ตอนที่ 307 ในเมื่อไม่ได้ครอบครองก็ต้องทำลาย
ตอนที่ 307 ในเมื่อไม่ได้ครอบครองก็ต้องทำลาย
หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ ถังหลิงก็เริ่มยืนไม่มั่นคงและก้าวถอยหลังจนรองเท้าส้นสูงเกือบจะหัก เสียงของหล่อนสั่นพร่าด้วยความกลัว “เธอพูดไร้สาระอะไรออกมา?”
“ฉันกำลังพูดไร้สาระอยู่งั้นเหรอ? เป็นคุณมากกว่ามั้งที่จะตีหน้าซื่อใสไปอีกนานแค่ไหน? อดีตสามีของคุณชื่อเว่ยหย่งกัง แล้วปีนี้ลูกชายคุณก็น่าจะอายุสามขวบครึ่ง ฉันพูดผิดตรงไหน?”
สีหน้าของถังหลิงพลันหวาดผวา “….”
เพื่อนบ้านที่กำลังเฝ้าดูความตื่นเต้น รวมถึงผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็หยุดฟัง หลินเซี่ยขวางทางถังหลิงและปฏิเสธที่จะให้หล่อนกลับไปที่ร้าน พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบคมว่า “สามีเก่าคุณเป็นอัมพาตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จากนั้นคุณก็ฟ้องหย่าเขาแล้วเรียกร้องเอาทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวเขาไป คุณถึงได้มีเงินมาเปิดร้านตรงนี้ ทำตัวเป็นสาวโสดผู้เข้มแข็ง แล้วยังหวังจะจับเซี่ยไห่อีกไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณถึงได้หน้าด้านขนาดนี้กันนะ?”
ถังหลิงมองหลินเซี่ยราวกับเห็นเธอเป็นสัตว์ประหลาด ไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะค้นพบรายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลังของตนได้อย่างชัดเจนแบบนี้ หล่อนยกมือขึ้นอย่างสั่นเทา พยายามข่มขู่หลินเซี่ย “ถ้าเธอยังไม่หยุดพูดจาใส่ร้ายคนอื่น ฉันจะไม่สุภาพกับเธอแล้วนะ”
“คุณเคยสุภาพกับฉันด้วยเหรอ? ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก คุณยังพยายามจะแย่งเฉินเจียเหอไปจากฉันเลย พอรู้ตัวว่าไม่มีโอกาส ก็เลยมุ่งเป้าไปที่เซี่ยไห่อีกครั้ง แถมยังสนับสนุนให้เสิ่นเสี่ยวเหมยสร้างเรื่องว่าแท้งเพื่อใส่ร้ายฉันอีกด้วย เพราะอยากให้ฉันหย่ากับเฉินเจียเหอซะ สุดท้ายก็เป็นเสิ่นเสี่ยวเหมยจอมงี่เง่านั่นที่ทุ่มก้อนหินใส่เท้าตัวเอง คุณเอาตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำจนสะอาด แต่คิดเหรอว่าฉันจะสืบเรื่องผิดศีลธรรมทุกอย่างที่คุณทำไม่ได้? ถามหน่อยคุณเคยสุภาพกับฉันตอนไหน?”
“คุณอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพวกเขามากใช่ไหม? งั้นฉันควรเปิดเผยทุกอย่างให้ชัดเจนสินะ?”
หลินเซี่ยมองไปที่แม่เซี่ยและคนอื่น ๆ แล้วประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “เซี่ยไห่เป็นอาแท้ ๆ ของฉัน และคนเหล่านี้ก็คือคุณย่าและอาของฉัน เข้าใจหรือยัง?”
ถังหลิงทั้งรู้สึกประหลาดใจและโกรธในเวลาเดียวกัน
หลินเซี่ยไม่ได้เป็นแค่ลูกบุญธรรมของเซี่ยไห่อย่างที่เธอเข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วเธอเป็นลูกสาวของวีรบุรุษที่ไม่เคยปรากฏตัวงั้นเหรอ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ตระกูลเสิ่นปิดบังเรื่องนี้มานานแค่ไหน?
ทำไมถึงไม่มีใครพูดถึงความลับอันยิ่งใหญ่แบบนี้กับหล่อนมาก่อนเลย?
“ตราบใดที่ฉันหลินเซี่ยอยู่ตรงนี้ คุณไม่มีทางรวบหัวรวบหางเซี่ยไห่ได้ ต่อให้เซี่ยไห่จะสับสนไปชั่วขณะจนคุณฉวยโอกาสจากเขา แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ คุณไม่มีทางแต่งเข้าเป็นสะใภ้ตระกูลเซี่ยได้”
หลินเซี่ยแสดงท่าทางเด็ดเดี่ยว ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เธอทั้งแข็งแกร่งและมั่นใจพอตัว ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปทางถังหลิง
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย ในที่สุดคุณแม่เซี่ยก็รู้แล้วว่าถังหลิงเป็นผู้หญิงแบบไหน
นางทนไม่ได้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเคยคิดร้ายกับหลานสาวของเธอ
เมื่อมองจากหางตาแล้วเห็นเซี่ยไห่เดินออกมาจากห้องเต้นรำ นางก็ตะโกนด้วยความโกรธว่า “เสี่ยวไห่ มานี่หน่อยซิ”
เซี่ยไห่กระแอมไออย่างเสียไม่ได้ ทำได้เพียงเบียดฝูงชนเข้าไปกลางวงล้อมเท่านั้น
“ผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกับแก?” แม่เซี่ยถามด้วยใบหน้าเข้มงวด “แกคบกับหล่อนเหรอ?”
เซี่ยไห่เอามือแตะจมูกแล้วตอบว่า “แม่ ไม่ได้คบซะหน่อย”
“แล้วที่หล่อนบอกว่าเมื่อคืนพวกแกดื่มด้วยกันจนดึกดื่นล่ะ? อธิบายสถานการณ์มาให้ชัดเจน อย่าปล่อยให้คลุมเครืออยู่แบบนี้” คุณแม่เซี่ยหวังว่าลูกชายจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับถังหลิงต่อหน้าทุกคนอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้หล่อนเข้าใจผิดและทำลายชื่อเสียงของเขา
ทั้งสองยังไม่ได้แต่งงาน แถมคำพูดของคุณถังเมื่อกี้นี้ก็ยิ่งง่ายต่อการทำให้คนอื่นเข้าใจผิด ถ้าหลินเซี่ยไม่ได้อยู่เคียงข้างนาง นางก็คงจะคิดอย่างนั้นเหมือนกัน
ลูกชายของนางจะไม่หาแฟนหรือแต่งงานก็ได้ แต่เขาจะต้องไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ชายเพลย์บอยสำส่อน
เซี่ยไห่พูดอย่างจริงจังเช่นกัน
“แม่ ผมบอกแล้ว หล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องของถังจวิ้นเฟิง เมื่อคืนหล่อนก็มาที่ห้องเต้นรำเพราะบอกว่ามาหาจวิ้นเฟิงนั่นแหละ ผมเป็นเจ้าของกิจการ แน่นอนว่าไล่ลูกค้าออกไปไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ได้อยู่ตามลำพังกับหล่อนสองต่อสอง ผมกับคุณถังเป็นแค่เพื่อนบ้านกัน ไม่มีความสัมพันธ์อื่นใดทั้งนั้น”
ถังหลิงถูกคำพูดเซี่ยไห่ตบหน้าฉาดใหญ่ ใบหน้าอันละเอียดอ่อนของหล่อนสั่นระริกแทบทนไม่ไหว ทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่หยุดเสแสร้ง ตอนนี้ต่อให้จะถูกถีบตกลงไปในบ่ออาจม หล่อนก็ต้องดึงใครสักคนลงมาเผชิญความฉาวโฉ่ไปด้วยกัน
หล่อนมองไปที่เซี่ยไห่และพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหมายว่า “เซี่ยไห่ เมื่อคืนฉันไม่ได้ดื่มจนเมามากนัก อย่าคิดว่าฉันจำอะไรไม่ได้เลย เป็นคุณเองที่ยืนกรานว่าจะส่งฉันกลับบ้าน ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แถมเราทุกคนต่างก็โสด คุณอย่าพูดเหมือนกับตัวเองมีคุณธรรมสูงส่งนักเลย”
ทันทีที่ถังหลิงพูดเรื่องนี้ สายตาของเพื่อนบ้านที่เฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่ก็เริ่มคล้อยตาม
นอกเหนือจากสิ่งอื่นใด รูปร่างหน้าตาของถังหลิงถือว่าค่อนข้างดี
ไม่ว่าจะการแต่งตัวหรือชีวิตประจำวันของหล่อนล้วนทันสมัยมาก แถมหล่อนมักจะไปที่ห้องเต้นรำพร้อมกับเรียกหา ‘เถ้าแก่เซี่ย’ ตลอดเวลา คนอื่น ๆ เห็นกันทั้งนั้นว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี
บางคนคาดเดามานานแล้วว่าอีกหน่อยพวกเขาต้องลงเอยกันแน่
เซี่ยอวี่จ้องไปที่เซี่ยไห่อย่างดุเดือด “เห็นไหมว่านายเปลืองตัวขนาดไหน ถ้าไม่เคลียร์เรื่องนี้ให้รู้เรื่องก็ไม่ต้องกลับบ้านกับพวกเราอีก”
ผู้หญิงคนนี้ไร้ยางอายมาก ทว่าแมลงวันจะตามมาวนเวียนได้อย่างไรถ้ามันไม่ได้กลิ่นอุจจาระ
ต้องเป็นความผิดของน้องชายหล่อนด้วยส่วนหนึ่ง ที่ไม่ยอมแสดงเจตจำนงของเขาในทันที
ถ้าเป็นหล่อน ตราบใดที่ผู้ชายมาแสดงไมตรีหรือสารภาพรัก หล่อ่นจะบอกเขาไปตรง ๆ ว่าไม่ชอบผู้ชาย ทันใดนั้นความหวังทั้งมวลของอีกฝ่ายก็จะถูกตัดขาดทันที
เซี่ยไห่ตกใจมากจนยืนตัวตรงเมื่อเห็นพี่สาวจ้องเขม็ง พลันเสียใจที่เคยคิดว่าถังหลิงเป็นนักธุรกิจที่จริงจัง และยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่เมื่อคิดว่าตัวเองก็ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน ถังหลิงกลับมัดมือชกจนเขาเสื่อมเสีย
เขามองไปที่ถังหลิงด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า
“เถ้าแก่เนี้ยถัง ผมมองคุณเป็นคนดีมาตลอด ทำไมคุณถึงได้พูดจาไร้สาระแบบนี้ล่ะ? เมื่อคืนพวกเรากำลังจะปิดร้านแล้วแท้ ๆ แต่จนแล้วจนรอดคุณก็ยังไม่ยอมจากไป พนักงานของผมต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง ในฐานะเพื่อนบ้าน ผมก็เลยต้องรับผิดชอบพาคุณไปส่งถึงธรณีประตูบ้าน ไม่ได้ก้าวล่วงไปข้างหน้าด้วยซ้ำ อย่าพูดด้วยเจตนาชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดแบบนี้ ผมเป็นเจ้าของห้องเต้นรำ ผู้หญิงแบบไหนบ้างที่ผมไม่เคยพบเจอ คุณไม่ใช่สเปคของผมเลยสักนิด”
เซี่ยไห่ไม่เคยต้องการสานสัมพันธ์เชิงชู้สาวใด ๆ กับถังหลิง ทันทีที่เขาอธิบายแบบนี้ มันก็ทำให้เรื่องราวพลิกกลับตาลปัตรไปหาฝ่ายถังหลิง
แน่นอนว่ามีการถกเถียงกันมากมายตามมา
ถังหลิงถูกเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยซึ่งเปิดร้านอยู่บนถนนสายเดียวกันวิพากษ์วิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ ทำให้หล่อนรู้สึกเสียหน้ายิ่งกว่าครั้งไหน ๆ แทบอยากจะขุดรูบนพื้นแล้วมุดธรณีหนี
พร้อมกันนั้นก็ทั้งละอายใจและโกรธ หล่อนเช็ดน้ำตา จากนั้นก็เริ่มกล่าวหาเซี่ยไห่ด้วยท่าทางน่าสงสาร “เซี่ยไห่ ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะไม่มีความเป็นลูกผู้ชายแบบนี้ แถมยังเอาแต่ปัดความรับผิดชอบ ครอบครัวคุณกล้ารังแกผู้หญิงที่อ่อนแออย่างฉันได้ยังไง?”
