ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 300 เขาจำอะไรไม่ได้เลย

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 300 เขาจำอะไรไม่ได้เลย

ตอนที่ 300 เขาจำอะไรไม่ได้เลย

หลังจากได้ยินสิ่งที่หญิงชราพูด เซี่ยเหลยก็พยายามคิดหาคำตอบอย่างช้า ๆ ตอนนี้เขาตกอยู่ในความสับสน ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันได้

เขามองไปที่หลินเซี่ยและพูดอย่างสงบ “ต้องขอโทษด้วย ฉันคงจำผิดไป”

หลินเซี่ยสูดจมูกและตอบกลับว่าไม่เป็นไร

เซี่ยไห่พูดยิ้ม ๆ “พี่ใหญ่ ไม่ได้มีแต่นายหรอกนะที่จำผิด ตอนที่ฉันเห็นหล่อนครั้งแรกฉันยังตกใจเลย ก็หล่อนหน้าตาเหมือนพี่สาวไม่มีผิดขนาดนี้จริงไหม?”

เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ รู้สึกตื่นเต้นมากที่เซี่ยเหลยมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้

อย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเซี่ยเหลยเริ่มจำตัวตนในอดีตของเซี่ยอวี่ได้บ้างแล้ว

ตราบใดที่พวกเขาหาหนทางที่เหมาะสมต่อไป ทุกคนจะปลุกความทรงจำของเขาได้อย่างแน่นอน

บางทีหลินเซี่ยอาจจะเป็นกุญแจที่เข้ามาช่วยปลดล็อกความทรงจำที่เต็มไปด้วยฝุ่นของเขา

ทันทีที่เซี่ยไห่พูดแบบนี้ เซี่ยเหลยก็จ้องมองไปที่หลินเซี่ยและเซี่ยอวี่อีกครั้ง “จริงเหรอ?”

“ใช่ ลองถามพี่สาวดูสิว่าหล่อนเองก็เห็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่อายุน้อยกว่าปัจจุบันด้วยหรือเปล่า?”

เซี่ยอวี่รีบตอบอย่างให้ความร่วมมือ “เห็นสิ นี่ไม่ใช่ร่างสองของฉันหรือยังไงกัน? พี่ใหญ่ ฉันเคยได้ยินคนพูดว่าหลานสาวจะหน้าตาเหมือนอาของหล่อน ตอนแรกฉันเกือบคิดว่าหล่อนเป็นลูกสาวของพี่หรือเปล่า?”

เซี่ยอวี่กระตือรือร้นมาก เจาะหัวข้อสนทนาตรงไปที่เรื่องนี้อย่างกะทันหัน

ทันทีที่หล่อนพูดออกมาแบบนี้ คุณแม่เซี่ยก็แทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความตกใจ แล้วถลึงตาไปทางเซี่ยอวี่

ก่อนที่จะหันกลับมาสังเกตสีหน้าของเซี่ยเหลยอย่างระมัดระวัง

“ฉันยังไม่ได้แต่งงานเลย จะมีลูกสาวได้ยังไง?” เมื่อเซี่ยเหลยพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เขารู้ดีว่าผู้เป็นแม่อยากได้หลานมาโดยตลอด และคาดหวังว่าพวกเขาสามพี่น้องจะทยอยแต่งงานและมีลูก เพื่อที่ตระกูลเซี่ยจะมีทายาทสืบต่อไป

เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของหล่อนไม่มีท่าทีว่าจะโกรธหรืออารมณ์เสีย เซี่ยอวี่ก็มีความกล้ามากขึ้นขณะพูดต่อไปว่า “พี่ใหญ่ นั่นก็พูดยากนะ พี่จำไม่ได้นี่นาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้บ้าง? เป็นไปได้ไหมว่าพี่อาจจะไปเจอใครบางคนหลังจากเข้ากองทัพไปแล้ว? ตอนนี้พี่จำไม่ได้ก็จริง แต่ตอนนั้นอาจจะมีผู้หญิงคนหนึ่งรอให้พี่กลับไปแต่งงานกับหล่อนก็ได้?”

เซี่ยอวี่ทำทีเป็นกุมขมับแล้วครุ่นคิดออกเสียง “ค่ายทหารที่พี่ใหญ่ไปประจำการในตอนนั้นอยู่ที่ไหนนะ?”

