ตอนที่ 298 ไปหาพ่อ
ตอนที่ 298 ไปหาพ่อ
เมื่อเซี่ยอวี่ออกไปจากห้องเต้นรำ เจียงอวี่เฟยก็ถามด้วยความสงสัย “นั่นใครเหรอ? ออร่าจับมากเลย แถมยังดูทันสมัยมาก ๆ ด้วย”
“อาหญิงฉันเอง” หลินเซี่ยตอบอย่างเฉยเมย
“อาหญิงเธอเหรอ? จากครอบครัวฝั่งไหนเนี่ย?”
มีหลายชื่อสกุลแวบขึ้นมาในใจของเจียงอวี่เฟย
ตระกูลเสิ่น? ตระกูลหลิน? หรือเป็นผู้หญิงจากทางฝั่งของเฉินเจียเหอ?
“จากตระกูลเซี่ยน่ะ”
“ตระกูลเซี่ย?” เมื่อได้ยินคำตอบ เจียงอวี่เฟยมองหน้าเธอด้วยความสงสัย “เธอมีญาติสกุลเซี่ยด้วยเหรอ?”
“เอาล่ะ ไปทำหน้าที่ของตัวเองก่อน แล้วฉันจะเล่าให้ฟังหลังเสร็จงาน”
หลินเซี่ยยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมา แลดูเหมือนช่างส่วนตัวของเจียงอวี่เฟยไม่มีผิด
หลังจากมาถึงจุดเตรียมตัว ผู้รับผิดชอบงานก็เริ่มขานชื่อตามหมายเลขแล้ว
หมายเลขของเจียงอวี่เฟยอยู่ลำดับต้น ๆ วันนี้ไม่เพียงแต่จะมีการแสดงชุดว่ายน้ำเท่านั้น ยังมีรอบชุดราตรีด้วย
เมื่อแต่งหน้าทำผม เปลี่ยนเสื้อผ้า สวมเสื้อคลุมทับเสร็จแล้ว ทุกคนจะต้องมารอหลังเวทีก่อนขึ้นแสดง
เป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานแบบนี้ สตาฟของงานต่างดูเร่งรีบ หลังเวทีก็วุ่นวายมาก พวกเขาจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นป้ายชื่อ ใบลงทะเบียนไม่ตรงกัน และอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลินเซี่ยนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เธอคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้มีส่วนร่วมอยู่หลังเวทีการประกวดนางแบบครั้งแรก และยังได้เห็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์
เพราะนอกเหนือจากการประกวดนี้แล้ว ภายนอกยังมีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ มากมาย ผู้ชมหลายคนต่างมีความเห็นต่างกัน ในเวลานี้เลยยังไม่มีการเปิดให้คนนอกเข้าชม แต่ถ้าเป็นญาติหรือพี่น้องผู้เข้าประกวดจะสามารถเข้ามานั่งรอชมได้
หลังจากผู้เข้าประกวดมารวมตัวกัน และกรรมการต่างมาประจำที่แล้ว พิธีกรจะขึ้นมาบนเวทีและเริ่มดำเนินรายการ
แม้ไฟบนเวทีจะไม่หวือหวาและสวยงามเหมือนสมัยใหม่ แต่ก็เรียบง่ายและดูดีไม่น้อย ให้ความรู้สึกถึงยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนไป
หลินเซี่ยยืนอยู่ด้านล่างด้วยความตื่นเต้นและเป็นกังวล
เธอเห็นว่าในบรรดากรรมการมีดารารุ่นเก่าซึ่งทำงานในวงการบันเทิงมาหลายชั่วอายุคนอยู่ด้วย
เมื่อการแสดงชุดว่ายน้ำเริ่มขึ้น ผู้เข้าประกวดเดินขึ้นเวที ผู้ชมด้านล่างต่างส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
คาดไม่ถึงหวังว่าจะมีการเปิดเผยเนื้อหนังขนาดนี้
ขณะกล้องกำลังบันทึก สีหน้าของญาติ พี่น้อง และเพื่อนบางคนดูเคร่งขรึมขึ้น
แต่งกายแบบนี้ออกทีวี แล้วยังมีคนดูเกือบทั้งประเทศ มันไม่ผิดธรรมเนียมประเพณีไปหน่อยเหรอ?
