ตอนที่ 289 วีรบุรุษผู้ต้องทนทุกข์
ตอนที่ 289 วีรบุรุษผู้ต้องทนทุกข์
เซี่ยไห่เอ่ยบอกกับตระกูลเฉินว่า “ผมบอกเรื่องนี้กับคุณแม่และพี่สาวแล้วครับ พวกหล่อนต่างปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทว่าความทรงจำของพี่ชายของผมก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บนั้นยังคงว่างเปล่ามาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งเขายังจำพี่สาวอิงจื่อไม่ได้ เราจึงยังไม่ได้กล่าวบอกเขาว่าเขามีลูกสาวด้วยหนึ่งคน”
ผู้เฒ่าเฉินทอดถอนหายใจด้วยความเสียใจเมื่อได้ยินว่าเซี่ยเหลยยังคงอยู่ในภาวะความจำเสื่อมมาจนถึงตอนนี้
ยี่สิบปีแล้วที่วีรบุรุษต้องทนทุกข์ทรมาน
เขากล่าวกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย เพื่อพ่อของเธอแล้วก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเขานะ เขาจะได้จำได้”
“ทราบแล้วค่ะคุณปู”
คุณย่าเฉินเอ่ยขึ้น “เมื่อไหร่ที่เจียวั่งกลับไปหาหมอแผนจีนเย่ ก็ให้ถามเขาดูว่าสามารถรักษาอาการความจำเสื่อมได้หรือไม่? จะได้ให้เขาช่วยรักษาให้”
“นั่นสิ เราสามารถปรึกษาหมอแผนจีนเย่ได้ อาจมีหนทางรักษา ตอนนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปมากกว่าเมื่อยี่สิบปีแล้วอยู่ไม่น้อย แถมเซี่ยเซี่ยและแม่ของหล่อนต่างก็อยู่ข้าง ๆ ต้องกระตุ้นฟื้นคืนความทรงจำของเซี่ยเหลยขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าเฉินและคุณย่าเฉินเอาใจใส่ในเรื่องของพี่ใหญ่ของตน เซี่ยไห่พลันรู้สึกซาบซึ้ง
ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
เฉินเจียซิ่งนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ อยู่นานกว่าจะเข้าใจเรื่องราวคร่าว ๆ
เขามองไปยังหลินเซี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันมองเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง
เซี่ยไห่สัมผัสได้ถึงสีหน้าราวกับเจอผีของเฉินเจียซิ่ง จึงวางมาดเตือนอย่างมีเอกลักษณ์
“เจียซิ่ง อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันจะบอกให้ว่าเซี่ยเซี่ยเป็นหลานสาวของฉันเอง ต่อไปฉันจะคอยปกป้องคุ้มครองหล่อน เวลาอยู่บ้านห้ามดูหมิ่นหล่อนเด็ดขาด”
เฉินเจียซิ่งกลอกตา “ผมไม่กล้าหรอกครับ”
“ไม่กล้านั่นแหละจะดีที่สุด” สีหน้าของเซี่ยไห่ฉายชัดถึงความเหี้ยมโหด เป็นการแสดงออกว่าหากแกรังแกหลานสาวของฉันแม้ปลายก้อย ฉันกับแกก็สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
เฉินเจียซิ่งจึงนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างๆ และตีตัวออกห่างจากเซี่ยไห่
เซี่ยไห่เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ตั้งใจจะกล่าวลาและขอตัวกลับ ทว่าผู้เฒ่าเฉินพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดี “กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับสิ”
เซี่ยไห่กล่าวว่า “คุณลุงเฉิน ผมไม่กินแล้วครับ ที่กินมาจากบ้านตระกูลเซี่ยจนถึงตอนนี้ยังไม่ย่อยเลย อีกทั้งผมเองยังต้องรีบกลับไปตระเตรียมบ้านให้คุณแม่และพี่ ๆ ต้องเตรียมเครื่องนอน รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีก ไม่อย่างนั้นแล้วหากพี่สาวผมมาถึง แล้วเห็นว่าในบ้านไม่มีอะไรเลย ผมคงโดนตีตาย”
เมื่อเฉินเจียซิ่งได้ยินว่าจริง ๆ แล้วมีคนที่สามารถจัดการเซี่ยไห่ได้ ชายหนุ่มก็ส่งเสียงเย็นในลำคอ พลางมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
เซี่ยไห่กำลังจะกลับ ส่วนเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยตั้งใจว่าจะโบกรถกลับ
หู่จือถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของผู้เฒ่าเฉินและไม่ยอมปล่อย
“พวกเธอไปจัดการกิจธุระของตัวเองเธอ หู่จือให้อยู่กับพวกเราที่นี่ แล้วเช้าวันจันทร์ฉันจะเอาไปส่งให้”
คุณย่าเฉินบอกว่าจะสอนเรื่องซือหม่ากวงทุบโอ่งให้หู่จือ หู่จือมีความสุขมากและเต็มใจที่จะอยู่ต่อ
เดิมทีเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยตั้งใจจะกลับไปยังเขตพักอาศัย แต่เซี่ยไห่ยืนกรานที่จะลากพวกเขาไปซื้อเครื่องนอนนอน
“เซี่ยเซี่ย เธอเป็นผู้หญิง มีความคิดอารมณ์ละเอียดอ่อน เธอช่วยเลือกหน่อยสิ คุณย่า คุณป้า และพ่อของเธอคงจะซาบซึ้งใจมากและหลับสนิทตลอดคืน หากรู้ว่าเธอเป็นคนเตรียมผู้ปูที่นอนและผ้าห่มให้พวกเขา”
เซี่ยไห่นั้นปากหวาน ทั้งยังมีวาทศิลป์ หลินเซี่ยจึงถูกวาจาหว่านล้อมให้ขึ้นรถไปด้วย
ทั้งสามคนไปยังตลาดที่ใกล้ที่สุด
“คุณตั้งใจว่าจะซื้อปุยฝ้ายไปทำผ้าห่มหรือซื้อแบบสำเร็จรูปไปเลยคะ?”
“ต้องใช้ปุยฝ้ายด้วยเหรอ?”
เฉินเจียเหอกล่าวว่า “ซื้อผ้าห่มสำเร็จรูปเถอะ อากาศอบอุ่นแล้ว ผ้าห่มผ้าฝ้ายร้อนเกินไป มีผ้าห่มสำเร็จรูปให้ซื้อด้วย เหล่าเซี่ยเองมีเงินมากมาย เลือกที่ดีที่สุดไปก็พอ”
เซี่ยไห่มองไปยังเฉินเจียเหอพลางเอ่ยหยอกล้อ “นายในฐานะลูกเขยไม่แสดงภูมิหน่อยเหรอ?”
“ฉันไม่มีเงิน” เฉินเจียเหอเปิดกระเป๋าของเขาทันทีเพื่อเป็นการพิสูจน์
เซี่ยไห่มองเขาอย่างเหยียดหยาม “ดูท่าทางตระหนี่ของนายสิ ขนาดมีเซี่ยเซี่ยของฉันอยู่ด้วย นายยังจะให้ฉันจ่ายอีกเหรอ?”
พวกเขาซื้อผ้าห่มมาสามผืน ผ้าปูที่นอนและปลอกผ้าห่มสามชุด รวมถึงหมอนและของอื่น ๆ ทำให้ท้ายรถของเซี่ยไห่ยัดไม่ลง จนต้องนำมาไว้ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังด้วย
เมื่อไปถึงบ้านที่เซี่ยไห่เช่าไว้ ก็มืดค่ำแล้ว
“มืดแล้ว เอาของเข้าไปไว้แล้วกลับกันเถอะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะให้พี่อิงจื่อมาจัดการตระเตรียมที่นอนให้”
หลินเซี่ยเอ่ยเสียงเบา “คุณเรียกใช้คุณแม่ของฉันได้คล่องปากเสียจริง”
เซี่ยไห่หัวเราะพลางเอ่ย “เซี่ยเซี่ย เธอไม่เข้าใจ ฉันอยากให้พี่อิงจื่อปรับตัวเข้ากับสถานะเมื่อก่อนของหล่อน พูดตามตรงฉันยังคงหวังว่าพี่อิงจื่อกับพี่ใหญ่ของฉันจะกลับมาสานสัมพันธ์กันได้อีกครั้ง”
เขามองไปยังหลินเซี่ยแล้วเอ่ยถาม “เธอไม่คาดหวังให้พ่อกับแม่ของเธอเป็นครอบครัวเดียวกันเหรอ?”
“ฉันคาดหวังไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรค่ะ ต้องให้เป็นไปตามความเต็มอกเต็มใจของพวกเขา รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงตามจีบคุณแม่ของฉันมานาน มาคอยอุดหนุนธุรกิจหล่อนวันละครั้ง หากแม่นิ่งเฉยไม่สนใจ ฉันจะไปทำอะไรได้?”
หลิวกุ้ยอิงนั้นดูอ่อนแอ ทว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนมีหลักการมาก ทั้งยังจริงจังเกินเหตุได้ง่าย หากเป็นเรื่องที่ตัวเองไม่เต็มใจแล้วย่อมไม่มีใครมาบังคับได้
ด้วยความรักที่หล่อนมีต่อหลินต้าฝู เกรงว่าคงไม่ง่ายที่จะยอมรับเซี่ยเหลยในทันทีทันใด
ถึงอย่างไรเซี่ยเหลยก็ยังจำหล่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่สามารถเชื่อมสัมพันธ์กับหล่อนติด
หลิวกุ้ยอิงเองยังต้องคำนึงถึงความรู้สึกของหลินจินซาน
ความปรารถนาสูงสุดของหล่อนในตอนนี้คือการทำงานหาเงินเพื่อแต่งภรรยาให้หลินจินซาน
จนกว่าหลินจินซานจะแต่งงานมีครอบครัว หลิวกุ้ยอิงอาจไม่คำนึงถึงปัญหาส่วนตัวเสียด้วยซ้ำไป
เซี่ยไห่เมื่อได้ยินถ้อยคำหลินเซี่ย ก็ระเบิดออกมาโดยพลัน
“อะไรนะ? เธอกำลังจะบอกว่าพ่อของเจียงอวี่เฟยเองก็ตามจีบพี่อิงจื่ออยู่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ ขนาดเขาถึงเป็นรองผู้อำนวยการโรงงาน แม่ของฉันยังไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ หล่อนเป็นคนที่ค่อนข้างจะดื้อดึง คุณเองก็อย่าคาดหวังมากเกินไป”
เซี่ยไห่มองเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยด้วยท่าทางจริงจัง ก่อนเอ่ยว่า “พวกเธอสองคนจะต้องเข้าข้างให้ถูก อย่าได้จับคู่แบบผิด ๆ ลองคิดดูนะ พ่อแม่ของตัวเองได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอเองก็จะได้กลับบ้านอันอบอุ่น แต่หากมีพ่อเลี้ยงหรืออะไรทำนองนี้ ความขัดแย้งก็มีอยู่ร่ำไป วัน ๆ เต็มไปด้วยเรื่องไก่เตลิดหมาวิ่งพล่าน* ไหนเลยจะมีความสุขได้”
*鸡飞狗跳ไก่เตลิดหมาวิ่งพล่าน หมายถึง เรื่องอลหม่านวุ่นวาย
“รอให้คุณพ่อมาแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่าค่ะ พวกเขาเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมมีวิธีจัดการกับปัญหาของตัวเอง พวกเราไม่สร้างปัญหาให้พวกเขาเพิ่มจะเป็นการดีกว่า” หลินเซี่ยมองไปยังเซี่ยไห่ แล้วเอ่ยอย่างมีความนัย “คุณมีความพยายามที่จะจัดการปัญหาส่วนตัวของคุณเอง หากแต่ไม่ใช่เรื่องถังหลิงหญิงต้มตุ๋นที่แต่งงานครั้งที่สองนั่น ในเมื่อคุณเรียกฉันว่าหลานสาวแล้ว ฉันก็ขอแจ้งให้คุณทราบตรงนี้เลยว่า หากคุณมีจิตใจมั่นคงไม่มากพอ ไปยอมสมคบคิดกับถังหลิง ทีหลังก็อย่าได้คิดมาบอกว่าฉันเป็นหลานสาว”
“เธอพูดอะไรกันน่ะ หล่อนไม่ใช่แบบที่ฉันชอบด้วยซ้ำ เข้าใจไหม?”
“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ?” หลินเซี่ยถาม
“ฉันชอบ…”
ทันใดนั้น เซี่ยไห่พลันตระหนักได้ว่า หลินเซี่ยกำลังใช้กลอุบายกับตน จึงปิดปากเงียบเรื่องนั้น แล้วเอ่ยว่า “หัวใจของฉันก็เหมือนสายน้ำ”
เขาเลี่ยงตอบ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “รีบไปเถอะ ฟ้ามืดแล้ว ฉันยังต้องจะไปที่ห้องเต้นรำเพื่อตรวจงานอีก”
เซี่ยไห่จะกลับไปยังห้องเต้นรำ จึงเอ่ยชวนเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยไปเต้นรำและผ่อนคลาย ทว่าทั้งสองปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน
จากนั้นสองสามีภรรยาจึงเดินทางกลับไปยังเขตพักอาศัย
ทันทีที่มาถึงลานบ้าน หวังซิ่วฟางก็มาต้อนรับพร้อมนำไก่ย่างมาให้หลินเซี่ย
หลินเซี่ยไม่ค่อยเข้าใจนัก“พี่สาวหวัง คุณกำลังทำอะไรอยู่?”
ใบหน้าของหวังซิ่วฟางเปล่งประกายราวทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิและประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข อีกทั้งน้ำเสียงของหล่อนยังมีร่องรอยความเขินอาย “วันนี้รองผู้อำนวยการเจียงนำไก่ย่างมาให้สองตัว โดยบอกว่าเขาให้หู่จือหนึ่งตัว”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้น ก็พลันสบตากับเฉินเจียเหอ ก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทางซุบซิบ “รองผู้อำนวยการเจียงมาที่บ้านเหรอคะ?”
หวังซิ่วฟางม้วนผมตัวเองอย่างเขิน ๆ แล้วเอ่ยตอบ “เดิมทีเขาเอามาให้ที่หน้าประตู แต่ฉันเห็นว่าอากาศค่อนข้างร้อน ก็เลยชวนเขามาดื่มน้ำสักแก้ว”
หวังซิ่วฟางมองไปยังหลินเซี่ยแล้วกระซิบว่า “เซี่ยเซี่ย เธอคิดว่าฉันทำเกินเลยไปหรือเปล่า เราสองคนยังไม่ได้เริ่มอะไรกันเลย ฉันเกรงว่าเพื่อนบ้านจะนินทาเอา”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณสองคนเองต่างมีข้อดี ต้องมีวาสนาร่วมกันแน่ คนอื่นอยากจะพูดอะไรก็ให้พูดไปเถอะ”
หลินเซี่ยใจกว้างและจริงใจ เธอเข้าใจและให้กำลังใจ หัวใจที่หนักอึ้งของหวังซิ่วฟางจึงกลับสู่สภาวะปกติในทันที “ถูกต้อง ความสุขของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หลานขู่แล้วนะพี่ไห่ ดังนั้นพี่อย่าตกหลุมพรางยัยถังขยะเชียว
พี่สาวหวังเริ่มมีลุ้นแล้วสินะ
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 284 เสิ่นเถี่ยจวินโดนชก
ตอนที่ 284 เสิ่นเถี่ยจวินโดนชก
แน่นอนว่าสิ่งที่เซี่ยไห่และหลินเซี่ยพูดล้วนน่าเชื่อถือเต็มร้อย ใครก็ตามที่มีความคิดเฉียบแหลมจะจับใจความจนรับรู้ถึงเบาะแสได้หากพวกเขาหยุดคิดไตร่ตรองสักหน่อย
ผู้เฒ่าเฉินขยับไปกระซิบกับผู้เฒ่าเซี่ยที่หน้าซีดเผือด “เหล่าเซี่ย ลูกเขยของคุณมีจิตสำนึกที่ย่ำแย่มาก”
ใบหน้าของผู้เฒ่าเซี่ยมืดมน ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
ใบหน้าของเซี่ยหลานมืดมนยิ่งกว่า หล่อนยืนอยู่ที่นั่นโดยที่มือกำหมัดแน่น มองเสิ่นเถี่ยจวินและถามย้ำว่า “เสิ่นเถี่ยจวิน คุณบอกฉันมา คุณตั้งใจทำแบบนั้นแต่แรกใช่ไหม?”
เป็นไปไม่ได้เลยที่เสิ่นเถี่ยจวินจะยอมรับ “ผมไม่ได้ทำ”
เซี่ยไห่โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง “คุณยังไม่ยอมรับอีกเหรอ? ได้ยินมาว่าเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ตระกูลเสิ่นของคุณไม่ให้เกียรติเซี่ยเซี่ย ก็เพราะหล่อนยิ่งโตยิ่งหน้าเหมือนพี่สาวผม เลยเอาแต่ดูถูกเหยียดหยามหล่อนอยู่เสมอ”
เสิ่นเถี่ยจวินอยากพุ่งตัวเข้าไปบีบคอเซี่ยไห่เต็มประดา เขาคำรามด้วยความโกรธ “คุณเป็นคนนอก ถือดียังไงมาพูดเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่น?”
“สำหรับคุณ ผมอาจจะเป็นคนนอกก็จริง แต่สำหรับเซี่ยเซี่ย ผมเป็นญาติสนิทของหล่อน”
เซี่ยไห่พูดพร้อมกับก้าวไปยืนเคียงข้างหลินเซี่ยเพื่อปกป้องเธอ
เสิ่นเถี่ยจวินหรี่ตาลงเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจ ถามขึ้น “คุณหมายถึงอะไรกันแน่?”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ประเด็นสำคัญที่เรากำลังพูดถึงอยู่คือคุณสงสัยว่าภรรยาของตัวเองกำลังอุ้มท้องเด็กที่ไม่ใช่ลูกของคุณ ด้วยเหตุนี้คุณถึงได้มีเจตนาชั่วร้าย ตั้งใจสลับตัวเด็กทันทีที่หล่อนคลอดออกมา ถึงยังไงนี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ใครก็เถียงไม่ได้”
เซี่ยไห่ยิ้มเยาะ “พระเจ้ากำหนดโชคชะตาของคุณเอาไว้แล้ว ผมเกรงว่าคุณก็ไม่เคยคาดหวังเหมือนกันว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ คิดแค่ว่าตัวเองเอาเด็กคนอื่นมาแทนที่ลูกของศัตรูหัวใจได้สำเร็จ แต่ท้ายที่สุด เด็กที่คุณไปสลับมากับมือกลับเติบโตขึ้นและมีหน้าตาคล้ายกับสมาชิกตระกูลเซี่ยของเรา เรื่องผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว คุณคงรู้สึกเจ็บใจมากใช่ไหม? คงเกลียดเซี่ยเซี่ยมากจนกดขี่หล่อนด้วยความเย็นชาและความรุนแรง
“หลังจากตรวจสอบความเป็นพ่อลูกแล้ว ภายในใจคุณไม่มีความรู้สึกผิดเลยหรือไง? คุณกล้าเผชิญหน้ากับพี่เซี่ยหลานได้ยังไงกัน? คุณสงสัยหล่อนมาหลายปีแล้ว ผลปรากฏว่าคุณนั่นแหละที่มองหล่อนผิดไป หล่อนไม่เคยทรยศคุณด้วยซ้ำ อีกอย่าง คุณกล้าเผชิญหน้ากับลูกสาวตัวเองได้ยังไง? หล่อนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่คุณกลับทอดทิ้งลูกสาวแท้ ๆ ให้อยู่ใต้ชายคาคนอื่นมาตั้งยี่สิบปี”
เซี่ยไห่จงใจยั่วยุให้เกิดการแตกแยก แน่นอนว่าใบหน้าของเสิ่นอวี่อิ๋งเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที ทั้งยังมีร่องรอยของความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นในดวงตา มองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินด้วยความผิดหวัง
“ตอนแรกคลอด เสิ่นอวี่อิ๋งเป็นเหมือนลูกหนูตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอมาก โชคดีที่พ่อหลินต้าฝูของฉันมีจิตใจดีและชอบธรรม เขาถึงกับอุ้มหล่อนข้ามภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะเพื่อไปหาหมอแผนจีนเย่ให้ช่วยรักษา ถ้าไม่มีพ่อหลินต้าฝูของฉันสักคน เสิ่นอวี้อิ๋งคงสิ้นชื่อไปตั้งแต่ยังแบเบาะแล้ว”
หลินเซี่ยมองไปทางเสิ่นอวี่อิ๋งซึ่งมีหน้าตาน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม พลางพูดเยาะเย้ย “เสิ่นอวี่อิ๋ง เธอพูดอะไรไปบ้างนะหลังจากที่เธอกลับมาอยู่กับตระกูลเสิ่น? เธอบอกว่าตัวเองไม่เคยได้กินข้าวอิ่มท้องหรือสวมเสื้อผ้าอุ่น ๆ ตอนอยู่กับบ้านตระกูลหลิน แถมยังบอกด้วยว่าคนตระกูลหลินทำร้ายเธอสารพัด มโนธรรมของเธออยู่ไหนกัน โดนหมาคาบไปกินหมดแล้วหรือไง?”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความประพฤติของคนตระกูลเสิ่นล้วนกลับกลอกร้ายกาจเหมือนกันทุกประการ พันธุกรรมของพวกคุณนี่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว”
คำพูดของหลินเซี่ยพาดพิงลามไปถึงผู้เฒ่าเสิ่นด้วย ทำให้ชายชราโกรธมากจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
“จนถึงทุกวันนี้ คุณยังคิดจะโยนให้แม่ของฉันเป็นคนผิดเพื่อปกปิดการกระทำชั่วของคุณ พอเราแสดงจุดยืนว่าไม่ยินยอม คุณก็เลือกใช้วิธีต่ำทรามลับหลังเพื่อทำลายธุรกิจของหล่อน หล่อนเป็นแค่ผู้หญิงที่มาจากชนบท สามีเสียชีวิต ก็เลยย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่กับลูก ๆ แล้วทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ คุณคิดว่ามันง่ายนักเหรอ? หรือคิดว่าตัวเองเป็นผู้อำนวยการโรงงานกระจอกงอกง่อยแล้วมีอำนาจขนาดปิดท้องฟ้าด้วยมือเดียวได้กัน?”
วันนี้หลินเซี่ยตัดสินใจแล้วว่าจะแตกหักกับตระกูลเสิ่นอย่างสมบูรณ์ เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นเถี่ยจวิน เธอก็เริ่มต้นจากข้อกล่าวหา ไปจนถึงการย้อนถามเขา เพื่อเน้นย้ำว่าเสิ่นเถี่ยจวินกลัวความผิดของตัวเองจะถูกเปิดเผยจึงแทงข้างหลังพวกเธอ ไม่ให้โอกาสเขาได้แก้ตัวใด ๆ
ข้อแก้ตัวเดียวของเสิ่นเถี่ยจวินคือเขาแค่ประมาทเพราะสับสนไปชั่วขณะ และตอนนี้หลินเซี่ยก็แสดงท่าทางก้าวร้าว เตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อทำให้เขายอมจำนนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ผู้เฒ่าเสิ่นทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกไม้เท้ายันร่างกายอันสั่นสะท้านขึ้น “นังเด็กสารเลว แกมีหลักฐานอะไรถึงกล้าพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้เพื่อทำลายชื่อเสียงของตระกูลเสิ่นของเรา?”
ทันทีที่ชายชรายกไม้เท้าขึ้นมา เฉินเจียเหอและเซี่ยไห่ก็รีบก้าวมาปกป้องหลินเซี่ย
หู่จือก็ผละออกจากอ้อมแขนของผู้เฒ่าเฉิน พาร่างน้อย ๆ ของเขาไปปกป้องหลินเซี่ยเช่นเดียวกัน
“แม่ฮะ ผมจะปกป้องแม่เอง”
หลินเซี่ยลูบหัวหู่จือแทนการบอกเขาว่าเธอไม่เป็นไร และบอกให้เขากลับไปอยู่กับคุณปู่ทวดตามเดิม
เฉินเจิ้นเจียง พ่อสามีผู้ถือตัวก็วางตัวอย่างมีประสิทธิภาพมากเช่นกันในวันนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ห้ามปรามหลินเซี่ยแล้ว ยังพาตัวหู่จือออกมาจากวงแฉอันดุเดือดด้วย
“หลักฐานเหรอ? ถามลูกชายของคุณดูสิ!”
ตอนนี้หลินเซี่ยไม่ใช่คนตระกูลเสิ่นอีกต่อไป เมื่อมองหน้าสมาชิกแต่ละคนของตระกูลเสิ่นก็ยิ่งทำให้เธอไม่อยากรักษาหน้าไว้ให้พวกเขาอีก “ผู้เฒ่าเสิ่น คุณคงไม่รู้ใช่ไหมว่าตอนนั้นลูกชายตัวเองทำอะไรลงไป? ตอนที่ฉันยังเด็ก คุณมองฉันเป็นเหมือนหลานนอกคอกเสมอมา ขนาดเสิ่นเสี่ยวเหมยรังแกฉันและโยนความผิดให้ฉันสารพัดโดยที่คุณก็รู้ชัดเจนว่าเป็นความผิดของหลานสาวตัวเอง คุณกลับเมินเฉยไม่รับฟังฉัน และทุบตีฉันอย่างไร้ความปรานี คุณเองก็แอบสงสัยว่าเด็กที่แม่บุญธรรมคลอดออกมาไม่ใช่หลานของตระกูลเสิ่นใช่ไหมล่ะ?”
หลินเซี่ยยืนหยัดพูดกับทุกคนด้วยเสียงอันดัง “ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย แม่บุญธรรมเซี่ยหลานของฉันไม่เคยทรยศคุณสักครั้งเลยเสิ่นเถี่ยจวิน”
เซี่ยตงดึงเฉินเจียเหอออกไป ถามด้วยเสียงต่ำด้วยใบหน้าดำคล้ำ “นี่มันยังไงกันแน่? พวกนายเตี๊ยมกันมาเหรอ?”
พวกเขาทั้งหมดพูดจาเฉียบคมไม่ผิดเลยสักคำ จนดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้แสดงละครแบบด้นสด
แม้แต่เซี่ยไห่ที่เป็นคนนอกก็พูดจาฉะฉานปกป้องฝ่ายถูกด้วยท่าทางเด็ดขาด ทั้งหมดมันหมายความว่ายังไง?
หรือเฉินเจียเหอที่เป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย จ้างเขามาเป็นกระบอกเสียงแทนตัวเอง?
เฉินเจียเหอเผชิญกับสายตาอันเฉียบคมของเซี่ยตง แล้วตอบกลับอย่างจริงจัง
“คุณน้าครับ ผมเอาหัวตัวเองเป็นประกันเลยว่าทุกคำพูดที่เซี่ยไห่และเซี่ยเซี่ยพูดออกไปล้วนมีเหตุผลและหลักฐานมารองรับ ไม่ใช่แค่การกล่าวหาลอย ๆ แน่นอน”
เซี่ยตงขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่าน้าอีกครั้ง
แต่เขาสามารถไว้วางใจในอุปนิสัยของเฉินเจียเหอได้
เขาตอบกลับ “ฉันเข้าใจแล้ว”
ทันใดนั้นสายตาที่คมกริบของเซี่ยตงก็จับจ้องไปทางเสิ่นเถี่ยจวิน
เขารีบเดินปรี่เข้าไปหาเสิ่นเถี่ยจวิน ก่อนจะออกหมัดชกหน้าเขาเต็มแรง
เซี่ยตงซึ่งเป็นทหารออกแรงชกเขาด้วยหมัดเหล็ก เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เลือดซึมออกจากมุมปากของเสิ่นเถี่ยจวิน
“ฉันสงสัยอยู่แล้วเชียว ว่าตั้งแต่ลูกสาวนายกลับมา พ่อก็คอยเร่งเร้าให้นายสืบเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นจนกระจ่าง แล้วเอาความจริงมาอธิบายให้ทุกคนฟัง แต่นายเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมทำท่าเดียว ที่แท้คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังก็คือนายนั่นเอง”
พูดจบ เขาก็ปล่อยหมัดชกอีกครั้ง “พี่สาวฉันต้องคลอดลูกของนายในสภาพแวดล้อมแบบนั้นไม่พอ หล่อนยังหมดสติหลังจากคลอดก่อนกำหนด นายกลับไม่รู้จักดูแลหล่อนให้ดี แถมยังสงสัยว่าหล่อนอุ้มท้องลูกคนอื่นอีกงั้นเหรอ? นี่นายยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ไหม ถึงลงมือสลับตัวเด็กแบบนี้?”
เสิ่นเถี่ยจวินเป็นมนุษย์เงินเดือนร่างกายอ่อนแอ พอเซี่ยตงต่อยเขาแค่สองสามหมัดก็วิงเวียนจนล้มโซเซลงกระแทกพื้น ถึงอย่างนั้นเซี่ยตงก็ยังคงเตะเขาอย่างแรงด้วยรองเท้าบูททหาร
เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นเห็นว่าลูกชายตัวเองถูกทุบตี เขาก็ขอให้เสิ่นเสี่ยวเหมยช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เซี่ยตง เรายังไม่ทันรู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง เธอกล้าดียังไงถึงไปทำร้ายเขา?”
เซี่ยตงเพิกเฉยต่อผู้เฒ่าเสิ่น เขามองไปที่เซี่ยหลานและพูดอย่างเย็นชา “พี่สาว หย่ากับเขาซะ”
เซี่ยหลานมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินซึ่งถูกทุบตีจนล้มลงกองกับพื้นด้วยสายตาห่างเหินที่สุดในชีวิต พูดว่า “เสิ่นเถี่ยจวิน เราหย่ากันเถอะ”
เซี่ยหลานเชื่อฟังคำพูดของเซี่ยตงและออกปากพูดว่าจะหย่ากับเขาอย่างไม่ไยดีจนเสิ่นเถี่ยจวินเริ่มตื่นตระหนกและเช็ดเลือดจากมุมปาก พยายามปกป้องตัวเองอย่างสุดฤทธิ์ “เซี่ยตง นายอย่าเอาตัวเองมาตัดสินเรื่องนี้ นายจะคล้อยตามข้อกล่าวหาที่พวกเขาสรรหามาพูดไม่ได้ ฉันบอกแล้วว่าฉันแค่ประมาท ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ? แล้วทำไมนายถึงไม่ยอมบอกพวกเราก่อนหน้านี้ล่ะ? ถ้านายไม่มีเจตนาชั่วร้าย ทำไมนายถึงปฏิเสธที่จะสืบหาความจริงโดยอ้างว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้ว? ทำไมนายถึงเสนอจ่ายเงินให้หลิวกุ้ยอิงเพื่อปิดปาก? ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผงลอยของหล่อน ก็เป็นเพราะพวกหล่อนไม่ยอมเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ใช่ไหม?”
เซี่ยตงรัวคำถามใส่เสิ่นเถี่ยจวิน ผู้ชายคนนี้ถูกชกจนสมองมึนงงเพราะขาดออกซิเจน เขาจึงสูญเสียคำแก้ตัวอีกครั้ง
เอาแต่พูดคำเดียวซ้ำ ๆ ว่า “ฉันไม่ได้ทำ”
“คุณไม่ได้ทำเรื่องโสโครกพวกนั้นเองอยู่แล้ว เพราะมีสุนัขรับใช้ทำเพื่อคุณยังไงล่ะ ถ้าเราเดาไม่ผิด สุนัขตัวนั้นก็คือหลิวจื้อหมิงที่ยอมรับผิดแทนคุณ ต่อให้คุณจะรอดจากการถูกลงโทษทางกฎหมาย ยังไงคุณก็หนีความผิดทางศีลธรรมไม่พ้น ไม่เคยมีครั้งไหนที่ความชั่วชนะความดี คนอย่างคุณ อีกหน่อยก็คงทรยศต่อญาติตัวเองในสักวัน”
คำพูดของเซี่ยไห่จุดชนวนโทสะของผู้เฒ่าเซี่ยขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเซี่ยตงตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะลงไม้ลงมือกับใครสักคนอีกครั้ง ผู้เฒ่าเสิ่นก็รีบเดินเข้าไปเพื่อปกป้องเสิ่นเถี่ยจวิน เขามองไปที่เซี่ยไห่และสาปแช่ง “ลูกชายคนเล็กของตระกูลเซี่ย รู้ตัวไหมว่ากำลังตะคอกใส่ใคร? คนนอกอย่างเธอมีสิทธิ์พูดที่นี่ด้วยเหรอ? คิดว่าตัวเองเก่งกาจมาจากไหน? ไอ้คนไม่มีการศึกษา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายฉัน มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะมาสั่งสอนเขา”
“ผมตะคอกใส่เขาในฐานะอะไรน่ะเหรอ?” เซี่ยไห่ยกมุมปากขึ้นยิ้มแสยะ “ผู้เฒ่าเสิ่น คุณถามคำถามนี้มาก็ดีแล้ว”
เขาก้าวไปยืนเคียงข้างกับหลินเซี่ย ยื่นหน้าตัวเองไปใกล้เธอเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะในลำคอ “พวกคุณทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าเซี่ยเซี่ยหน้าเหมือนพี่สาวของผมตอนที่หล่อนยังเป็นวัยรุ่น ถึงตอนนี้คุณยังนึกภาพความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ออกอีกหรือไง?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ยำใหญ่ใส่สารพัดจานนี้มันอร่อยมันแซบนัวดีจริงๆ เล้ย เตรียมพร้อมรับแรงกระแทกอีกระลอกนะผอ.เสิ่นและคนตระกูลเสิ่นทั้งหลาย พี่ไห่จะเปิดเผยตัวตนแล้ว
ไหหม่า(海馬)