ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 290 เซี่ยเหลยเป็นดั่งพระเจ้า

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 290 เซี่ยเหลยเป็นดั่งพระเจ้า

ตอนที่ 290 เซี่ยเหลยเป็นดั่งพระเจ้า

เมื่อถึงกลับบ้าน หลินเซี่ยก็ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาพลางบิดขี้เกียจ

“เหนื่อยจะตายแล้ว นี่เหนื่อยยิ่งกว่าทำงานมาทั้งวันอีกค่ะ”

แม้ว่าการจัดการกับพวกสวะจะทำให้รู้สึกดี ทว่าก็นำมาซึ่งความเหนื่อยล้าจริง ๆ

เฉินเจียเหอเห็นผู้เป็นภรรยาทิ้งตัวนอนก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ชายหนุ่มเอ่ยถามว่า “คุณอยากกินอะไร? เดี๋ยวผมทำให้”

“กินไก่ย่างก็ได้ค่ะ วันนี้ตอนที่อยู่บ้านตระกูลเซี่ย ฉันไม่ค่อยได้กินเนื้อเสียเท่าไหร่”

ด้วยในขณะที่อยู่ในงานเลี้ยง ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่จะฉีกหน้ากากของเสิ่นเถี่ยจวิน

“ยังร้อนอยู่เลย เดี๋ยวผมไปหั่นมาให้ครับ”

หลินเซี่ยตะโกนบอกเขา “หั่นแค่ครึ่งเดียวนะคะ เก็บไว้ให้หู่จือด้วย”

เฉินเจียเหอหั่นแบ่งไก่ย่าง ทั้งยังหั่นต้นหอมเป็นฝอย และเสิร์ฟพร้อมน้ำมันพริก

ชายหนุ่มส่งตะเกียบให้หลินเซี่ย

หลินเซี่ยจึงเอ่ยขึ้น “คุณเองก็กินด้วยสิคะ”

“คุณกินเยอะ ๆ ผมยังไม่หิว”

เฉินเจียเหอมองดูอารมณ์ของหลินเซี่ยที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ และกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขานั่งข้าง ๆ เธอ สายตาของเขาที่มองเธอนั้นเต็มด้วยแสงประกายอ่อน ๆ ดูมีความสุขอย่างยิ่ง

แค่เธอมีความสุข เขาก็พอใจแล้ว

หลินเซี่ยหันหน้าไปสบตาแววตาล้ำลึกของเขา แล้วผลิยิ้ม “มองฉันทำไม?”

เฉินเจียเหอจัดผมที่หลุดอกมาให้เธอแล้วเอ่ยเบา ๆ “เห็นคุณอารมณ์ดีกินได้ ก็เลยโล่งใจมากน่ะ”

“คุณไม่ต้องมองแล้ว กินสักหน่อยเถอะค่ะ คุณเองก็ไม่ได้กินอิ่มเหมือนกัน”

เขาพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ป้อนผมสิ”

ผู้ชายอกสามศอกงอแงขึ้นมา ทำเอาหลินเซี่ยขนลุกไปทั้งตัว ยื่นตะเกียบไปทางเขาแล้วยัดไก่ย่างเข้าปากผู้เป็นสามี

หลินเซี่ยมองดูท่าทางน่ารักของเขา ก็พลันหวนนึกขึ้นมาว่าวันนี้ที่บ้านตระกูลเซี่ย เขาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน วินาทีก่อนยังดูเคร่งขรึมจริงจัง วินาทีต่อมากลับกลายเป็นคนเซ่อซ่าเสียอย่างนั้น

“เอ้อ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ วันนี้คุณเรียกเซี่ยตงว่าคุณน้าเหรอคะ?”

เฉินเจียเหอพยักหน้า “ครับ เรียกแบบนั้น”

มุมปากของหลินเซี่ยกระตุกขึ้นเล็กน้อย “เขาเป็นพี่น้องกับคุณไม่ใช่เหรอคะ? คุณเรียกออกมาได้อย่างไรกันน่ะ?”

เฉินเจียเหอเอ่ยตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ทำไมจะเรียกออกมาไม่ได้ล่ะ ความอาวุโสของเขาก็ฉายชัดอยู่ตรงนั้น ผมเรียกตามคุณนี่ คุณเรียกว่าอะไร ผมก็เรียกอย่างนั้น”

“แล้วทำไมถึงไม่เรียกเซี่ยไห่ว่าคุณอาล่ะ?”