ความอับอายขายหน้าทั้งหมดเหมือนถูกโยนเข้าหน้าบ้านคุณยาย
คนที่สงบที่สุดในบรรดาฝูงชนตอนนี้มีแค่หลินเซี่ย
สิ่งเดียวที่เธอกังวลคือ เจียงอวี่เฟยอาจประหม่าจนเผลอทำผิดพลาดบนเวที
ผู้เข้าประกวดหลายคนต่างกังวลกับโชว์ชุดว่ายน้ำของการประกวดครั้งแรกนี้ แม้รูปร่างหน้าตาพวกเธอจะดูโดดเด่นกันมาก แต่กลับสูญเสียความมั่นใจเพราะแต่งตัวแบบนี้ขึ้นเวที ขณะนั้นผู้เข้าประกวดคนหนึ่งถึงกับยกมือปิดหน้าเมื่อสปอตไลท์ส่องมากระทบหน้า หล่อนรีบกุมหน้าอกเอาไว้ ก่อนหันหลังกลับแล้ววิ่งมาข้างหลังเวทีด้วยความแตกตื่น
เมื่อถึงตาเจียงอวี่เฟยขึ้นเวที ดวงตาของเหล่ากรรมการก็สว่างวาบ
“สาวน้อยคนนี้ดูดีมาก รูปร่างกับบุคลิกโดดเด่นใช้ได้”
“อืม รูปร่างโดยรวมดูสบายตาทีเดียว”
“แต่ละก้าวก็มั่นคง ดูมั่นใจ และเป็นระเบียบ ตรงกับมาตรฐานการประกวดของเราหมดเลย”
เนื่องจากการประกวดนี้จะมีการออกอากาศทางโทรทัศน์ ทางผู้จัดงานก็พยายามอย่างหนักเช่นกันเพื่อประคับประคอง ถ้าผู้เข้าประกวดถอนตัว เกรงว่าจะไม่มีงานครั้งที่สองเกิดขึ้นเป็นแน่
เจียงอวี่เฟยเป็นที่สะดุดตาที่สุดในบรรดาผู้เข้าประกวดบนเวที หลินเซี่ยยืนอยู่ด้านล่างพร้อมกับรอยยิ้มที่มีความสุขจนล้นอก
ช่างเป็นเด็กที่สอนได้จริง ๆ
หลังจากเจียงอวี่เฟยก้าวลงเวที หลินเซี่ยก็รีบสวมเสื้อคลุมให้หล่อนทันที
“เป็นไงบ้าง? ฉันกังวลไปหมดเลย”
หลินเซี่ยยกนิ้วให้เธอ “เยี่ยมยอดมาก”
หล่อนยกมือทาบอกและหายใจเข้าลึก “จริงเหรอ? งั้นฉันก็โล่งใจแล้วล่ะ พอผู้หญิงข้างหน้าวิ่งกลับเข้ามา ฉันก็อดตัวสั่นไม่ได้ โชคดีที่การแสดงจบลงอย่างราบรื่น”
“ไปพักผ่อนหลังเวทีกันเถอะ เดี๋ยวจะมีโชว์ชุดราตรีต่อ เราต้องจัดแต่งทรงผมกันใหม่สักหน่อย”
ทั้งสองหาที่นั่ง เจียงอวี่เฟยสวมเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ ประสานมือแล้วอธิษฐานว่า “ตอนนี้ขอให้พ่อไม่เห็นฉันขึ้นเวทีวันนี้ด้วยเถิด ไม่อย่างนั้นพ่อได้หักขาฉันทิ้งแน่
ในวันที่รายการออกอากาศ อย่าให้เขาดูทีวีหรืออ่านหนังสือพิมพ์เลย ยังไงก็เถอะ เธอใช้ชื่ออื่นอยู่แล้ว ต่อให้เขามาถามก็ไม่ต้องยอมรับ”
ขณะที่เธอพึมพำ หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาคว้าแขนหญิงสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ทันมีเวลาให้แต่งตัว แล้วเดินออกไป “ฉันไม่ให้แกประกวดอะไรแบบนี้ ทำตัวน่าอับอายขายขี้หน้าจริง ๆ กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย”
หญิงสาวสวมเสื้อคาร์ดิแกนตัวยาวทับชุดว่ายน้ำ หลังถูกกระชาก ทำให้เสื้อคลุมหลุดหล่นลงพื้น จึงรู้สึกอับอายมาก
หญิงสาวขึ้นเสียงด้วยความโกรธ “แม่ แม่จะไปเข้าใจอะไร นี่คือแฟชั่นและสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพของผู้หญิง แม่ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายอิสระของฉันนะ”
“แต่อิสรภาพมันไม่ใช่แต่งตัวเปลือยเปล่าและอับอายต่อหน้าคนทั้งประเทศแบบนี้ ตามฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
แม่และลูกสาวยื้อยุดฉุดกระชากกันไม่หยุด จนหลายคนที่เฝ้าดูต่างกระซิบกระซาบกัน ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้เข้าประกวดคนอื่น ๆ มาก ในที่สุดก็มีสตาฟงานเข้ามาห้ามพวกเธอแล้วพาไปที่สำนักงาน
