ตอนที่ 308 อดีตสามีผู้พิการ
ตอนที่ 308 อดีตสามีผู้พิการ
เซี่ยไห่ระเบิดความขุ่นเคืองด้วยการเปิดปากสั่งสอนถังหลิงอย่างไร้ปรานี จนถังหลิงไม่อาจตอบโต้ได้ ใบหน้าของหล่อนบิดเบี้ยวอย่างขมขื่นก่อนจะผลักไสเซี่ยไห่ออกไป และคิดจะกลับไปที่ร้านอีกครั้ง
แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยยืนอยู่บนบันไดพร้อมกับจ้องมองหล่อนราวเจอสัตว์ประหลาด
“เสี่ยวเหมย หลีกไป”
เพราะทางบันไดในร้านค่อนข้างแคบ และมีเสิ่นเสี่ยวเหมยยืนกีดขวางเอาไว้ ทั้งยังมีผู้คนเข้ามารุมล้อมเพื่อรับชอบความสนุกสนานมากมาย เหล่านี้กลายเป็นสิ่งกีดขวางของถังหลิงอย่างช่วยไม่ได้
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
หล่อนมองถังหลิงตรงหน้าก่อนจะถามช้า ๆ “พี่หลิง คุณแต่งงานและมีลูกแล้วจริงเหรอ? แล้วคุณก็เอาเงินจากอดีตสามีมาด้วยจริงไหม?”
ข้อมูลที่เพิ่งได้ยินนี้เป็นเรื่องใหญ่โตที่ทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยถึงกับตั้งรับไม่ทัน
ถังหลิงเป็นหญิงแกร่งที่หล่อนชื่นชมเสมอมา แต่เวลานี้อีกฝ่ายกลับกลายเป็นหญิงใจร้ายและไร้คุณธรรม แสร้งทำตัวเก่งกาจแต่กลับไม่มีความสามารถในการหาเงิน ความร่ำรวยทั้งหมดที่มีในเวลานี้ได้รับมาจากการฉ้อโกงผู้อื่น
อีกทั้งหล่อนยังเคยให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคน และทอดทิ้งเขา
ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนั้น?
เสิ่นเสี่ยวเหมยนึกถึงถ้อยคำที่หลินเซี่ยบอกกล่าวเกี่ยวกับถังหลิน เวลานั้นในใจพลันตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงได้ทันที
ก่อนหน้านี้ ถังหลิงกระตือรือร้นที่จะเข้าหาหล่อนเสมอมา หากมองผ่าน ๆ จะพบว่าหล่อนกำลังช่วยเหลือตนในการจัดการกับหลินเซี่ย แต่หลังจากตรองดูให้ดีแล้ว หล่อนเพียงใช้ตนเป็นเครื่องมือเท่านั้น
เพราะตัวหล่อนไม่เคยคิดที่จะใช้การตั้งครรภ์มาหลอกลวงหลินเซี่ยเลย สุดท้ายแล้วทั้งหมดคือความคิดของถังหลิง
และยังมีอีกหลายอย่างที่ถังหลิงเป็นคนคิดริเริ่มจะลงมือ ไม่รู้เลยว่าหล่อนคิดเรื่องแบบนั้นได้โดยตั้งใจหรือไม่
หลังจากมาถึงขั้นตอนหย่าร้าง คราวนั้นถังหลิงบอกว่าจะไปหาเฉินเจียซิ่งเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ แต่สุดท้ายก็ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายไปปฏิบัติตามแผนอย่างไร เขาถึงได้ตีตัวออกห่างและหลีกเลี่ยงหล่อนเสมอมา
หลิวลี่ลี่บอกว่าถังหลิงไปที่ร้านของหลินเซี่ยบ่อยครั้งเพื่อแสดงความเป็นมิตร
เสิ่นเสี่ยวเหมยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เวลานี้สายตาที่มองถังหลิงจึงเต็มไปด้วยความเย็นชา
หลิวลี่ลี่ยังไม่ได้รับเงินเดือนของเดือนนี้ และในสายตาของอีกฝ่าย ถังหลิงเป็นเจ้านาย และเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับหล่อน
สายตาของหล่อนจึงจดจ้องอยู่ที่ถังหลิงโดยไม่รู้ตัว
“อาเสี่ยวเหมย อย่าฟังคำของหลินเซี่ยเลยค่ะ พี่หลิงเก่งมาก หล่อนไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน”
เสิ่นเสี่ยวเหมยขยับให้หลิวลี่ลี่ออกไป ก่อนจะจ้องมองถังหลิงโดยตรง “ถังหลิง บอกฉันมาสิว่าที่หลินเซี่ยพูดเป็นความจริงไหม?”
“เสี่ยวเหมย เราไปที่ร้านกันก่อนดีกว่า”
เสิ่นเสี่ยวเหมยเองไม่ยอมเคลื่อนไหว ปฏิเสธที่จะเดินและพูดขึ้นว่า “พูดกันตรงนี้แหละ”
ถังหลิงไม่คิดมาก่อนว่าคนโง่เขลาเช่นเสิ่นเสี่ยวเหมยจะต่อต้านหล่อนในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ อีกทั้งยังยืนกรานจะพูดคุยต่อหน้าคนมากมายด้วย
แน่นอนว่าหล่อนต้องไม่ยอมรับภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม
ขณะนั้นด้านนอกฝูงชน หญิงชราคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ก็เดินเข้ามา สายตานางจ้องมองคนหนุ่มสาวที่ยืนเบียดเสียดกันในสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงดังว่า
“สวัสดีทุกคน คนที่ชื่อถังหลิงเปิดร้านอยู่ที่นี่ไหม?”
ลู่เจิ้งอวี่และหลินจินซานเขย่งเท้าอยู่ด้านหลังเพื่อรับชมความตื่นเต้น เดิมทีหลินจินซานต้องการที่จะช่วยเหลือน้องสาวของตน แต่เมื่อได้ยินคนถามหาถังหลิง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันมองด้วยความสงสัย
ก่อนพบว่าเป็นหญิงชราอายุราว 60 ปีกำลังเข็นรถวีลแชร์เข้ามา ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นมีใบหน้าหดหู่และแววตาโศกเศร้า ด้านข้างของเขาเป็นเด็กชายตัวน้อยอายุราว 4 ขวบ
หลินจินซานมองพวกเขาทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยปากถาม “พวกคุณมาหาถังหลิงเหรอครับ?”
หญิงชราตอบกลับ “ใช่ ฉันมาตามหาถังหลิง ถังหลิงอยู่ที่นี่ไหม? แล้วคุณรู้จักหล่อนไหม?”
นางเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า และไม่ทราบเลยว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ อีกทั้งไม่เห็นป้ายร้านเสริมสวยที่คนบอกกล่าวก่อนหน้า จึงค่อนข้างกังวลว่าจะมาผิดที่
หลินจินซานเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นหญิงชราและชายบนรถเข็นเขาก็จดจำได้ถึงถ้อยคำที่หลินเซี่ยเคยบอกกล่าว อดีตสามีของถังหลิงเป็นอัมพาตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และหล่อนทิ้งสามีพร้อมลูกชายอย่างไม่ใยดี ดวงตาก็กลอกไปมาก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก
เขามองผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นก่อนจะกล่าวออกด้วยสีหน้าใคร่รู้ “คุณคืออดีตสามีที่ถังหลิงทิ้งมาใช่ไหมครับ?”
ชายนั่งรถเข็นไม่ตอบ แต่หญิงชรากลับตอบแทนพร้อมกับเผยความขุ่นเคืองผ่านน้ำเสียง “ใช่! ไม่เพียงแต่ทิ้งลูกชายของฉัน แต่หล่อนยังทอดทิ้งลูกของตัวเองได้ลงคอด้วย!”
“คุณป้าไม่ต้องกังวลนะครับ หล่อนอยู่ที่นี่จริง ๆ”
หลินจินซานเข้าไปช่วยเข็นรถเข็นด้วยความกระตือรือร้นก่อนจะตะโกนว่า
“ทุกคนครับช่วยหลีกทางหน่อย มีพี่ใหญ่นั่งรถเข็นขอผ่านทางครับ”
ฝูงชนทั้งหมดแหวกทางออก
หลินจินซานผลักรถเข็นไปเคลื่อนไปด้านหน้า
ถังหลิงพยายามบอกกล่าวให้เสิ่นเสี่ยวเหมยหลีกทาง และคิดจะหลบเข้าไปในร้าน
แต่จู่ ๆ กลับมีเสียงหนึ่งเรียกให้หล่อนหยุดการกระทำ
ทันทีที่หญิงชราเห็นถังหลิงอยู่ตรงหน้า นางก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “ถังหลิง ในที่สุดเราก็ได้พบแกสักที!”
ถังหลิงได้ยินเสียงคุ้นเคยนั้นจึงหันหลังกลับมาโดยไม่รู้ตัว
ชายบนรถเข็นสบตากับถังหลิง มือที่วางบนที่พักแขนของรถเข็นกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
ถังหลิงเผยสีหน้าหวาดผวาทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขาชัดเจน เท้าของหล่อนเริ่มขยับและพยายามจะแทรกตัวผ่านทางบันได
แต่ว่ามันสายเกินไปแล้ว
หญิงชราวิ่งเข้ามาพร้อมคว้าเด็กชายให้เข้าหาหล่อนด้วย “ถังหลิง รู้ไหมว่าพวกเราต้องลำบากแค่ไหนว่าจะหาแกเจอ”
หญิงชราผลักเด็กชายให้กับถังหลิงก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวจวิน เรียกแม่เสียสิ”
เด็กชายคนนี้มีร่างกายผอมแห้งคล้ายขาดแคลเซียม ศีรษะของเขาโตผิดปกติจนคล้ายกับหัวไชเท้าน้อย
เขามองผู้หญิงที่แต่งตัวสวยตรงหน้าด้วยความเขินอายก่อนจะอ้าปากร้องเรียกแม่
“พวกคุณ….”
ถังหลิงมองพวกเขาทั้งหมด คล้ายว่าโลกทั้งใบหยุดนิ่ง ทั้งสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่
ใครกันที่พาพวกเขามา?
หล่อนหันมองหลินเซี่ยที่กำลังจะเดินผ่านไป แต่แล้วก็หยุดฝีเท้าเพื่อรับชมความสนุกสนาน
คงจะเป็นหลินเซี่ยนังหญิงใจทรามนั่นแน่ๆ
ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริง ๆ เพราะรู้ถึงอดีตทุกอย่างของหล่อน
หญิงชราคว้าแขนของถังหลิงอย่างโกรธเกรี้ยว “ถังหลิง ฉันรู้ว่าแกหย่ากับลูกชายของฉันแล้ว แต่แกจะละเลยเด็กคนนี้ไม่ได้ เขาคือเลือดเนื้อของแกด้วยเหมือนกัน ตอนที่แกทิ้งลูกชายพร้อมเอาทรัพย์สินทั้งหมดในครอบครัวของพวกเราไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพวกเราต้องเผชิญกับความลำบากแร้นแค้น!
ปู่ของเสี่ยวจวินตายเมื่อปีที่แล้ว ส่วนฉันก็แก่มากแล้ว และยังต้องดูแลลูกชายที่พิการ พอฉันต้องทำงานหนัก สุขภาพของฉันก็แย่ลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งโรคข้ออักเสบกำเริบบ่อยครั้ง และพาลูกชายออกจากบ้านเพื่อไปพบเจอแสงแดดไม่ได้ ฉันหมดปัญญาที่จะรักษาเขา จนกระทั่งได้ยินมาว่ามีแพทย์แผนจีนชื่อเฒ่าเย่ในเมืองไห่เฉิงที่มีทักษะการแพทย์ยอดเยี่ยม ดังนั้นฉันขอให้แกคืนเงินและเครื่องประดับทั้งหมดให้กับพวกเรา ฉันต้องใช้เงินพวกนั้นเพื่อไปรักษาอาการป่วยของลูกชาย”
ถังหลิงถอยออกห่างจากพวกเขาหนึ่งก้าวก่อนจะกล่าวออกมาอย่างโง่เขลา “ฉันไม่รู้จักพวกคุณ”
“ไม่รู้จักเหรอ? นี่คือรูปถ่ายของแก แต่แกกล้าพูดว่าไม่รู้จักพวกเรางั้นเหรอ?” ดูเหมือนว่าหญิงชราจะเตรียมพร้อมจริง ๆ นางหยิบรูปถ่ายของถังหลิงและชายนั่งรถเข็นออกมาจากถุงในมือ
รูปนี้ถ่ายในร้านถ่ายภาพ ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่ และหญิงชราก็ยกมันสูงขึ้นเพื่อให้คนรอบข้างมองเห็นได้ชัดเจน
ผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างชายคนนั้นคือถังหลิงไม่ผิดเพี้ยน
เวลานี้ใบหน้าของถังหลิงกลายเป็นหนาวเหน็บ หล่อนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
“เราหย่ากันแล้ว และทุกกระบวนการก็จบสิ้นแล้ว ฉันไม่เกี่ยวข้องกับพวกคุณอีกต่อไป ส่วนลูกเป็นสิ่งที่พวกคุณต่อสู้เพื่อแย่งชิงไปจากฉัน แต่ตอนนี้กลับพาเขามาสร้างปัญหาให้ฉันอีกครั้ง มันหมายความว่าอะไร? ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ต้องการให้ฉันมีชีวิตที่ดีใช่ไหม?”
หญิงชราตอบกลับทันควัน “ใช่ เด็กคนนี้คือสิ่งที่เราพยายามจะเก็บเอาไว้ เพราะลูกชายของฉันประสบอุบัติเหตุและขาของเขาพิการ เขาจะไม่สามารถแต่งงานหรือมีลูกได้อีก เสี่ยวจวินเป็นลูกชายคนเดียวในตระกูลของฉัน หากแกต้องการหย่าร้างและพาเขาไปด้วย พวกเราก็จะต่อสู้เพื่อขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเขาแน่นอน!
ฉันเข้าใจแล้วว่าแกจงใจใช้เด็กคนนี้ข่มขู่พวกเรา เพราะแกรู้ดีว่าเสี่ยวจวินคือจุดอ่อนของเรา และแกก็ไม่คิดจะพาเขาไปจริง ๆ!”
“ทุกคนโปรดช่วยตัดสินใจด้วย ลูกชายของฉันประสบอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน และถังหลิงบอกว่าหล่อนจะออกจากบ้านพร้อมกับลูกชาย ฉันคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน แต่หล่อนบอกเสียงแข็งว่าชีวิตลูกชายของฉันจบสิ้นแล้ว หล่อนไม่มีวันจะทิ้งทั้งชีวิตของหล่อนเพื่ออยู่กับคนพิการได้
เพราะเหตุผลนั้นลูกชายของฉันจึงยอมตกลงที่จะหย่าร้าง และสิ่งที่พวกเราขอก็คือให้เด็กชายอยู่กับเรา เพราะเด็กคือความหวังเดียวของพวกเรา
สุดท้ายหล่อนบอกว่าหากต้องการให้หล่อนสละสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็ก เราต้องจ่ายเงินหนึ่งแสนหยวนให้หล่อน ไม่อย่างนั้นก็ให้เราไปฟ้องร้องต่อศาลเอาเอง และแน่นอนว่าในกรณีของลูกชายฉัน ต่อให้ฟ้องร้องกันในศาลก็ต้องพ่ายแพ้ เด็กจะกลายเป็นของหล่อนทันที ฉันกับสามีต่างเป็นคนที่เกษียณอายุงานแล้ว พวกเราจึงต้องถอนเงินบำนาญที่เก็บออมไว้กว่าครึ่งชีวิตออกมา รวมกับค่าชดเชยที่ได้รับจากการประสบอุบัติเหตุ ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งแสนหยวนที่มอบให้หล่อน”
หนึ่งแสนหยวน?
ฝูงชนทั้งหมดสูดลมหายใจพร้อมกัน
หนึ่งแสนหยวนนั้นมากมายเท่าใดกัน?
พวกเขาไม่สามารถจินตนาการถึงมันได้ด้วยซ้ำ
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนงาน และได้รับเงินเดือนเพียง 100 หยวนต่อเดือนเท่านั้น ต่อให้ไม่กินและดื่มเป็นหลายสิบปีเพื่ออดออม ก็ไม่มีวันที่จะได้รับเงินมากมายขนาดนั้นได้
และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากครอบครัวใดมีเงินมากถึงหนึ่งหมื่นหยวนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเรียกร้องเงินมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนอีกงั้นเหรอ?
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันมาก ครอบครัวสามีเก่ามาเองเลย แถมแฉต่อหน้าประชาชีด้วย นังถังจะหนีไปไหนได้อีก
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 304 ทำไมลูกชายคนอื่นถึงได้เอาถ่านขนาดนี้
ตอนที่ 304 ทำไมลูกชายคนอื่นถึงได้เอาถ่านขนาดนี้
หลินเซี่ยไม่ค่อยคุ้นเคยกับละแวกนี้เท่าใด เธอมักจะเข้าออกซอยนี้เวลาไปมาหาสู่ครอบครัว และไม่เคยแวะไปที่อื่นเลย
ตอนนี้เธอกับเซี่ยอวี่เดินตามหญิงชราผ่านตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวหลายซอย จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าลานบ้านเก่าที่ว่างเปล่า
“ในที่สุดก็เจอสักที นี่ไงบ้านเก่าที่เราเคยอยู่”
หญิงชรากวาดตามองลานบ้านที่ทรุดโทรม ยืนเขย่งเท้าและพยายามมองเข้าไปข้างในจากกำแพง “ฉันจำได้ว่าเราย้ายมาอยู่นี่เกือบสามสิบปีแหนะ”
ความทรงจำในวัยเด็กของเซี่ยอวี่นั้นคลุมเครือมาก และหล่อนปฏิเสธที่จะนึกถึงความยากลำบากในตอนนั้น
เรื่องนี้ช่างแสนหดหู่มาก ทำให้นึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างในวัยเด็ก
พ่อที่ป่วยหนัก แม่ที่ทำแต่งาน และตัวหล่อนเองที่เป็นลมเพราะต้องทนต่อความหิว
พี่ชายถูกทุบตีจนเลือดกำเดาไหล เพียงแค่ออกไปหาอาหารให้ครอบครัว
“ทำไมตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่เลยล่ะ? ฉันไม่รู้ว่าบ้านนี้ถูกใครซื้อไปรึยัง หรือตกเป็นที่ดินของรัฐไปแล้ว?”
บ้านส่วนใหญ่ในบริเวณนี้เดิมเคยเป็นบ้านจัดสรร
หลังจากที่หลายคนย้ายออกไป พวกเขาแค่เช่าบ้านเก่าเก็บเอาไว้
เซี่ยอวี่ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ราวกับว่าปีแห่งยากลำบากเหล่านั้นกำลังโบกมือทักทายหล่อนอีกครั้ง ชวนให้รู้สึกหายใจไม่ออก ก่อนหันไปพูดกับแม่ของตนว่า
“แม่ ฉันดูจนพอแล้ว เรากลับกันเถอะ”
เมื่อเห็นลูกสาวเริ่มไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด หญิงชราถอนหายใจและพยักหน้าตอบ “อืม กลับกันเถอะ”
สุดท้ายพวกเธอก็ทำผิดพลาดอีกครั้ง ก่อนเดินมาถึงบ้านหลิวกุ้ยอิง ทั้งสามเกือบหลงทางไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ หญิงชราจึงหัวเราะเยาะหลินเซี่ยและเซี่ยอวี่ โดยบอกว่าความทรงจำของคนหนุ่มสาวไม่ดีเท่าหญิงชราอย่างเธอ
ทันทีที่เข้ามาในลานหน้าบ้านหลิวกุ้ยอิง พวกเธอก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาเตะจมูก
หลิวกุ้ยอิงเทเหลียงเฝิ่นลงในกะละมัง และวางลงบนโต๊ะหินในสนามเพื่อทำให้แห้ง
“คุณย่าคะ นี่คือเหลียงเฝิ่นที่แม่ทำ กินแบบเย็นจะมีรสสัมผัสชัดเจนมากกว่า”
“มันทำจากแป้งมันฝรั่งสินะ ฉันเคยทำเหลียงเฝิ่นแป้งมันฝรั่งมาก่อน”
หลินเซี่ยฟังหญิงชราพูด ก็คอบกลับอย่างมีความสุขว่า “ว้าว เหลียงเฝิ่นแป้งมันฝรั่งก็อร่อยมากเหมือนกันค่ะ”
“ไว้ฉันเริ่มคุ้นเคยกับที่นี่ก่อน เดี๋ยวให้ตาลุงของเธอซื้อแป้ง แล้วฉันจะทำเหลียงเฝิ่นแป้งมันฝรั่งให้กินนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณย่า”
หลินเซี่ยพูดคำว่าคุณย่าแทบทุกประโยค แถมยังใช้น้ำเสียงแบบธรรมชาติและอ่อนหวาน หญิงชราได้ฟังก็มีความสุขจนล้นอก
เมื่อหลิวกุ้ยอิงเห็นพวกเธอกลับมาจึงพูดขึ้นว่า
“อาหารจะพร้อมเร็ว ๆ นี้แล้ว รีบเข้ามารอได้เลยค่ะ”
หลินเซี่ยรีบไปล้างมือ และนำอาหารมาจัดวางบนโต๊ะ เมื่อเซี่ยไห่กลับมา หลินจินซานก็ติดตามกลับมาด้วย
เขากลืนน้ำลายเมื่อเห็นหลินเซี่ยจัดโต๊ะอาหาร “เพิ่งทำเสร็จเลยนี่นา กลับมาทันจนได้”
หญิงชราพูดไม่ออกเมื่อเห็นลูกชายซึ่งเป็นถึงเถ้าแก่ใหญ่ แต่กลับแสดงความอยากอาหารตรงหน้าจนน้ำลายสอ
“ทำไมกลับมาเร็วจัง ลูกได้บอกพี่ใหญ่หรือยัง?”
“บอกแล้ว พี่ใหญ่เขาทำอาหารกินเองได้ เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับด้วย เลยต้องนอนทันทีหลังกินข้าว”
เซี่ยไห่เริ่มคุ้นเคยกับบ้านนี้แล้ว เริ่มหาที่นั่งให้ทุกคนพร้อมสรรพ
“ที่บ้านมีแขกเหรอ?”
เมื่อหลินจินซานเข้ามาในบ้าน เขาก็ทักทายแขกอย่างอบอุ่น
“คุณคือแม่ของเถ้าแก่เซี่ยใช่ไหมครับ?”
“อืม”
หลินจินซานแนะนำตัวเองอย่างเคร่งขรึมว่า “ผมเป็นลูกชายของแม่หลิวกุ้ยอิง และเป็นพี่ชายของหลินเซี่ย ทั้งยังเป็นหัวหน้าแผนกในห้องเต้นรำของเถ้าแก่เซี่ยด้วย ชื่อหลินจินซานครับ”
แม่เซี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “จินซาน ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ ฉันได้ยินเสี่ยวไห่เล่าว่าเซี่ยเซี่ยมีพี่ชายที่กระตือรือร้นกับงานมาก ๆ คนหนึ่ง”
หลังจากหลินจินซานทักทายหญิงชรา เขาก็จ้องมองไปยังใบหน้าของเซี่ยอวี่ “สวัสดีครับคุณผู้หญิง ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวของเราที่ได้ต้อนรับคุณในบ้านแสนต่ำต้อยหลังนี้ ผมน่ะเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยครับ”
“จริงเหรอ?” เซี่ยอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วถามกลับ “คุณเคยเห็นฉันในหนังหรือละครเรื่องไหนบ้างล่ะ?”
“กระบี่เริงระบำ ใช่เรื่องนี้ไหมครับ?”
หลินจินซานเกาหัวด้วยความเขินอาย “ผมรู้สึกประหม่าจนตาพร่ามัวไปหมดเลย แต่ผมเป็นแฟนหนังของคุณจริง ๆ นะ”
ด้วยความกลัวว่าดาราสาวจะผิดหวังในตัวเขา จึงเริ่มเดาสุ่มสี่สุ่มห้าออกไปว่า “หรือคุณแสดงนำในเรื่องมังกรหยกหรือเปล่า?”
“แล้วหนังตำรวจเรื่องนั้นที่คุณดูเหมือนจะแสดงด้วยล่ะ?”
เซี่ยอวี่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับการแสดงออกทางสีหน้า ก่อนยิ้มตอบและส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก แต่ก็ขอบคุณมากนะ”
หลินเซี่ยรู้สึกอับอายต่อหลินจินซานจริง ๆ เธอไม่อยากให้เขาทำตัวเสนอหน้าแบบนี้อีกต่อไป จึงหาข้ออ้างที่จะส่งเขาออกไป “พี่ชาย ไปที่ห้องแล้วยกเก้าอี้มานั่งเถอะ”
“ได้เลย”
หลินจินซานกลับเข้าห้องแล้วยกเก้าอี้ออกมานั่ง เมื่อเขาเห็นหลิวกุ้ยอิงยกเหลียงเฝิ่นเข้ามา เขาจึบรีบไปรับทันที “แม่ เดี๋ยวผมทำเอง”
“จินซาน ถ้าไม่อยากกินเหลียงเฝิ่นจะกินซาลาเปาแทนก็ได้นะ แม่มีซาลาเปาลูกใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเช้า จะได้เอามากินคู่กับข้าวได้”
น้ำเสียงของหลินจินซานอ่อนหวานกว่าครั้งไหน ๆ “ขอบคุณนะแม่ แม่ใจดีที่สุดเลย”
ดวงตาของแม่เซี่ยอ่อนลงเมื่อเห็นว่าหลิวกุ้ยอิงในฐานะแม่เลี้ยง สามารถปรับตัวเข้ากับลูกเลี้ยงของหล่อนได้เป็นอย่างดี ราวกับเขาเป็นลูกแท้ ๆ ของหล่อนเอง
หลิวกุ้ยอิงวางเหลียงเฝิ่นลง แล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า “มันเป็นอาหารพื้นๆ ธรรมดา อาจจะไม่ถูกปากนัก รีบกินกันเถอะค่ะ”
เซี่ยไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่อิงจื่อ ผมไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว ผมชอบอาหารทุกอย่างที่คุณทำเลย”
หญิงชราได้ชิมแล้วก็ชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เซี่ยอวี่นั้นกลัวอ้วน และไม่ค่อยกินแป้งมากนัก แต่หลังจากกินเหลียงเฝิ่นไปคำหนึ่ง หล่อนก็หยุดกินไม่ได้เลย
หลินจินซานหยิบซาลาเปานึ่งและกินผักไปสองสามคำ จากนั้นก็บอกว่าเขาอิ่มแล้ว
หลิวกุ้ยอิงยังคงปฏิบัติตามประเพณีในชนบท เมื่อแขกมาเยี่ยม หล่อนจะไม่กลับเข้าครัวไปเตรียมอาหารอีก แต่จะยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกและคอยอยู่ใกล้ ๆ เพื่อรอเติมข้าวและน้ำให้พวกเขา
หลินเซี่ยพูดคุยกับแม่เซี่ยหลายครั้งก่อนจะนั่งลง
หลังจากหลินจินซานกินเสร็จ เขาก็เฝ้าดูหลิวกุ้ยอิงหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอย่างมีความสุข และพูดว่า “แม่ วันนี้ฉันได้เงินเดือนแล้วนะ”
“แม่คิดว่าฉันได้เงินมาเท่าไหร่?” เขาจงใจถ่วงเวลาเอาไว้ พลางถามหลิวกุ้ยอิงอย่างชวนให้สงสัย
หลิวกุ้ยอิงเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า หลินจินซานจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นหลังเป็นหัวหน้างาน เมื่อดูสีหน้าตื่นเต้นของเขาแล้ว หล่อนเดาและตอบไปว่า “สองร้อย?”
หลินจินซานแสดงสีหน้าเหมือนคำตอบผิด ก่อนมองไปทางหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย คิดว่าไง?”
“ร้อยแปดสิบ?”
หลินจินซานเฉลยคำตอบอย่างมีความสุข “สองร้อยหกสิบ สองร้อยหกสิบถ้วนพอดี”
เซี่ยไห่ที่กำลังกินข้าวอยู่พูดเสริมขึ้นมาว่า “ตอนแรกฉันว่าจะให้เขาแค่สองร้อยห้าสิบ แต่คิดว่าตัวเลขนี้มันแปลก ๆ เลยเพิ่มให้อีกสิบหยวน”
“แม่ ผมจะเก็บเงินไว้ใช้เองแค่หกสิบหยวน ส่วนแม่เก็บสองร้อยหยวนไว้ใช้จ่ายก็แล้วกันนะ” หลินจินซานมอบเงินก้อนโตก้อนแรกให้กับหลิวกุ้ยอิง
แต่หลิวกุ้ยอิงปฏิเสธ “ลูกหาเงินมาเองก็เก็บไว้ใช้เองสิ”
“แม่ต้องเก็บไว้ให้ผมนั่นแหละ เดี๋ยวผมจะใช้มันหมดซะก่อน”
เวลานี้มีแขกอยู่ที่บ้าน หลิวกุ้ยอิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย หล่อนเหลือบมองแม่เซี่ยและคนอื่น ๆ ที่กำลังมองพวกเขาสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “แขกยังไม่กลับ ลูกเก็บไว้ก่อนเถอะ“
“แขกทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกในครอบครัวเรา พวกเขาเป็นคุณย่าและอาของเซี่ยเซี่ยไม่ใช่เหรอ? ย่าของน้องสาวก็เป็นย่าของผมเหมือนกัน”
หลินจินซานน่ารักมาก และแม่เซี่ยก็มีความสุขมากที่ได้ยินประโยคนี้กับหูตัวเอง
“เอาล่ะ แม่จะเก็บไว้ให้ก่อน ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ยังไงก็มาเอาได้ตลอด”
หลินเซี่ยตอบจากด้านข้างว่า “แม่ ถ้าเขาขอก็ไม่ต้องให้ พี่ชายบอกเองว่าเขาขอเงินติดตัวแค่หกสิบหยวนไม่ใช่เหรอ? บางคนไม่สามารถหาเงินหกสิบหยวนต่อเดือนได้ด้วยซ้ำ ยิ่งมีเยอะก็ต้องเก็บออม เพราะแม่ต้องเก็บเงินเผื่อไว้งานแต่งพี่ชายนี่นา“
หลินเซี่ยรู้ว่าหลินจินซานได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้นขนาดนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเพลิดเพลินกับการใช้เงินมากจนเกินไป
หลินจินซานเห็นด้วยอย่างมาก “ถูกของเซี่ยเซี่ย แม่ เก็บเงินไว้แทนผมและใช้เป็นค่างานแต่งเถอะ”
“จินซานมีแฟนแล้วเหรอ?” หลังจากได้ยินการพูดคุยระหว่างแม่และลูกชาย ดวงตาของแม่เซี่ยก็สว่างวาบขึ้น และถามอย่างสงสัย
น้ำเสียงของหลินจินซานนอบน้อมมากขณะตอบกลับ
“คุณย่า ผมยังไม่มีใครเลยครับ กำลังหาอยู่”
“ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ รู้วิธีหาคู่ครองเองเป็นด้วย”
นางถามหลินจินซานต่อว่า “แล้วปีนี้อายุเท่าไหร่ล่ะ?”
หลินจินซานตอบว่า “คุณย่าเซี่ย เร็ว ๆ นี้ก็จะยี่สิบห้าแล้วครับ”
แม่เซี่ยพยักหน้า “อายุถึงวัยที่สมควรจะแต่งงานแล้วนี่”
“ใช่ครับ ในชนบทอายุเท่านี้ถือว่าเป็นชายโสดสูงวัย ที่บ้านเกิดมักจะหาคนรุ่นราวคราวเดียวกับผมยากด้วยครับ เป้าหมายของผมในปีนี้คือสละโสดให้ได้ และแต่งงานปีหน้า จะได้มีหลานให้แม่อุ้มไว ๆ”
หลินจินซานมีเป้าหมายที่ชัดเจน แม่เซี่ยจึงชื่นชมเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก “ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ เธอมีความทะเยอทะยานที่ดีมาก”
หญิงชราเต็มไปด้วยคำชมเชยต่อหลินจินซาน จากนั้นก็จ้องมองอย่างขุ่นเคืองไปที่เซี่ยไห่ ผู้มีความอยากอาหารมากและปากก็เลอะไปด้วยน้ำมัน
ทำไมลูกชายคนอื่นถึงได้เอาถ่านขนาดนี้นะ!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่ไห่น่าจะครองโสดยาวๆ ดูไลฟ์สไตล์แล้วไม่น่าจะมีแฟนล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)