เซี่ยไห่ไม่อยากโต้เถียงกับผู้หญิงในที่สาธารณะ เพราะโดยมารยาทแล้วการทำอย่างนั้นถือเป็นการไม่ให้เกียรติ
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เขากำลังถูกอีกฝ่ายจับย่างบนเตาไฟ
ถ้าเขาเอาแต่เงียบไม่เปิดปากอธิบาย อาจถูกน้ำสกปรกกระเด็นใส่จนเลอะทั้งตัว
ชื่อเสียงจะพลอยเสียหายตามไปด้วย
เซี่ยไห่เอามือเท้าสะเอว สูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองดูถังหลิง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เถ้าแก่เนี้ยถัง ผมปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความจริงใจเสมอ และปฏิบัติต่อคุณด้วยความสุภาพเสมอมา เราทุกคนเป็นเพื่อนบ้านและพันธมิตรทางธุรกิจ ผมตระหนักอยู่ตลอดว่าเราควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ถึงแม้ผมจะเคยได้ยินภูมิหลังแย่ ๆ เกี่ยวกับคุณมาก่อน แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอย่างจริงจัง เพราะผมไม่ได้มองคุณผ่านแว่นตาสี รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวที่จะทำธุรกิจตามลำพังในสังคม ผมเลยตั้งใจว่าจะช่วยเท่าที่ตัวเองช่วยได้ คุณอย่ามองว่าผมโง่ ประวัติของผมสะอาดไม่เคยด่างพร้อย แต่คุณกลับใช้คำพูดที่จูงใจทุกคนให้คิดว่าผมเป็นคนผิดศีลธรรมแบบนั้น ผมเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน และจะไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ล้อเล่นกับชื่อเสียงของผมเด็ดขาด”
เซี่ยไห่มองไปทางถังหลิงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะพูดอย่างไร้ความปรานี “เงื่อนไขของผมสำหรับเลือกคู่ครองในอนาคตค่อนข้างสูงทีเดียว ไม่งั้นผมคงไม่ครองตัวเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ คุณน่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมหมายถึงนะ แนะนำว่าคุณอย่ามายุ่งกับผมโดยคิดว่าเมื่อไม่ได้ครอบครองก็ต้องทำลายชื่อเสียงผมอีก ผมไม่ยอมรับเรื่องนี้”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจอผู้หญิงแบบนี้มันต้องโต้กลับอะ ไม่งั้นก็กลายเป็นฝ่ายเสียหายแบบงงๆ ทีหลังเถ้าแก่เซี่ยติดตั้งกล้องวงจรปิดในร้านด้วยนะคะ จะได้มีหลักฐานมายืนยันไม่ให้นังถังมันพูดพล่อยๆ อีก
รอสามีเก่ากับลูกมาหานังถังเลย น่าจะบันเทิงกว่าเดิม
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 303 ช่องว่างระหว่างคนรอบข้างจะใหญ่แค่ไหน
ตอนที่ 303 ช่องว่างระหว่างคนรอบข้างจะใหญ่แค่ไหน
หญิงชราจับมือหลิวกุ้ยอิง และกล่าวคำขอบคุณต่อหล่อน ไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกการพูดคุยระหว่างพวกหล่อนได้
“อิงจื่อ เธอคงทรมานมามากเลยสินะ”
หลิวกุ้ยอิงน่าจะมีอายุเท่ากับลูกสาวของนาง ซึ่งปีนี้เซี่ยอวี่อายุสี่สิบปีแล้ว
เมื่อทั้งสองนั่งลงด้วยกันและเปรียบเทียบ มองแวบแรกพวกหล่อนดูเหมือนแม่และลูกสาวไม่มีผิด
แต่หญิงชราบอกได้เลยว่า โครงหน้าของหลิวกุ้ยอิงนั้นสวยมาก โดยเฉพาะตาสองชั้นกลมโตของหล่อน ตอนที่หล่อนยังเด็ก คงจะสวยมากแน่ ๆ
ยี่สิบปีที่วัยสาวของหล่อนสูญเปล่า ต้องจมอยู่กับความผันผวนที่เกิดขึ้นในชีวิต
หญิงชรารู้สึกลำบากใจมากจริง ๆ
ในฐานะผู้หญิง นางรู้ดีถึงความเจ็บปวดของการเลี้ยงลูกตามลำพัง
ไหนจะเรื่องลูกนอกสมรสอีก ยังดีที่เอาชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้
หญิงชราเอาแต่เช็ดน้ำตาที่รินไหล จนเซี่ยไห่ต้องเข้ามาเตือนอย่างช่วยไม่ได้
“แม่ หยุดพูดเรื่องนี้ก่อนเถอะ พูดซ้ำไปสิบกว่ารอบแล้ว พี่อิงจื่อต้องทนทุกข์มานานก็จริง แต่เรามาชดเชยให้กันในวันข้างหน้าดีกว่า ถนอมช่วงเวลาดี ๆ เอาไว้ อย่าขุดเรื่องเศร้ามาพูดเลย”
“เอาล่ะ เราจะไม่คุยเรื่องนี้แล้ว มาให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้กันดีกว่า” หญิงชรามองหลิวกุ้ยอิงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อิงจื่อ เธอยังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่ต้องมาเจอจุดสูงสุดความลำบากขนาดนี้แล้ว”
หญิงชราคิดอยู่ในใจว่าตนจะต้องพาอิงจื่อและเซี่ยเหลยกลับมาเจอกัน และทำให้หล่อนเป็นสะใภ้ตระกูลนี้อย่างถูกต้อง
ครอบครัวของนางจะต้องดูแลอีกฝ่ายอย่างดี
หลังจากนั่งได้สักพัก เซี่ยไห่ดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “จะเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ”
“ไม่เป็นไร กินกันที่บ้านนี่แหละ ฉันจะทำอาหารเอง”
หลิวกุ้ยอิงเป็นคนชนบทที่เป็นกันเองและเรียบง่าย เมื่อแขกมาเยี่ยมบ้านทั้งที มารยาทที่ดีที่สุดคือการเปิดบ้านและเลี้ยงอาหารให้กับแขก
หล่อนไม่นิยมพาแขกไปกินข้าวนอกบ้าน และยังรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การต้อนรับแขกที่ดีเลย
เมื่อหลิวกุ้ยอิงพูดแบบนี้ คุณแม่เซี่ยก็ไม่ยอมนั่งอยู่เฉย รีบถามขึ้นว่า “นั่นจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่า?”
“ไม่รบกวนเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของพวกคุณที่กลับมาแถวนี้ จะปล่อยให้ออกไปข้าวกินกันเองได้ยังไงคะ?”
คุณแม่เซี่ยมองผู้หญิงเรียบง่ายตรงหน้าแล้วพูดว่า
“อืม ถ้าอย่างนั้นเราก็ยินดี”
เซี่ยอวี่เตือนว่า “แม่ ถ้าเราออกมาข้างนอกนานเกินไป แถมไม่ได้บอกพี่ใหญ่เอาไว้ด้วย เขาต้องกังวลมากแน่ ๆ”
หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งว่า “งั้นเสี่ยวไห่ช่วยกลับไปบอกพี่ใหญ่หน่อยว่าเรามากินข้าวกับเซี่ยเซี่ยและแม่ของหล่อน แล้วเราค่อยตามกลับไป”
เซี่ยไห่ที่นั่งฟังอยู่ ก็รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจทำ “แม่ครับ ทำไมถึงให้ผมกลับไปล่ะ? ผมก็อยากกินอาหารฝีมือพี่อิงจื่อเหมือนกัน แถมไม่ได้กินมานานแล้วด้วย”
เซี่ยอวี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ก็นายมีรถ เป็นคนส่งข่าวน่ะดีแล้ว”
เซี่ยไห่ทำได้แค่ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ก่อนออกไปข้างนอก เขาถามหลิวกุ้ยอิงว่า “พี่อิงจื่อ จะทำเมนูอะไรเหรอ? ถ้าเป็นเหลียงเฝิ่นก็เหลือไว้สักชามนะ เดี๋ยวผมกลับมากินทีหลัง”
หลิวกุ้ยอิงยิ้มและตอบกลับว่า “ได้สิ”
เซี่ยไห่ฮัมเพลงแล้วเดินออกไป หญิงชราเห็นลูกชายและอิงจื่อเข้ากันได้ดีแบบนี้ก็ยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
คงจะดีมากถ้าลูกชายคนโตสามารถเข้ากับอิงจื่อแบบนี้ได้ในภายหน้า
หลิวกุ้ยอิงมองไปทางหลินเซี่ย และถามความคิดเห็นจากเธอว่า “แม่จะผัดผักและทำเหลียงเฝิ่นแทนหุงข้าว ตกลงไหม?”
ก่อนที่หลินเซี่ยจะตอบ หญิงชราก็พูดว่า “อิงจื่อ เธอกำลังจะทำเมนูอะไร? เราเข้าไปช่วยไหม? เราไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกเรื่องกินอะไรมากหรอก”
นอกจากนี้หญิงชรายังต้องการเข้าไปช่วยหลิวกุ้ยอิงทำอาหารในครัวด้วย
หลิวกุ้ยอิงรีบห้ามทันที “ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันลงมือเองดีกว่า”
“เอาน่า ให้ฉันช่วยนะ”
หลินเซี่ยอยากจะตามไปห้องครัว แต่หลิวกุ้ยอิงกลับพูดว่า “ไม่เป็นไร ลูกไปอยู่กับแขกเถอะ แม่จัดการคนเดียวได้”
หญิงชรามองหลิวกุ้ยอิงที่ทำงานหนักและขยันขันแข็ง จากนั้นมองไปที่เซี่ยอวี่ซึ่งกำลังนั่งเล่นเพจเจอร์อยู่ด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้
ดูอิงจื่อสิ นี่แหละคือสิ่งที่คนวัยสี่สิบควรจะเป็น ไม่ใช่แบบนั้น
ลูกสาวและลูกชายคนสุดท้องยังคงทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิดเลย
ช่างน่าหดหู่มาก
ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ยังคงทำตัวเหมือนเด็ก เมื่อแก่ตัวลงจะมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวหรือเปล่า
ไม่รู้จะกังวลเรื่องน้ำมัน เกลือ ซอส และน้ำส้มสายชูอย่างไร
ขณะที่นางกำลังตำหนิเซี่ยอวี่และลูกชาย เซี่ยอวี่ก็ตอบกลับเสียงดัง
หญิงชราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลืนคำพูดที่มาถึงลำคอลงไป
เซี่ยอวี่เดินไปที่ประตูแล้วรับโทรศัพท์
“ฉันบอกว่าต้องการรับช่วงต่องานนี้ พวกคุณควรจะติดต่อกลับมาโดยเร็วที่สุดด้วย
สรุปราคาเท่าไหร่? นี่คือบ้านเกิดฉัน ถ้าไม่มีที่นี่ ฉันจะอยู่รอดมาถึงอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง? พูดดี ๆ กับฉันด้วยเวลาคุยเรื่องงาน อย่าพูดถึงทีมดาราด้วยจมูกที่ลอยไปในท้องฟ้าของคุณอีก
อืม มาถึงแล้วก็โทรหาฉันด้วย”
เซี่ยอวี่มักดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทั้งที่เป็นสาววัยกลางคนแล้ว
แต่เมื่อใดที่หล่อนอุทิศตนให้กับงาน หล่อนก็มีราศีเต็มเปี่ยม จนแม้แต่หญิงชราก็ไม่กล้าแย้ง
หญิงชรารู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อคิดว่าเป็นเวลาหลายปีที่พวกเขาต้องพึ่งพางานของลูกสาวเพื่อสนับสนุนชีวิตประจำวัน คิดแบบนั้นแล้วหัวใจก็รู้สึกเป็นทุกข์
สุดท้ายแล้วจะขอร้องพวกเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ เป็นนางกับเซี่ยเหลยเองที่ลากลูกสาวไปยังจุดนั้น ทำให้หล่อนพลาดช่วงอายุที่ดีที่สุดในการแต่งงานไป
หลินเซี่ยนั่งลงข้าง ๆ และมองเซี่ยอวี่ด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง
ช่องว่างระหว่างคนรอบข้างใหญ่แค่ไหนกัน?
เซี่ยอวี่และหลิวกุ้ยอิงต่างเป็นตัวอย่างที่มีชีวิต
ผู้หญิงทั้งสองคนถูกหล่อหลอมขึ้นจากสภาพแวดล้อมสองแห่งที่แตกต่างกัน มีชะตากรรมและสถานะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ไม่สามารถเทียบได้ว่าใครมีความสุขมากกว่ากัน หลิวกุ้ยอิงเลี้ยงลูกสามคน สำหรับหล่อนแม้ว่าหนทางจะขรุขระบ้าง แต่ก็ไปถึงความสำเร็จเหมือนกัน
ในฐานะราชินีแห่งภาพยนตร์ เซี่ยอวี่ประสบความสำเร็จมากกว่าจากมุมมองทางโลก
แต่ไม่มีมาตรฐานการวัดแบบรวมสำหรับคำจำกัดความของความสำเร็จ
แค่มีความสุขกับตัวเองก็พอแล้ว
คงต้องใช้เวลาสักพักก่อนอาหารมื้อใหญ่จะพร้อม แม่เซี่ยจึงแนะนำให้หลินเซี่ยพาพวกเขาไปเดินเล่นในซอย
นางอยากจะไปชมบริเวณปากซอย เพื่อดูบ้านเก่าที่เคยอาศัยอยู่
หลินเซี่ยไม่คุ้นเคยกับสถานที่แถวนี้มากนัก ดังนั้นทั้งสามจึงเดินไปรอบ ๆ ในตรอกด้วยกัน กระทั่งหญิงชราพบทางกลับบ้านหลังเก่าในความทรงจำ
“เสี่ยวอวี่ ยังจำสถานที่พวกนี้ได้ไหม?”
“แม่ ฉันจำได้อยู่ค่ะ แต่แค่ไม่อยากจำมันก็เท่านั้น”
เมื่อตอนที่พวกเขายังอาศัยอยู่ละแวกนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ใช้ชีวิตตนเองให้มีความสุขเถอะค่ะ นิยามความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
ไหหม่า(海馬)