สีหน้าของเจียงอวี่เฟยมืดมนลง เมื่อรู้สึกว่าสักวันตัวเองคงได้เปิดศึกกับเหล่าเจียง
หลินเซี่ยรู้ความคิดของหล่อนดี จึงปลอบใจด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลเลย พ่อของเธอไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นสักหน่อย”
เจียงอวี่เฟยถอนหายใจเมื่อนึกว่าถ้าเป็นตัวเองโดนแบบนั้นบ้าง “ฉันเกรงว่ามันจะเลวร้ายยิ่งกว่านั้นน่ะสิ”
“ไป ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวฉันจะแต่งหน้าให้ใหม่ รอบนี้เรารวบผมขึ้นตลอดการแสดงเลย”
เจียงอวี่เฟยปรับอารมณ์ตัวเอง เตรียมพร้อมสำหรับการประกวดรอบต่อไป
หลังจบการแสดงก็มีการประกาศผลคะแนนทันที อย่างที่คาดไว้ เจียงอวี่เฟยได้รับเลือกให้เข้าสู่รอบต่อไป
หลินเซี่ยปรบมืออย่างอบอุ่นพร้อมกับผู้ชม
การประกวดครั้งแรกนั้นมีคนเข้าร่วมไม่มาก ตราบใดที่ส่วนสูงและน้ำหนักของพวกหล่อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และแสดงออกได้เป็นอย่างดีบนเวที ก็สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้แล้ว
การประกวดจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเข้าสู่รอบรองชนะเลิศและชิงชนะเลิศ
หลังรอบแรกจบลง พิธีกรจะขานชื่อผู้เข้าประกวดที่ผ่านเข้ารอบก่อน และจัดสรรเวลากับชี้แจงรายละเอียดในรอบถัดไป
ทันทีที่ทั้งสองออกจากสถานีโทรทัศน์ หญิงร่างอ้วน ดัดผม ก็เดินบิดเอววิ่งสวนเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในเวลาที่พวกเธอเพิ่งจะเดินออกไปพอดี หล่อนถามสตาฟงานว่า “ผู้เข้าประกวดที่ชื่อเจียงเฟยเฟยไปไหนแล้ว?”
“กลับไปแล้วค่ะ” สตาฟงานยิ้มแล้วหยอกล้อว่า “พี่ฮวา ดูร้อนใจจังเลย มีอะไรกับหล่อนหรือเปล่าคะ?”
“ฉันแค่อยากจะถามว่าหล่อนแต่งหน้าทำผมกับใคร ดูเหมือนไม่เคยเห็นหล่อนในห้องแต่งตัวผู้เข้าประกวดเลย” พี่ฮวาถามต่อ “แล้วมีที่อยู่ติดต่อของหล่อนบ้างไหม?”
“เหมือนจะมีนะคะ เดี๋ยวหาให้ค่ะ”
กว่าพวกเธอจะออกจากสถานีโทรทัศน์ก็เป็นเวลาห้าโมงครึ่งแล้ว
เจียงอวี่เฟยรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ หล่อนเสนอว่า “เซี่ยเซี่ย ไปร้านอาหารกันเถอะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“นี่ก็เย็นมากแล้ว เธอกลับบ้านก่อนเถอะ ไว้ค่อยเจอกันวันพรุ่งนี้ วันนี้ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่”
“เรื่องสำคัญอะไรเหรอ?” เจียงอวี่เฟยถาม
“ไปหาพ่อน่ะ”
“หืม? พ่อคนไหน? เสิ่นเถี่ยจวินเหรอ?” เจียงอวี่เฟยถามด้วยน้ำเสียงซุบซิบ “จริงสิ ฉันได้ยินใครบางคนแถวบ้านพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ พวกเขาเล่าว่าผู้อำนวยการเสิ่นเผอิญสลับตัวเธอกับเสิ่นอวี้อิ๋งตอนเด็กมาเลี้ยงนี่เรื่องจริงไหม?“
น้ำเสียงของหลินเซี่ยเย็นชาทันที “จริง แต่ไม่ใช่เหตุบังเอิญอะไรหรอก เขาตั้งใจสลับตัวเด็กจริง ๆ”
“อะไรนะ? ตั้งใจเหรอ?” เจียงอวี่เฟยยกมือปิดปากด้วยความตกใจ
“ตกลงเรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่? พ่อของฉันบอกด้วยว่าหลิวจื้อหมิงใส่ร้ายป้าหลิวจนเธอเปิดแผงขายอาหารไม่ได้อีก พวกเธอมีเรื่องอะไรกัน?”
“ผู้อำนวยการเสิ่นก็เป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เหมือนกัน ส่วนความจริงเรื่องการสลับตัวเด็กถูกเปิดเผยแล้ว เขาเป็นคนใส่ร้ายแม่ฉัน” หลินเซี่ยมองหล่อนอย่างมีความหมาย “พอกลับไปแล้วช่วยใช้เวลาคลุกคลีกับพวกป้า ๆ ให้มากขึ้นหน่อย เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?“
เจียงอวี่เฟยเข้าใจดี “เข้าใจ”
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะ”
หลินเซี่ยกลับมาที่ร้านตัดผมด้วยความเร่งรีบ
แน่นอนว่าเซี่ยไห่ เฉินเจียเหอ และหู่จือกำลังรออยู่นานแล้ว
แถมเฉินเจียเหอยังเตรียมของขวัญเป็นพิเศษไว้ให้อีกด้วย
“ขึ้นรถกันเลย”
สามพ่อแม่ลูกนั่งอยู่เบาะหลัง หลินเซี่ยกำมือแน่นด้วยความประหม่า ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อจนชุ่ม
เธอกำลังจะได้พบกับพ่อแท้ ๆ ของตัวแองแล้ว
ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายกลับไม่รู้เลยว่าเขามีเธอเป็นลูกสาว
ดังนั้น ไม่ว่าจะตื่นเต้นหรือกดดันแค่ไหนก็ตาม เธอก็ต้องเสแสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม
เฉินเจียเหอเหลือบมองเธอแล้วเอื้อมไปจับมือเธอไว้แน่น “ไม่ต้องกังวลนะ”
“อืม” หลินเซี่ยพยายามปรับอารมณ์ตัวเอง คิดเสียว่าตัวเองแค่ไปร่วมรับประทานมื้อเย็นที่บ้านญาติตามปกติ
เมื่อรถมาถึงที่หมาย หู่จือก็กระโดดลงจากรถ
หญิงชราชำเลืองมองไปทางประตู
เมื่อเห็นพวกเขาลงจากรถ นางก็รีบเข้าไปทักทาย
“เซี่ยเซี่ย หลานสาวแสนรักของฉันมาแล้ว เหลนชายตัวน้อยก็มาด้วย”
เซี่ยไห่เตือนด้วยความหงุดหงิดว่า “แม่ ผมรู้แล้วว่าเซี่ยเซี่ยเป็นหลานสาวแสนรักของแม่ แต่ช่วยหยุดพูดเรื่องนี้ก่อนได้ไหม?”
“ฉันลืมไปเสียสนิทเลย” นางจับมือหลินเซี่ยไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และหู่จืออีกข้างหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข
เซี่ยไห่ถาม “พี่ใหญ่อยู่ไหนเหรอ?”
“พอได้ยินว่าเจียเหอจะมา เขาก็ยืนกรานว่าจะทำอาหารเอง ตอนนี้อยู่ในครัวโน่น”
หญิงชราพูดกับเฉินเจียเหอด้วยสีหน้ามีความสุขว่า “เจียเหอ ฉันขอบอกเลยนะว่าพ่อตามีความประทับใจในตัวเธอมาก พอได้ยินว่าวันนี้เธอจะพาภรรยาและลูกชายมากินมื้อเย็นด้วย เขาก็ขอให้เสี่ยวไห่พาออกไปจ่ายตลาดใกล้ ๆ ตั้งแต่ตอนบ่ายเพื่อเอาวัตถุดิบกลับมาทำอาหารด้วยตัวเอง เวลาเขาลงมือทำอาหารเอง มีแค่เฉพาะแขกพิเศษเท่านั้นนะถึงจะได้กิน ตลอดหลายปีที่อยู่ในฮ่องกง มีไม่กี่คนที่ได้ชิมรสมือของเขา”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ขอให้อวี่เฟยได้ทำงานที่รักโดยที่พ่อไม่รู้นะคะ
พี่เหลยจะจำใครได้บ้างไหมนะ
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 294 ฉันเป็นราชินีวงการภาพยนตร์ จะมีผู้ชายแบบไหนที่ไม่เคยเห็นอีก
ตอนที่ 294 ฉันเป็นราชินีวงการภาพยนตร์ จะมีผู้ชายแบบไหนที่ไม่เคยเห็นอีก
คุณแม่เซี่ยยืนอยู่ที่จัตุรัสสถานีรถไฟ มองไปยังบ้านเกิดที่ทั้งคุ้นเคยทั้งไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกันด้วยอารมณ์ซับซ้อนยากจะอธิบาย
สถานีรถไฟมีขนาดกว้างขวางกว่าที่สร้างขึ้นเมื่อราวสิบปีก่อนมาก
ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับมาแล้ว กลับบ้านมายังบ้านเกิดของตัวเอง
คุณแม่เซี่ยอดกลั้นไว้ไม่ไหวอีกแล้ว นางปาดน้ำตา ความรู้สึกต่าง ๆ ล้วนผุดขึ้นในใจ
เมื่อหญิงชราสงบลงแล้ว จึงเริ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จัตุรัสเพื่อหาใครบางคน
“เสี่ยวไห่ มีแค่ลูกกับเพื่อนที่มาเหรอ?”
เซี่ยไห่รู้ว่าแม่ของเขากำลังมองหาอะไร ชายหนุมจึงยกยิ้มพร้อมอธิบาย “มีแค่เราสองคนครับ ก็มารับคนนี่นา ถ้าคนเยอะเกินไปจะเบียดกันเข้าไปไม่ได้นะครับ รถของผมมีห้าที่นั่ง หากมีคนมามากก็นั่งกันไปไม่หมด”
“โอ้”
ในใจของหญิงชรานั้นกระวนกระวาย เมื่อไม่เห็นหลานสาว ก็อดคิดฟุ้งซ่านคิดมาไม่ได้ ทว่าจะเอ่ยถามเพิ่มเติมก็ไม่สะดวกนัก
“ไปครับ กลับบ้านแล้วค่อยพูดคุยกัน”
“เราสามคนนั่งเบาะหลังกันเถอะ”
เฉินเจียเหอรีบเปิดประตูรถให้ พวกเซี่ยอวี่จึงขึ้นรถ
จากนั้น เฉินเจียเหอจึงไปนั่งอยู่ที่เบาะหน้า
ทันทีที่เขาปิดประตูรถ เซี่ยอวี่ก็เริ่มถามคำถามมากมายกับเฉินเจียเหอ
“เฉินเจียเหอ คุณอายุเท่าไหร่?”
เฉินเจียเหอเบี่ยงกายหันไป มองดูคนที่นั่งอยู่เบาะหลังแล้วรีบเอ่ยตอบ “อายุยี่สิบเก้าปีตามหลักสากลครับ”
“งั้นก็จะสามสิบแล้ว”
เซี่ยอวี่เอ่ยถามอีก “ทำงานอะไร?”
“เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคอยู่ที่โรงงานผลิดตัวถังไห่เฉิงครับ”
“สร้างรถไฟสินะ หน้าที่การงานไม่เลวเลย” เซี่ยอวี่ถามต่อ “บ้านอยู่ที่ไหน”
“เป็นคนไห่เฉิงครับ คนท้องถิ่น”
“ได้ยินมาว่าคุณมีลูกชาย?”
เซี่ยไห่รีบเอ่ยแทรก “พี่สาว ลูกชายของเจียเหอคือหู่จือ ซึ่งเป็นลูกชายของพวกเราทุกคน เมื่อครู่เขาก็บอกแม่และพี่ใหญ่หมดแล้ว พี่ไม่ได้ยินเหรอ?”
“อ้อ เขาเป็นพ่อของหู่จือเองเหรอ บังเอิญจริง”
แม่เซี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวของนางที่ไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนมาก่อน จู่ ๆ กลับสนใจเพื่อนของเซี่ยไห่อย่างยิ่ง
ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ราวกับสำรวจสำมะโนครัว
แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่หล่อนหันมาสนใจผู้ชายสักคนเสียที
หากแต่…
แม่เซี่ยกลัวว่าหล่อนซึ่งอยู่ในแวดวงการบันเทิงจะไปทำให้ชายหนุ่มตกใจ เธอจึงเขยิบเข้าไปใกล้ ๆ และกระซิบที่ข้างหูลูกสาวว่า “ไม่ต้องถามแล้ว เขาเด็กเกินไป ไม่เหมาะสม”
เซี่ยอวี่ “???”
เซี่ยอวี่มองสายตาที่ซับซ้อนของแม่ตัวเอง ก็เข้าใจความคิดของนางทันที หญิงสาวหัวเราะออกมาเสียงดัง “แม่คะ ฉันคิดว่าเขาแก่เกินไปนะ อายุจะสามสิบปีแล้ว”
เฉินเจียเหอ “!!!”
คุณอาที่เป็นดาราคนนี้ช่างร้ายกาจ!
หญิงชราไม่คุ้นชินกับหล่อนเลยสักนิด จึงเอ่ยแทงใจขึ้นมาอย่างชัดเจน “ลูกเองอายุสี่สิบปีแล้วนะ ยังจะมาไม่ชอบอะไรอีก”
เซี่ยอวี่พูดไม่ออก
และละทิ้งคำถามต่อไปที่จะถามเฉินเจียเหอ
เซี่ยอวี่เห็นพี่ใหญ่ของหล่อนเอนกายลงบนเบาะทันทีที่เขาขึ้นรถ ดวงตาปิดสนิท ไม่รู้ว่าเขาเผลอหลับไปแล้วจริง ๆ หรือเปล่า
จึงเอ่ยถามเบา ๆ “พี่ใหญ่ หลับแล้วเหรอ?”
พี่ชายไม่ได้ส่งเสียงออกมา
“ลูกอย่าไปรบกวนพี่ใหญ่ การเดินทางอันยาวไกลและลำบากนี้ทำให้ร่างกายของพี่ใหญ่ทนไม่ไหว ปล่อยให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ ถ้าลูกไม่มีอะไรทำก็ลองดูทิวทัศน์ภายนอก ดูสิว่าเมืองไห่เฉิงเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ตอนที่เราจากไปไม่มีตึกสูงระฟ้าพวกนี้เลย ตอนนี้ก่อสร้างได้สวยมากจริง ๆ”
ลูกชายของนางไม่ได้มีความทรงจำกับเมืองนี้มากมายนัก ในขณะที่แม่เซี่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่วิวทัวทัศน์ที่กำลังถอยร่นออกไป มองไปยังภาพที่ไม่คุ้นเคย ความรู้สึกมากมายก็พลันตีตื้นขึ้นมา
เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้ว เมืองไห่เฉิงนับว่าเปลี่ยนไปมาก
ขณะที่รถกำลังแล่นไปตามถนน หญิงชราเห็นอาคารที่คุ้นเคยผ่านนอกหน้าต่างรถไป จึงถามเซี่ยไห่อย่างตื่นเต้น “เสี่ยวไห่ นั่นถนนโฮ่วฉ่างหรือเปล่า”
เซี่ยไห่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครับแม่ ยังจำถนนโฮ่วฉ่างได้อยู่เหรอครับ?”
“จำได้สิ เมื่อก่อนครอบครัวเราเคยอาศัยอยู่ที่นั่น ลูกจำได้ไหม?”
“แม่กำลังพูดถึงบ้านที่พ่ออาศัยอยู่ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ แล้วต่อมาก็ย้ายออกไปใช่ไหมครับ?”
เซี่ยไห่ชะลอความเร็วรถลงเพื่อให้หญิงชรามองมันสักพัก
“ที่นั่นดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปเลยนะ?”
เซี่ยไห่พยักหน้า “ไม่เปลี่ยนครับ ตรอกเก่า รวมถึงบ้านเก่าพวกนั้นก็ยังไม่ถูกรื้อถอน”
“เสี่ยวเหลย ลูกรีบดูสิ นี่คือที่ที่เราเคยอยู่เมื่อก่อน” หญิงชราเขย่าตัวลูกชายที่หลับตาอยู่
เซี่ยเหลยลืมตาขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ดวงตาอันเย็นยะเยือกราวสระน้ำเย็นเต็มไปด้วยความสับสน “ผมไม่ค่อยมีภาพความทรงจำเท่าไหร่”
เซี่ยอวี่นั้นตื่นเต้นอย่างยิ่ง หญิงสาวหวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตมากมาย
เซี่ยไห่เห็นมองผ่านกระจกมองหลังเห็นว่าพี่ใหญ่ของเขาหลับตาอยู่ คาดว่าคงอยู่ในอาการง่วงนอน จึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่ครับ พี่สาวอิงจื่อของผมก็อาศัยอยู่ที่นี่ ไว้ผมจะพาไปเดินเล่นที่นั่นสักวันหนึ่ง”
“อิงจื่อ? ลูกบอกว่าอิงจื่ออาศัยอยู่ที่นี่หรือ?” น้ำเสียงของแม่เซี่ยพลันขึ้นสูงด้วยความตื่นเต้น
เซี่ยอวี่ขยิบตาให้หล่อน หญิงชราจึงรีบเก็บอาการ
นางควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก่อนกระซิบถาม “แล้วเซี่ยเซี่ยล่ะ?”
“เซี่ยเซี่ยแต่งงานแล้วครับ ไม่ได้อยู่ที่นี่”
เซี่ยไห่เอ่ยเตือน “แม่ครับ ไหน ๆ แม่ก็ถามถึงเซี่ยเซี่ยแล้ว อย่างนั้นเราก็มาคุยเรื่องนี้กันดี ๆ เถอะ แม่จะแสดงอาการตื่นเต้นออกมาตั้งแต่พบหล่อนไม่ได้นะครับ ไม่อย่างนั้น… แม่คงเข้าใจนะ”
เขาส่งสายตาบอกใบ้ไปทางพี่ใหญ่ที่กำลังหลับตาหลับสนิท
หญิงชราเองก็เข้าใจ “เข้าใจแล้ว แม่ไม่ตื่นเต้นหรอก”
อย่างไรเสีย เพียงแค่ไม่พูดออกมาตรง ๆ ลูกชายคนโตของนางล้วนแล้วแต่ไม่เคยคิดสนใจผู้คนและสิ่งที่พวกเขาพูดถึง
เฉินเจียเหอเอียงกายหันไปด้านข้าง มองไปยังคนที่อยู่เบาะหลัง แล้วเอ่ยแนะนำตัวกับพวกเขาอย่างจริงจัง
“คุณยาย ผมลืมแนะนำตัวเอง ผมคือสามีของเซี่ยเซี่ยครับ”
เมื่อพบกับแววตาที่จริงใจของเฉินเจียเหอ หญิงชราก็ชะงักงัน พลางมองเขาอย่างตกตะลึง
“งั้นหรือ เธอคือสามีของเซี่ยเซี่ยงั้นหรือ? โอ๊ย เสี่ยวไห่ เจ้าเด็กนี่ ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้?”
“แม่ครับ ก็เพราะกลัวว่าแม่จะตื่นเต้นไม่ใช่หรือไงกัน?”
“ดีจริง เธอคือสามีของเซี่ยเซี่ย ดีจริง”
ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงเรียกเธอว่าคุณยาย ไม่มีปัญหา!
หญิงชรามองดูเฉินเจียเหอที่ใช้การได้อย่างพึงพอใจและมีความสุขอย่างยิ่ง
หลังจากแนะนำตัวเองแล้ว เฉินเจียเหอก็นั่งตัวตรง ด้วยกลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเซี่ยเหลย
หญิงชราส่งสายตาไปให้เซี่ยอวี่ ก่อนเอ่ยย้ำเสียงเบา
“ได้ยินแล้วใช่ไหม? นั่นคือคนรักของเซี่ยเซี่ย ในฐานะผู้อาวุโส ก็ทำตัวเห็นเป็นผู้อาวุโสเสียหน่อย อย่าถามอะไรเหลวไหล”
“ฉันรู้ตั้งนานแล้วค่ะ ไม่อย่างนั้นจะถามคำถามพวกนั้นเหรอ?”
เซี่ยอวี่มองไปที่หญิงชรา ก่อนบึนปากและเอ่ยแซะ “คุณนายเซี่ย แม่คิดจินตนาการอะไรอยู่ ฉันเป็นราชินีแห่งวงการภาพยนตร์นะคะ มีผู้ชายแบบไหนที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนบ้างกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่สามีของเซี่ยเซี่ย ฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนมุทะลุซึ่งมีผิวคล้ำจนดูไม่ได้คนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
เฉินเจียเหอ “!!!”
แทงใจดำเสียจริง คุณดาราดัง
ใบหน้าของเฉินเจียเหอดำมืดจนแทบจะกลายเป็นก้นหม้อ และเซี่ยไห่ซึ่งกำลังขับรถอยู่ก็หัวเราะเสียงดัง
หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยไห่ก็ขยับร่างเข้ามาใกล้เฉินเจียเหอ แล้วกระซิบว่า “อย่าเสียใจไปเลย คุณราชินีแห่งวงการภาพยนตร์หล่อนชอบแบบไก่อ่อน ไม่สามารถชื่นชมผู้ชายบึกบึนแบบนายได้”
ในใจเฉินเจียเหอนั้นขุ่นเคือง แต่ไม่กล้าพูดออกมา ทำได้เพียงอึดอัดช้ำในอยู่เท่านั้น
“แม่ครับ ปลุกพี่เถอะ ใกล้จะถึงแล้ว”
รถของเซี่ยไห่เลี้ยวโค้งมาหยุดที่หน้าลานบ้าน
เฉินเจียเหอรีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว และเดินไปยังที่นั่งเบาะหลังเพื่อเปิดประตูอย่างเป็นสุภาพบุรุษ
เซี่ยอวี่ลงจากรถด้วยท่าทางเป็นเอกลักษณ์ พลางมองเขาแล้วยกยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
เฉินเจียเหอพยักหน้าด้วยความนอบน้อมและสุภาพ ก่อนจะช่วยแม่เซี่ยและเซ่ยเหลยให้ลงจากรถ
หลังจากที่แม่เซี่ยได้รับรู้ถึงสถานะของเฉินเจียเหอ ในตอนนี้นางจึงมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความเอ็นดู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินเจียเหอมีน้ำใจช่วยพยุงนางลงจากรถ จึงเอ่ยชมเชยเขาอย่างไม่งกคำชม “ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ”
เซี่ยเหลยเป็นคนสุดท้ายที่ลงจากรถ และเฉินเจียเหอไม่ได้เข้าไปช่วยเขา
เพียงแค่ยืนรออยู่ข้าง ๆ ด้วยความนอบน้อม
เมื่อเขาลงจากรถ เฉินเจียเหอก็ช่วยปิดประตูให้อย่างมีน้ำใจ
สีหน้าของเซี่ยเหลยจริงจัง เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด เฉินเจียเหอเองไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามเปิดบทสนทนา ชายหนุ่มจึงรีบไปยกกระเป๋าสัมภาระแทน โดยลากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ทั้งสองใบนั้นคนเดียว เซี่ยไห่จะเข้ามาช่วย เขากลับปฏิเสธเสียด้วยซ้ำ
“ก็ได้ ให้โอกาสนายได้มีผลงานบ้าง”
เซี่ยอวี่สำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลวเลย สภาวะแวดล้อมดีมาก ทั้งยังเป็นส่วนตัว”
“แน่นอนอยู่แล้ว ที่นี่เจียเหอเป็นคนช่วยหาให้ ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในชุมชนบ้านพักทหาร จึงพอมีเส้นสาย”
เซี่ยไห่ไม่ลืมยกความดีความชอบให้เฉินเจียเหอ
เพื่อให้ดาราดังของเขามีความประทับใจที่ดีต่อเฉินเจียเหอ
“พี่ใหญ่ คิดว่าที่นี่เป็นอย่างไรครับ?” เซี่ยไห่เอ่ยถามเซี่ยเหลยด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเหลยไม่ได้มีเงื่อนไขพิเศษใด ๆ กับเรื่องที่พัก สีหน้าเขาเรียบนิ่งดูไม่แยแส ก่อนจะสบแววตาเฝ้ารอคอยของน้องชายแล้วพยักหน้า “ดีทีเดียว”
“พี่ใหญ่ชอบผมก็โล่งใจ รีบเข้าไปดูข้างในสิครับ”
เฟอร์นิเจอร์ในห้องโถงล้วนเป็นแบบโบราณ ทำจากไม้พะยูงขัดจนเงางาม มีภาพวาดและอักษรวิจิตรอยู่บนผนัง ดูเรียง่ายทว่างดงาม
เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นทหารผ่านศึก เซี่ยไห่จึงไม่กล้าขยับเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในห้องโถงนั้น
แม่เซี่ยมองดูเฟอร์นิเจอร์แบบโบราณที่คุ้นตาเหล่านี้ ก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก
ครั้นลงจากรถไฟในตอนแรก หญิงชรารู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ทั้งยังสับสนงุนงงเพราะเมืองเปลี่ยนไปมาก
แต่เมื่อได้เห็นของโบราณและภาพวาดของบุคคลสำคัญในบ้านหลังนี้ ในทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกว่าได้กลับถึงบ้านแล้วจริง ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สงสารพี่เหอจัง โดนไปกี่ดอกคะนั่น
ไหหม่า(海馬)