“คุณเองก็ยังไม่ได้เปลี่ยนวิธีเรียกนี่ รอคุณเปลี่ยนวิธีเรียกเขาเมื่อไหร่ ผมก็จะเรียกเขาแบบนั้น”

เฉินเจียเหอกล่าวอย่างจริงใจ ไม่ได้เล่นละครตบตาเธอแม้เพียงสักนิด

หลินเซี่ยเชื่อว่าเขาซื่อสัตย์ต่อคำพูดของตัวเอง และจะเรียกเซี่ยไห่ว่าอารอง เหมือนที่เขาเฉกเช่นที่เขาเรียกเซี่ยตงว่าคุณลุงอย่างแน่นอน

เธอนึกภาพไม่ออกเลยว่าคนแบบเขาจะปากหวานอย่างคาดไม่ถึง

หลินเซี่ยกินเนื้อก่อนจะทอดถอนหายใจออกมา “เฉินเจียซิ่งไม่มีความสำนึกตัวเหมือนคุณเลยจริง ๆ”

เป็นพี่น้องเหมือนกัน แต่เฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยกลับไม่สามารถยอมรับเรื่องการเรียกขานนี้ได้ ใช้เล่ห์กลจงใจหาเรื่อง และจบลงด้วยการที่เขาแตกหักเลิกรากับหญิงสารเลวนั่น

หากเราทุกคนใจกว้างและสำนึกตัวเฉกเช่นเฉินเจียเหอ ไหนเลยจะเกิดความไม่ลงรอยระหว่างผู้คนได้?

สีหน้าของเฉินเจียเหอฉายชัดถึงความภาคภูมิใจขึ้นมาเล็ก ๆ พลางเอ่ย “ความสำนึกตัวของผมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะเทียบด้วยได้”

แม้ว่าเขาจะมองหลินเซี่ยราวกับว่าเขาอารมณ์ดี แต่เมื่อเขาคิดว่าเซี่ยเหลยจะมาถึงเมืองไห่เฉิงในวันพรุ่งนี้ เฉินเจียเหอก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับหลินเซี่ยอยู่

กลัวว่าเธอจะเครียด

เมื่อเฉินเจียเหอจัดการเก็ยกวาดอาหารที่เหลือบนโต๊ะเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ล้างมือ แล้วเดินเข้ามากอดเธอ พร้อมเอ่ยถามอย่างระมัดระวังและนุ่มนวล “เซี่ยเซี่ย พรุ่งนี้… พวกสหายเซี่ยเหลยอาจจะมาถึงที่นี่ ตอนนี้คุณอยู่ในอารมณ์ไหน?”

หลินเซี่ยชำเลืองมองผู้เป็นสามี น้ำเสียงของเธอดูผ่อนคลาย “ฉันไม่อยู่ในอารมณ์ไหนทั้งนั้นค่ะ มาถึงแล้วก็แค่พบกัน แต่เขาเองความจำเสื่อม ถึงพบหน้ากันก็ไม่รู้จักฉันอยู่ดี พอลองคิด ๆ ดูแล้วก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าเซี่ยไห่จะแนะนำว่าพวกเราเป็นอะไรกัน”

หากเซี่ยไห่แนะนำเธอให้รู้จักกับเซี่ยเหลยในฐานะลูกสาวโดยตรง เซี่ยเหลยคงจะตกใจมาก

“อย่าเครียดไปเลยครับ เซี่ยไห่ต้องมีวิธีการที่ดี”

เฉินเจียเหอเอ่ยปลอบโยนหลินเซี่ย ทว่าจริง ๆ แล้วภายในใจเขากลับรู้สึกกังวลมากกว่า

เซี่ยเหลยเป็นแบบอย่างที่ดีและบรรทัดฐานของกลุ่มเขา เมื่อครั้งอยู่ในกองทัพ ทุกครั้งที่มีการจัดการสัมมนาเรียนรู้ ผู้นำมักจะกล่าวถึงความเสียสละและการมีอุทิศตนของสหายเซี่ยเหลยในการสู้รบป้องกันชายแดนอยู่เสมอ

เซี่ยเหลยนั้นเป็นเหมือนพระเจ้าในสายตาของพวกเขา

มาตอนนี้ พระเจ้าที่อยู่ในใจองค์นั้นกลับกลายมาเป็นพ่อตา

แม้เขาจะสูญเสียความทรงจำและไม่รู้จักหลินเซี่ย หรือบางทีอาจจะจดจำแม่ยายของเขาไม่ได้ แต่เฉินเจียเหอก็ยังคงรู้สึกวิตก

เซี่ยเหลยจะพึงพอใจในตัวเขาไหม?

หากความทรงจำของเขาฟื้นคืน หรือหากผลตรวจพิสูจน์ความเป็นบิดาออกมา เขาจะยอมรับตนเป็นลูกเขยหรือไม่?

ดูเหมือนว่าหลินเซี่ยจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเฉินเจียเหอเช่นกัน เธอบีบแก้มของเฉินเจียเหอเบา ๆ “มีใบหน้าที่หล่อเหลาขนาดนี้ จะเครียดเกร็งไปทำไมกัน?”

เธอหัวเราะ “ฉันไม่ได้กังวลเลย แล้วคุณกังวลเองจะกังวลทำไมล่ะคะ?”

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับหญิงสาวเมื่อได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ปรากฏบนใบหน้าของเฉินเจียเหอเป็นครั้งแรก

แน่นอนว่ามันยังเป็นการยืนยันถึงความเคารพนับถือที่เฉินเจียเหอมีต่อเซี่ยเหลยอีกด้วย

ในใจของเฉินเจียเหอ เซี่ยเหลยคงเป็นแบบอย่างของเขาสินะ

ด้วยเหตุนี้จึงให้ความสำคัญกับทัศนะที่เซี่ยเหลยมีต่อตัวเองเป็นพิเศษ

เฉินเจียเหอหรี่ตาลง พลางเอ่ยอย่างหงอย ๆ “ผมกลัวว่าพวกเขาจะรังเกียจผม”

หลินเซี่ยได้ยินดังนั้น ก็มองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจแล้วถามว่า “รังเกียจอะไรคุณกันล่ะ? คุณเองเป็นคนสร้างรถไฟไม่ใช่เหรอคะ? ใครที่ไหนจะรังเกียจคุณได้?”

เฉินเจียเหอเอ่ยว่า “ผมอายุมากกว่าคุณหลายปี”

หลินเซี่ย “….”

“ฮ่าๆ” หลินเซี่ยหยิกใบหน้าหล่อเหลาของเขา ก่อนจะจูบลงที่มุมริมฝีปากของชายหนุ่ม “ไม่หรอกค่ะ แค่ฉันรักคุณก็พอแล้ว คนอื่นจะมีความคิดเห็นอะไร ฉันจะทำเงียบไปเอง”

“อีกอย่าง มันก็ไม่ได้มากขนาดนั้น”

“ไม่มากจริง ๆ เหรอ?”

“ไม่มากเลยค่ะ”

ในฐานะผู้ชายที่แต่งงานแล้ว จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าถ้อยคำของเธอไม่ค่อยรื่นหูเท่าไหร่นัก

ทำไมไม่มากแล้วล่ะ?

เมื่อจิตใจเริ่มคิดชั่วร้าย ร่างกายก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบในลักษณะที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมาไม่ได้เสียอย่างนั้น

ชายหนุ่มเข้ามาจูบเธอ ทว่าหลินเซี่ยรีบผลักหน้าของเขาออกไป

“คุณอย่ามาลามปามนะ ฉันยังมีเรื่องต้องจัดการอีก”

หลินเซี่ยผละตัวหลุดออกจากอ้อมแขนของเขาและเอ่ยว่า “คุณช่วยฉันหน่อยสิคะ ที่โรงงานยานยนต์ของคุณมีเครื่องจักรประเภทที่สามารถผลิตและขัดเงากรรไกรบ้างไหม? ฉันอยากให้คุณช่วยทำกรรไกรตัดผมให้ฉันสักสองสามอัน”

เฉินเจียเหอสะกดกลั้นความร้อนรุ่มในร่างกายของตัวเองแล้ว แล้วนั่งตัวตรงพลางเอ่ยถามเธอ

“ทำกรรไกรเหรอ? ไม่มีแบบสำเร็จรูปให้ซื้อเหรอครับ”

กรรไกรทั้งหมดนั้นผลิดโดยโรงงานทำกรรไกร

“แบบที่ฉันอยากได้มันไม่มีขายค่ะ”

เฉินเจียเหอถามว่า “มีตัวอย่างไหม?”

“เดี๋ยวฉันจะวาดแบบให้คุณ”

หลินเซี่ยหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมา จากนั้นจึงวาดแบบกรรไกรที่เธอต้องการ

ก่อนจะนำแบบพิมพ์เขียวที่บิดเบี้ยวส่งให้เฉินเจียเหอ และอธิบายว่า “คุณดูนะ นี่คือกรรไกรซอยผม เวลาที่ผลิดมันขึ้นมา คุณต้องใส่ใจกับซี่ฟันนี้ของมัน ฉันวาดไว้สองแบบ แบบหนึ่งเป็นปากแบน หนึ่งแบบซี่รูปตัววี โดยตรงใบมีดนี้จะมีร่อง หลักการคือปล่อยผมไว้ตามสัดส่วนของร่องฟัน และใบมีดนั้นจะตัดผมที่อยู่ในร่องนั้นออก ทำให้ผมที่อยู่ข้างนอกร่องหลุดออกไปตามธรรมชาติ มีเพื่อทำให้ผมบางลง”

“กรรไกรซอยผมนี้อาจต้องใช้เครื่องขัดที่ละเอียดมาก ความกว้างของแต่ละร่องคือสามถึงห้ามิลลิเมตร พวกคุณช่วยทำขึ้นมาหน่อยได้ไหม?”

เฉินเจียเหอติดตามภาพวาดบูดเบี้ยวไม่ชัดเจนของเธอ แล้วจึงวาดภาพแบบมืออาชีพออกมาอีกครั้ง

หลินเซี่ยกระโดดลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ใช่ ใช่แล้ว แบบนี้แหละ”

เฉินเจียเหอเอ่ย “ผมจะลองดู ชิ้นส่วนของรถไฟนั้นละเอียดอ่อนและประณีตอย่างมาก สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่น่าจะเป็นปัญหา ไว้ผมจะหาคนมาจัดการให้”

เมื่อเป็นความต้องการของภรรยาของเขา แม้ว่าจะยากลำบาก เขาก็จะหาทางเอาชนะให้ได้

“ถ้าอย่างนั้นให้เขาทำกรรไกรปากแบนให้ฉันอีกอันตามขนาดที่ฉันเขียนให้ไป เป็นกรรไกรรูปตัวเอแบบนี้”

ก่อนที่หลินเซี่ยจะวาดกรรไกรรูปตัวเอขึ้นมาอีกหนึ่งแบบ

ได้ครับ”

เฉินเจียเหอมองดูมัน ก่อนจะวาดแบบร่างขึ้นมาใหม่ จากนั้นจึงเก็บแบบร่างให้เรียบร้อย

หลังจากจัดการเก็บแบบร่างแล้ว ชายหนุ่มก็อ้าแขนออก “มานี่สิ”

หลินเซี่ยกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของสามีอย่างว่าง่าย

เฉินเจียเหอลูบจมูกของเธอ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยพลางมองเธอด้วยสายตาสงสัย “คุณรู้จักกลไกมากขนาดนี้ได้อย่างไร?”

หลินเซี่ยเอียงศีรษะมองเขาพลางเอ่ย “หากฉันต้องการใช้อะไร แน่นอนว่าฉันต้องศึกษามัน”

“แต่เรื่องที่คุณไม่ได้ใช้ คุณก็เข้าใจนะ”

หลินเซี่ยรู้ว่าเขาหมายถึงภาพวาดของเครื่องจักรกลการเกษตรเหล่านั้นที่เธอร่างให้โจวเจี้ยนกั๋ว หญิงสาวจึงแก้ตัวว่า

“แบบร่างพวกนั้นที่ฉันให้คุณน้าไปเพราะฉันเคยได้ยินหลิวจื้อหมิงและเสิ่นเถี่ยจวินพูดคุยกันเรื่องเครื่องจักร หลังจากได้ฟังมาบ้าง ฉันก็ได้ไปเห็นเครื่องมือการเกษตรแบบดั้งเดิมในชนบท ซึ่งนั่นทำให้ฉันมีแรงบันดาลใจ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ อารมณ์ของชายหนุ่มที่โอบกอดเธอไว้ก็เปลี่ยนไปโดยพลัน แขนของเขาโอบแน่นรอบตัวเธอ

“คุณเป็นอะไรเนี่ย?” หลินเซี่ยถามอย่างสงสัย

เฉินเจียเหอ “หึง”

หลินเซี่ยจึงตระหนักย้อนกลับไปว่าเธอเพิ่งเอ่ยชื่อของหลิวจื้อหมิงขึ้นมา

หญิงสาวอยากจะตบปากตัวเองเสียจริง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น่ารักหนุงหนิงมากเลยคู่นี้ เซี่ยเซี่ยอยากได้อะไรพี่เหอก็ทำให้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 285 เลี้ยงลูกให้ศัตรูหัวใจ

ตอนที่ 285 เลี้ยงลูกให้ศัตรูหัวใจ

หลินเซี่ยดึงแขนเซี่ยไห่ด้วยความตกใจ “คุณจะทำอะไรน่ะ?”

เซี่ยไห่หันกลับมามองหลินเซี่ยอย่างจริงจัง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าหนักแน่น “เซี่ยเซี่ย ถึงเธอจะยังไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพ่อลูกกับเขา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ใช่ของปลอม วันนี้ก็บอกให้รู้กันไปเลยสิ ขืนพวกเขาเห็นว่าเธอหัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีครอบครัว พวกเขาก็จะรังแกเธออีก”

หลังได้ยินว่าผู้เฒ่าเสิ่นและคนอื่นต่างดูถูกและตำหนิหลินเซี่ยหลายครั้ง เซี่ยไห่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ และโกรธอีกฝ่ายมาก

ในฐานะอาของหลินเซี่ย เขาต้องการปกป้องเธออย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ต้องการประกาศความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินเซี่ยในวันนี้

เซี่ยไห่รู้ว่าหลินเซี่ยมีเหตุผล และหวังว่าเขาจะชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนบอกความจริงกับทุกคน แต่ก็ต้องการระบายความโกรธต่อหน้าตระกูลเสิ่นในวันนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

เฉินเจียเหอไปอยู่ข้างหลินเซี่ยแล้วกระซิบว่า “เซี่ยเซี่ย ไม่ต้องกังวลหรอก เหล่าเซี่ยคิดดีแล้ว”

มีเฉินเจียเหอออกตัวเห็นด้วย เซี่ยไห่จึงเกิดความกล้าหาญมากขึ้น เขาเผชิญหน้ากับทุกคน และพูดเข้าประเด็นทันที “เซี่ยเซี่ยเป็นลูกสาวของเซี่ยเหลย พี่ใหญ่ของผม ดังนั้นหล่อนจึงถือเป็นหลานสาวของผมด้วย”

คำพูดของเซี่ยไห่ราวกับเสียงอสนีบาต สั่นสะเทือนหัวใจของทุกคนที่อยู่ตรงนี้

โดยเฉพาะเซี่ยหลาน

หล่อนมองไปทางเซี่ยไห่อย่างว่างเปล่า จากนั้นหันไปมองหลินเซี่ย ยืนนิ่งราวกับทั้งร่างถูกฟ้าผ่าเฉียบพลัน

เซี่ยตงเองก็จับจ้องไปยังเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แล้วพูดว่า

“เซี่ยไห่ นายกำลังพูดเรื่องอะไร?”

เซี่ยไห่ไม่สนใจเซี่ยตง เขาเดินไปหาเซี่ยหลานและผู้เฒ่าเซี่ยแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม

“ลุงเซี่ย พี่เซี่ยหลาน เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของพี่ใหญ่ผมจริง ๆ ตอนนั้นสถานการณ์ความเป็นไปค่อนข้างซับซ้อน แต่เอาไว้ผมจะหาเวลามาพูดคุยกับพวกคุณโดยละเอียด ครอบครัวเซี่ยของเรารู้สึกขอบคุณมากที่พวกคุณดูแลหลินเซี่ยเป็นอย่างดีมาตลอดหลายปี”

เซี่ยหลานไม่เชื่อคำพูดของเซี่ยไห่เลย หล่อนมองเซี่ยไห่อย่างว่างเปล่าและส่ายหน้าซ้ำ ๆ “นายคงเข้าใจผิดแล้ว พี่ชายของนายจะไปมีลูกสาวได้ยังไง เขาเข้าร่วมกับกองทัพได้ไม่นานก็ออกไปที่สนามรบแล้ว นายเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าหล่อนเป็นลูกสาวของเขา แค่เพราะหล่อนหน้าเหมือนเซี่ยอวี่อย่างนั้นเหรอ? ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนสองคนซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจะมีลักษณะภายนอกที่เหมือนกัน”

เซี่ยหลานไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ แต่เซี่ยไห่กลับพูดอย่างหนักแน่น แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการบอกความจริงให้เซี่ยหลานรู้ออกจะโหดร้ายไปสักหน่อย แต่เขาก็ยังคงอธิบาย

“เปล่าเลย พี่เซี่ยหลาน พี่ใหญ่ของผมมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่งตอนที่เขาเข้าร่วมกับกองทัพนั่นแหละ”

เซี่ยเหลยไปหลงรักสาวนอกค่ายทหารงั้นเหรอ?

ดวงตาของเซี่ยหลานเบิกกว้าง ถามอย่างไม่แน่นอน “นายกำลังจะบอกว่าเขากับหลิวกุ้ยอิง?”

“ใช่”

หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่าเมื่อเซี่ยไห่พูดคำเหล่านี้จบ เซี่ยหลานก็เริ่มยืนโซเซไม่มั่นคง

เธอรู้ว่าเซี่ยหลานต้องมีอารมณ์ที่ซับซ้อนมากแน่เมื่อได้ยินข่าวดังกล่าว

เสิ่นเถี่ยจวินซึ่งถูกเซี่ยตงชกหน้าจนล้มไปกองอยู่กับพื้น หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ เขาก็จ้องมองไปทางหลินเซี่ยด้วยสายตาที่สามารถฆ่าคนได้

เขากำหมัดแน่น ก่อนจะชกมันลงกับพื้นสองครั้ง

ระยำเอ๊ย!

เขาเลี้ยงดูลูกสาวของเซี่ยเหลยจริง ๆ

นี่มันบัดซบสิ้นดี

มันคือเรื่องตลกครั้งใหญ่ที่พระเจ้าเล่นกลกับเขา

เขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าของหลินเซี่ย หัวใจของเขาก็จมดิ่งลงอีกครั้ง

เสิ่นเถี่ยจวินเอาแต่โทษตัวเองด้วยความหงุดหงิดโกรธเกรี้ยว

ทำไมเขาถึงไม่เคยสงสัยเรื่องนี้ตั้งแต่แรก?

หลายปีที่ผ่านมา เขาสงสัยมาตลอดว่าตัวเองแค่อุ้มเด็กกลับมาผิดคน หรือไม่ก็แค่โชคร้ายไปเจอคนหน้าเหมือน

เขาไม่เคยคิดฝันว่าผู้หญิงแม่ลูกอ่อนที่เขาไม่รู้จักมักจี่ในโรงพยาบาลศูนย์สุขภาพจะเป็นผู้หญิงของเซี่ยเหลย

ถ้าเขารู้ความจริงตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เขาคงบีบคอเด็กจนตายคามือไปแล้ว

เซี่ยไห่ออกปากประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้ว หลินเซี่ยก็ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านอีก เธอมองไปทางชายซึ่งกำลังตีอกชกหัวตัวเองอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “พวกเราตั้งใจพูดเรื่องพวกนี้ในวันนี้ ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่ฉัน หล่อนไม่ได้เป็นคนที่ทำให้เรื่องในตอนนั้นเกิดขึ้น แต่เป็นคุณต่างหาก เสิ่นเถี่ยจวิน”

หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็หันไปพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกับเสิ่นอวี้อิ๋งซึ่งมีใบหน้าเป็นสีคล้ำเหมือนตับหมู

“เสิ่นอวี้อิ๋ง ทุกความคับข้องใจย่อมมีที่มา หนี้ทุกก้อนมีเจ้าของ อีกหน่อยก็ช่วยหาคนที่แกร่งกว่ามาตอบโต้ฉันแล้วกัน อย่าได้คิดมายุ่งวุ่นวายหรือกลั่นแกล้งพวกเราอีก ฉันหลินเซี่ยไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่จะยอมให้เธอมาบีบเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ”

ใบหน้าที่ซื่อใสไร้เดียงสาของเสิ่นอวี้อิ๋งไม่เพียงเจือความตกใจเท่านั้น แต่ยังมีน้ำตาสองหยดไหลรินลงมาอีกด้วย

หล่อนถามเสิ่นเถี่ยจวินเสียงเศร้า “พ่อ พ่อเป็นคนทำจริง ๆ เหรอคะ?”