เซี่ยไห่ตอบอย่างรวดเร็ว “เทศมณฑลซีเหอ”

“โอ้ จริงด้วย เทศมณฑลซีเหอ”

เฉินเจียเหอสานต่อคำถามของเธออย่างแนบเนียน “บังเอิญจริง แม่ยายของผมก็มาจากเทศมณฑลซีเหอเหมือนกัน”

“จริงเหรอ?” เซี่ยอวี่หันไปมองเซี่ยเหลยด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“พี่ใหญ่ แม่ของเซี่ยเซี่ยก็มาจากเทศมณฑลซีเหอเหมือนกัน เทศมณฑลนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร บางทีพวกคุณอาจจะรู้จักกันก็ได้?”

เซี่ยอวี่ถามหลินเซี่ยอีกครั้ง “เซี่ยเซี่ย แม่ของเธอชื่ออะไรนะ?”

“หลิวกุ้ยอิงค่ะ แต่คนอื่นมักจะเรียกเธอว่าอิงจื่อ” หลินเซี่ยมองดูพวกเขาแล้วตอบอย่างเคร่งขรึม

“อิงจื่อเหรอ? เสี่ยวเหลย เมื่อสองสามวันก่อนตอนที่ลูกหลับก็ละเมอเรียกชื่ออิงจื่อนี่แหละ แม่จำได้ว่าตอนนั้นพอถามลูก ลูกบอกว่าพอตื่นมาก็ลืมไปหมดแล้ว หรือว่าจะเป็นหล่อนคนนี้กัน?”

เซี่ยเหลยหยุดชะงักเล็กน้อยขณะกินข้าว พยายามนึกตามสิ่งที่แม่ของเขาพูดถึง แต่ก็ไม่มีประโยชน์

เขารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “ผมจำอะไรไม่ได้เลย”

เซี่ยไห่ตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ เสนอแนะกับเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ ผมว่าพวกเราคงจำเป็นต้องไปตรวจสอบชีวิตในอดีตของนายสมัยอยู่ในกองทัพแล้วล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่พี่สาวพูดขึ้นมาจริง ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งรอให้พี่กลับไปแต่งงาน แต่พอรอแล้วรอเล่าจนเวลาผ่านไปสิบปียี่สิบปีโดยที่พี่ไม่ปรากฏตัวเลย เธอคนนั้นคงจะเจ็บปวดมาก”

“ฉันอาจไม่ได้คบกับผู้หญิงคนไหนเลยก็ได้” เซี่ยเหลยคีบอาหารกินต่อไป “กินข้าวต่อเถอะ”

“โอ้”

เซี่ยเหลยไม่โต้ตอบอะไรอีก เซี่ยไห่และเซี่ยอวี่ก็ไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องก้มหน้าลงและกินข้าวต่อไปเงียบ ๆ

แม้ว่าทุกคนจะตกอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อน แต่กับข้าวที่ปรุงโดยเซี่ยเหลยนั้นอร่อยมาก จนจานอาหารทุกจานบนโต๊ะว่างเปล่า

หลินเซี่ยไม่พูดอะไรมากนักในระหว่างกระบวนการทั้งหมด เธอก้มหน้าลงแล้วสูดกลิ่นอาหารโดยหวังให้พวกมันซึมลึกไปถึงความทรงจำ

อาหารแสนอร่อยเหล่านี้เป็นฝีมือการเข้าครัวของพ่อเธอ ทั้งกลิ่นและรสชาติควรบ่งบอกความเป็นเขา

ด้วยเหตุนี้ เธอกินอาหารตรงหน้าในปริมาณที่เยอะกว่าวันไหน ๆ

ยิ่งลิ้มรสชาติอาหารก็ยิ่งโลภ อยากจดจำรสชาตินี้ไว้ให้แม่นยำที่สุด

เซี่ยเหลยมองไปยังอาหารแต่ละจานที่หมดเกลี้ยง ใบหน้าเข้มงวดของเขาเจือแสงอันนุ่มนวล

เซี่ยไห่เอามือลูบท้องป้อย ๆ พลางถามเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ พี่อยากลองเปิดร้านอาหารที่นี่ดูไหมล่ะ? ผมสามารถแนะนำพี่ให้รู้จักกับหุ้นส่วนคนหนึ่งที่มีฝีมือการทำอาหารดีมาก หล่อนคนนี้เป็นคนเรียบง่าย แถมยังอายุเท่ากันกับพี่ น่าจะทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ถ้าพวกคุณไม่ยอมเปิดร้านคงเสียดายฝีมือแย่ อยากให้คนในบ้านเกิดของเราได้ชิมฝีมือพี่จริง ๆ”

“พี่ใหญ่ นายคงเห็นว่าสังคมทุกวันนี้พัฒนาไปมากแล้ว คนที่พอมีเงินต่างก็ไปฝากท้องที่ร้านอาหาร ถ้าเราเปิดร้านอาหารก็ถือว่าได้ทำประโยชน์ต่อสังคม และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี พี่เป็นทั้งอดีตทหารผ่านศึก ปัจจุบันยังผันตัวมาเป็นเจ้าของร้านอาหารอีก เท่ากับทำประโยชน์เพื่อชาติมาเกือบทั้งชีวิต คงสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ไม่น้อยเลย”

เซี่ยไห่มีทักษะในการโน้มน้าวที่สุดยอดมาก เพราะวันนี้มีคนอยู่ที่บ้านเยอะ ทำให้เขากล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย

แน่นอน เขาอยากแสดงให้ครอบครัวเห็นถึงความสามารถที่เขามี

เซี่ยเหลยตอบว่า “ได้ ฉันขอเวลาทำการบ้านเกี่ยวกับสภาวะตลาดและรสนิยมคนส่วนใหญ่ของที่นี่ก่อน”

หลังมื้ออาหาร เซี่ยอวี่และเซี่ยไห่เข้าครัวไปล้างจาน คุณแม่เซี่ยขอให้เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ นั่งอยู่คุยกันสักพัก ในระหว่างรอให้เซี่ยไห่ล้างจานชามเสร็จแล้วค่อยไปส่งพวกเขากลับ

เซี่ยเหลยก็ถูกหญิงชราเชื้อเชิญให้มานั่งอยู่บนโซฟาด้วยกัน

“เจียเหอแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่? ภรรยาของนายยังดูเด็กอยู่เลย”

เซี่ยเหลยเริ่มถามไถ่เรื่องส่วนตัว เฉินเจียเหอมองไปที่เขาแล้วรีบตอบว่า “พวกเราแต่งงานกันช่วงฤดูหนาวที่แล้วนี้เองครับ”

“ดีแล้ว”

เซี่ยเหลยเป็นคนพูดน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็เต็มใจที่จะพูดคุยกับเฉินเจียเหอ

ดวงตาของเขามักจะจับจ้องไปที่หลินเซี่ยเป็นครั้งคราว

หลินเซี่ยมีอารมณ์หลากหลาย เธออยากคุยกับเขามากแต่นึกไม่ออกว่าควรจะคุยอะไรดี ได้แต่นั่งอยู่ข้างเฉินเจียเหอ และเหลือบมองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนเองเป็นครั้งคราว

“เสี่ยวหลินล่ะทำงานอะไร?” ทันใดนั้นเซี่ยเหลยก็มองดูเธอแล้วถาม

“ฉันเปิดร้านตัดผมค่ะ”

หญิงชราใช้โอกาสนี้พูดกับลูกชายของตนว่า “เสี่ยวเหลย แม่เพิ่งสังเกตว่าผมของลูกเริ่มยาวมาหน่อยแล้ว พรุ่งนี้ลูกออกไปที่ร้านตัดผมของเซี่ยเซี่ยสิ ให้หล่อนช่วยตัดผมให้ลูก”

“ไว้อีกสักวันสองวันก็ได้ครับ”

เซี่ยไห่ล้างจานชามเสร็จแล้ว เตรียมตัวขับรถไปส่งเฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ กลับบ้าน

ก่อนออกเดินทาง เซี่ยเหลยไม่ลืมพูดกับครอบครัวทั้งสามคนว่า “ครั้งต่อไปถ้าพวกเธอมา ฉันจะทำกับข้าวให้กินอีก”

เฉินเจียเหอรู้สึกยินดีอย่างที่สุด ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “ครับ พวกเราจะมาอีกแน่”

ดวงตาของเซี่ยไห่และแม่ของเขาก็สว่างเป็นประกายเช่นเดียวกัน

น้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสกินข้าวฝีมือพี่ใหญ่เป็นครั้งที่สอง

ความสัมพันธ์ทางสายเลือดถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างแท้จริง

ก่อนที่หลินเซี่ยจะก้าวขึ้นรถ เธอก็หันกลับไปมองร่างนั้นอีกครั้ง

เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าและท่าทางเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว

ใช่แล้ว นับตั้งแต่เธอได้เจอกับเซี่ยเหลยในวันนี้ ความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่สุดที่เธอสัมผัสได้คือความเหงาที่แผ่ออกมาจากเขา

เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับอดีตเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมาเลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยผ่านช่วงชีวิตอันยากลำบาก รุ่งโรจน์ และหวานชื่นในวัยเยาว์เหล่านั้น

เขาจำแม้กระทั่งผู้หญิงที่เขาเคยรักและคำสัญญาที่ให้ไว้กับหล่อนไม่ได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของเขาที่ตัดสินใจลงสู่สมรภูมิรบโดยไม่ลังเล เพื่อที่จะปกป้องครอบครัวและประเทศชาติเอาไว้

ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวที่อยู่เคียงข้างเขาและไม่เคยจากไปไหน เกรงว่าหลังจากเขาได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากสนามรบอันแสนโหดร้าย เขาคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน

หลังจากขึ้นรถแล้ว หลินเซี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลรินออกมาเหมือนเขื่อนแตก

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอเกิดใหม่ที่ร้องไห้อย่างยากจะควบคุมแบบนี้

หู่จือตกใจมาก เขาจับมือเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ตาม “แม่ อย่าร้องไห้นะ”

เฉินเจียเหอโอบร่างเธอมากอดไว้ในอ้อมแขน พลางพยักเพยิดบอกหู่จื่อให้นั่งเงียบ ๆ

เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ

ปล่อยให้เธอได้ปลดปล่อยความคับข้องใจออกมาอย่างเต็มที่

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเธอเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความอึดอัด ความเศร้าหมอง และความเสียใจ

พ่อผู้ให้กำเนิดของเธอจำลูกสาวแท้ ๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม้แต่แม่ของเธอเขาก็ยังจำไม่ได้

ต่อให้เธออยากรู้จักเขามากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ตามใจปรารถนา

ยิ่งพอเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าและอาการบาดเจ็บที่ขาซึ่งไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ เธอก็รู้สึกเห็นใจเขาอย่างที่สุด

เมื่อหลินเซี่ยร้องไห้ เซี่ยไห่ที่กำลังขับรถอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยหยดน้ำตาให้ไหลรินเงียบ ๆ เช่นกัน

เธอร้องไห้หนักมาก พร้อมกันนั้นก็เกิดความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เซี่ยเหลยได้ความทรงจำกลับคืนมา

เธออยากรู้จักพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองจริง ๆ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนะคะ สักวันคุณพ่อน่าจะจำอะไรได้บ้าง

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 296 ฉันคงไม่แต่งงานแล้ว

ตอนที่ 296 ฉันคงไม่แต่งงานแล้ว

“เซี่ยเซี่ย หลานสาวคนโตของย่า เราทำผิดต่อหลานแล้ว”

ก่อนที่หลินเซี่ยจะมีเวลาโต้ตอบ หญิงชราผมขาวโพลนก็ร้องไห้คร่ำครวญและรีบโผเข้าไปหาเธอ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่น

“ฮือๆ หลานสาวของย่า ในที่สุดย่าก็ได้เจอเธอเสียที”

หญิงชรากอดเธอไว้แน่น ตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ พูดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น

ปฏิกิริยาของหลินเซี่ยแข็งทื่อในตอนแรก แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์เศร้าโศกและโหยหาของหญิงชรา

เซี่ยไห่รีบเข้าไปดึงหญิงชรา “แม่ ใจเย็น ๆ ก่อนสิ แม่กำลังทำให้หลานกลัวนะ”

หู่จื่อเห็นว่าหญิงชรากอดผู้เป็นแม่ไว้แน่นและเอาแต่ร้องไห้ เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร จึงเงยหน้าขึ้นมองเฉินเจียเหอ “พ่อฮะ คุณยายคนนี้คือใครเหรอ?”

“ท่านเป็นแม่ของฉันเอง แต่เป็นย่าของแม่เธอ”

คำอธิบายของเซี่ยไห่ซับซ้อนเกินไป หู่จื่อพยายามคิดตามแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

แต่เขาไม่อยากให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเขาไม่เข้าใจ ในที่สุดก็เปลี่ยนหัวข้อ แล้วหันมองไปทางเซี่ยอวี่ “แล้วคุณป้าคนสวยคนนี้เป็นใครเหรอฮะ?”

“ป้าคนสวยเป็นอาโกวของหนูไงล่ะจ๊ะ” เซี่ยอวี่ปลื้มใจมากเมื่อได้ยินเด็กน้อยเรียกตัวเองว่าป้าคนสวย ก้มลงไปเกาปลายจมูกของหู่จื่อ

จากนั้นก็คุกเข่าลง มองหู่จื่อและพูดกับเขาอย่างจริงใจ “หู่จือ ฉันได้ยินชื่อของเธอมานานแล้ว ลุงเซี่ยของเธอเคยเล่าให้ฉันฟังว่าเธอน่าเกลียด แต่พอได้มาเห็นตัวจริงในวันนี้ นอกจากเธอจะไม่ได้หน้าตาน่าเกลียดแล้ว ยังคงเป็นหนุ่มหล่อตัวน้อยอีกด้วย”

หู่จือทำหน้าบูดบึ้งและมองเซี่ยไห่อย่างแง่งอนทันที “ลุงเซี่ย ลุงบอกว่าผมน่าเกลียดจริง ๆ เหรอ?”

เซี่ยไห่ “!!!”

หลังจากหู่จื่อกล่าวหาเซี่ยไห่เสร็จแล้ว เขาก็มองไปที่เซี่ยอวี่อีกครั้งด้วยสีหน้าสงสัย “หนุ่มหล่อตัวน้อยคืออะไรเหรอฮะ?”

เซี่ยอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “หมายความว่าเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีไงล่ะ”

“เชิญครับ เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ” เฉินเจียเหอปิดประตูเพราะกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนบ้าน

“แม่ แม่ไม่ได้บอกว่าอยากมาเจอหลานสาวอย่างมีความสุขหรอกเหรอ? ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้ล่ะ? ปล่อยเซี่ยเซี่ยไปเถอะ พี่สาวผมยังไม่ได้คุยกับเซี่ยเซี่ยเลย”

ในที่สุดหญิงชราก็ยอมปล่อยมือจากหลินเซี่ย ถึงอย่างนั้นก็ยังจับมือหลินเซี่ยด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็แตะไล้ไปตามใบหน้าของเธอ มองดูหลานสาวตรงหน้าและหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจว่า “หลานสาวของย่าสวยมาก ดูเหมือนจะสวยกว่าอาของหลานสมัยยังสาวซะอีก”

เซี่ยอวี่ “…“

เฉินเจียเหอกลัวว่าดาราสาวจะแหวขึ้นมาอีก เขาจึงรีบชวนหญิงชราให้นั่งลง “คุณย่า เชิญนั่งก่อนครับ”

“ได้ เอาล่ะทุกคน นั่งลงก่อน”

เซี่ยอวี่เองก็ผละออกมาจากหู่จื่อ เดินไปที่หลินเซี่ยด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “เซี่ยเซี่ย ฉันเซี่ยอวี่ เป็นอาของเธอนะ”

“สวัสดีค่ะอา” หลินเซี่ยเรียกเธออย่างสุภาพและอ่อนหวาน

“เซี่ยไห่บอกว่าเธอหน้าคล้ายฉันสมัยยังสาว ตอนแรกฉันนึกว่าเขาแค่บรรยายเกินจริงไปอย่างนั้นเอง แต่พอได้มาเห็นเธอในวันนี้ แม้แต่ฉันเองยังตกใจมาก ฉันเคยได้ยินคนพูดกันว่าหลานสาวจะเหมือนป้า ปรากฏว่าเป็นเรื่องจริง”

เซี่ยอวี่อ้าแขนทั้งสองข้างเข้าหาเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มา ขอฉันกอดหน่อยสิ”

หลินเซี่ยโน้มตัวเข้าไปกอดหล่อน

ดาราสาวไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย อ้อมกอดของหล่อนอบอุ่นมาก

“หู่จือ หลานชายที่รักของย่า มานี่เร็ว” หญิงชราดึงหู่จื่อเข้ามากอดในอ้อมแขนแล้วมองเขาด้วยความรัก “เป็นเด็กที่ท่าทางกำยำน่าเอ็นดูจริง ๆ ย่าเคยได้ยินชื่อของเธอมานานแล้ว อยากเจอหลานมาตลอดเลย”

หู่จื่อทำตัวดีมากเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของหญิงชราผู้ใจดี

เขารู้แล้วว่านางคือแม่ของลุงเซี่ย

ลุงเซี่ยเคยบอกว่าเขาถือว่าตนเป็นลูกชาย และคิดจะพาเขาไปที่ฮ่องกงเพื่อเยี่ยมเยียนย่าของเขา

เซี่ยไห่พูดจากด้านข้าง “แม่ การลำดับญาติของแม่สับสนใหญ่แล้ว หู่จื่อจะเรียกแม่ว่าย่าเฉย ๆ ไม่ได้”

หลังจากที่เซี่ยไห่เตือน หญิงชราก็ยิ้มและตบต้นขาตัวเอง “จริงด้วย แสดงว่าหู่จือต้องเป็นเหลนของฉันสินะ?”

เซี่ยไห่พยักหน้า “ใช่แล้ว หู่จือต้องเรียกแม่ว่าย่าทวด”

“แม่ ดูความรวดเร็วปานสายฟ้านี้สิ เดือนที่แล้วครอบครัวเรายังไม่มีเขย สะใภ้ หรือหลานด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พวกเรามีหลานแล้ว ฮ่าๆๆ ในที่สุดบ้านเราก็มีทายาทสี่รุ่นอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน”

พอเซี่ยไห่พูดแบบนี้ หญิงชราก็มองหลินเซี่ยที่กำลังคุยกับเซี่ยอวี่และหลานชายตัวน้อยในอ้อมแขนของเธอด้วยความรัก หัวใจเต็มเปี่ยมด้วยความสุข

นางไม่เคยคิดฝันว่าหญิงชราอย่างตัวเองจะได้ประสบกับความโชคดีแบบนี้อีกในชีวิต

นางมองดูลูกชายคนเล็กของตัวเองซึ่งจนป่านนี้แล้วก็ยังครองตัวเป็นหนุ่มโสดอยู่ จากนั้นพูดอย่างดูถูกว่า “ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ของลูกต่างหากที่ทำให้บ้านเรามีทายาทสี่รุ่นอยู่ด้วยกัน เกี่ยวอะไรกับลูกล่ะ?”

“ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ตอนนี้แม่ก็มีลูกหลานเหลนล้อมรอบแล้ว ดังนั้นอย่ากดดันให้ผมกับพี่สาวแต่งงานอีกเลย”

จากนี้ไปหญิงชราจะยุ่งอยู่กับการดูแลหลานสาวและอุ้มชูเหลนชายคนโปรด หมายความว่าพวกเขากำลังจะเป็นอิสระ

“ฉันไม่กดดันพวกเธอแล้วก็ได้” หญิงชรามองไปที่หลินเซี่ยและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เซี่ยเซี่ย พวกเขาแก่เกินกว่าจะมานั่งบังคับเรื่องส่วนตัวกันแล้ว อีกหน่อยทั้งหลานและเจียเหอไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงดูพวกเขาในวัยชรา ถ้าพวกเขาไม่ยอมแต่งงานมีลูก มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในบั้นปลายชีวิต”

หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “คุณย่า แต่พวกเขามีเงินนะคะ”

อาหญิงของเธอเป็นดาวค้างฟ้าของวงการบันเทิง ส่วนอารองก็เป็นเถ้าแก่ใหญ่ในโลกธุรกิจ พวกเขายังต้องการใครมาดูแลในยามแก่ตัวอีกเหรอ?

หญิงชราพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ปล่อยให้พวกเขากอดเงินไปจนตายนั่นแหละ”

นางมองผ่านไปทางเซี่ยไห่และเซี่ยอวี่ด้วยความรังเกียจ ก่อนจะเรียกหลินเซี่ยให้มานั่งอยู่ข้างเธอ จับมือเธอแล้วพูดเบา ๆ

“หลานรัก เธอต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปีแล้ว แม่ของเธอก็ต้องประสบความยากลำบากแสนเข็ญมาเหมือนกัน ย่าได้ยินเสี่ยวไห่เล่าเรื่องแม่ของเธอที่ได้ยินมาจากเจียเหอแล้ว ย่าฟังแล้วสะเทือนใจมาก หล่อนต้องแบกรับอะไรมามากเหลือเกินเพื่อที่จะเก็บทายาทไว้ให้เซี่ยเหลย แล้วย่าก็ได้ยินมาด้วยว่าหล่อนโชคดีที่ได้เจอกับสามีที่ดี ย่ารู้สึกขอบคุณพวกเขาจริง ๆ”

“โชคชะตาหนอ ช่างอัศจรรย์ดีแท้ ใครจะคิดว่าสักวันตัวเองจะมีหลานสาว ยายแก่อย่างฉันใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาโดยตลอด สามีก็มาจากไปก่อนวัยอันควร ทำให้ฉันต้องเลี้ยงลูกทั้งสามคนด้วยตัวเองตามลำพัง พวกเขาอยู่กับฉันด้วยความขัดสน ไม่มีแม้แต่อาหารหรือเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ น่าสมเพชยิ่งกว่าอะไรดี

“เวลาผ่านไปสักพัก เจ้าใหญ่ก็ออกไปรบจนเจ็บหนัก โชคดีที่ยังฟื้นกลับมาได้ด้วยอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เหลือ หลายปีที่ผ่านมาฉันคอยดูแลเขา ตั้งแต่วันที่เขาเป็นผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก จำแม่ตัวเองไม่ได้ ไปจนถึงวันที่เขาสามารถลุกขึ้นยืนและเรียกฉันว่าแม่ มีแต่ฉันคนเดียวที่รู้ว่าหัวใจตัวเองบอบช้ำแค่ไหน

“ถึงอย่างนั้นอาหญิงกับอารองของเธอก็ดิ้นรนเพื่อที่จะเอาตัวรอด ไม่ยอมให้ฉันใช้ชีวิตโดยปราศจากต้นทุนที่เพียงพอ

“ฉันคิดมาตลอด ว่าชาติที่แล้วฉันเคยทำกรรมชั่วเอาไว้มากขนาดไหน ถึงทำให้โชคชะตากลั่นแกล้งฉันอย่างหนักในชาตินี้ พอมาถึงตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าความโชคดีที่เหลืออยู่สงวนไว้สำหรับหลานสาวแสนดีของฉัน”

หญิงชราปาดน้ำตาพลางมองหน้าหลินเซี่ย คำพูดประโยคสุดท้ายเปลี่ยนจากความโศกเศร้าเป็นความโล่งใจ

หลินเซี่ยรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งเมื่อเธอได้ยินคำพูดของหญิงชรา

ดูเหมือนว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาของหญิงชราจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เห็นได้ชัดว่านางยังคงยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง และมองโลกในแง่ดีมาก

เธอพอเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมทั้งเซี่ยอวี่และเซี่ยไห่ถึงไม่อยากแต่งงาน

บางที เหตุผลอาจจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในวัยเด็กของพวกเขา

เฉินเจียเหอหยิบขนมออกมาวางบนโต๊ะ

ทุกคนนั่งคุยกันไปพลางกินขนมไปพลาง บรรยากาศกลมกลืนและอบอุ่นมาก

แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกสบายใจอย่างยิ่งที่ได้อยู่ร่วมกับพวกเขาทุกคน

หลินเซี่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาในที่สุด “สหายเซี่ยเหลยกับฉันจะได้ไปตรวจสอบความเป็นพ่อลูกกันเมื่อไหร่เหรอคะ?”

ยิ่งเธอสัมผัสถึงความอบอุ่นมากเท่าใด เธอก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยน้อยลงเท่านั้น

เนื่องจากในปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ถึงระดับที่สามารถระบุได้ว่าเซี่ยเหลยมีความสัมพันธ์เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอหรือไม่ผ่านวิธีการทางเทคโนโลยี เธอจึงรู้สึกว่ายังจำเป็นต้องตรวจสอบ

สิ่งนี้จะทำให้ทั้งสองฝ่ายสบายใจ

หญิงชรามองไปที่เซี่ยอวี่ จากนั้นจึงมองไปที่หลินเซี่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม

“หลานรัก จะตรวจหรือไม่ตรวจก็ไม่สำคัญแล้ว เธอหน้าเหมือนอาตอนสาว ๆ มาก ลักษณะทางกรรมพันธุ์ไม่มีผิดพลาดแน่”

เซี่ยไห่เสนอว่า “เซี่ยเซี่ยถามก็เพราะหล่อนเป็นแบบนั้น ไม่งั้นหล่อนจะเอาแต่กังวลและไม่เต็มใจที่จะสนิทชิดเชื้อกับพวกเราอย่างสนิทใจ”

เซี่ยไห่เข้าใจความกังวลของหลินเซี่ยเป็นอย่างดี นั่นเป็นเพราะเธอเคยอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเสิ่นมานานกว่ายี่สิบปีโดยที่ตัวตนไม่ถูกต้อง

เธอคงไม่อยากให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเป็นครั้งที่สอง

ในอดีตอาจไม่เคยมีวิธีการประเภทนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ในเมื่อมีวิธีพิสูจน์ที่แม่นยำ ก็ควรไปตรวจสอบดูสักหน่อย

หญิงชราถามอย่างสงสัย “แล้วต้องทำยังไงบ้างล่ะ? จำเป็นต้องให้พี่ใหญ่ของลูกไปที่นั่นด้วยตัวเองหรือเปล่า? ถ้าเขาจำเป็นต้องไป เราคงต้องหาข้ออ้างที่จะพาเขาไปโรงพยาบาล”

หลินเซี่ยบอกว่า “ไม่ต้องค่ะ ใช้เส้นผมแค่อย่างเดียว”

“ทันสมัยอะไรอย่างนี้”

“เข้าใจแล้ว งั้นเราจะไปดึงผมเขามาสักเส้น”

“หลานรัก พรุ่งนี้ออกไปกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันที่บ้านเถอะ จะได้เจอพ่อของเธอด้วยดีไหม?”

หลินเซี่ยเห็นด้วยทันที “ได้สิคะ”

“หลานสาวแสนดีของย่าเป็นคนมีเหตุผล หลังจากที่ได้เจอกับพ่อของตัวเองแล้ว คราวนี้ก็กลับไปเกลี้ยกล่อมเชิงอุดมการณ์ให้แม่ฟังได้แล้ว ย่าก็อยากเจอหล่อนมากเหมือนกัน”

หญิงชราอยากเห็นจริง ๆ ว่าผู้หญิงที่ลูกชายคนโตของนางเคยรักมีหน้าตาเป็นยังไง และยังอยากจะกล่าวขอบคุณหล่อนด้วยตนเองอีกด้วย

แน่นอนว่านางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันพวกเขาจะได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง

หญิงชราจับมือหลินเซี่ยไว้ขณะพูดเรื่องต่าง ๆ ทันใดนั้นก็ถอดสร้อยข้อมือออกจากมือของตัวเอง แล้ววางลงบนข้อมือของหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย นี่เป็นเครื่องประดับที่แม่ของย่าเคยทิ้งไว้ให้ ตอนแรกย่าตั้งใจว่าจะส่งต่อมันให้กับอาหญิงของหลานตอนที่เธอแต่งงาน แต่ดูเหมือนวันนั้นจะไม่มีวันมาถึงง่าย ๆ ย่าเลยอยากมอบมันให้กับเธอ ถือเป็นของขวัญที่แสดงถึงความปรารถนาดีของย่าที่มีต่อเธอก็แล้วกันนะ”

เมื่อชีวิตยากลำบากลงไปถึงจุดต่ำสุด นางไม่แม้แต่จะซื้อเครื่องประดับมาสวมใส่แม้แต่ชิ้นเดียวด้วยซ้ำ

ในที่สุด มรดกชิ้นนี้ก็มีเจ้าของคนใหม่แล้ว

หลินเซี่ยมองไปที่สร้อยข้อมือในมือของหญิงชรา แล้วรีบปฏิเสธ “คุณย่าเก็บเอาไว้ให้อาเถอะค่ะ อีกหน่อยอาต้องแต่งงานแน่”

เซี่ยอวี่โบกมืออย่างเร่งรีบ “เธอรับไว้เถอะ ฉันคงไม่แต่งงานแล้ว”

หญิงชราพยายามจะมอบให้หล่อนหลายครั้ง แต่หล่อนก็ปฏิเสธทุกครั้งไป

ถ้ารับไว้ก็หมายความว่าต้องแต่งงาน

หลินเซี่ยพูดว่า “อาคะ นั่นเป็นเพราะว่าคุณยังไม่ได้เจอคนที่ใช่ต่างหาก”

“ถ้าฉันแต่งงานจริง แฟนคลับจะต้องเสียใจมากแน่ ฉันแต่งงานไม่ได้หรอก เหตุผลที่ว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ใช้ไม่ได้กับฉัน”

หลินเซี่ยยิ้มและไม่พูดอะไรอีก

เธอจำได้ราง ๆ ว่าตอนที่เธอยังทำงานอยู่ในวงการบันเทิงเมื่อชาติที่แล้ว เธอก็ได้ยินข่าวซุบซิบบางอย่างเกี่ยวกับเซี่ยอวี่ ราชินีแห่งวงการภาพยนตร์ฮ่องกง

ดูเหมือนว่าหล่อนจะแต่งงานอย่างกะทันหันตอนที่อายุประมาณสี่สิบต้น ๆ จากนั้นก็หายไปคลอดลูก แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ แต่ทุกคนในแวดวงบันเทิงต่างก็รู้เรื่องนี้

ฮ่องกงมีราชินีแห่งวงการภาพยนตร์เพียงคนเดียวที่ชื่อเซี่ยอวี่ ดังนั้นจึงควรเป็นคนเดียวกันกับอาของเธอ

สำหรับผู้ชายคนนั้น ข่าวลือยังบอกด้วยว่าเขาเป็นคนนอกวงการ และเคยมีความสัมพันธ์แบบพี่น้องกับเซี่ยอวี่

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

คุณอาอาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่นะคะ โชคชะตาชอบเล่นตลกกับชีวิตคนเสมอแหละค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท