ตอนที่ 299 พ่อและลูกสาวได้พบกัน
ตอนที่ 299 พ่อและลูกสาวได้พบกัน
เฉินเจียเหอได้ยินสิ่งที่หญิงชราพูด ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ภายนอกกลับสงบ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
อะไรจะน่าตื่นเต้นยินดีไปกว่าการที่ได้รับการต้อนรับจากพ่อตา!
หญิงชราจับมือหลินเซี่ยแล้วพูดอย่างมีความสุข “เซี่ยเซี่ย วันนี้พ่อเธอลงมือทำกับข้าวเองทุกอย่าง พวกเราแค่รอกินอย่างเดียวล่ะ”
“ค่ะ”
หลินเซี่ยไม่สนใจเรื่องกิน แต่ตั้งตารอที่จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้เป็นพ่อโดยเร็วที่สุด
เธออยากดูให้เห็นกับตาว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนแบบไหน ชายผู้คลานออกมาจากความตายและฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้ครึ่งหนึ่งจะมีสภาพเช่นไร
หลังจากนั่งลง หญิงชราก็นำขนมอร่อยทุกชนิดในบ้านมาให้หู่จือ หู่จือรู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก ไม่รู้ว่าจะกินอันไหนก่อนดี
หลินเซี่ยรู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อย
เซี่ยไห่เฝ้าดูหลินเซี่ยซึ่งเอาแต่จ้องมองไปทางห้องครัวด้วยอาการตั้งตาคอย ทันใดนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
หญิงสาวโตมาจนอายุได้ยี่สิบปีแล้ว ถึงได้เจอกับพ่อผู้ให้กำเนิดเป็นครั้งแรก เธอคงมีอารมณ์ที่ซับซ้อนมากแน่นอน
เขาเดินไปหาและพูดเบา ๆ กับหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย ไม่ต้องกังวลนะ คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง นั่งกินผลไม้กับหู่จือไปก่อน ฉันขอเข้าไปดูหน่อยว่าข้าวสุกแล้วหรือยัง”
เมื่อเซี่ยไห่เดินเข้ามาในครัว เขาเห็นพี่ชายคนโตสวมผ้ากันเปื้อน ตั้งอกตั้งใจกับการทำอาหารเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนเขาใส่จิตวิญญาณทั้งมวลลงไปที่กระทะในมือ
อาหารถูกเขย่าให้พลิกกลับไปกลับมาอยู่ในกระทะ
ท่าทางอันชำนาญของเขาเป็นที่สะดุดตามาก
“พี่ใหญ่ อยากให้ผมช่วยอะไรไหม?”
เซี่ยเหลยกำลังยุ่งอยู่กับงานในมือ ถามอย่างใจเย็นว่า “เพื่อนนายมาถึงแล้วเหรอ?”
เซี่ยไห่ยิ้มแล้วตอบว่า “ถึงแล้ว มากันครบทั้งสามคนเลย”
“มาสิ ภรรยาของเจียเหอก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“โอ้” เซี่ยเหลยตอบเขา
“นายช่วยตักข้าวเสิร์ฟหน่อยก็แล้วกัน กับข้าวเหลือจานสุดท้ายแล้ว”
“ได้เลย”
เซี่ยไห่เริ่มตักข้าวใส่จานและยกจานอาหารออกไปเสิร์ฟ เฉินเจียเหอก็รีบลุกไปช่วย
หลินเซี่ยเองก็อยากจะไปช่วยพวกเขาเช่นกัน แต่ถูกหญิงชรารั้งไว้
“เซี่ยเซี่ย นั่งลงเถอะ ปล่อยให้พวกเขาทำงานของตัวเองไป”
ไม่นานนัก อาหารมื้อหรูก็ถูกยกมาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
จานตรงกลางคือเมนูไก่ตุ๋น ปลาผัดซอสแดง และเมนูผัดกับอาหารเรียกน้ำย่อยอีกหลายอย่าง
หน้าตาของมันดูเหมือนกับอาหารที่เชฟในโรงแรมทำ ทุกจานออกมาดูดีมาก
“เซี่ยเซี่ย พ่อเธอทำทุกจานด้วยตัวเองหมดเลยนะ” เซี่ยไห่พูดกับหลินเซี่ยด้วยรอยยิ้ม
หลินเซี่ยมองดูจานอาหารบนโต๊ะด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ทักษะการทำอาหารในระดับนี้ เขาสามารถเปิดร้านอาหารได้อย่างแน่นอน
ทำกับข้าวเก่งกว่าแม่ของเธอเสียอีก
เซี่ยไห่หันไปยุ่งกับการลากเก้าอี้ออกมาให้ทุกคนนั่ง
“พี่ใหญ่ของลูกไปไหนล่ะ?”
“มาแล้ว มาแล้ว”
เสียงฝีเท้าจากการลงน้ำหนักไม่เท่ากันของขาทั้งสองข้างขณะเดินดังขึ้น หลินเซี่ยก็อดไม่ได้ที่จะมองออกไปนอกประตู
เมื่อเห็นชายคนนั้นเดินออกมาจากครัว เธอก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว
มองดูร่างสูงที่กำลังเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาหาพวกเขา ดวงตาของเธอก็เปียกชื้นขึ้นมาทันที
อารมณ์ตกอยู่ในความสะเทือนใจจนอดกลั้นไว้ไม่ไหว
เธอมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย หัวใจสั่นรัว
ที่แท้ พ่อผู้ให้กำเนิดของเธอก็มีหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง
เขามีส่วนสูงพอ ๆ กับเฉินเจียเหอ สวมกางเกงลายพรางและเสื้อกั๊กลายพราง แม้ว่าขาข้างหนึ่งจะเดินเหินได้ไม่ปกตินัก แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อออร่าของเขา
นอกจากนี้ใบหน้าของเขายังมีรอยแผลเป็นซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนมาก
ดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นทั้งเฉียบคมและทรงพลัง
ภายในไม่กี่วินาทีขณะที่เขาเดินเข้ามาในบ้าน หลินเซี่ยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้เลย ร่างกายของเธอไม่มั่นคงจนแทบทรุดลง
ถึงอย่างนั้นก็รีบเอามือปิดปากตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้ส่งเสียง แต่น้ำตาได้ไหลรินลงมาแล้ว
เมื่อเฉินเจียเหอเห็นแบบนั้น เขาก็รีบดึงเธอให้หลบไปด้านข้าง โดยหันหน้าหนีจากประตู
เขาช่วยเช็ดน้ำตาของหลินเซี่ย พลางปลอบโยนเธอเบา ๆ “เซี่ยเซี่ย ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อย”
หลินเซี่ยเม้มริมฝีปากแน่นและตอบสนองด้วยความยากลำบาก ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาอยู่ดี
เมื่อครู่ ทันทีที่เห็นหลินเซี่ยร้องไห้ อารมณ์ของคุณแม่เซี่ยและเซี่ยอวี่ต่างก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ทั้งคู่เริ่มอยากร้องตาม
อย่างไรก็ตาม เซี่ยเหลยได้เดินเข้าไปในบ้านแล้ว
เซี่ยไห่ขยิบตาให้แม่ผู้ชราของเขาและเซี่ยอวี่ เป็นเชิงเตือนให้พวกหล่อนสงบสติอารมณ์ลง
เซี่ยไห่ก้าวไปลากเก้าอี้ให้เซี่ยเหลย จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ นั่งลงเร็วเข้า วันนี้พี่ทำงานหนักมามากแล้ว”
ความสนใจของเซี่ยเหลยตกอยู่ที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ถัดจากหญิงชรา เขาเดินไปหาอีกฝ่ายแล้วลูบหัวเด็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่หู่จือได้เจอคุณลุงแปลกหน้าคนนี้ เขาแสดงท่าทางขี้อายเล็กน้อย แต่ไม่ได้ทำท่าหวงตัวอะไร
เพราะเขารู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
หลินเซี่ยได้ยินเซี่ยไห่พูด เธอก็พยายามสงบอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติ และหันกลับมาพร้อมกับเฉินเจียเหอ
ทันใดนั้นเอง เซี่ยเหลยก็บังเอิญมองไปทางพวกเขาพอดี
พอมองไปที่หญิงสาวซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินเจียเหอ
จู่ ๆ ร่างหนึ่งที่เหมือนจะคุ้นเคยแต่ไม่คุ้นเคยก็แวบขึ้นมาในใจของเขา
ยิ่งมองเธอนานเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกเหมือนภาพเหตุการณ์กำลังฉายซ้ำ
เธอดูเหมือนใครคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคยมาก
แต่พอลองคิดอย่างจริงจัง ทันใดนั้นสมองก็กลับมาตื้อจนคิดอะไรไม่ออกอีก
เมื่อสบตากับเซี่ยเหลย เฉินเจียเหอก็รีบกล่าวทักทายเขา “พี่ใหญ่เซี่ย ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณนะครับ”
สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้คงต้องเรียกเขาอย่างนั้นไปก่อน
เขาจับมือหลินเซี่ย เดินไปหาเซี่ยเหลย จากนั้นก็เริ่มแนะนำตัวกับเซี่ยเหลยว่า “นี่ภรรยาของผมเองครับ หลินเซี่ย”
หลินเซี่ยมองไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า พยายามอย่างยิ่งเพื่อเปล่งเสียงพูดคำว่า “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดี” เซี่ยเหลยมองดูหญิงสาวตรงหน้าในระยะประชิด ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเขาก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
สภาพจิตใจของเขาอ่อนแอเกินไป เขาพยายามคิดแล้วแค่คิดไม่ออก
เซี่ยเหลยกลับมาสงบนิ่งดังเคย พูดกับพวกเขาว่า “เชิญนั่ง”
จากนั้นเขาก็ส่งยิ้มทักทายเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หญิงชรา “หู่จือ มานี่หน่อยซิ”
เมื่อกี้นี้หู่จือค่อนข้างวางตัวห่างเหินจากผู้ใหญ่คนนี้เล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นพ่อแม่มองมาที่ตัวเอง ก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความกล้าหาญ
“หู่จือ นี่คือ…”
เซี่ยไห่จะพูดก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระดากปาก
ความจริงแล้วหู่จือควรเรียกพี่ใหญ่ของเขาว่าปู่
แต่ตอนนี้จะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ?
ถ้าให้เรียกตามเขาก็คงต้องเรียกว่าลุงละมั้ง
หู่จือวิ่งไปหาเซี่ยเหลยแล้ว จากนั้นก็แหงนใบหน้าน้อย ๆ มองไปที่เซี่ยเหลย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม “คุณคงเป็นพี่ชายของลุงเซี่ยใช่ไหมครับ? ผมรู้จักคุณ ลุงเซี่ยเคยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟัง”
“สวัสดีฮะ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่” หู่จือเริ่มทักทายเซี่ยเหลยด้วยวาจาฉะฉาน
เซี่ยเหลยมองไปที่เด็กชายตัวน้อยตรงหน้า ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเขาพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างนั้นเซี่ยไห่ก็ใช้สมองอย่างหนักเพื่อคิดคำเรียกให้อีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะคำไหนก็ดูไม่เข้าท่าไปเสียหมด
หู่จือเริ่มแสดงความมุ่งมั่นของตัวเองต่อเซี่ยเหลยว่า “ถ้าผมโตขึ้น ผมอยากเป็นทหารเหมือนกับคุณและพ่อของผม ผมอยากเติบโตขึ้นเป็นคนที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนครับ”
เนื่องจากทุกคนรู้ประสบการณ์ชีวิตของหู่จือดีอยู่แล้ว เมื่อเด็กบอกว่าเขาอยากโตไปเป็นทหารเหมือนพ่อ ทุกคนต่างก็นึกไปถึงพ่อผู้ให้กำเนิดของหู่จือโดยธรรมชาติ
หัวใจพวกเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด
“เป็นเด็กที่มีความทะเยอทะยานดีจริง ๆ” เซี่ยเหลยลูบหัวหู่จือ แล้วมองไปที่เฉินเจียเหอ “นายอบรมสั่งสอนลูกชายได้ดีมาก ลำบากแล้ว”
เฉินเจียเหอรีบพูดว่า “ไม่ลำบากเลยครับ”
“มา พวกเรากินข้าวกันเถอะ”
เซี่ยเหลยไม่ใช่คนช่างพูดนัก อีกทั้งบนโต๊ะก็ไม่มีการเตรียมไวน์ไว้ จึงไม่จำเป็นต้องดื่มขอบคุณกันให้มากพิธี ทันทีที่เซี่ยเหลยบอกให้กิน หญิงชราก็หยิบตะเกียบวางไว้ในมือของหลินเซี่ย
เมื่อเห็นหญิงชราขยับตะเกียบ หลินเซี่ยก็เริ่มคีบผัดผักมากิน
รสชาติดีมาก
เธอมองไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อได้กินอาหารที่เขาปรุงเองกับมือ จมูกของเธอก็แสบร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
อยากจะร้องไห้
เซี่ยอวี่ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของหลินเซี่ยเห็นว่าหลานสาวเริ่มอาการไม่ดี จึงรีบยื่นแก้วน้ำให้เธอ
“เซี่ยเซี่ย จานนี้เผ็ดไปหน่อยใช่ไหมล่ะ? รีบดื่มน้ำเร็วเข้า”
“ขอบคุณค่ะ”
หลินเซี่ยพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้เหลือบมองไปทางผู้ชายที่อยู่ตรงข้าม เธอก้มหน้าตลอดเวลาและมุ่งความสนใจไปที่การกิน
อาหารเหล่านี้เป็นฝีมือของพ่อแท้ ๆ แน่นอนว่ากับข้าวทุกจานก็ถูกใจเธอมาก
กลิ่นหอมโชยไปทั่วบริเวณ ส่งเสริมให้บรรยากาศอบอวลด้วยความสุข
“เสี่ยวอวี่ ตักซุปให้ฉันหน่อยสิ” ทันใดนั้นชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยื่นชามซุปมาให้
หลินเซี่ยถึงกับตกตะลึงจนเงยหน้าขึ้นสบดวงตาอันลึกล้ำของเขา
ทางด้านชายคนนั้นก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
คนอื่น ๆ ที่โต๊ะอาหารค่ำตกตะลึงยิ่งกว่า จากนั้นก็มองไปที่เซี่ยเหลยพร้อมกัน
ทำไมเขาถึงเรียกหลินเซี่ยว่าเสี่ยวอวี่?
คิดว่าเธอเป็นน้องสาวตัวเองสมัยวัยรุ่นอย่างนั้นเหรอ?
หลินเซี่ยตอบสนองด้วยการตอบรับในลำคออย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปรับชามซุปจากมือเขา ลุกขึ้นยืน แล้วจัดแจงตักซุปไก่ในชามจนเต็มแล้วยื่นกลับไปให้เขา
เซี่ยเหลยมองไปยังหญิงสาวที่ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง จากนั้นจึงมองไปที่น้องสาวของเขาที่แต่งหน้าทำเล็บยาวและนั่งอยู่ด้านข้าง
จู่ ๆ ก็เกิดอาการเวียนหัวขึ้นมา
ทำไมเขาถึงได้จำผู้หญิงคนนี้ในชื่อเซี่ยอวี่กันนะ?
เขาลืมสนิทว่าเมื่อกี้นี้ทำไมตัวเองถึงเรียกเธอว่าเสี่ยวอวี่ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติแบบนั้น
เขามองไปยังชามซุปที่หญิงสาววางลงตรงหน้า ก่อนที่ภาพความทรงจำอันคลุมเครือจะปรากฏขึ้นในใจเขา
“เสี่ยวอวี่ ตักซุปให้ฉันหน่อยสิ”
“พี่ใหญ่ ทำไมถึงเอาแต่ใช้งานฉันอยู่เรื่อย เห็นฉันเป็นสาวใช้ส่วนตัวของพี่หรือไง?”
เด็กผู้หญิงในภาพความทรงจำของเขาช่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาทุกประการ นอกเสียจากว่าหล่อนคนนั้นสวมเสื้อคลุมปกที่มีรอยปะตรงด้านบน
หญิงชราหันมองเขา ถามด้วยความคาดหวัง “เสี่ยวเหลย เมื่อกี้ลูกเรียกหลินเซี่ยว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าลูกนึกว่าหล่อนเป็นน้องสาวน่ะ?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฮืออ สะเทือนใจเหลือเกิน ความรู้สึกอยากจะเรียกพ่อแต่ก็เรียกไม่ได้เนี่ย
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 295 เรียกว่าคล้ายกันไม่ได้ นี่เรียกเหมือนกันทุกประการ
ตอนที่ 295 เรียกว่าคล้ายกันไม่ได้ นี่เรียกเหมือนกันทุกประการ
เซี่ยไห่กอดหญิงชราพลางเอ่ยปลอบเธอด้วยเสียงอ่อนโยน “แม่ครับ ร้องไห้ทำไมกัน? ดีใจที่ได้กลับมาสินะครับ”
“แม่ดีใจ ดีใจมาก”
นางมองดูภาพวาดที่คุ้นเคย รวมถึงอักษรวิจิตร และภาพวาดต่าง ๆ บนผนัง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อบอุ่น
“ไม่ต้องร้องไห้แล้วครับ เดี๋ยวผมไปชงชาให้”
ทันทีที่เซี่ยไห่บอกว่าเขาจะชงชา เฉินเจียเหอก็รีบหยิบกาน้ำชาไปชงชาทันที
เซี่ยไห่มองดูท่าทางที่เอาใจใส่ของเขาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
ฮ่าๆ ต้องขอบคุณในความโชคดีของพี่ใหญ่ ที่ทำให้เขาผ่านความทุกข์ทนต่าง ๆ มาได้
ในวันข้างหน้าตัวเขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสกว่า และสามารถเรียกใช้เฉินเจียเหอทำงานให้ได้
หลังจากนั่งพักดื่มไปได้ครู่หนึ่ง แม่เซี่ยก็อดรนทนไม่ไหวที่จะเอ่ยถามถึงหลานสาวของตน นางมองไปยังเซี่ยเหลย ก่อนถามเซี่ยไห่ว่า “เสี่ยวไห่ ห้องไหนคือห้องของพี่ใหญ่ของลูก? ให้เขาไปพักผ่อนสักหน่อย เขานั่งรถมานานขนาดนี้ต้องเหนื่อยไม่น้อยแน่”
เซี่ยไห่เองก็เข้าใจนัยยะนั้น ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ครับ”
“พี่ครับ เดี๋ยวผมพาพี่ไปพักผ่อน”
“ดี” เซี่ยเหลยลุกขึ้น พลางมองไปยังเฉินเจียเหอ “เสี่ยวเฉิน ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อน ขอบคุณที่มารับพวกเราในวันนี้”
เฉินเจียเหอรีบเอ่ยตอบ “ด้วยความยินดีครับ”
เซี่ยไห่พาเซี่ยเหลยเข้าไปในห้องนอน เตียงถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนลายตารางซึ่งดูติดดินอย่างยิ่ง เขาหยิบผ้าห่มออกมา “พี่ใหญ่ นอนพักสักหน่อยนะครับ เมื่อถึงเวลากินข้าวแล้วผมจะมาเรียก”
เซี่ยเหลยตอบว่า “ได้ ขอบใจมากเสี่ยวไห่”
พี่ใหญ่นั้นสุภาพแบบนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเซี่ยไห่ได้ฟังจึงรู้สึกเคอะเขินแปลก ๆ
เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการที่พี่ใหญ่ของเขากลับมายังเมืองไห่เฉิงในครั้งนี้ เขาจะสามารถรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไปและจดจำเหตุการณ์ในอดีตระหว่างพี่น้องเมื่อครั้งยังเป็นเด็กได้
ซึ่งจะทำให้ระยะห่างของพวกเขาลดลง
เซี่ยอวี่เองก็มองหาห้องนอนของตัวเอง ด้วยต้องการนำข้าวของไปเก็บ เซี่ยไห่จึงนำหล่อนไป
เมื่อเห็นห้องที่ตกแต่งอย่างอบอุ่นและสะอาดสะอ้าน หญิงสาวก็อดเหลือบมองเซี่ยไห่อีกครั้งไม่ได้
หล่อนถามเซี่ยไห่ว่า “ผ้าปูที่นอนนี่นายซื้อมาเหรอ?”
“ไม่สวยเหรอ?” เซี่ยไห่ถามกลับโดยไม่ตอบคำถามของผู้เป็นพี่สาว
เซี่ยอวี่ถอดเสื้อคลุมของเธอออกแล้วนำไปแขวนไว้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเก๊กขรึม “ไม่สวย”
เซี่ยไห่ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เซี่ยเซี่ยหลานสาวของพี่เป็นคนซื้อมา ในเมื่อมันไม่สวยก็ถอดออกไปเถอะ ผมจะได้เอาไปให้เซี่ยเซี่ย”
ชายหนุ่มเอ่ยจบก็เตรียมจะดึงผ้าปูที่นอนออก
เซี่ยอวี่รั้งมือของน้องชายเอาไว้ แล้วนั่งลงบนเตียง “เนื้อผ้านิ่มสบายแบบนี้ ฉันเดาไว้แล้วเชียวว่าไม่ใช่นายซื้อแน่”
เซี่ยไห่ “…”
ทันทีที่กลับมายังห้องโถงใหญ่ แม่เซี่ยก็รีบเอ่ยถาม “พี่ชายแกพักผ่อนไปแล้วหรือ?”
“ครับ”
หญิงชรารีบกล่าวบอกให้พวกเขานั่งลง แทบรอไม่ไหวที่จะเอื้อนเอ่ยเรื่องนี้ออกมา “เล่าเรื่องหลานสาวของแม่ให้ฟังหน่อยสิ ทำไมวันนี้หล่อนไม่มารับพวกเราล่ะ? หล่อนไม่อยากรู้จักพวกเราหรือ? เสี่ยวไห่ ลูกจัดการยังไงของลูกกัน?”
หญิงชราไม่ให้โอกาสคนอื่นได้อธิบายสถานการณ์ด้วยซ้ำ ซ้ำยังผุดคำถามออกมามากมาย ก่อนจะตามด้วยการบ่นว่าเซี่ยไห่
เซี่ยไห่จึงค่อย ๆ อธิบายอย่างใจเย็น
“แม่ครับ เซี่ยเซี่ยรู้ความอย่างยิ่ง ไม่มีทางปฏิเสธพวกเราหรอกครับ เหตุผลที่หล่อนไม่ไปรับแม่ในวันนี้ เหตุผลหลักก็เพราะหล่อนคิดว่าเมื่อแม่ได้พบหน้าหล่อนแล้วแม่จะต้องตื่นเต้นมากแน่ ๆ แล้วหากแม่เผลอเอ่ยอ้างความเป็นญาติ กอดคอร้องไห้เรียกหล่อนว่าหลานสาวต่อหน้าพี่ใหญ่ แล้วผมจะแนะนำสถานะของเซี่ยเซี่ยว่าอะไรล่ะครับ? หากพี่ใหญ่เอ่ยถามขึ้นมาพวกคุณจะตอบอย่างไร?”
นิสัยของเซี่ยเหลยนั้นเย็นชาและจริงจัง ประกอบกับการสูญเสียความทรงจำ เซี่ยไห่เองยังค่อนข้างกลัวเขา
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเซี่ยไห่ แม่เซี่ยก็พยักหน้า “แกก็พูดถูก”
“ดูสิ แต่หลานเขยของแม่ก็มารับแม่ไม่ใช่เหรอครับ? แม่คิดว่าเจียเหอเป็นอย่างไรบ้าง?”
หญิงชรามองเฉินเจียเหอด้วยความเมตตาอ่อนโยน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก เป็นคนใช้การได้”
นางจับมือของเฉินเจียเหอเอาไว้ ยิ่งหญิงชรามองเขามากเท่าใด ก็ยิ่งชอบเขามากขึ้นเท่านั้น
“รีบบอกเราเร็วเข้าว่าเธอรู้จักกับเซี่ยเซี่ยของเราได้อย่างไร?”
เฉินเจียเหอพิจารณาคำพูดอย่างรอบคอบและจัดฉากที่เขาพบกับหลินเซี่ยให้เป็นเรื่องราวการพบหน้ากันอย่างสวยงามและโรแมนติก แล้วเล่าให้หญิงชราฟัง
แม้แต่เรื่องการแต่งงานในบ้านเกิดของเขา เขาก็พยายามบอกว่าเขาชอบหลินเซี่ยและเป็นฝ่ายวิ่งโร่ไปหาตระกูลหลินเพื่อขอแต่งงาน
ตั้งใจข้ามเรื่องที่แม่เฒ่าหลินต้องการจะให้เธอแต่งงานกับหวังต้าจ้วงคนขายหมู
“แล้วเรื่องที่เซี่ยเซี่ยถูกสลับตัวนั้นแท้จริงแล้วเป็นมาอย่างไร?” หญิงชราถามอีกครั้ง
เซี่ยไห่เล่าถึงการกระทำชั่วร้ายของเสิ่นเถี่ยจวินอย่างเต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อคววามไม่เป็นธรรม
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทั้งแม่เซี่ยและเซี่ยอวี่ต่างก็โกรธมาก
เซี่ยอวี่ตบโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด “นายว่าไงนะ? เสิ่นเถี่ยจวินเป็นคนสลับเด็กงั้นเหรอ?”
เมื่อเซี่ยอวี่มีโทสะขึ้นมา เซี่ยไห่ก็พลันตัวสั่นด้วยความกลัว “ใช่ เขาสงสัยว่าพี่สาวเซี่ยหลานมีความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ ในตอนนั้นพี่สาวเซี่ยหลานคลอดลูกก่อนกำหนด ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งสงสัยอย่างสุดหัวใจ ทันทีที่พี่สาวเซี่ยหลานคลอดลูก เขาก็แอบสับเปลี่ยนตัวเด็ก”
“สารเลว! เซี่ยหลานทำไมถึงตาบอดไปเจอสวะแบบนี้มาได้”
ด้วยเพราะความโกรธ ใบหน้าที่ตบแต่งอย่างประณีตงดงามของเซี่ยอวี่พลันเบี้ยวบูด
หลังจากฟังเรื่องราวจากปากเซี่ยไห่ หญิงชราก็โกรธมากเช่นกัน ทว่าความรู้สึกที่มีมากกว่าโกรธคือเจ็บปวด
สิ่งที่เรียกว่าวงล้อแห่งกรรมเป็นที่มาของเรื่องนี้ ด้วยในท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็ตกอยู่ที่เซี่ยเหลย
เพราะเสิ่นเถี่ยจวินต้องการแก้แค้นเซี่ยเหลย คิดว่าตัวเองถูกต้อง จึงแอบสับเปลี่ยนเด็ก
ทว่าโชคชะตานั้นเล่นตลก เด็กที่สับเปลี่ยนไปนั้นกลับเป็นลูกของเซี่ยเหลย
เด็กทั้งสองคนต่างตกเป็นเหยื่อ
ตอนนี้โชคชะตาได้นำทางพวกเขาให้มาพบหลานสาวแล้ว ถือเป็นความเมตตาจากสวรรค์ ครอบครัวของพวกเขาจะต้องทะนุถนอมหญิงสาวอย่างดี
เซี่ยอวี่ถามเซี่ยไห่ว่า “เซี่ยหลานไม่หย่ากับเสิ่นเถี่ยจวินหรือ?”
“คราวนี้เห็นทีว่าคงหย่าครับ”
“อยู่กับคนไร้ความจริงใจแบบนั้นมาหลายปีดีดับ หล่อนคงลำบากยากเข็ญไม่น้อยเลยจริง ๆ”
เมื่อนึกถึงสหายสาวแสนดีของหล่อนซึ่งเคยนอนร่วมเตียงกับชายที่น่ากลัวแบบนั้นมาหลายปี เซี่ยอวี่ก็รู้สึกเศร้าแทนหล่อน
เพราะความไม่เชื่อใจ จึงยอมสับเปลี่ยนลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเอง
เพราะเมื่อเด็กเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และมีหน้าตานับวันยิ่งเหมือนน้องสาวศัตรูหัวใจ จึงปฏิบัติต่อหลินเซี่ยอย่างโหดร้ายทารุณ ซ้ำยังบั่นทอนจิตใจ เซี่ยอวี่เพียงแค่คิดถึงชีวิตแบบนั้นก็รู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว
หล่อนเกลียดชังเสียจนอยากฉีกเสิ่นเถี่ยจวินเป็นชิ้น ๆ
หัวใจของหญิงชราก็หนักอึ้งเช่นกัน นางปาดน้ำตาออกพลางถอนหายใจ “เสี่ยวไห่ พอได้ยินเรื่องทั้งหมดที่ลูกเล่ามานี้ แม่รู้สึกเหน็บหนาวไปถึงกระดูกเลยจริง ๆ โชคดีที่เซี่ยเซี่ยเติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย”
เซี่ยไห่เองเป็นคนมองโลกในแง่ดี ก็ยังแทบจะเซื่องซึมไปเช่นกันเมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องราวที่หลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ยประสบพบเจอมา “พี่สาวอิงจื่อก็ต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อยเช่นกัน แต่สามีของหล่อนดีกับหล่อนมาก ทว่าน่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปเมื่อสามปีที่แล้ว”
“หากในเวลานั้นไม่เกิดเรื่องกับพี่ใหญ่ของลูกเข้า โศกนาฏกรรมเหล่านี้ก็คงไม่เกิด”
“มันผ่านไปแล้ว พวกเรามองไปข้างหน้า และในอนาคตเรามาชดเชยให้เซี่ยเซี่ยและพี่สาวกุ้ยอิงอย่างดีกันเถอะครับ” เซี่ยไห่ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “ผมสั่งอาหารมาจากร้านอาหาร อีกสักพักคงมาส่ง เดี๋ยวจะไปดูที่หน้าประตู พี่ไปเรียกพี่ใหญ่มากินข้าว”
เขาต้องออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศและสงบสติอารมณ์
………
หลังจากหลินเซี่ยเลิกงานแล้วไปรับหู่จือ เธอก็กลับบ้านและรอฟังข่าวจากเฉินเจียเหอ
ทว่าหกโมงเย็นแล้วเขาก็ยังไม่กลับมา
ในเวลานี้ หญิงสาวว้าวุ่นใจ อดรนทนไม่ไหวอยากจะไปบ้านของเซี่ยไห่
ถึงอย่างไร คนเหล่านั้นก็คือสมาชิกในครอบครัวของเธอ และเธอเองก็แทบรอไม่ไหว อยากทราบข่าวคราวของพวกเขา
เธอไม่กะจิตใจกะใจจะทำกับข้าว จึงพาหู่จือไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ในละแวกลานบ้าน จากนั้นก็กลับบ้านมารอฟังข่าวอีกครั้ง
เวลาผันผ่านไปจงถึงเกือบหนึ่งทุ่ม พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าประตู
หู่จือซึ่งกำลังดูการ์ตูนกระโดดขึ้นจากโซฟาในพริบตา “แม่ครับ ต้องเป็นพ่อแน่ ๆ เลย”
หลินเซี่ยดูสดใสเล็กน้อย หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน
ในขณะที่หู่จือกำลังจะวิ่งไป ประตูก็ถูกเปิดออก
เขาเห็นคนจำนวนหนึ่งตามหลังเฉินเจียเหอมาและยืนออกันอยู่ที่หน้าประตู
เขารู้จักเพียงพ่อและเซี่ยไห่เท่านั้น
“พ่อครับ คุณลุงเซี่ย”
หู่จือเอ่ยเรียกเสร็จแล้ว ก็มองดูคุณยายที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินเจียเหอและคุณป้าคนสวยที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจนเพราะสวมแว่นกันแดดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“แม่ของลูกอยู่ไหน?”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ” หลินเซี่ยเดินเข้ามาอย่างร่าเริง ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะตะลึงงันเล็กน้อยเมื่อเห็นแขกที่มาเยือนอย่างกะทันหัน
เซี่ยอวี่ซึ่งสวมแว่นกันแดดก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน หล่อนถอดแว่นออกแล้วมองดูตัวเองในแบบฉบับช่วงวัยรุ่น จากนั้นจึงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ไม่แปลกใจเลยที่คนตาไม่มีแววอย่างเซี่ยไห่พูดจาอย่างมีหลักฐานว่าหลินเซี่ยเหมือนหล่อนตอนวัยรุ่น
จะเรียกว่าคล้ายกันไม่ได้ นี่เรียกเหมือนกันทุกประการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าหล่อนในตอนนี้ไว้ผมยาว ปักปิ่นปักผม และสวมชุดกระโปรง แม้กระทั่งรูปร่างก็ยังเหมือนหล่อนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ได้เจอหลานสาวแล้ว เป็นอย่างที่น้องเล็กของบ้านบอกเลยใช่ไหมคะ
ไหหม่า(海馬)