เสิ่นเถี่ยจวินพยายามลุกขึ้นยืนและรีบอธิบายให้ลูกสาวของเขาฟังว่า “อวี้อิ๋งง พ่อไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นจริง ๆ ลูกต้องเชื่อพ่อ พ่อไม่ได้จงใจทำ พ่อจะเอาเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาแทนที่ลูกสาวของตัวเองได้ยังไง?”

เซี่ยไห่เข้ามาแทรกแซงในเวลาที่เหมาะสม “แหงสิ ถ้านายเชื่อใจพี่เซี่ยหลานอย่างไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่แรก นายคงไม่ตัดสินใจอย่างผิดพลาดจนก่อให้เกิดหายนะตามมาภายหลังแน่ นายทำตัวไร้ความเป็นลูกผู้ชายแบบนั้นลงไปแท้ ๆ ตอนนี้ยังมีหน้ามาแก้ตัวว่าไม่ได้ตั้งใจอีก”

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะโว้ย” เสิ่นเถี่ยจวินอยากบีบคอเซี่ยไห่ให้ตาย

เมื่อเรื่องต่าง ๆ ดำเนินมาถึงจุดนี้ ทุกคนจึงเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเสิ่นเถี่ยจวินได้อย่างชัดเจน คำแก้ตัวของเขาช่างไร้น้ำหนักมารองรับ คนตระกูลเซี่ยไม่ใช่คนโง่ ไม่มีใครเชื่อว่าพฤติกรรมของเขาในตอนนั้นเป็นเพียงเหตุสุดวิสัยจากความประมาท

เซี่ยตงเริ่มออกปากขับไล่ผู้คน “เอาล่ะ ใครก็ตามที่ใช้แซ่เสิ่น ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ”

พอเซี่ยตงพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็มองผ่านไปที่เสิ่นอวี้อิ๋งด้วย

หัวใจของเสิ่นอวี้อิ๋งเต้นรัว หล่อนรีบเข้าไปคว้าแขนของเซี่ยหลานแล้วมองหน้าอีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร “แม่คะ…”

“กลับไปกับพ่อก่อนเถอะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยหลานแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งก็กัดริมฝีปากแล้วยืนยันคำเดิม “แม่ ฉันยังอยากอยู่กับแม่”

เซี่ยหลานกลับมีท่าทางเฉยเมยอย่างยิ่ง “กลับไปเถอะ แม่ยังต้องดูแลน้องชายของลูก”

“พวกคุณออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ อย่ากดดันให้ผมต้องใช้ความรุนแรง” เซี่ยตงเอ่ยย้ำ

เสิ่นเถี่ยจวินกลัวว่าตัวเองจะถูกทุบตีอีก กระทั่งผู้เฒ่าเสิ่นก็ไม่ได้รับการไว้หน้าแม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโส สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง

เสิ่นอวี้อิ๋งเดินไปหาผู้เฒ่าเซี่ย ร้องไห้โฮพลางพูดว่า “คุณตา คุณตาจะยอมปล่อยให้เรื่องมันมาถึงขั้นนี้จริง ๆ เหรอคะ? ชีวิตฉันต้องเผชิญกับความยากลำบากมากแล้ว อย่าปล่อยให้พ่อแม่หย่ากันเลย ฉันไม่อยากเห็นพวกเขาแยกกันอยู่ทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองได้ไม่นาน”

“เธอก็ไปมีชีวิตของตัวเองซะ ปล่อยให้พี่สาวฉันได้มีชีวิตของหล่อนบ้าง” ทัศนคติของเซี่ยตงที่มีต่อเสิ่นอวี้อิ๋งนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง “เธออายุตั้งยี่สิบแล้ว ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองเลยหรือไง?”

ครั้งแรกที่เสิ่นอวี้อิ๋งเข้ามาที่ไห่เฉิง หล่อนเอาแต่พูดเรื่องโกหกเพื่อทำให้ตระกูลหลินแปดเปื้อน บอกว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของหล่อนทั้งน่าสงสารและน่าสังเวช จนทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาญาติ ๆ ตระกูลเซี่ยฟังแล้วต่างเห็นใจและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่หล่อนต้องพบเจอตลอด ทุกคนต่างมอบความเอาใจใส่ให้หล่อนเป็นอย่างมาก และมอบความอบอุ่นให้หล่อนด้วยหัวใจ ผู้เฒ่าเซี่ยถึงกับละเมิดอุดมการณ์ของตัวเอง ใช้เส้นสายของเขาเพื่อส่งเสิ่นอวี้อิ๋งเข้าเรียนปรับพื้นฐานซ้ำในโรงเรียนที่ดีที่สุดอย่างโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่ง

ต่อมาพวกเขาก็ได้รับรู้ข้อมูลจากหลายช่องทาง ว่าข้อเท็จจริงนั้นแตกต่างจากที่เสิ่นอวี้อิ๋งอธิบายไว้อย่างมาก

หมอแผนจีนเย่เล่าให้พวกเขาฟังด้วยตัวเองว่า หลินต้าฝูยอมเดินขึ้นภูเขาฝ่าพายุหิมะเพื่อตามเขามาช่วยชีวิตเสิ่นอวี้อิ๋ง ทั้งยังใช้ความพยายามติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีในการรักษาหล่อนให้กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงดี ทำให้ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตั้งแต่นั้นมา

ถ้าไม่ใช่เพราะหลินต้าฝูมีจิตสำนึกความเป็นพ่อที่สูงส่ง ชีวิตของเสิ่นอวี้อิ๋งคงสูญสลายไปนานแล้ว

ต่อให้ตระกูลหลินจะมาจากชนบท แต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติต่อเธอไม่ดีเลย

การแสดงออกต่าง ๆ ของเสิ่นอวี้อิ๋งก็ชวนให้พวกเขาคิดตั้งข้อกังขาเช่นกัน

เมื่อก่อนหลินเซี่ยอาจจะโง่ แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาเชื่อในตัวเธอก็คือการอยู่กับความเป็นจริงและไม่เสแสร้ง

ตระกูลเซี่ยให้เกียรติและให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของมนุษย์มากที่สุด

ดังนั้นหลังจากรู้ว่าเสิ่นอวี้อิ๋งโกหก พวกเขาก็เริ่มไม่พึงพอใจในตัวเสิ่นอวี้อิ๋ง

เซี่ยตงเริ่มตั้งแง่ว่าหล่อนอาจจะได้เลือดชั่วจากทางตระกูลเสิ่นมา ทำให้เป็นคนใจร้าย เนรคุณ และเห็นแก่ตัว

เสิ่นเสี่ยวเหมยจับมือเสิ่นอวี้อิ๋งไว้แล้วพูดว่า

“อวี้อิ๋ง ไป กลับบ้านเรากันเถอะ ถึงตระกูลเซี่ยจะไม่ยอมรับเธอ แต่พวกเรายังเป็นญาติของเธอนะ”

เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปทางเซี่ยหลาน อ้อยอิ่งไม่ยอมจากไปง่าย ๆ

หล่อนรู้ดีว่าการตัดสินใจเลือกในเวลานี้สำคัญกับตัวเองเพียงใด

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหล่อนกังวลมากเกินไปหรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น จู่ ๆ หล่อนก็ยกมือขึ้นปิดปาก และแสดงท่าทางเหมือนจะอาเจียน

ผู้เฒ่าเสิ่นมองดูหล่อนอย่างเป็นเห็นใจ จากนั้นมองหน้าเซี่ยหลานและคนอื่น ๆ ด้วยความโกรธ “เห็นไหมว่าเด็กแบกรับความกดดันไม่ไหวแล้ว”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โดนของย้อนเข้าตัวรู้สึกยังไงบ้างคะผอ.เสิ่น เห็นหรือยังล่ะว่าเวรกรรมมีจริง

ยัยอวี้อิ๋งกดดันหรือท้องกันแน่?

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท