ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 96 ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 96 ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

ตอนที่ 96 ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

“พี่สาวหวัง ก้าวเท้าซ้ายออกไปก่อน”

“ปัดแขนไปทางซ้ายสิ”

“ไม่ใช่ คุณต้องเต้นตามจังหวะ ดูการเคลื่อนไหวของทุกคนเป็นตัวอย่างแล้วทำตาม ยกแขน ยกขา คุณอายุยังน้อยแท้ ๆ จะยกแขนขาสูงกว่านั้นไม่ได้เชียวเหรอ?”

หลินเซี่ยมองไปทางผู้หญิงที่ยืนอยู่ในแถวสุดท้ายพร้อมกับขมวดคิ้ว

หวังซิ่วฟางจงใจทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำอย่างชัดเจน

ท่าทางการเต้นก็เหมือนคนยังไม่ได้กินข้าว ไม่ยอมยกแขนขึ้นเลย

ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้องจริง ๆ

เมื่อหลินเซี่ยเอาแต่เรียกชื่อหล่อนบ่อยกว่าคนอื่น หวังซิ่วฟางจึงตอบโต้อย่างไม่พอใจ

“ฉันกำลังเรียนรู้อยู่นะ แม่สาวน้อยคนนี้ใจร้ายจริง ๆ ไม่มีความอดทนแต่กลับมาสอนคนอื่นเต้น แบบนี้เธอจะเป็นแม่เลี้ยงให้ลูกของคนอื่นได้ยังไง? ไม่ทุบตีเด็กทั้งวันจนตายเลยเหรอ?”

หวังซิ่วฟางไม่เพียงแต่สร้างปัญหาเท่านั้น ยังแสดงท่าทางแปลก ๆ ด้วย ในที่สุดหลินเซี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ล้มเลิกความตั้งใจกลางคัน “พี่สาวจาง ฉันคงสอนพวกคุณเต้นไม่ได้จริง ๆ”

เธอที่มีเหงื่อออกชุ่มโชกจึงถอดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายออก มองดูหวังซิ่วฟางแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ความอดทนของฉันถึงขีดจำกัดแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันเห็นแก่ที่คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของเฉินเจียเหอ ฉันเลยยอมไว้หน้าคุณบ้าง แต่คุณกลับเอาแต่ทำตัวมีปัญหา งั้นจากนี้เราสองคนก็ไม่ต้องไว้หน้ากันอีกต่อไป”

เธอมีทัศนคติที่แข็งกร้าว มองดูพี่สาวจางแล้วยื่นคำขาด “บอกให้หล่อนถอนตัวไปค่ะ ไม่งั้นฉันจะถอนตัวเอง และไม่สอนใครเต้นทั้งนั้น”

พี่สาวจางและคนอื่น ๆ รีบหันหน้าเข้าหากัน แล้วมองไปทางหวังซิ่วฟางที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

พวกหล่อนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานกับหวังซิ่วฟาง ดังนั้นจึงมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลหล่อนเสมอ แต่ครั้งนี้หวังซิ่วฟางทำเกินไปจริง ๆ หล่อนไม่มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมเลย

เฉินเจียเหอไม่เคยมีท่าทางว่าคิดเกินเลยกับหล่อนสักครั้ง มีแต่หล่อนที่คิดไปเองฝ่ายเดียวว่าสักวันตัวเองและเฉินเจียเหอจะมีโอกาสได้พาลูก ๆ มาอยู่ร่วมครอบครัวเดียวกัน

หลินเซี่ยไม่ใช่คนที่ขโมยเฉินเจียเหอไปจากหล่อนเสียหน่อย

การที่หล่อนพยายามตั้งตนเป็นศัตรูกับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ จนขัดขวางกิจกรรมของส่วนรวมแบบนี้มันออกจะมากไปหน่อย

พี่สาวหลิวเป็นคนตรงไปตรงมา หล่อนไม่เข้าใจพฤติกรรมของหวังซิ่วฟางเลย “ซิ่วฟาง ถ้าเธอไม่อยากฝึกซ้อมงั้นก็ถอนตัวไปเถอะ ลำพังพวกเราก็มีเวลาจำกัดอยู่แล้ว พรุ่งนี้ก็ถึงวันทำงานตามปกติแล้วด้วย วันนี้เราต้องฝึกซ้อมให้พร้อมเพรียงอย่างรวดเร็ว อย่าทำให้ทุกคนเสียเวลาจนส่งผลต่อความก้าวหน้าของการซ้อมเลย”

หวังซิ่วฟางบ่นพึมพำ “ฉันผิดอะไร? ฉันเองก็ตั้งใจฝึกอยู่หรอก แต่ฉันแค่เป็นคนเรียนรู้ช้าเฉย ๆ”

เมื่อหวังซิ่วฟางไม่อยากถอนตัว พี่สาวจางจึงทำตัวเป็นคนกลางที่ดี เพราะไม่อยากทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขุ่นเคือง หล่อนจึงยิ้มและพูดกับหลินเซี่ยว่า “เสี่ยวหลิน เธอเพิ่งมาซ้อมได้ไม่นาน บางทีอาจจะเรียนรู้ช้าจริง ๆ ให้โอกาสหล่อนอีกสักครั้งเถอะ”

หลินเซี่ยรู้ว่าพวกเธอเป็นเพื่อนร่วมงานกัน และเข้าใจความลำบากใจของพี่สาวจาง จึงเหลือบมองหวังซิ่วฟางด้วยใบหน้าเย็นชา และออกคำสั่งกับหล่อนว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็มายืนอยู่ข้างหน้า เต้นตามเพลงให้ทุกคนช่วยกันจับตามอง คราวนี้ถ้าคุณยังเล่นตุกติกอีกละก็ ฉันจะขอถอนตัวทันที”

หวังซิ่วฟางถูกเธอตะโกนใส่แบบนั้น ก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ก้าวไปยืนอยู่ข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ

หลินเซี่ยพูดต่อ “พวกเรากำลังฝึกซ้อมเพื่อขึ้นแสดงทางวัฒนธรรม มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานยานยนต์ของเรา ทั้งยังถือเป็นตัวแทนของโรงงานอุตสาหกรรมเครื่องจักรไห่เฉิงทั้งหมด เราถึงต้องตั้งใจฝึกซ้อมกันอย่างเต็มที่เพื่อแสดงผลงานที่ดีที่สุด จนได้รับรางวัลจากการแข่งขัน ฉันเข้าใจความรู้สึกคุณดี พูดตามหลักแล้ว ฉันเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน ส่วนพี่หวังเป็นพนักงานเก่า ด้วยวัยวุฒิแล้วคุณคงไม่อยากเรียนกับเด็กอย่างฉัน ดังนั้นถ้าคุณสมองช้าจนไม่สามารถเรียนรู้ได้จริง ๆ ฉันก็จะไม่บังคับ”

ในที่สุดหวังซิ่วฟางก็ยอมทำตามแต่โดยดี หล่อนออกไปยืนอยู่ด้านหน้า เต้นตามจังหวะอย่างถูกต้อง

ส่วนพี่สาวคนอื่น ๆ ค่อนข้างเป็นมืออาชีพและจริงจังมาก หลังซ้อมเต้นกันหลายครั้ง ไม่นานนักท่าเต้นก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันและเข้ากับจังหวะเพลง

เสียงดนตรีในลานกว้างของอาคารพักอาศัยดังพอสมควร แถมเพลงนี้ก็เพิ่งจะออกเทปเมื่อปีที่แล้ว จึงได้รับความนิยมอย่างยิ่ง

ชายชราและหญิงชราที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังอาศัยอยู่ในเขตโรงงาน ต่างก็มารวมตัวกันเพื่อดูพวกเธอเต้นประกอบเพลง

“เป็นคนรุ่นใหม่นี่ดีจริง ๆ มีความกระตือรือร้นสูง ถ้าพวกเรายังเด็ก คงเสนอตัวเข้าร่วมการแสดงทางวัฒนธรรมด้วยแน่ ๆ”

“ใช่แล้ว เวลาผ่านไปพริบตาเดี๋ยวฉันก็แก่ลงมาก คงต้องปล่อยให้เป็นยุคของคนหนุ่มสาวแล้วล่ะ”

หลินเซี่ยเห็นคุณลุงและคุณป้าที่ร่างกายยังแข็งแรงสมวัยมาเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณลุง อยากเต้นด้วยกันไหมคะ? พวกคุณเข้าร่วมกับเราได้นะ”

ลุงหนิวพูดว่า “แต่ฉันอายุหกสิบสองแล้ว”

“ใช่แล้ว คนอายุมากอย่างพวกเราจะเต้นได้ยังไง จะทำให้คนหัวเราะซะเปล่า”

“ตราบใดที่พวกคุณมีใจรักและสุขภาพแข็งแรง เราไม่สนหรอกค่ะว่าคุณอายุเท่าไหร่ คิดซะว่าการเต้นนี้เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าสนใจ เชิญเข้าร่วมได้ทุกเมื่อเลยค่ะ” นักเต้นแอโรบิกบางคนอายุมากกว่าพวกเขาเสียอีก

คุณลุงคุณป้าเหล่านี้น่าจะเพิ่งเกษียณอายุได้ไม่นาน ยังดูกระฉับกระเฉง มีพลังงานเต็มเปี่ยม ที่สำคัญคือพวกเขาต้องมีความตั้งใจดีแน่

“พวกเธอขึ้นไปแสดงบนเวทีกันเถอะ คนแก่ ๆ อย่างพวกเราจะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นได้ยังไง?” แม้ว่าใจจริงลุงหนิวจะพร้อมลงมือทำ แต่สีหน้าของเขากลับเข้มขึ้นอีกครั้ง เมื่อคิดว่าบนเวทีล้วนมีแต่คนหนุ่มสาวกันทั้งนั้น

“ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองสามารถแบกรับภาระนี้ได้ และเต็มใจจะเข้าร่วมการแสดงของเรา ฉันมองว่ามันเป็นข้อดีซะมากกว่า จะได้ทำให้เพื่อน ๆ โรงงานอื่นเห็นว่าพนักงานเก่าที่เกษียณอายุจากโรงงานยานยนต์ของเรามีความสุขทางกายและใจยังไงบ้าง”

แนวคิดนำสมัยของหลินเซี่ย จุดประกายความกระตือรือร้นของลุงและป้าหลายคนให้สนใจเข้าร่วมโดยไร้ความกังวล

ลุงหลี่มองไปทางพี่สาวจางที่เป็นผู้รับผิดชอบการแสดงด้วยความคาดหวัง “เสี่ยวจาง พวกเราเข้าร่วมได้หรือเปล่า?”

“นี่…”

พี่สาวจางมองไปที่หลินเซี่ยและพูดอย่างเชื่องช้าว่า “เสี่ยวหลิน นี่เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยสหภาพแรงงานของเมืองไห่เฉิง โดยพื้นฐานแล้ว โรงงานทุกแห่งในไห่เฉิงต้องเตรียมการแสดงกันอย่างเต็มที่เพื่อนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานของตัวเอง เราจะทำเหมือนเป็นเรื่องเล่น ๆ ไม่ได้”

“พี่สาวจาง ฉันกลับคิดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการแข่งขัน คือการที่แต่ละโรงงานพยายามนำเสนอให้เห็นถึงศักยภาพของพนักงานของตัวเองมากกว่า ดังนั้นสุขภาพกายและสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การให้พนักงานที่เกษียณอายุแล้วเข้าร่วม ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ที่โรงงานเรามีต่อพวกเขา ฉันคิดว่าสิ่งนี้สำคัญกว่าการชนะรางวัลอีกนะคะ”

เธอพูดเสริม “แน่ล่ะ ฉันเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกในเขตโรงงานได้ไม่นาน อาจจะยังไม่เข้าใจในหลาย ๆ ด้าน ฉันแค่ลองเสนอแนะดู สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะตัดสินใจยังไง”

“ฉันเองก็ตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน ขอเวลาสักครู่ให้ฉันไปปรึกษาจากหัวหน้าก่อนนะ”

ว่าแล้วพี่สาวจางก็ไปขอคำแนะนำจากหัวหน้า ผลก็คือหัวหน้ายินยอมให้พนักงานที่เกษียณอายุแล้วเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับพวกเธอได้ แต่พวกเขาจะสามารถแสดงบนเวทีได้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมและสภาพร่างกายของพวกเขาเป็นหลัก

ที่จริงแล้วลุงป้าน้าอาเหล่านี้มีสุขภาพแข็งแรงดี ถ้าพวกเขากลับไปอยู่ในชนบทก็ยังถือว่าเป็นแรงงานที่เข้มแข็ง

“ถ้าอย่างนั้นลุงหลี่ ป้าหวัง และลุงหนิว พวกคุณทั้งสามมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ลองมาร่วมฝึกซ้อมกับพวกเราเถอะค่ะ แล้วเรามาดูกันว่าทักษะการเต้นของพวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ไปต่อไม่ไหวให้รีบบอกทันทีนะคะ ไม่ต้องร่วมแข่งขัน ถือเสียว่ามาเรียนเต้นและออกกำลังกายในวันธรรมดาเพื่อสุขภาพเป็นหลัก”

“ได้ ได้ พวกเราขอยืนข้างหลังและเต้นไปพร้อมกับพวกเธอแล้วกัน”

หวังซิ่วฟางถูกดันให้ไปอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครสนใจหล่อนอีก

แม้แต่อดีตพนักงานที่เกษียณอายุแล้วยังสนใจที่จะมีส่วนร่วมด้วย ยิ่งคนเยอะ หล่อนยิ่งถูกตัดออกได้ง่าย

หล่อนไม่ยอมถอนตัวไปทั้งแบบนี้แน่

ก่อนหน้านี้หล่อนแค่จงใจจะหาเรื่องและทำตัวเป็นขวากหนามของหลินเซี่ย แต่ใช่ว่าไม่อยากเข้าร่วมเสียหน่อย

หล่อนยังอยากยืนอยู่บนเวที อยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมของส่วนรวมเพื่อคว้ารางวัลให้กับโรงงานเช่นกัน

ดังนั้นในขณะที่ทุกคนเรียนรู้การเคลื่อนไหวจากหลินเซี่ย หวังซิ่วฟางจึงถอยไปยืนอยู่ข้างหลังลุงหลี่อย่างเงียบ ๆ พร้อมกับพยายามเต้นตามไปด้วย

ป้าและลุงทั้งสามคนนี้ ต่างก็เป็นผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับการแสดงทางวัฒนธรรมในปีก่อน ๆ ประกอบกับการที่พวกเขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ทั้งยังมีพื้นฐานการเต้นมาบ้าง หลังจากฝึกเคลื่อนไหวก้าวเท้าแบบแอโรบิกอย่างแม่นยำ พวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่สาวที่เงอะงะเหล่านี้เลย

หลังจากฝึกจังหวะก้าวสองครั้ง ไม่นานพวกเขาก็เริ่มเต้น ซึ่งอาจจะมีติดขัดอยู่บ้าง

หลังจากฝึกซ้อมต่อเนื่องประมาณสองชั่วโมง หลินเซี่ยก็หยุดเต้น มองดูทุกคนแล้วพูดว่า “เช้านี้เราจะพักกันเท่านี้ก่อน ถ้าพวกคุณมีเครื่องเล่นเทป สามารถเปิดเพลงฟังและฝึกเต้นอยู่ที่บ้านได้ ไว้ตอนบ่ายเรามาเรียนเต้นอีกครึ่งเพลงที่เหลือ”

“บ้านฉันมีเครื่องเล่นเทป แต่ไม่มีเทปเพลงนี้น่ะสิ เสี่ยวหลิน เธอไปซื้อเทปนี้มาจากไหน? เราอยากซื้อมาเปิดฟังบ้าง” ป้าหวังถาม

“ฉันซื้อมาจากร้านขายเครื่องเสียงค่ะ” หลินเซี่ยพูด “ฉันกำลังจะออกไปข้างนอกอยู่พอดี ถ้าใครอยากฝากซื้อเทปเพลงนี้ช่วยยกมือขึ้นหน่อยค่ะ หลังจากนี้พวกคุณจะได้แบ่งปันเทปให้กันและกันได้”

“เราสามคนขอคนละหนึ่งตลับ” คุณลุงและคุณป้าทั้งสามได้รับเงินบำนาญหลังเกษียณจึงไม่ตระหนี่ รีบยกมือขึ้นอย่างกระตือรือร้น

หวังซิ่วฟางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นด้วย

หลินเซี่ยนับจำนวน จากนั้นก็พยักหน้า “เอาล่ะ รวมแล้วต้องซื้อห้าตลับ ฉันจะลองไปเจรจาดูว่าทางร้านพอจะลดราคาให้ได้ไหม”

“เสี่ยวหลิน ในเมื่อเราไม่สามารถสวมชุดระบำยางเกอได้แล้ว หมายความว่าเราต้องซื้อชุดใหม่เพื่อใส่ขึ้นแสดงบนเวทีใช่ไหม? ไหนจะเครื่องสำอาง และอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วย”

หลินเซี่ยตอบกลับ “ฉันเป็นช่างแต่งหน้าค่ะ พอมีเครื่องสำอางอยู่บ้าง ส่วนเสื้อผ้าสำหรับใส่ขึ้นแสดง ฉันเสนอว่าเราแค่ซื้อชุดกีฬาง่าย ๆ ก็พอ หลังจบการแสดงจะได้หยิบมาใส่ได้อีก ถ้าซื้อชุดปักเลื่อมแวววาวแบบนั้น อย่างมากก็มีประโยชน์แค่ตอนใส่ขึ้นแสดง จากนั้นก็ไร้ประโยชน์ นำไปใช้ในงานต่อก็ไม่ได้ด้วย”

“แต่ชุดกีฬาจะธรรมดาเกินไปหรือเปล่า?” ในฐานะผู้อาวุโสที่เคยมีประสบการณ์ ลุงหนิวอดกังวลไม่ได้

“อาศัยไฟบนเวทีที่ส่องสว่างก็ช่วยให้เด่นได้ค่ะ ผู้หญิงใส่ชุดสีแดงแถบขาว ส่วนลุงหนิวกับลุงหลี่ใส่ชุดสีฟ้าแถบขาวก็ได้ สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวเหมือนกัน การแสดงของเราเน้นเรื่องสุขภาพและความแข็งแรงเป็นหลัก จุดมุ่งหมายคือไม่ว่าใครก็สามารถออกกำลังกายได้ ฉะนั้นไม่ควรแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาดจนเกินไป”

ลุงหลี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฉันคิดว่าจุดมุ่งหมายที่เสี่ยวหลินพูดนั้นดีทีเดียว การแสดงของโรงงานเราควรเน้นการออกกำลังกายให้เป็นจุดเด่น”

“ได้ งั้นพวกเราแยกย้ายกลับไปทำอาหารบ้านใครบ้านมันกันดีกว่า ทุกคนพอจะคุ้นเคยกับจังหวะบ้างแล้ว ตอนบ่ายเราทุกคนค่อยมาเปิดเพลงและซ้อมเต้นกันอีกครั้ง ฉันมีธุระต้องไปทำก่อน ไว้จะกลับมาติดตามผลการซ้อมของทุกคนค่ะ”

ขืนเต้นต่อไปวันนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว

วันนี้หลินเซี่ยอยู่บ้านคนเดียว เธอกลับบ้านและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง

ก่อนอื่น เธอเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วกดโทรไปที่บ้านของเจียงอวี่เฟย

คนที่รับโทรศัพท์คือพ่อของเจียงอวี่เฟย เมื่อหลินเซี่ยได้ยินเสียงเขา เธอก็พยายามกดเสียงลงให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วพูดอย่างสุภาพว่า “คุณลุง ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นของอวี่เฟยค่ะ”

“อวี่เฟย เพื่อนโทรมาหาน่ะ” คุณเจียงยื่นโทรศัพท์ให้เจียงอวี่เฟย

เจียงอวี่เฟยไม่ได้เดินมารับสายทันที แต่หันไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นว่า

“ขอโทษด้วย ฉันยังมีอย่างอื่นต้องทำ”

“พ่อฉันบอกว่า การแสดงครั้งนี้จะนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานของเรา ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงควรมีส่วนร่วม” เด็กสาวคนนั้นมองหน้าหล่อนและพูดอย่างจริงจัง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เต้นให้มันดีก็ดีได้นี่ป้า งานส่วนรวมนะ อย่าทำเสียทั้งกลุ่มสิ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท