมรู้ว่าคุณคิดว่าเรื่องนี้มันเหนือความคาดหมายจนยากจะเชื่อ แต่ผมได้ตรวจสอบทั้งหมดแล้วและไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ แม่และพี่สาวของผมจะพาพี่ใหญ่มายังเมืองไห่เฉิงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อถึงเวลานั้นก็จะให้พี่ใหญ่ของผมกับเซี่ยเซี่ยไปพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกกัน”

“พี่ชายและพี่สาวของคุณกำลังจะมาที่เมืองไห่เฉิงเหรอ?” หลังจากได้ยินถ้อยคำของเซี่ยไห่ ในที่สุดเซี่ยหลานก็มีปฏิกิริยาตอบรับพลางเงยหน้าขึ้น

เซี่ยไห่พยักหน้ารับ “ครับ พวกเขาออกเดินทางกันแล้ว ตอนนี้กำลังต่อเครื่องอยู่ที่เมืองเชินเฉิง คาดว่าจะมาถึงในบ่ายวันพรุ่งนี้”

“ฉันเข้าใจแล้ว” เซี่ยหลานหันหลังให้เซี่ยไห่แล้วเอ่ยคำ

“คุณกลับไปเถอะ”

“พี่สาวเซี่ยหลาน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

เซี่ยหลานโบกมือแล้วเดินตรงกลับเข้าไปข้างใน ก่อนจะขังตัวเองไว้ในห้อง

ในเวลานั้น ชายผู้มีเพียงใจมุ่งมั่นต้องการไปในสถานที่อันทุรกันดารที่สุดเพื่อสรรค์สร้างและปกป้องมาตุภูมิได้เอาแต่อ้างว่าเขาไม่มีความคิดเรื่องความรักความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว

หล่อนคิดว่าเขามีเพียงอุดมการณ์และปณิธานอยู่ในใจ และเต็มใจจะอุทิศชีวิตให้กับแผ่นดินนี้

และนั่นคือสิ่งที่ทุกคนเชื่อมาตลอดหลายปี

ปรากฏว่าเขาไม่ได้หมายความอย่างนั้นกับหล่อน

เซี่ยไห่มองร่างที่จมดิ่งอยู่ในความอ้างว้างของเซี่ยหลานแล้วก็พลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทักทายเซี่ยตงและตั้งใจว่าจะกลับไป

“พี่สาวฉันยังสบายดีอยู่หรือเปล่า?” เซี่ยตงเอ่ยถามเซี่ยไห่

เซี่ยไห่มองไปยังบานประตูที่ปิดอยู่แล้วเอ่ย “พี่สาวเซี่ยหลานอาจจะหวนคิดถึงอดีตขึ้นมา อย่างไรนายก็ช่วยปลอบโยนหล่อนสักหน่อยแล้วกัน”

“คุณคืออารองของหลินเซี่ยจริง ๆ เหรอ?” เซี่ยตงที่เดินตามมาส่งเขายังประตูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามยืนยันอีกครั้ง

เซี่ยไห่หันกลับมาและพบกับแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยสืบเสาะของเซี่ยตง จึงเชิดหน้าขึ้น “ดูไม่เหมือนเหรอ?”

เขาคุยโวโอ้อวดกับเซี่ยตงอย่างต่อเนื่อง “ครั้งต่อไปที่ได้พบหน้ากัน นายเชื่อไหมว่าฉันจะให้ผู้เฒ่าเฉินเรียกฉันว่าอารองต่อหน้าทุกคน?”

เซี่ยตงสั่นศีรษะโดยไม่ลังเล “ไม่เชื่อหรอก”

“นายรอดูได้เลย” เซี่ยไห่เอ่ยจบก็วิ่งไปพร้อมกับกุญแจรถ

เฉินเจียเหอ หลินเซี่ย และผู้เฒ่าเฉินต่างกำลังรอเซี่ยไห่

ภรรยาของหวังเฉียงยังคงเจรจาต่อรองกับหลินเซี่ย

“เสี่ยวหลิน พวกคุณสัญญากับฉันว่าขอเพียงฉันมาเป็นพยานเพื่อเปิดโปงเสิ่นเถี่ยจวิน พวกคุณจะไปเซ็นข้อตกลงที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปล่อยตัวเหล่าหวังของฉันออกมา พวกคุณต้องรักษาคำพูดนะ”

หลินเซี่ยกล่าวว่า “พี่สาว คุณกลับบ้านก่อนเถอะ เรื่องนี้จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน รอให้หลิวจื้อหมิงยอมสารภาพคนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังออกมาก่อนค่อยว่ากัน หวังเฉียงเองถูกคนยุยง โชคดีที่ไม่ได้ทำให้ความเสียหายใหญ่หลวงอะไร เราจะพิจารณาเรื่องข้อตกลงให้ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

เมื่อเซี่ยไห่มาถึง ผู้เฒ่าเฉินก็เอ่ยกับเขาว่า “เธอขับรถตามพวกเราไปที่บ้านของฉัน”

อาจเป็นเพราะสถานะที่แปรเปลี่ยนไปของเซี่ยไห่ ผู้เฒ่าเฉินจึงพูดกับเซี่ยไห่ด้วยน้ำเสียงที่สุภาพมากขึ้น

“ครับ”

เซี่ยไห่ขึ้นรถของเขา เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยนั้นต้องการจะนั่งของเซี่ยไห่ ทว่าผู้เฒ่าเฉินเอ่ยเรียกให้ทั้งสองนั่งรถไปกับเขา

เซี่ยไห่ขับรถตามรถจี๊ปของผู้เฒ่าเฉิน ก่อนจะมาจอดที่ชุมชนบ้านพักทหาร ทั้งครอบครัวลงจากรถ ใบหน้าของชายชราดูจริงจัง ส่วนเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร เพียงเดินตามพวกเขาไป

หู่จือรู้สึกว่าผู้ใหญ่ทุกคนเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง และเขาเองรู้ความจึงไม่ได้พูดจาไร้สาระเหมือนที่เคยทำ

คุณย่าเฉินและเฉินเจียวั่งกำลังดูโทรทัศน์ โดยรายการที่กำลังฉายในโทรทัศน์คือละครสั้นจากรายการพิเศษในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (ชุนหว่าน)

“ซือหม่ากังกังกวง?”

“ไม่ใช่ ซือหม่ากวงจ๋ากัง*ต่างหาก”

*马光砸缸 ซือหม่ากวงทุบโอ่ง

“ซือหม่ากังกังกัง”

“ซือหม่ากวงกังกวง…”

คุณย่าเฉินดูหญิงชราในทีวี ซึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับตนกำลังเรียนที่จะเอ่ยพูดอย่างจริงจังทว่าออกเสียงผิดพลาดบ่อยครั้ง ทำให้นางตบต้นขา ทั้งยังหัวเราะอย่างมีความสุขจนปากแทบจะถึงหู

ส่วนเฉินเจียวั่งนั้นนั่งดูโทรทัศน์อย่างนิ่งสงบพลางเหลือบมองคุณย่า ด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงหัวเราะถึงเพียงนี้

เมื่อหญิงชราเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของหลานชาย และดูไม่มีความสุขไม่เพียงสักนิด ก็พลันสับสนงุนงงเล็กน้อย พลางเอ่ยถามเฉินเจียวั่งว่า “เจียวั่ง ดูสิว่ามันตลกขนาดไหน ทำไมหลานถึงไม่หัวเราะเลยล่ะ?”

“เด็กน้อย หลานต้องยิ้มให้มากกว่านี้ เขาว่ากันว่ายิ้มสักหน่อย อายุน้อยลงสิบปี ต้องร่าเริงเข้าไว้ หลานดูละครสั้นนี่สิ นัดบอดของคนขี้เกียจ เรื่องนี้ตลกกว่าเรื่องก่อนเสียอีก”

เฉินเจียวั่งทราบถึงเจตนาดีของคุณย่า เพื่อจะทำให้เขามีความสุข ทำให้เขาอารมณ์ดี จึงตั้งใจหารายการภาษาเหล่านี้มาดูเป็นเพื่อนเขา

เด็กหนุ่มจึงให้ความร่วมมือกับผู้เป็นย่า โดยการฉีกยิ้ม

หญิงชรามองเขาด้วยกลอกตามองบนอย่างไม่ชอบใจนัก “หลานยิ้มเหมือนกำลังร้องไห้ ดูไม่ดีเลยสักนิด”

เฉินเจียวั่ง “…”

ขณะที่เขากำลังจะปริปากเอ่ย ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามา

หู่จือรีบวิ่งเข้ามาพร้อมตะโกนเรียกคุณย่าทวด ก่อนจะพุ่งตรงเข้าอ้อมกอดของเฉินเจียวั่ง

คุณย่าเฉินเอ่ยถามพวกเขาว่า “พวกเธอไปอวยพรวันเกิดผู้เฒ่าเซี่ยกันเรียบร้อยแล้วเหรอ?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

จากการอวยพรกลายเป็นการแฉน่ะค่ะคุณย่า

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 282 กระชากหน้ากาก

ตอนที่ 282 กระชากหน้ากาก

เวลานี้ มีแขกมาร่วมฉลองวันเกิดของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ผู้เฒ่าเฉินก็มากับเฉินเจิ้นเจียงด้วย

เมื่อก่อนเฉินเจิ้นเจียงเคยเป็นนักเรียนของผู้เฒ่าเซี่ย ดังนั้นเขาจึงสละเวลาเป็นพิเศษเพื่อมาที่นี่กับพ่อผู้ชราของเขาในวันนี้ด้วย เมื่อหู่จือเห็นปู่ทวด เขาก็วิ่งเข้าไปจับมือชายชราอย่างมีความสุข

ทุกคนกล่าวคำอวยพรวันเกิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปนั่งในที่ที่จัดไว้ด้านข้าง

หลินเซี่ยกวาดสายตาไปรอบ ๆ ฝูงชน อดไม่ได้ที่จะกังวลเมื่อไม่เห็นการปรากฏตัวของเสิ่นเถี่ยจวิน

เธอถามเซี่ยหลาน “ผู้อำนวยการเสิ่นไม่มาด้วยเหรอคะ?”

เซี่ยหลานตอบกลับ “อีกสักพักเขาก็น่าจะมาถึงแล้วล่ะ”

“โอ้ อย่างนี้นี่เอง ถ้าผู้อำนวยการเสิ่นไม่มาคงออกจะไม่เหมาะสมไปสักหน่อย”

ถ้าเขาไม่มา แล้วพวกเธอจะกระชากหน้ากากใครกันล่ะ?

เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ยินคำเหน็บแนมอันเย่อหยิ่งของหลินเซี่ยที่ส่งเสียงดังโดยจงใจ อารมณ์ของหล่อนก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสวนกลับโดยไม่เกรงใจใด ๆ “ฉันได้ยินมาว่าแผงขายอาหารของหลิวกุ้ยอิงเกือบจะฆ่าคนตาย เธอยังมีเวลามานั่งกังวลเรื่องของคนอื่นอยู่เหรอ”

“เกิดอะไรขึ้น? แผงขายอาหารของแม่เธอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” เซี่ยหลานถามหลินเซี่ย

หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ค่ะ ฉันถูกคนจัดฉากใส่ร้าย ลูกค้าก็เกือบตายจริง ๆ ตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล”

เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ยินคำตอบของหลินเซี่ย หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะยินดี

เสิ่นอวี้อิ๋งก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

เซี่ยหลานไม่รู้ว่าจะปลอบหลินเซี่ยอย่างไรดี หล่อนจึงตบไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ค่อย ๆ แก้ไขกันไปนะ”

หลินเซี่ยหลับตาลง จากนั้นก็หลั่งน้ำตา “วันนี้เป็นวันเกิดของคุณตา พวกเรามาที่นี่ก็เพื่ออวยพรวันเกิดให้กับเขา อย่าเพิ่งกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยค่ะ”

ทันทีที่หลินเซี่ยเล่นบทโศก เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสาแก่ใจ

หล่อนกอดอกและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจ สงสัยว่าวีรบุรุษคนไหนกันที่มีพลังมากขนาดนี้ ทำให้คนอย่างหลินเซี่ยแก้ปัญหาไม่ตกได้

หลินเซี่ยไม่พูดอะไรอีก ยังคงเฝ้ารอการปรากฏตัวของเสิ่นเถี่ยจวินต่อไป

วันนี้บรรดาแขกที่มาเฉลิมฉลองวันเกิดของผู้เฒ่าเซี่ย รวมถึงญาติ ๆ จากตระกูลเซี่ย และศิษย์เก่าของผู้เฒ่าเซี่ยอีกหลายคนยังอยู่ในงาน มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเรื่องอื้อฉาวในครอบครัวไม่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมอบช่วงเวลาให้ชายชราได้เฉลิมฉลองวันเกิดของเขาอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ไว้ตอนท้ายค่อยเริ่มแผนการก็ยังไม่สาย

เซี่ยตงจ้างเชฟจากโรงแรมมาทำอาหารมื้อพิเศษ แม้เขาจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านอย่างเรียบง่าย แต่อาหารที่จัดเลี้ยงก็อยู่ในระดับเดียวกับภัตตาคารหรู

ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเซี่ยพากันโค้งคำนับ แล้วเริ่มอวยพรวันเกิดให้กับอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาในลักษณะที่เป็นพิธีการ จากนั้นก็ถึงช่วงที่เขาต้องกล่าวสุนทรพจน์ บรรยากาศน่าประทับใจมาก

ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่เหล่าลูกศิษย์ของเขา ซึ่งตอนนี้แต่ละคนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในทุกสาขาอาชีพ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ

เสิ่นอวี้อิ๋งถือโอกาสเดินไปหาผู้เฒ่าเซี่ยท่ามกลางความสนใจของทุกคน กล่าวคำอวยพรและคำมงคลมากมาย ทำให้ชายชรายิ่งยิ้มแป้น

“เด็กน้อยเอ๊ย จงยึดมั่นในความทะเยอทะยาน ตั้งใจเรียนให้หนัก สอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ และกลายเป็นพลเมืองที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคมในอนาคตนะ”

เสิ่นอวี้อิ๋งพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “คุณตา ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างดีเลยค่ะ”

“เหล่าเซี่ย.. หลานสาวของคุณทั้งสวย ฉลาด และมีความสามารถ ในอนาคตหล่อนจะต้องประสบความสำเร็จเหมือนทุกคนอย่างแน่นอน”

“ใช่แล้ว สมแล้วที่เป็นหลานสาวของผู้เฒ่าเซี่ย แค่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าหล่อนต้องฉลาดเฉลียวมากแน่ ๆ”

เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นได้ยินทุกคนชื่นชมเสิ่นอวี้อิ๋ง เขาก็พูดด้วยความภาคภูมิใจเช่นกันว่า “อวี้อิ๋งของฉันเป็นคนฉลาด ตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อแสวงหาอนาคตที่สดใส ไม่เหมือนใครบางคนที่โง่เขลาดักดาน ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ แถมยังไม่มีวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐาน”

เซี่ยไห่แสดงท่าทางเห็นด้วยและพูดเสียงดังโต้ตอบ “จริงครับ ถึงเสิ่นอวี้อิ๋งจะเคยเป็นเด็กบ้านนอก แต่พ่อแม่บุญธรรมของหล่อนก็ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์และไม่เห็นแก่ตัว พวกเขามอบการศึกษาให้หล่อนจนประสบความสำเร็จ แตกต่างจากหลานสาวของบางครอบครัวที่ไม่เคารพผู้อาวุโส เห็นแก่ตัว และใจร้าย มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี”

ผู้เฒ่าเสิ่น “…”

ระหว่างงานเลี้ยง เสิ่นเถี่ยจวินมาถึงงานแล้ว แต่พยายามปลีกตัวไปอยู่ไกล ๆ จงใจหลีกเลี่ยงหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ

หลังจากงานเลี้ยงจบลง ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเซี่ย ตลอดจนเครือญาติและมิตรสหายบางส่วนก็ทยอยจากไป

กลุ่มคนที่เหลือเป็นญาติใกล้ชิดของตระกูลเซี่ย รวมถึงตระกูลเสิ่นที่ยังไม่จากไปในทันที

ผู้เฒ่าเฉินและเฉินเจิ้นเจียงกำลังจะขอตัวกลับ แต่พวกเขาก็ถูกเฉินเจียเหอเรียกไว้ โดยอ้างว่าพวกเขาอยากจะนั่งคุยกับทุกคนอีกสักพัก แล้วค่อยกลับไปพร้อมกัน

เซี่ยไห่ปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็กดเบอร์โทรออก

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน จู่ ๆ ผู้หญิงผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

หล่อนรีบตรงไปหาเสิ่นเถี่ยจวิน “ผู้อำนวยการเสิ่น คุณต้องให้คำอธิบายเรื่องนี้กับพวกเรานะ”

เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินเห็นหน้าของผู้หญิงที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หัวใจของเขาที่แขวนอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็เต้นรัวทันที

เขามองไปที่หลินเซี่ยโดยไม่รู้ตัว

หลินเซี่ยสบตาเขาโดยไม่หนีหน้า พร้อมกับส่งยิ้มให้

ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินมืดมนลง น้ำเสียงเข้มงวดดุร้าย “คุณทำอะไรของคุณ? มาหาเรื่องผิดคนหรือไงกัน?”

ผู้หญิงคนนั้นเช็ดน้ำตา จากนั้นมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินแล้วพูดว่า “ผู้อำนวยการเสิ่น ฉันเป็นภรรยาของหวังเฉียง สามีฉันทำงานอยู่ในโรงงานเครื่องจักรของคุณมาเกือบสิบปีแล้ว ฉันจะจำคนผิดได้ยังไง?”

“คุณผู้หญิง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” เซี่ยตงเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นคนนอกบุกเข้ามารบกวนงานวันเกิดของผู้เป็นพ่อ

“ฉันมีเรื่องจริง ๆ แถมยังเป็นเรื่องที่สำคัญมากด้วย ก่อนหน้านี้ฉันพยายามตามหาผู้อำนวยการเสิ่นมานานแล้ว พอสอบถามมาตลอดทางแล้วได้ยินมาว่าเขามาที่นี่ ฉันเลยรีบตามมาทันที”

ผู้หญิงคนนั้นทิ้งตัวเองลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าผู้เฒ่าเซี่ย มองดูเขาแล้วถามว่า “คุณเป็นพ่อตาของผู้อำนวยการเสิ่นใช่ไหมคะ? โปรดตัดสินใจเรื่องนี้แทนเราด้วย”

ผู้เฒ่าเซี่ยช่วยพยุงหล่อนให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นก่อนเถอะ ไหนลองบอกช้า ๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ภรรยาของหวังเฉียงพูดเสียงดังฟังชัดต่อหน้าทุกคนว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ ช่วงที่ผ่านมาผลประกอบการของโรงงานเครื่องจักรไม่ดี ทำให้พนักงานหลายคนกำลังเผชิญกับการเลิกจ้าง สามีของฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น ครอบครัวเรากังวลเรื่องนี้มาตลอด เพราะถ้าหวังเฉียงถูกเลิกจ้างเมื่อไหร่ เสาหลักของครอบครัวก็จะตกงาน รายได้ก็จะหมดไป

เมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ ๆ หลิวจื้อหมิงรองหัวหน้าฝ่ายผลิตของโรงงานก็มาหาสามีฉัน บอกว่าตราบใดที่พวกเรายอมช่วยเขาทำธุระอย่างหนึ่ง เขาจะตัดรายชื่อสามีฉันออกจากโควตาการเลิกจ้าง และให้เขาได้ทำงานในโรงงานต่อไป”

ภรรยาของหวังเฉียงพูดต่อไปด้วยความโกรธแค้น “พวกเราหลงเชื่อทำตามคำขอของเขา ฉันให้แม่สามีซึ่งอายุแปดสิบกว่ากินผัดกุยช่ายบูดเปรี้ยว จากนั้นก็พาท่านออกไปกินเหลียงเฝิ่นที่แผงลอยของหลิวกุ้ยอิงหนึ่งชาม จากนั้นแม่สามีฉันก็ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการอาหารเป็นพิษ แผงลอยของหลิวกุ้ยอิงต้องปิดตัวลง กรมอาหารและยายึดแผงลอยของหล่อนไป คาดว่าในอนาคตจะไม่สามารถออกมาตั้งแผงได้อีก กลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันที

เพื่อรักษางานของเราไว้ เรายอมทำในสิ่งที่ผิดโดยไร้มโนธรรม แต่สุดท้ายหลิวจื้อหมิงก็ไม่ยอมทำตามสัญญา สามีฉันยังถูกเลิกจ้างเหมือนเดิม เรื่องที่แม่สามีฉันสร้างเรื่องใส่ความร้านเหลียงเฝิ่นของหลิวกุ้ยอิงก็ถูกเปิดโปงแล้วเช่นกัน เราต้องควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองเต็มจำนวน ครอบครัวเรามีทั้งผู้สูงอายุและเด็ก ตอนนี้สามีฉันถูกควบคุมตัวเพราะตกเป็นผู้ต้องสงสัยใส่ร้ายผู้อื่นโดยมิชอบ มีแนวโน้มว่าจะถูกตัดสินโทษจำคุก ผู้อำนวยการเสิ่น คุณทำลายครอบครัวฉัน คุณจะไม่รักษาคำพูดไม่ได้”

ความตื่นตระหนกฉายวาบไปทั่วใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวิน ถึงอย่างนั้นเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ภรรยาหวังเฉียง ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ต้องกังวล ผมจะเริ่มสอบสวนทันทีเมื่อผมกลับไปทำงาน”

ภรรยาของหวังเฉียงร้องไห้และโต้กลับทันควัน “คุณจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง? ฉันได้ยินหลิวจื้อหมิงบอกเองว่าเขาทำตามคำสั่งของคุณ”

ทันทีที่หล่อนพูดแบบนี้ สายตาของทุกคนก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินเป็นตาเดียว

สายตาของทุกคนทั้งซับซ้อนและเต็มไปด้วยข้อกังขา

เสิ่นเถี่ยจวินสั่งให้หลิวจื้อหมิงส่งคนไปทำลายธุรกิจของแม่หลินเซี่ยงั้นเหรอ?

นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?

เป็นไปได้ไหมว่าเสิ่นเถี่ยจวินโกรธแค้นและจงใจตอบโต้ เพราะหลิวกุ้ยอิงแอบสับเปลี่ยนลูกสาวของเขา?

เซี่ยหลานมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินด้วยสายตาเฉียบคม เต็มไปด้วยความสับสนและตั้งคำถามในสายตา

ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวิน “เถี่ยจวิน เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”

เสิ่นเถี่ยจวินแตะจมูกของเขาแล้วพูดว่า “พ่อครับ ไม่ใช่ฝีมือของผมจริง ๆ ผมขอตัวไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน”

ขณะที่พูดอย่างนั้นเขาก็ตั้งท่าจะหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

“ผู้อำนวยการเสิ่น เดี๋ยวก่อนค่ะ”

หลินเซี่ยลุกขึ้นทันที แล้วก้าวออกไปขวางทางเขาไว้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มันมากค่ะ คราวนี้หลักฐานพยานบุคคลพร้อม คนชั่วจะหลุดลอยนวลไปไหนอีก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท