ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 288 นัดบอดของคนขี้เกียจ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 288 นัดบอดของคนขี้เกียจ

ตอนที่ 288 นัดบอดของคนขี้เกียจ

เฉินเจียเหอเอ่ยตอบ “ครับ คุณย่า พวกเราเพิ่งกลับมาจากบ้านตระกูลเซี่ย”

เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่ก็มาด้วย สายตาของคุณย่าเฉินก็ยังคงจับจ้องไปยังการแสดงในโทรทัศน์ หญิงชรายกยิ้มและทักทายอย่างง่าย ๆ แบบไม่เป็นทางการนัก

“มา เซี่ยไห่ นั่งก่อน”

คุณย่าเฉินชักชวนให้หลินเซี่ยเข้ามาดูละครสั้นแนวตลกขบขันเรื่องนัดบอดของคนขี้เกียจด้วยคน แต่ทันทีที่ผู้เฒ่าเฉินเข้ามา เขาก็สั่งเฉินเจียเหอให้ปิดโทรทัศน์ทันที

หญิงชราซึ่งกำลังดูถึงช่วงสำคัญพอดีจึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ “ปิดทำไมล่ะ? เจียวั่งกับฉันกำลังดูอย่างสนุกคึกคัก รีบดูสิ นัดบอดของคนขี้เกียจ ดูสิบครั้งก็ไม่พอ”

“ไม่ต้องดูแล้ว” ผู้เฒ่าเฉินเอ่ยถามเฉินเจียวั่ง “แม่และพี่รองของหลานอยู่ไหน”

เฉินเจียวั่งกล่าวตอบ “แม่กำลังทำความสะอาดอยู่ข้างบนครับ ส่วนพี่รอง ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน”

“หู่จือ ไปเรียกคุณย่าของเธอลงมา เจียวั่งส่งเพจเจอร์บอกให้เจียซิ่งรีบกลับมาด่วน”

หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินออกคำสั่ง เขาก็นั่งลงบนโซฟากับเซี่ยไห่

“ครับ” ตอนนี้หู่จือไม่ได้รู้สึกว่าโจวลี่หรงเป็นแม่มดเฒ่าแล้ว ทั้งยังไม่กลัวโจวลี่หรงอีก เด็กชายจึงเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมตะโกนเรียกคุณย่าของเขาอย่างว่าง่าย

เฉินเจียวั่งก็รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจาก ในที่สุดก็หลุดพ้น ไม่ต้องดูละครสั้นและหัวเราะเจื่อน ๆ เป็นเพื่อนคุณย่าแล้ว เขารีบใช้โทรศัพท์มือถือส่งเพจเจอร์ถึงเฉินเจียซิ่งทันที

เมื่อคุณย่าเฉินเห็นว่าสีหน้าของตาเฒ่าและเฉินเจียเหอต่างเคร่งเครียดจริงจัง หัวใจของนางก็พลันเต้นตึกตัก “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ช่วงหลังมานี้เป็นช่วงที่เต็มไปด้วยปัญหามาหมาย โดยเฉพาะยิ่งในวันนี้ที่พวกเขาไปบ้านตระกูลเซี่ย แน่นอนว่าต้องได้พบกับคนของตระกูลเสิ่นเป็นแน่

เมื่อนึกถึงเสิ่นเสี่ยวเหมยและตาเฒ่าเสิ่นนั่น ในใจของคุณย่าเฉินก็รู้สึกกังวลขึ้นมา

นางถูกคนตระกูลนั้นตามหลอกหลอนอยู่ในจิตใจแล้ว

“รอให้มาครบกันก่อนค่อยพูดทีเดียว”

เฉินเจียเหอชงชา แล้วจึงรินชาให้ทุกคน

“เซี่ยไห่ ดื่มชา” ผู้เฒ่าเฉินหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้วส่งให้เซี่ยไห่

เซี่ยไห่นั้นรู้สึกประหลาดใจ ด้วยได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝัน เขาจึงรีบรับถ้วยน้ำชาไว้

เพียงครู่เดียว โจวลี่หรงก็ลงมาชั้นล่างและทักทายเซี่ยไห่ซึ่งเป็นแขกก่อน

เมื่อก่อนนี้ เซี่ยไห่เรียกขานโจวลี่หรงว่าคุณป้า ต่อมารู้สึกว่าอายุของตนนั้นไม่เหมาะจะเรียกเธอว่าคุณป้า จึงเอ่ยเรียกว่าพี่สาวหรือไม่ก็รุ่นพี่ และจากนั้นก็ไม่เรียกคำนำหน้าอะไรเลย

แน่นอนว่าในหนึ่งปีพวกเขาเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง

เพียงลวงหลอกตบตากันไปเรื่อยเปื่อย

แต่วันนี้เซี่ยไห่ไม่ได้เรียกโจวลี่หรงว่าเป็นพี่สาวอย่างขอไปทีเลยสักนิด

จากนี้ไป การเรียกหล่อนเช่นนี้จะถือเป็นปกติวิสัย

มุมปากของโจวลี่หรงกระตุกขึ้นเล็ก ๆ เมื่อได้ยินสรรพนามที่เซี่ยไห่ใช้เรียกตน

สหายของเจียเหอคนนี้นั้นดีทุกอย่าง เพียงแต่ถ้อยคำของเขามักจะสับสนยุ่งเหยิง ไม่แยกลำดับอาวุโส

เขารียกคุณปู่เฉินเจียเหอว่าคุณลุงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่อีกพักหนึ่งจะเปลี่ยนไปเรียกคุณปู่เสียอย่างนั้น ผู้เฒ่าอยู่ที่บ้านจึงถูกแซะอยู่ไม่น้อย

มาตอนนี้ยังมาเรียกหล่อนว่าพี่สาวอีก

“ลี่หรงนั่งลง” ผู้เฒ่าเฉินกล่าว “ยังขาดเจียซิ่ง ตอนนี้ไม่รอแล้ว”

ทั้งครอบครัวนั่งลง ผู้เฒ่าเฉินมองไปยังเซี่ยไห่ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “มา เซี่ยไห่ พูดเรื่องที่เธอกล่าวบอกเมื่อครั้งอยู่ที่บ้านตระกูลเซี่ยให้พวกเราฟังอีกครั้งต่อหน้าทั้งครอบครัวของเราหน่อยสิ”

สีหน้าของผู้เฒ่าเฉินจริงจัง ตอนนี้ในสมองยังคงสับสนมึนงงจนถึงขั้นสงสัยว่าเซี่ยไห่ต้องการสนับสนุนหลินเซี่ย ตอนอยู่ที่บ้านตระกูลเซี่ยเขาจึงพูดจาส่งเดชไปเรื่อยหรือเปล่า

ด้วยนิสัยก่อนหน้านี้ของเซี่ยไห่ที่มักพูดจาไม่รู้สี่รู้แปดในเรื่องที่สำคัญ จึงจำเป็นต้องมีการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีก

“ในเมื่อคุณลุงเฉินเอ่ยบอกให้ผมประกาศออกมาอีกครั้ง ดังนั้นแล้ว ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการ เซี่ยเซี่ยเป็นลูกสาวของเซี่ยเหลย พี่ใหญ่ของผม หล่อนเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของผม และผมเป็นครอบครัวเดิมของเซี่ยเซี่ย” เซี่ยไห่มองไปที่หลินเซี่ย ก่อนจะกันไปมองทุกคนในตระกูลเฉิน พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยจริงจัง

“เธอว่าอะไรนะ?” คุณย่าเฉินและโจวลี่หรงมองเซี่ยไห่อย่างตกตะลึง

โจวลี่หรงปริปากเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “พ่อของเซี่ยเซี่ยชื่อหลินต้าฝูไม่ใช่เหรอ? เขามาจากหมู่บ้านเดียวกันกับฉัน แล้วเธอจะกลายเป็นลูกสาวของพี่ใหญ่ของคุณได้อย่างไร”

ความคิดแรกของโจวลี่หรงคือ หรือว่าในตอนนั้น ยังมีเด็กคนที่สามที่ถูกอุ้มผิดไปจากโรงพยาบาลสุขภาพอีกงั้นหรือ?

ตระกูลเสิ่นอุ้มลูกของหลิวกุ้ยอิงมา ส่วนหลิวกุ้ยอิงอุ้มเด็กจากครอบครัวอื่นผิดไปงั้นหรือ?

แล้ว… แล้วเด็กอีกคนล่ะ?

สมมติฐานหลายประการปรากฏขึ้นในใจของโจวลี่หรง

เฉินเจียวั่งผู้ไม่แยแสสิ่งใดมาโดยตลอดพลันเงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ยเมื่อเขาได้ยินถ้อยคำของเซี่ยไห่

เซี่ยไห่กล่าวว่า “เรื่องราวก็เป็นแบบนี้แหละครับ ตอนที่พี่สาวอิงจื่อแต่งงานกับหลินต้าฝู หล่อนก็มีเซี่ยเซี่ยอยู่ในท้องอยู่แล้ว”

หลังจากเซี่ยไห่เอ่ยจบ เขาก็รีบอธิบายว่า “อย่าได้เข้าใจผิด หล่อนไม่ได้นอกใจพี่หลิน แต่หลังจากที่พี่ชายของผมออกไปรบทัพจับศึก ข่าวร้ายเรื่องที่เขาสละชีพก็มาถึง พี่หลินนั้นซื่อสัตย์จริงใจ เพื่อที่จะช่วยเหลือพี่สาวอิงจื่อเลี้ยงลูกของวีรบุรุษ ด้วยเหตุนี้เขาจึงแต่งงานกับหล่อน”

หลินเซี่ยรับช่วงเอ่ยต่อ “ใช่ค่ะ เหตุผลที่คุณพ่อหลินของฉันเคยปฏิบัติต่อเสิ่นอวี้อิ๋งอย่างดีเช่นนั้น ก็เพราะชาติกำเนิดของหล่อน เขารู้สึกว่าตนไม่สามารถปฏิบัติไม่ดีต่อลูกของวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถปล่อยให้ผู้ที่ยอมพลีชีพเสียสละจากโลกนี้ไปโดยไม่มีคนสืบสายวงศ์ตระกูล ดังนั้นเขาจึงทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเสิ่นอวี้อิ๋ง เขาเป็นคนดีค่ะ”

เซี่ยไห่เล่ารายละเอียดให้ตระกูลเฉินฟังอีกหนึ่งครั้ง

อีกทั้งหลินเซี่ยยังกล่าวเสริมด้วยท่าทีสงบนิ่ง

ถือได้ว่าเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปในอดีทั้งหมดได้รับการอธิบายอย่างชัดเจน

ไม่มีใครในตระกูลเฉินที่ไม่ตกใจ

ในตอนนั้นเอง เฉินเจียซิ่งก็กลับมา

เขาเข้ามาในบ้านอย่างเอ้อละเหย ก่อนจะพบว่าทั้งครอบครัวอยู่พร้อมหน้า รวมทั้งเซี่ยไห่ก็นั่งอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่ละคนมีสีหน้าซับซ้อนอย่างมาก

เมื่อเฉินเจียซิ่งเห็นสถานการณ์นี้ ก็พลันรู้สึกกดดันขึ้นมา

ด้วยเกรงว่าจะเกี่ยวกับตัวเองอีกแล้ว

เขาเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “เริ่มประชุมกันแล้วเหรอครับ?”

“รีบนั่งลงเถอะ”

เฉินเจียซิ่งตอบรับเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง

ผู้เฒ่าเฉินถามหลินเซี่ยว่า “เรื่องที่เสิ่นเถี่ยจวินใส่ร้ายแผงขายอาหารของแม่เธอแท้จริงแล้วเป็นมาอย่างไร? ในตอนนั้นเสิ่นเถี่ยจวินเป็นคนจงใจอุ้มเธอกลับไปจริง ๆ หรือเปล่า?”

ผู้เฒ่าเฉินอายุไม่น้อยแล้ว สมองประมวลผลได้ช้า แม้ครู่ตอนอยู่ที่บ้านตระกูลเซี่ย เขาจะได้ยินเรื่องราวคร่าว ๆ ทว่าที่นั่นก็จอกแจกจอแจเกินไป ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินเรื่องราวชัดเจนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าแยกแยะไม่ออกอย่างชัดแจ้ง

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการให้เซี่ยไห่และหลินเซี่ยกล่าวบอกความจริงกับพวกเขาด้วยตนเอง

เมื่อเอ่ยถึงเสิ่นเถี่ยจวิน เซี่ยไห่ก็กัดฟันกรอด

ใบหน้าของหลินเซี่ยเองก็แข็งกระด้างขึ้นเช่นกัน หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะคุณปู่”

เซี่ยไห่กล่าวว่าเสิ่นเถี่ยจวินสงสัยในความบริสุทธิ์ของเซี่ยหลาน จึงแอบสับเปลี่ยนเด็ก มาวันนี้เมื่อสถานการณ์ถูกเปิดเผยแล้ว เขาจึงพยายามใส่ร้ายหลิวกุ้ยอิงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากพฤติกรรมที่เป็นภัยของตน

“พวกคุณแน่ใจเหรอ?” เฉินเจิ้นเจียงถาม

ในตอนที่อยู่บ้านตระกูลเซี่ย เสิ่นเถี่ยจวินยังยืนกรานว่าเขาได้กระทำการโดยประมาท

ไม่ได้มีเจตนาเชิงอัตวิสัยใด

“มั่นใจครับ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับ แต่ข้อเท็จจริงก็อยู่ตรงหน้าเรา ทุกคนสามารถตัดสินเองได้”

“เซี่ยหลานคลอดก่อนกำหนด เสิ่นเถี่ยจวินจึงสงสัยว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เขาจึงทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้”

“พี่เจิ้นเจียง คุณเคยเห็นพี่สาวของผมไหม? เซี่ยเซี่ยหน้าเหมือนหล่อนมาก”

เมื่อพูดถึงเซี่ยอวี่ ใบหน้าที่เดิมจริงจังอย่างยิ่งของเฉินเจิ้นเจียงก็พลันขึ้นสีด้วยความเขินอาย

“ฉันเคยดูหนังของหล่อน”

เฉินเจิ้นเจียงนึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณบนจอเงิน แล้วมองหลินเซี่ยอีกครั้ง จากนั้นจึงทอดถอนหายใจ “พอพูดแล้วก็ค่อนข้างคล้ายกันจริง ๆ”

ผู้เฒ่าเฉินถามเซี่ยไห่ว่า “เมื่อไหร่พวกพี่ใหญ่และพี่สาวของเธอจะมาถึงเมืองไห่เฉิงล่ะ?”

“คาดว่าจะมาถึงวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนครับ”

ผู้เฒ่าเฉินมีความสุขมากที่ได้ยินข่าวเช่นนี้จนแทบจะสะอึกสะอื้น “เยี่ยม เยี่ยมจริง ๆ”

“พี่ชายของเธอเป็นวีรบุรุษที่ปกป้องครอบครัวและป้องกันมาตุภูมิ ตอนนี้เมื่อรู้ข่าว พี่สาวและแม่ของเธอก็พาเขาไปที่ฮ่องกงแล้ว และเราในฐานะหัวหน้าไม่ทันได้ไปส่งเขาอย่างเหมาะสม หากเขาไม่ไป องค์กรก็จะรับผิดชอบดูแลเขาเช่นกัน จะให้การรักษาพยาบาลให้ดีที่สุด ทั้งยังจะดูแลเขาอย่างดีอย่างแน่นอน”

เซี่ยไห่อธิบายว่า “พี่สาวของผมไปฮ่องกงเพื่อพัฒนาตัวเอง ญาติ ๆ ก็สบายใจมากกว่า ตอนนี้พี่ชายของผมฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีแล้ว นอกจากความทรงจำที่หายไปบางส่วน อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร”

“เขารู้ถึงการมีอยู่ของเซี่ยเซี่ยไหม?” คุณย่าเฉินถามอย่างสงสัย

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหลือแค่รอลุ้นให้พี่ใหญ่ของพี่ไห่มานี่แหละ จะจำรักแรกของตัวเองได้ไหมหนอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 283 เซี่ยหลานไปชนบทเพื่อติดตามความรัก

ตอนที่ 283 เซี่ยหลานไปชนบทเพื่อติดตามความรัก

หลินเซี่ยไม่ให้โอกาสเสิ่นเถี่ยจวินได้ลอยนวลหนีไปอีก เธอเดินตรงเข้าไปหาเขา จากนั้นมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและน้ำเสียงโศกเศร้า

“ผู้อำนวยการเสิ่น คุณมาที่ร้านตัดผมของฉันในวันนั้นเพื่อคุยกับฉันและแม่เป็นการส่วนตัว บอกว่าความผิดพลาดที่คุณทำลงไปในวันนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่อของคุณเอง และหวังว่าพวกเราจะสามารถตกลงประนีประนอมกับคุณได้ คุณบอกว่าจะกล่าวคำขอโทษ และชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจให้แม่ฉันเป็นเงินสองพันหยวน

หรือเป็นเพราะตอนนั้นเราไม่เห็นด้วย คุณก็เลยเป็นเดือดเป็นร้อน กลับไปวางแผนทำลายธุรกิจของแม่ฉันลับหลัง เกือบทำให้แม่ฉันสิ้นเนื้อประดาตัวและถูกจับเข้าคุก เพื่อที่พวกเราจะล้มเลิกความพยายามในการสอบสวนหาสาเหตุเรื่องการสลับตัวเด็กต่อไป?”

หลินเซี่ยแสดงท่าทางโศกเศร้าต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก พูดถึงความเจ็บปวดจากการที่ตัวเองโดนกระทำในทุกคำพูด ทำให้มือของเสิ่นเถี่ยจวินที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น มองเธอด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

ทุกคนรอบ ๆ ต่างหันมองด้วยความตกใจไปกับคำพูดของหลินเซี่ย

ขณะที่เสิ่นเถี่ยจวินกำลังจะพูดอะไรเพื่อปกป้องตัวเอง หลินเซี่ยก็ถามกลับด้วยเสียงอันดัง

“คุณทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ลงคอได้ยังไง? หญิงชราคนนั้นอายุแปดสิบเข้าไปแล้ว ถ้าร่างกายหล่อนอ่อนแอจนแบกรับอาการป่วยไว้ไม่ไหว แม่ฉันจะต้องชดใช้ครอบครัวของหล่อนด้วยชีวิต พี่น้องตระกูลเสิ่นของพวกคุณมันโหดร้ายจริง ๆ ก่อนหน้านี้เสิ่นเสี่ยวเหมยก็แกล้งทำเป็นท้องและจงใจมาสะดุดล้มในร้านฉัน แล้วสร้างเรื่องว่าแท้งโยนความผิดให้ฉันอีก เพราะหวังให้เฉินเจียเหอหย่ากับฉันซะ

เพื่อปกปิดอาชญากรรมที่ตัวเองก่อ คุณเลยพยายามบีบแม่ฉันให้ตายคามือ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่มีเวลาไปสู้คดีกับคุณเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น พวกคุณสองพี่น้องจ้องจะจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหน น่าเสียดาย อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังมีดวงตา ความชั่วเอาชนะความดีไม่ได้ ไม่มีใครทั้งนั้นที่ทำสำเร็จ”

หลินเซี่ยแค่นเสียงออกมาเกือบจะเป็นเสียงตะโกน จนทุกคนในบ้านได้ยินอย่างชัดเจน

เรื่องที่เสิ่นเสี่ยวเหมยใส่ร้ายเธอแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างในช่วงที่ผ่านมา ทุกคนต่างก็ได้ยินเรื่องนี้กันบ้างแล้ว

แต่ข้อกล่าวหาของหลินเซี่ยที่ว่าเสิ่นเถี่ยจวินเป็นคนจงใจสลับตัวเด็กทำให้ญาติของทั้งสองฝ่ายตกตะลึงอย่างมาก แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อในตอนแรก

มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เสิ่นเถี่ยจวินยอมทำถึงขนาดนั้น?

ต่อให้เขาทำจริง มันก็ควรเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ

ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปทางหลินเซี่ยด้วยความประหลาดใจ และถามเพื่อขอคำยืนยันจากเธอ “เซี่ยเซี่ย เธอกำลังจะบอกอะไร? เถี่ยจวินเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องในตอนนั้นเกิดขึ้นเหรอ?”

หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ค่ะ เขาเป็นคนยอมรับด้วยตัวเอง และมาหาเราถึงที่เพื่อเจรจาตกลงกัน แต่แม่ของฉันไม่เห็นด้วย เขาก็เลยทำให้เกิดเรื่องฉาวแบบนี้ขึ้นมา”

ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง เขาตอบโต้ด้วยโทสะ “เรื่องที่เกิดขึ้นกับแผงลอยของหลิวกุ้ยอิงมันเป็นเพราะปัญหาด้านวัตถุดิบของหล่อนเอง อย่าพยายามหาใครสักคนมาเป็นแพะรับบาปแล้วหาหลักฐานเท็จมาใส่ร้ายฉัน ฉันจะอธิบายให้ทุกคนฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเอง”

เซี่ยหลานและเสิ่นอวี่อิ๋งตกใจมากกว่าใครทั้งนั้น ทั้งคู่มองไปที่หลินเซี่ยและเสิ่นเถี่ยจวินด้วยสายตาเหลือเชื่อ

เห็นได้ชัดว่าเสิ่นอวี่อิ๋งไม่เคยคาดคิดเลยว่าเรื่องต่าง ๆ จะพลิกผันถึงขนาดนี้

หลังจากการสอบสวนทั้งหมด ทำไมถึงได้กลายเป็นพ่อของหล่อนที่เป็นคนทำ?

พ่อของหล่อนไม่ได้เอาแต่บอกว่าเป็นฝีมือของหลิวกุ้ยอิงหรอกเหรอ?

“เสิ่นเถี่ยจวิน สิ่งที่หลินเซี่ยพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” เซี่ยหลานมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินแล้วถามอย่างคาดคั้น

เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินเผชิญกับสายตาของเซี่ยหลาน หัวใจของเขาก็สั่นไหว เขาพยายามสงบสติอารมณ์และมองดูพวกเขาด้วยท่าทางแสร้งทำเป็นสงบพลางพูดว่า “เสี่ยวหลาน ผมจะอธิบายให้คุณกับอวี้อิ๋งฟังเอง หลินเซี่ยจงใจแสดงละครตบตาให้ทุกคนเข้าใจผิด อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของหล่อน”

หลินเซี่ยยังไม่ยอมละทิ้งความคิดริเริ่มที่จะเปิดโปงเขาในเวลานี้ เธอมองสมาชิกตระกูลเซี่ยที่ต่างมีสีหน้าประหลาดใจและถามว่า

“คุณตา คุณแม่ ผู้อำนวยการเสิ่นไม่ได้เล่าเรื่องผลการสอบสวนจากทางตำรวจให้พวกคุณฟังหรอกเหรอคะ?”

จากนั้นเธอก็ไม่ให้โอกาสเสิ่นเถี่ยจวินได้อธิบาย พูดต่อไปว่า

“คุณตา คุณยาย แม่คะ ผลการสอบสวนเป็นอย่างนี้ค่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจตามสืบไปจนเจอพยาบาลที่ประจำการอยู่ในห้องคลอดเวลานั้น พยาบาลให้ปากคำตามจริงว่าผู้อำนวยการเสิ่นเป็นคนอุ้มเด็กออกไปจากห้องคลอดด้วยตัวเอง แต่หล่อนไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอะไรหรือไม่

ทั้งฉันและแม่จึงเห็นพ้องต้องกันว่าถ้าตามสืบจนพบความจริงเรื่องนี้แล้ว ก็ให้ทางตำรวจสอบสวนเพิ่มต่อไปให้ชัดเจน เพราะถึงยังไงทุกคนก็ยังเชื่อโดยสัญชาตญาณว่าแม่ฉันเป็นคนทำ เพราะหากมองจากผิวเผินแล้ว ดูเหมือนว่าหล่อนเป็นคนเดียวที่มีแรงจูงใจในการทำแบบนั้น

พวกเราอยากให้ตำรวจลบล้างคำครหาของแม่ฉันอย่างสมบูรณ์ แต่จู่ ๆ ผู้อำนวยการเสิ่นก็มาหาเรา และบอกว่าเขาอยากเจรจายอมความกับเราแบบส่วนตัว ไม่อยากให้การสอบสวนดำเนินต่อไป และไม่อยากให้เราแพร่งพรายเรื่องนี้กับใครด้วย ทั้งยังเสนอจ่ายเงินให้แม่สองพันหยวนเป็นค่าปิดปาก แต่เราทั้งคู่ไม่เห็นด้วย ซึ่งในตอนนั้นท่าทางของเขาก็ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่”

หลินเซี่ยพูดต่อไป “ไม่กี่วันถัดมาก็เกิดปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับแผงลอยของแม่ฉัน ถ้าหวังเฉียงไม่กลัวว่าทุกอย่างกำลังจะถูกเปิดเผยจนเขาต้องขึ้นโรงพักไปมอบตัวและสารภาพซัดทอดถึงหลิวจื้อหมิงซะเอง พวกเราก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าผู้อำนวยการเสิ่นจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมด”

ดวงตาของเสิ่นเถี่ยจวินแดงก่ำ “อย่ามากล่าวหาไร้สาระ”

“คำพูดของฉันส่วนไหนที่ไร้สาระมิทราบคะ?” หลินเซี่ยมองไปที่ภรรยาของหวังเฉียง ถามว่า “ภรรยาหวังเฉียง เขาใช่คนที่คุณมาตามหาหรือเปล่า? ช่วยอธิบายให้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจนด้วย”

ภรรยาของหวังเฉียงเศร้าเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวในช่วงเวลานี้ ดวงตาของหล่อนบวมเป่งเหมือนผลวอลนัท เมื่อเห็นเสิ่นเถี่ยจวินที่กำลังมีอารมณ์คุกรุ่นก็พูดว่า “ผู้อำนวยการเสิ่น คุณมันโหดเหี้ยมสิ้นดี เพื่อที่จะรักษางานของเขาเอาไว้ เหล่าหวังของฉันยอมทำถึงขั้นสังเวยชีวิตแม่ผู้ชราของเขา แต่สุดท้ายเราก็ถูกคุณเอาเปรียบ ถึงตอนนี้คุณจะยังยืนกรานปฏิเสธ แต่คิดว่าเรื่องนี้มันจบแล้วหรือไง? หลิวจื้อหมิงยังถูกคุมตัวอยู่ในศูนย์กักกันนะ”

เสิ่นเถี่ยจวินไม่ยอมรับท่าเดียว “ในเมื่อหลิวจื้อหมิงอยู่ในศูนย์กักกัน คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ควรจะเป็นหลิวจื้อหมิง ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะมาสร้างความเดือดร้อนให้ผม ผมจะบอกให้ ในฐานะผู้อำนวยการโรงงาน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัญหาเกิดขึ้นกับพนักงานในโรงงาน ผมจะเร่งตรวจสอบอย่างแน่นอน แต่อย่าสาดน้ำสกปรกเพื่อทำลายชื่อเสียงของผม เพราะถ้าคุณกล้า ก็รอรับความผิดตามกฎหมายได้เลย”

เสิ่นเถี่ยจวินอธิบายกับผู้เฒ่าเซี่ยและคนอื่น ๆ “พ่อครับ แม่ครับ เสี่ยวหลาน สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นความประมาทเลินเล่อของผมคนเดียวจริง ๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมซอมซ่อแบบนั้น ในห้องคลอดมีเด็กหลายคนนอนอยู่รวมกัน ผมเองก็ตื่นเต้นมากจนแยกพวกเขาไม่ออก ทำให้อุ้มเด็กกลับมาผิดคน ทุกคนคงเข้าใจความรู้สึกผมในเวลานั้นใช่ไหม?”

เซี่ยหลานมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินด้วยใบหน้ามืดมน ถามว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกฉันตั้งแต่แรก?”

เสิ่นเถี่ยจวินกระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะอธิบายว่า “ผมเห็นว่าคุณยุ่งอยู่กับการดูแลอวี้หลงที่โรงพยาบาล ผมเลยไม่อยากทำให้คุณกังวลเพิ่ม”

สีหน้าของเซี่ยหลานบ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดของเสิ่นเถี่ยจวินเลยแม้แต่น้อย

เซี่ยไห่กลัวว่าเซี่ยหลานและคนอื่น ๆ จะถูกเสิ่นเถี่ยจวินหลอกลวงอีก ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นยืน และพูดกับเสิ่นเถี่ยจวินด้วยน้ำเสียงที่มีความหมายว่า “ผู้อำนวยการเสิ่น ผมจำได้ว่าคุณน่ะสงสัยมาตลอดว่าพี่เซี่ยหลานเคยมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับพี่ใหญ่ของผม ตอนนั้นที่พี่เซี่ยหลานคลอด ดูเหมือนว่าหล่อนจะคลอดก่อนกำหนดประมาณเดือนกว่า ๆ ผมว่าคุณคงไม่มีความคิดเคลือบแคลงใด ๆ เมื่อเห็นว่าหล่อนคลอดก่อนกำหนดหรอกใช่ไหม?”

สิ้นคำพูดของเซี่ยไห่ บรรยากาศตรงจุดนั้นก็กลับกลายเป็นมีวาระซ่อนเร้นในทันที

ญาติ ๆ ที่มีอายุเท่ากับเซี่ยหลาน หรือบรรดาญาติผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า ย่อมรู้ว่าพี่ใหญ่ของเซี่ยไห่คือใคร

ทุกคนยังจำเรื่องราวของเซี่ยหลานที่เดินทางไปชนบทเพื่อติดตามความรักได้ดี

ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นเถี่ยจวิน เซี่ยหลาน ผู้เฒ่าเสิ่น และคนอื่น ๆ สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดหลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่

มันไปสะกิดรอยแผลเป็นของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

เสิ่นเถี่ยจวินมองไปที่เซี่ยไห่ด้วยความโกรธ

“คุณคิดจะพูดเรื่องไร้สาระอะไรอีก?”

“ไม่ว่าผมจะพูดไร้สาระหรือไม่ คุณน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด”

เซี่ยไห่มองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “คุณเองก็มองโลกในแง่ลบและเจ้าแผนการมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่ พี่เซี่ยหลานกับพี่ใหญ่ของผมไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรต่อกันทั้งนั้น พี่เซี่ยหลานแค่มองพี่ใหญ่ของผมเป็นเสมือนบุคคลต้นแบบที่หล่อนประทับใจก็เท่านั้นเอง

หลังจากพี่ใหญ่ของผมเข้าร่วมกับกองทัพ เขาถึงไปสมัครใจรักใคร่กับผู้หญิงคนอื่น นั่นก็เพราะสำหรับเขาแล้ว เขามักจะมองว่าเซี่ยหลานเป็นน้องสาวเสมอ อีกอย่างพลังใจแรงกล้าอันน่าชื่นชมของเขาก็เป็นสิ่งที่ทำให้พี่เซี่ยหลานอยากตามเขาไปทำงานในชนบท เขาคือเหตุผลเดียวกันที่ทำให้เซี่ยตงกับผมเข้าร่วมกองทัพ เราทั้งคู่ต้องการเดินตามรอยพี่ใหญ่ เห็นเขาเป็นบุคคลต้นแบบ เลยอยากกลายเป็นวีรชนเหมือนกับเขาที่เสียสละตัวเองเพื่อประเทศชาติ

ดังนั้นทั้งพี่เซี่ยหลาน เซี่ยตง และผมต่างก็ต่อสู้อยู่ท่ามกลางสถานที่ทุรกันดารที่สุดด้วยความมุ่งมั่น แล้วคุณล่ะ คุณมีอาชีพการงานดี ประพฤติตัวดี แต่หลังจากคุณแต่งงานกับพี่เซี่ยหลาน คุณกลับไม่เคยเชื่อใจในความซื่อสัตย์ของหล่อนเลย หล่อนแค่คลอดก่อนกำหนด แทนที่จะเอาเวลาไปใส่ใจดูแลสุขภาพหล่อนให้ดี คุณกลับสงสัยว่าเด็กไม่ใช่ลูกของตัวเอง คุณมันไม่ใช่คนแล้ว!”

เซี่ยไห่มีคารมคมคายที่แยบยล เรียงลำดับความคิดอย่างชัดเจนและมีเหตุผล ขณะพูดไม่แม้แต่จะหยุดพักเพื่อหายใจ

คำพูดของเขาไม่เพียงแต่กอบกู้ชื่อเสียงของเซี่ยหลานเท่านั้น ยังยกย่องพฤติกรรมของหล่อนที่ตัดสินใจไปชนบทเพื่อร่วมงานกับกองทัพอีกด้วย

ทันทีที่ได้รับการยกย่อง ภาพลักษณ์ของพวกเขาก็กลายเป็นคนสูงส่งขึ้นมาทันที

ขณะนี้เส้นเลือดได้ปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากของเสิ่นเถี่ยจวิน เขาโกรธจนถึงขีดสุด กัดฟันกรามเสียงดังพร้อมกับแค่นเสียงลอดไรฟันเพื่อเตือนเซี่ยไห่ “คนแซ่เซี่ย หยุดพ่นน้ำลายใส่ร้ายคนอื่นได้แล้ว”

เซี่ยไห่ยิ้มเยาะ “ผมพ่นน้ำลายใส่ร้ายคุณงั้นเหรอ? พวกเราทุกคนในที่นี้ไม่ใช่คนโง่ ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมมีการชั่งน้ำหนักของตัวเองอยู่ในใจ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ตอนนี้พี่ไห่คือ MVP เปิดปากพูดขึ้นมาทีช็อตเงิบกันทั้งวง

ยังไงดีคะคนแซ่เสิ่น จะยอมรับความชั่วของตัวเองได้หรือยัง

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท