บทที่ 309 เคียดแค้นเกินประมาณ
บทที่ 309 เคียดแค้นเกินประมาณ
สีหน้าของหวังเหยียนย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความมุ่งมั่นของเขากลับกล้าแกร่งมากกว่าเดิม ไม่ว่ายังไง วันนี้ก่อนเขาตาย เขาต้องลากไอ้พวกสารเลวพวกนี้ลงนรกไปกับเขาด้วยให้ได้!
แต่ในไม่ช้าสิ่งต่าง ๆ ก็เลวร้ายเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก ผ่านไปแค่เพียงเจ็ดหรือแปดนาที ลูกน้องของเขาแทบจะทั้งหมดก็ถูกจัดการ!
จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา ลูกน้องคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกฆ่าจนตอนนี้เหลือแค่หวังเหยียนคนเดียวเท่านั้น!
ขณะนี้พลังภายในของเขาหมดเกลี้ยง ส่วนเรี่ยวแรงก็แทบไม่เหลือพอที่จะยืนได้อย่างมั่นคง!
สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าถึงจุดวิกฤตที่สุดแล้ว!
เมื่อเห็นเช่นนี้ จิ่นเฟิงก็ปล่อยหมัดเข้าใส่หวังเหยียนอีกครั้งอย่างรุนแรง!
ปัง!!
ทันทีที่หมัดทั้งสองสัมผัสกันเสียงปะทะดังลั่นก็ดังก้องขึ้นไปทั่วทั้งห้องโถง!
คลื่นจากแรงปะทะทำให้ซากโต๊ะและเก้าอี้กระเด็นกระดอนลอยไปทั่วทั้งห้อง!
ทว่าผลลัพธ์หลังจากที่หมัดทั้งสองปะทะกันเมื่อครู่กลับส่งผลให้จิ่นเฟิงถอยร่นไปสี่หรือห้าเมตร แต่หวังเหยียนยังไม่ถอย!
อย่างไรก็ตาม เท้าของเขาก็จมลึกลงไปในพื้นมากกว่าสิบนิ้ว ร่างของเขาสั่นไปทั้งร่างแถมสีหน้าก็ซีดขาวราวกับไข่ต้ม
อั่ก!
ในท้ายที่สุด หวังเหยียนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนที่จะทรุดคุกเข่าลงไปที่พื้น
“ฮ่า ๆๆ! ฉันนับถือแกจริง ๆ! ทั้ง ๆ ที่พลังภายในของแกหมดไปนานแล้วแต่แกก็ยังยืนหยัดได้นานขนาดนี้!”
จิ่นเฟิงมองไปที่ร่างของคู่ต่อสู้ที่ทรุดลงไปที่พื้น สีหน้าของเขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าฉากนี้ทำให้สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ตื่นเต้นเช่นกัน!
“ฆ่าเลย! ฆ่าพวกพยัคฆ์เวหา!!”
“ฆ่าหวังเหยียน! แก๊งวาฬยักษ์ของเราแข็งแกร่งที่สุด!”
“แก๊งพยัคฆ์เวหาจะต้องถูกทำลายในวันนี้!”
“…”
คนของแก๊งวาฬยักษ์โห่ร้องอย่างมีชัย
ช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาอยู่ในสถานะด้อยกว่าตลอด ดังนั้นเมื่อในวันนี้พวกเขากลับมาได้เปรียบ ขวัญและกำลังใจของแก๊งวาฬยักษ์จึงพุ่งขึ้นสูงหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม เสียงตะโกนเหล่านี้กลับเป็นเหมือนตัวกระตุ้นใจให้หวังเหยียนดื้อดึงไม่ยอมที่จะตาย เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอมากเกินไป ถึงแม้จะมีแรงแต่ร่างกายของตัวเองกลับไม่อำนวย ดังนั้นท้ายที่สุดเขาจึงไม่อาจลุกขึ้นได้เหมือนเดิม
“ฮ่า ๆ สภาพของแกตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมาจรจัดที่ใกล้จะตายเลย!”
จิ่นเฟิงเยาะเย้ยอย่างสะใจพลางจ้องเขม็งไปที่หวังเหยียน!
“เอาล่ะ ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่แกจะตายด้วยน้ำมือฉัน!”
เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมีโอกาสฟื้นตัวได้อีกต่อไป
จิ่นเฟิงโคจรพลังอย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งหมัดเข้าไปหาร่างของหวังเหยียนอีกครั้ง!
หวังเหยียนซึ่งอยู่ในสภาวะร่อแร่อยู่แล้ว เมื่อเห็นหมัดที่ใกล้เข้ามาเขาก็ทำได้แค่เพียงตั้งการ์ดและใช้แขนป้องกันอย่างสิ้นหวัง
แน่นอนว่า เมื่อไม่มีทั้งพลังภายในและร่างกายก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ผลลัพธ์ก็คือเขาไม่สามารถหยุดหมัดอันดุร้ายนี้ได้เลย!
กร๊อบ!
ทันทีที่หมัดของจิ่นเฟิงปะทะเข้ากับแขนของหวังเหยียน กระดูกแขนข้างหนึ่งของหวังเหยียนก็หักทันที!
อั่ก!
ร่างของหวังเหยียนลอยละลิ่วพร้อมกับกระอักเลือดออกมาเป็นสาย!
หลังจากกระเด็นลอยไปไกลกว่าสิบเมตร ร่างของเขาก็กระแทกเข้ากับกำแพง เสื้อสีขาวของเขาโชกไปด้วยเลือดสีแดงเต็มไปหมด!
ในเวลานี้ สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์รอบ ๆ ต่างพากันส่งเสียงเชียร์
“ฮ่า ๆ! แก๊งพยัคฆ์เวหานี่มันกระจอกจริง ๆ! รองหัวหน้าแก๊งของพวกมันถูกอัดเหมือนหมาเลย!”
“ตลกชิบหาย อ่อนแอขนาดนี้ยังกล้ามาสู้กับแก๊งวาฬยักษ์อันเกรียงไกรของเรา!”
“…”
สมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนต่างเยาะเย้ยหวังเหยียน
ในเวลานี้ สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ตายบนพื้นนั้น แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม!
พวกเขาเกลียดตัวเองจริง ๆ ที่ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นไปช่วยลูกพี่ของพวกเขาได้!
รองหัวหน้าแก๊งเป็นคนอัธยาศัยดีมาโดยตลอด
เขามักจะคลุกคลีกับสมาชิกแก๊งทุกคนโดยไม่ถือตัวแถมยังไม่เคยเสแสร้งเลย
ดังนั้น นอกจากโจวเฟยหู่แล้ว หวังเหยียนจึงเป็นคนที่พวกเขารวมไปถึงสมาชิกในแก๊งทุกคนเคารพมากที่สุด
ณ เวลานี้ เมื่อได้เห็นฉากแบบนี้ พวกเขาจะไม่โกรธแค้นตัวเองได้ยังไง!
“บัดซบ! ทำไมยังไม่มีใครมาอีก! ใครก็ได้ รีบมาช่วยรองหัวหน้าแก๊งของเราเร็วเข้า!”
“…”
ในเวลานี้ หวังเหยียนสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ภายใต้หมัดที่รุนแรง สติของเขาพร่ามัวจนแม้แต่บวกเลขยังบวกไม่ถูก
ในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวนั่นก็คือเขากำลังจะตาย!
จิ่นเฟิงเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็เดินเข้ามาใกล้และต่อยเข้าไปที่ท้องของหวังเหยียนอย่างรุนแรงอีกรอบ และมองดูคู่ต่อสู้ที่ทรุดลงกับพื้นอย่างไร้การต่อต้านด้วยแววตาสะใจ
“เอามีดมา!”
เขาตะโกนขึ้นก่อนที่จะรับมีดยาวหนึ่งฟุตที่คมกริบจากมือของชายที่อยู่ข้าง ๆ เขา
แต่หลังจากได้มีด เขากลับหันหลังเดินไปหาลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังไม่ตายและยังคงนอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
“ฉันควรตัดมือหรือเท้าของลูกน้องแกก่อนดี?”
จิ่นเฟิงหันมาถามหวังเหยียน พร้อมกับโบกมีดในมือไปมาอย่างหยอกล้อ
“ฉันได้ยินมาว่าแกมักจะใจดีกับลูกน้องของแกเสมอ แกปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันเลยถูกต้องไหม?”
หลังจากที่พูดถึงจุดนี้ จิ่นเฟิงก็เอามีดไปวางพาดที่หัวของลูกน้องหวังเหยียนก่อนที่จะพูดต่อ
“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะฆ่าลูกน้องของแกทีละคนต่อหน้าของแกก่อน ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องสนุกมากแน่ ๆ กับสีหน้าของแกหลังจากนี้!”
“แก!”
หวังเหยียนรู้สึกโกรธสุดขีด คำพูดนี้ของอีกฝ่ายกระตุ้นหวังเหยียนให้ได้สติอีกครั้ง เขาจึงแผดเสียงเคียดแค้นดังลั่น
“แกแค้นงั้นเหรอ? ดี! แกจงโกรธแค้นไปให้มาก ๆ จนตายตาไม่หลับไปเลย! โจวเฟยหู่ฆ่าล้างแก๊งวาฬยักษ์ของฉันไปมากมายในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ดังนั้นวันนี้ฉันขอเอาคืนบ้างก็แล้วกัน!”
จิ่นเฟิงเยาะเย้ยแล้วทักทายน้องชายคนเล็กของเขา
“ทุกคน! ลากคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา ที่ยังมีชีวิตอยู่มาให้ฉันตรงนี้ด้วย!”
หลังจากสั่งจบ ลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังไม่ตายอีกสองคนก็ถูกลากมานั่งคุกเข่าต่อหน้าจิ่นเฟิง
“หวังเหยียน? แกต้องการที่จะช่วยลูกน้องของแกเองล่ะสิใช่ไหม? ฮ่า ๆ เสียใจด้วยวะ ที่แกทำแบบนั้นไม่ได้หรอก!”
ขณะที่พูด จิ่นเฟิงก็ใช้ปลายมีดขีดเขี่ยไปที่คอของลูกน้องหวังเหยียนเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาจะฆ่าคนพวกนี้ทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้!
“ลูก…ลูกพี่หวัง ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกผม…พวกผมไม่โทษพี่หรอก”
ลูกน้องของหวังเหยียนรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังจะตาย ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นและพูดปลอบหวังเหยียน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หวังเหยียนจึงยิ่งรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด!
ฉับ!
ทันใดนั้นแววตาของจิ่นเฟิงเปลี่ยนเป็นดุร้าย และเขาก็ฟันมีดลงไปที่คอของหนึ่งในลูกน้องของหวังเหยียนอย่างโหดเหี้ยม!
ลูกน้องของหวังเหยียนตายทันที!
เลือดสาดกระเซ็นบนใบหน้าของหวังเหยียน ทำให้เขาตกอยู่ในอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งสิ้นหวัง โกรธแค้น หดหู่ เสียใจ และเจ็บปวด
“ฮ่า ๆๆ! เป็นไงบ้างรองหัวหน้าหวังของฉัน? โกรธไหม ๆ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จิ่นเฟิงก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นทันที
“ฉันชอบสีหน้าของแกตอนนี้จริง ๆ! ยิ่งแกเจ็บปวดมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งมีความสุข! ฮ่า ๆๆ!”
บทที่ 307 ถูกวางกับดัก
บทที่ 307 ถูกวางกับดัก
อวี้ฮ่าวหรานหยิบลูกสุนัขขึ้นมาทีละตัวแล้วลูบพวกมัน เขาสัมผัสได้ว่าพวกมันได้รับการดูแลอย่างดีมาก
อย่างน้อย ๆ หลิวเทียนอี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่!
“พ่อจ๋า ดูสิ พวกมันโตกันหมดแล้ว!”
แต่หลังจากเด็กน้อยเล่นกับพวกลูกหมาอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ เด็กน้อยก็แสดงสีหน้าเศร้าเล็กน้อย
“พ่อจ๋า เราพาพวกมันกลับบ้านได้ไหม? หนูอยากเห็นพวกมันอยู่ในบ้านของเรา…”
ดวงตาที่กลมโตเริ่มคลอไปด้วยน้ำตาของถวนถวนพยายามอ้อนวอนอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นลูกสุนัขเหล่านี้อีกครั้ง เธอชอบมันมากและอยากเอากลับบ้านไปให้เจ้าลูกกวาดดูด้วย
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและยังไม่เห็นด้วย
“พ่อคงอนุญาตไม่ได้ ถ้าลูกจะเอาพวกมันไปทุกตัว”
ไม่มีทาง แค่การดูแลเจ้าลูกกวาดตัวเดียวก็ยุ่งยากแล้ว ขืนถ้าเอาไปเลี้ยงมากกว่าหนึ่งโหล…
หลี่หรงคงระเบิดลง และเธอคงรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ ๆ
แต่เพื่อไม่ให้ลูกสาวของเขาเศร้า เขาจึงพยายามหาทางประนีประนอม
“แต่ถ้าลูกจะเลือกไปสักหนึ่งตัว พ่อคิดว่าแม่หรงของลูกน่าจะไม่มีปัญหา”
ถ้าเป็นตัวเดียว หลี่หรงน่าจะพอรับได้
“เย้! ได้ ๆ!”
เด็กน้อยก็มีเหตุผลเช่นกัน หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในเวลาเดียวกันนี้ หลิวเทียนอี้ก็เอ่ยขึ้นแทรก “ถวนถวน ไม่ต้องกังวลลุงสัญญาว่าจะดูแลพวกมันให้หนูเป็นอย่างดีที่สุด!”
“อื้ม ขอบคุณค่ะ!”
เมื่อได้ยินคำสัญญา ถวนถวนจึงพยักหน้าขอบคุณอย่างมีความสุข
คำขอบคุณนี้ของเด็กน้อย ทำให้ใบหน้าของหลิวเทียนอี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาจะไม่ยินดีดูแลพวกมันได้ยังไง? เป็นเพราะลูกหมาพวกนี้แท้ ๆ ที่ทำให้เครือฮ่าวหรานสั่งรถกับเขาเป็นมูลค่าหลายสิบล้าน!
หากมีใครจะมาแย่งลูกหมาพวกนี้ไปดูแลล่ะก็ เขาจะยอมสู้ตายเลยทีเดียว!
ผ่านไปอีกสักพัก หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก ถวนถวนก็จับลูกสุนัขที่มีขนคล้ายกับสีของเจ้าลูกกวาดมากที่สุดมาอุ้ม
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็พาถวนถวนเดินออกไปจากบ้านของหลิวเทียนอี้
ก่อนขึ้นรถเขาก็เหลือบมองชายอ้วนและเอ่ยขึ้น
“นายต้องดูแลลูกสุนัขพวกนั้นให้ดีที่สุด เพื่อที่ถวนถวนจะได้ไม่เสียใจเมื่อมาดูพวกมันอีกรอบ ในอนาคตเมื่อไหร่ที่บริษัทของฉันจะซื้อรถใหม่ ฉันจะสั่งให้คนของฉันเลือกโชว์รูมนายเป็นที่แรก”
เมื่อหลิวเทียนอี้ได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในทันที
“ค…ครับผม! ผมจะดูแลพวกลูกหมาให้ดีที่สุด! ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ประธานอวี้ผิดหวัง!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะขับรถออกไปทันที
…
ในเวลาเดียวกัน การต่อสู้เพื่อแย่งพื้นที่ระหว่างแก๊งพยัคฆ์เวหาและ แก๊งวาฬยักษ์ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์!
กลางดึก หวังเหยียน รองหัวหน้าแก๊งค์พยัคฆ์เวหาได้นำลูกน้องของตัวเองบุกตะลุยเข้าไปในบ่อนขนาดใหญ่ของพวกแก๊งวาฬยักษ์!
กำลังภายในอันทรงพลังของเขาถูกปลดปล่อยออกอย่างรุนแรง ปรมาจารย์ด้านกำลังภายในในบ่อนแห่งนี้จึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าส่วนที่เหลือจะยังต่อสู้อย่างดื้อรั้น แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่บ่อนนี้จะถูกยึดโดยสมบูรณ์
หวังเหยียนกวาดสายตามองสำรวจห้องโถงของบ่อนอย่างละเอียด หลังจากจัดการกับปรมาจารย์กำลังภายในซึ่งเป็นคนดูแลบ่อนนี้ไปแล้ว เขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการต่อสู้ต่อไปอีก
หลังจากที่ต่อสู้กับปรมาจารย์กำลังภายในอย่างดุเดือด กำลังภายในของหวังเหยียนเองก็เกือบจะหมด
ในเวลานี้ เขาจึงต้องหยุดพักและฟื้นตัวอย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ชั่วครู่ถัดมา หนึ่งในลูกน้องของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสภาพโชกเลือด!!
“ล…ลูกพี่! พวกเราแย่แล้ว! ข้างนอกมีคนของแก๊งวาฬยักษ์อยู่เต็มไปหมดเลย! หัวหน้าสาขาของพวกมันก็มากันด้วยตั้งสี่คน! คนของเราที่อยู่ข้างนอกต้านไม่ไหวเลย!!”
“ว่าไงนะ!”
หวังเหยียน เมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็ตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ!
นี่พวกเขาถูกวางกับดักงั้นเหรอ?
เขาเพิ่งมาถล่มที่นี่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงรวบรวมหัวหน้าสาขาทั้งสี่มาได้เร็วขนาดนี้ไม่ได้แน่ หากไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน!
ในขณะเดียวกันนี้ ประตูห้องโถงก็ถูกทำลายจนกระจายเป็นชิ้น ๆ!
เศษไม้กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว และชายฉกรรจ์ที่ดูไม่ธรรมดาสี่คนก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ!
หลังจากนั้น บรรดาสมาชิกทั่วไปของแก๊งวาฬยักษ์ก็กรูตามเข้ามา!
เมื่อเห็นฉากนี้ หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่ฉันเดาว่าตอนนี้พลังของแกคงใกล้หมดแล้วใช่ไหม?”
หนึ่งในหัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“หึหึหึ รองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหา! แกนี่มันโง่เง่าจริง ๆ แกคิดว่าแกจะเล่นงานพวกเราได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ? แกไม่รู้ซะแล้วว่าความเคลื่อนไหวของแก พวกเรารู้มันทั้งหมด!”
หวังเหยียนเมื่อกวาดสายตามองประเมินฝั่งตรงข้าม เขารู้สึกเครียดหนักขึ้นมากกว่าเดิม
ตอนนี้พลังของตัวเองใกล้หมดแล้ว และคนพวกนี้ก็แข็งแกร่งพอสมควร!
หากเป็นตอนปกติ เขาคงพอจะเอาตัวรอดได้ ทว่าด้วยความอ่อนแอของตัวเองในตอนนี้มันก็ยากเหลือเกินที่หนีสี่คนนี้พ้น และไหนจะลูกน้องของเขาอีกที่ยังคงอยู่ที่นี่ เขาจะทิ้งลูกน้องตัวเองไปไม่ได้!
“จิ่นเฟิง! เรามาเจรจากันก่อนไหม? แลกกับการที่พวกฉันจะปล่อยเชลยแก๊งของแกที่พวกฉันจับไปก่อนหน้านี้ แกก็ปล่อยพวกฉันไปครั้งนี้แกว่าไง?”
หวังเหยียนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม เขาก็รู้จักคนที่เป็นผู้นำกลุ่มที่เพิ่งบุกเข้ามา!
ในเวลานี้ คนของแก๊งวาฬยักษ์ได้ล้อมพวกเขาเอาไว้ทุกด้านเรียบร้อยแล้ว
จำนวนคนของแก๊งพยัคฆ์เวหาขณะนี้เสียเปรียบเป็นอย่างมาก พวกเขามีคนน้อยกว่าถึงสามเท่า!
ถ้าสู้ก็ตายแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ชายที่ถูกเรียกว่าจิ่นเฟิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างประชดประชันทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของหวังเหยียน
“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน นี่แกคิดว่าฉันเป็นเด็กอายุ 3 ขวบหรือไง? มูลค่าของไอ้พวกลิ่วล้อที่พวกแกจับไปได้มันจะเทียบได้กับรองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างแกได้ยังไงจริงไหม?”
“สรุปแล้วคือไม่เจรจาใช่ไหม?”
หวังเหยียน จ้องมองไปที่อีกฝ่ายพร้อมกับเตรียมตัวรับมือการต่อสู้เป็นตาย
“เจรจางั้นเหรอ…อืม…จริง ๆ แล้วหัวหน้าหลิ่วของฉันก็พูดเอาไว้เหมือนกันว่า ถ้าแกยอมออกจากแก๊งพยัคฆ์เวหา ทิ้งไอ้ขยะโจวเฟยหู่ และเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์ของฉัน แกก็จะสามารถรอดตายได้ในวันนี้!”
จิ่นเฟิงตอบกลับพร้อมกับแสดงท่าทีใจกว้าง ยอมถอยให้กับหวังเหยียน
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ หวังเหยียนก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม
อีกฝ่ายกำลังดูถูกเขาและพยายามจะบั่นทอนกำลังใจคนของฝ่ายเขาอย่างเห็นได้ชัด!
ในตอนนี้รอบ ๆ ตัวหวังเหยียนมีลูกน้องอยู่กว่าสี่สิบคน พวกเขาคงมีโอกาสรอดเล็กน้อย ถ้าเขายอมทรยศจริง ๆ
แต่หลังจากนั้น แก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะวุ่นวายในทันที!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง
เขาจะทำยังไงดี? เขาจะยอมเสียสละตัวเองพร้อมกับลูกน้องอีกสี่สิบกว่าคนเพื่อไม่ทำให้แก๊งพยัคฆ์เวหาสั่นคลอนดีไหม?
แต่แล้วในขณะที่เขากำลังหมดหวัง จู่ ๆ เขานึกอะไรบางอย่างออก ซึ่งราวกับว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ ใช่แล้ว ชายคนนั้นไง!
…
ขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานกำลังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารในห้องหลี่หรงจนอิ่มไปแล้ว และถวนถวนก็กินอิ่มแล้วเช่นกัน เด็กน้อยกำลังเล่นกับสุนัขสองตัวอย่างสนุกสนาน
จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“น้องอวี้! ตอนนี้นายว่างไหม? มาช่วยฉันที!”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เป็นเสียงตื่นตระหนกของหวังเหยียน
“เกิดอะไรขึ้น?”
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว
“ฉันติดอยู่ที่บ่อนเป่ยเชิงที่อยู่ทางทิศเหนือของเมือง! น้องอวี้ หากนายไม่ได้ทำอะไรสำคัญอยู่ โปรดมาช่วยฉันที!”
“ฉันว่างอยู่”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางหันศีรษะไปเหลือบมองน้องภรรยาที่กำลังเล่นกับถวนถวน ใช่แล้ว ตอนนี้เขาว่างอยู่
“งั้นก็มาช่วยฉันตอนนี้ที น้องอวี้! ฉันกำลังจะถูกรุมฆ่าแล้ว!”
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูรถและมองไปที่พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่ยืนจ้องเยาะเย้ยเขาอยู่
“ฮ่าฮ่า! แกใจกล้าไม่เบานี่หว่าที่หยุดรถรอพวกฉันแบบนี้!”
เฉียนเซามองอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาประชดประชัน
ในเวลานี้ นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาอีกเจ็ดแปดที่ตามมา เขายังมีพวกบอดี้การ์ดมากกว่าหนึ่งโหลที่ตามมาสบทบอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้ว่าจะเรียกแกว่าคนโง่หรือว่าคนบ้าดีที่ไปไหนมาตามลำพังคนเดียวโดยไม่มีบอดี้การ์ดแบบนี้?”
เขาตั้งใจเยาะเย้ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่คนเดียว
แต่แล้วเมื่อเขาเหลือบเห็นซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของเขาก็ยิ่งชั่วร้ายมากกว่าเดิม
“หึหึ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าแกโดนอัดจนยอมก้มกราบเท้าฉันวิงวอนขอชีวิตเหมือนหมาข้างถนน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถนั่นยังจะชอบแกอยู่ไหม? พวกผู้หญิงน่ะมันเปลี่ยนใจง่ายจะตาย ถ้าเห็นแกอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนั้น แกคงถูกมองเหยียดเหมือนเศษขยะเลยล่ะ ฮ่าฮ่า!”
ในขณะเดียวกันนี้ พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็แสดงสีหน้าดูถูกอวี้ฮ่าวหรานเช่นกัน ในสายตาของพวกเขา อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กลุ่มของเฉียนเซากำลังชื่นมื่น จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลุดไปอยู่ในโลกน้ำแข็งที่หนาวเหน็บจนถึงขั้วกระดูกอย่างฉับพลัน!
“หึ! พวกฝูงมด”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มที่มุมปากพร้อมกับมองพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านี้ด้วยแววตารังเกียจ
แม้ว่าเสียงพูดของเขาจะไม่ดัง แต่กลุ่มของเฉียนเซากลับได้ยินชัดเจนอย่างน่าประหลาด
เฉียนเซาตกตะลึงกับประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้แล้ว เขาก็จ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างดุเดือด
“ไอ้ลูกหมา! แกคิดว่าแกเป็นใครวะถึงกล้ามาเรียกฉันว่ามด? แกปากดีนักใช่ไหม? พวกแกทุกคนไปจับมันมาคุกเข่าต่อหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”
หลังจากตะคอกจบ เฉียนเซาก็โบกมือข้างหนึ่งสั่งให้พวกบอดี้การ์ดลงมือทันที!
บอดี้การ์ดสิบกว่าคนวิ่งตรงดิ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานทันทีหลังจากได้รับสัญญาณ พวกเขาแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าดุร้ายและชักกระบองสั้นที่เอวออกมาเตรียมจะฟาดเป้าหมายให้ลงไปนอนกองที่พื้นโดยเร็วที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาจะต่อกรได้!
ในขณะที่พวกบอดี้การ์ดเข้ามาใกล้จนได้ระยะ
ทันใดนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นแฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่น!
“คุกเข่าลง!”
ถึงแม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของอวี้ฮ่าวหรานจะเบา แต่ในจิตวิญญาณของของพวกบอดี้การ์ดกลับได้ยินเสียงนี้ดังก้องจนร่างแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และร่างของพวกเขาทุกคนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน!
บอดี้การ์ดเหล่านี้ราวกับว่ากำลังมองเห็นพระเจ้าที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าและโลกที่แดงฉานเต็มไปด้วยโลหิตก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา
ทุกคนหยุด
พวกเขาตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อเผชิญกับภาพลวงตาที่น่ากลัวจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้นี้
‘ผลั่ก!’
หลังจากหยุดนิ่งอยู่เพียงอึดใจ พวกบอดี้การ์ดต่างก็คุกเข่าลงราวกับว่าขาของพวกเขาไร้เรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์!
“นี่มันบ้าอะไรวะ!”
ดวงตาของเฉียนเซาเบิกโพลงมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า! เขาอุทานคำหยาบเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกบอดี้การ์ดมืออาชีพที่เคยดุร้ายเหล่านี้ถึงจู่ ๆ ก็คุกเข่าให้กับอีกฝ่ายง่าย ๆ ราวกับเจอบรรพบุรุษตัวเองเช่นนี้?
ไอ้พวกบอดี้การ์ดพวกนี้มันปัญญาอ่อนไปแล้วงั้นเหรอ?
เมื่อเฉียนเซาตะโกน พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ ก็เริ่มตะโกนด่าบอดี้การ์ดของตัวเองเช่นกันด้วยความตกใจ
“บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่! พวกแกคุกเข่าให้กับมันทำไม มันเป็นพ่อแกเหรอไงถึงไปคุกเข่าให้มันแบบนี้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะโว๊ยไม่งั้นฉันจะบอกพ่อให้ไล่แกออกหลังจากนี้!!”
เขาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ก็แปลกประหลาดเกินไปจริง ๆ
บอดี้การ์ดมืออาชีพที่แข็งแกร่งกว่าโหล ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มผอมบางที่ดูไม่มีพิษภัยแบบนี้ได้ไง!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉียนเซาจะตะโกนใส่พวกบอดี้การ์ดอย่างไร พวกบอดี้การ์ดเหล่านี้ต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย พวกเขาเอาแต่มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากจะคุกเข่า แต่ภาพมายาที่ปรากฏขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเขา ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งจนยอมทำทุกอย่างที่ชายหนุ่มคนนี้สั่ง
ในสายตาของพวกเขาตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีอำนาจสูงส่งราวกับเป็นเทพเจ้าที่ไม่สามารถจ้องมองโดยตรงได้
เฉียนเซายิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เมื่อตะโกนจนคอแหบแล้วก็ยังไม่มีใครเชื่อฟังเขา!
“ขยะเอ๊ย! ไอ้พวกขยะ! ไอ้พวกไร้น้ำยา! พวกแกเอาแต่คุกเข่าแบบนี้ได้ไง?”
เขาไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้
การที่ลูกน้องของเขาคุกเข่าให้กับศัตรูของเขาเองแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขาอย่างแรงในที่สาธารณะ!
หลังจากที่สยบพวกบอดี้การ์ดเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เบนสายตากลับมามองเฉียนเซา และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกครั้งอย่างล้อเลียน
“คนพวกนี้เพิ่งประจักษ์ในความจริงที่ว่าต่อหน้าฉันพวกมันไม่ต่างอะไรกับมดแมลง ดังนั้นไม่ว่าแกจะสั่งพวกมันยังไง พวกมันก็ฝ่าฝืนคำพูดของฉันด้วยการลุกขึ้นตามคำสั่งของแกหรอก”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้าหาคนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านั้น
เฉียนเซาอยากจะด่ากลับ แต่เมื่อเขาสบตาอีกฝ่าย เจ้าตัวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกจนคำพูดทุกอย่างจุกอยู่ที่คอ
นี่มันแววตาแบบไหนกัน? ทำไมมันถึงได้น่ากลัวแบบนี้วะ!
เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
แต่หลังจากก้าวถอยไปได้ราวห้าหกก้าว ขาของเขาก็สั่นและไร้เรี่ยวแรงจนก้าวไม่ออกอีกต่อไป!
“ก…แกเป็นใครกันแน่!?”
เฉียนเซาถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ ตั้งแต่เขาเกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรจนก้าวขาไม่ออกแบบนี้มาก่อนเลย!
แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอีกฝ่าย เขายังคงก้าวมาข้างหน้าเรื่อย ๆ
วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง!
“แกกับพวกของแกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! พวกแกคุกเข่าลงให้หมด!”
พลังเสียงของอวี้ฮ่าวหรานไม่ต่างอะไรกับประกาศิตจากสวรรค์ ทันทีที่เฉียนเซาและพรรคพวกที่เหลือได้ยินคำสั่งนี้ พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย!
‘ผลั่ก…ผลั่ก…’
เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งและกลิ่นอายที่สุดแสนจะล้ำลึก คนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็เห็นภาพมายาถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหัวใจของพวกเขา ขาของพวกเขาอ่อนแรงลง และพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้น!
เฉียนเซาจับจ้องที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความรู้สึกสยองขวัญ
“นี่…นี่แกเป็นสัตว์ประหลาดหรือยังไงกัน!?”
เขาดวงซวยมาเจอคนที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ รถตู้เจ็ดแปดคันก็พุ่งมาด้วยความเร็วสูงจากระยะไกล!
“บ้าอะไรวะน่ะ? พวกพวกลูกคนรวยพวกนั้นมันกำลังทำบ้าอะไรอยู่?”
ในรถ SUV ที่อยู่หัวขบวน ชายหัวล้านอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเมื่อเห็นฉากประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ไกลนัก
ทันทีที่รถหยุดนิ่ง ชายหัวล้านก็กระโดดลงจากรถ
“ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกกำลังทำพิธีกรรมบ้าอะไรของพวกแก?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฉากแปลก ๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะคร่ำหวอดอยู่ในโลกใต้ดินมาหลายปีแล้ว
คนเกือบยี่สิบคนคุกเข่าลง และมีชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
ที่สำคัญ ชายหนุ่มคนที่ยังยืนอยู่นั้นเป็นชายที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ร่างผอมบางไร้พิษสงอีกต่างหาก!
ในความเห็นของเขา เหตุการณ์นี้มันไร้สาระสุด ๆ!