บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูรถและมองไปที่พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่ยืนจ้องเยาะเย้ยเขาอยู่
“ฮ่าฮ่า! แกใจกล้าไม่เบานี่หว่าที่หยุดรถรอพวกฉันแบบนี้!”
เฉียนเซามองอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาประชดประชัน
ในเวลานี้ นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาอีกเจ็ดแปดที่ตามมา เขายังมีพวกบอดี้การ์ดมากกว่าหนึ่งโหลที่ตามมาสบทบอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้ว่าจะเรียกแกว่าคนโง่หรือว่าคนบ้าดีที่ไปไหนมาตามลำพังคนเดียวโดยไม่มีบอดี้การ์ดแบบนี้?”
เขาตั้งใจเยาะเย้ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่คนเดียว
แต่แล้วเมื่อเขาเหลือบเห็นซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของเขาก็ยิ่งชั่วร้ายมากกว่าเดิม
“หึหึ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าแกโดนอัดจนยอมก้มกราบเท้าฉันวิงวอนขอชีวิตเหมือนหมาข้างถนน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถนั่นยังจะชอบแกอยู่ไหม? พวกผู้หญิงน่ะมันเปลี่ยนใจง่ายจะตาย ถ้าเห็นแกอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนั้น แกคงถูกมองเหยียดเหมือนเศษขยะเลยล่ะ ฮ่าฮ่า!”
ในขณะเดียวกันนี้ พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็แสดงสีหน้าดูถูกอวี้ฮ่าวหรานเช่นกัน ในสายตาของพวกเขา อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กลุ่มของเฉียนเซากำลังชื่นมื่น จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลุดไปอยู่ในโลกน้ำแข็งที่หนาวเหน็บจนถึงขั้วกระดูกอย่างฉับพลัน!
“หึ! พวกฝูงมด”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มที่มุมปากพร้อมกับมองพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านี้ด้วยแววตารังเกียจ
แม้ว่าเสียงพูดของเขาจะไม่ดัง แต่กลุ่มของเฉียนเซากลับได้ยินชัดเจนอย่างน่าประหลาด
เฉียนเซาตกตะลึงกับประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้แล้ว เขาก็จ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างดุเดือด
“ไอ้ลูกหมา! แกคิดว่าแกเป็นใครวะถึงกล้ามาเรียกฉันว่ามด? แกปากดีนักใช่ไหม? พวกแกทุกคนไปจับมันมาคุกเข่าต่อหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”
หลังจากตะคอกจบ เฉียนเซาก็โบกมือข้างหนึ่งสั่งให้พวกบอดี้การ์ดลงมือทันที!
บอดี้การ์ดสิบกว่าคนวิ่งตรงดิ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานทันทีหลังจากได้รับสัญญาณ พวกเขาแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าดุร้ายและชักกระบองสั้นที่เอวออกมาเตรียมจะฟาดเป้าหมายให้ลงไปนอนกองที่พื้นโดยเร็วที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาจะต่อกรได้!
ในขณะที่พวกบอดี้การ์ดเข้ามาใกล้จนได้ระยะ
ทันใดนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นแฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่น!
“คุกเข่าลง!”
ถึงแม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของอวี้ฮ่าวหรานจะเบา แต่ในจิตวิญญาณของของพวกบอดี้การ์ดกลับได้ยินเสียงนี้ดังก้องจนร่างแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และร่างของพวกเขาทุกคนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน!
บอดี้การ์ดเหล่านี้ราวกับว่ากำลังมองเห็นพระเจ้าที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าและโลกที่แดงฉานเต็มไปด้วยโลหิตก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา
ทุกคนหยุด
พวกเขาตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อเผชิญกับภาพลวงตาที่น่ากลัวจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้นี้
‘ผลั่ก!’
หลังจากหยุดนิ่งอยู่เพียงอึดใจ พวกบอดี้การ์ดต่างก็คุกเข่าลงราวกับว่าขาของพวกเขาไร้เรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์!
“นี่มันบ้าอะไรวะ!”
ดวงตาของเฉียนเซาเบิกโพลงมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า! เขาอุทานคำหยาบเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกบอดี้การ์ดมืออาชีพที่เคยดุร้ายเหล่านี้ถึงจู่ ๆ ก็คุกเข่าให้กับอีกฝ่ายง่าย ๆ ราวกับเจอบรรพบุรุษตัวเองเช่นนี้?
ไอ้พวกบอดี้การ์ดพวกนี้มันปัญญาอ่อนไปแล้วงั้นเหรอ?
เมื่อเฉียนเซาตะโกน พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ ก็เริ่มตะโกนด่าบอดี้การ์ดของตัวเองเช่นกันด้วยความตกใจ
“บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่! พวกแกคุกเข่าให้กับมันทำไม มันเป็นพ่อแกเหรอไงถึงไปคุกเข่าให้มันแบบนี้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะโว๊ยไม่งั้นฉันจะบอกพ่อให้ไล่แกออกหลังจากนี้!!”
เขาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ก็แปลกประหลาดเกินไปจริง ๆ
บอดี้การ์ดมืออาชีพที่แข็งแกร่งกว่าโหล ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มผอมบางที่ดูไม่มีพิษภัยแบบนี้ได้ไง!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉียนเซาจะตะโกนใส่พวกบอดี้การ์ดอย่างไร พวกบอดี้การ์ดเหล่านี้ต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย พวกเขาเอาแต่มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากจะคุกเข่า แต่ภาพมายาที่ปรากฏขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเขา ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งจนยอมทำทุกอย่างที่ชายหนุ่มคนนี้สั่ง
ในสายตาของพวกเขาตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีอำนาจสูงส่งราวกับเป็นเทพเจ้าที่ไม่สามารถจ้องมองโดยตรงได้
เฉียนเซายิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เมื่อตะโกนจนคอแหบแล้วก็ยังไม่มีใครเชื่อฟังเขา!
“ขยะเอ๊ย! ไอ้พวกขยะ! ไอ้พวกไร้น้ำยา! พวกแกเอาแต่คุกเข่าแบบนี้ได้ไง?”
เขาไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้
การที่ลูกน้องของเขาคุกเข่าให้กับศัตรูของเขาเองแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขาอย่างแรงในที่สาธารณะ!
หลังจากที่สยบพวกบอดี้การ์ดเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เบนสายตากลับมามองเฉียนเซา และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกครั้งอย่างล้อเลียน
“คนพวกนี้เพิ่งประจักษ์ในความจริงที่ว่าต่อหน้าฉันพวกมันไม่ต่างอะไรกับมดแมลง ดังนั้นไม่ว่าแกจะสั่งพวกมันยังไง พวกมันก็ฝ่าฝืนคำพูดของฉันด้วยการลุกขึ้นตามคำสั่งของแกหรอก”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้าหาคนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านั้น
เฉียนเซาอยากจะด่ากลับ แต่เมื่อเขาสบตาอีกฝ่าย เจ้าตัวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกจนคำพูดทุกอย่างจุกอยู่ที่คอ
นี่มันแววตาแบบไหนกัน? ทำไมมันถึงได้น่ากลัวแบบนี้วะ!
เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
แต่หลังจากก้าวถอยไปได้ราวห้าหกก้าว ขาของเขาก็สั่นและไร้เรี่ยวแรงจนก้าวไม่ออกอีกต่อไป!
“ก…แกเป็นใครกันแน่!?”
เฉียนเซาถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ ตั้งแต่เขาเกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรจนก้าวขาไม่ออกแบบนี้มาก่อนเลย!
แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอีกฝ่าย เขายังคงก้าวมาข้างหน้าเรื่อย ๆ
วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง!
“แกกับพวกของแกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! พวกแกคุกเข่าลงให้หมด!”
พลังเสียงของอวี้ฮ่าวหรานไม่ต่างอะไรกับประกาศิตจากสวรรค์ ทันทีที่เฉียนเซาและพรรคพวกที่เหลือได้ยินคำสั่งนี้ พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย!
‘ผลั่ก…ผลั่ก…’
เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งและกลิ่นอายที่สุดแสนจะล้ำลึก คนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็เห็นภาพมายาถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหัวใจของพวกเขา ขาของพวกเขาอ่อนแรงลง และพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้น!
เฉียนเซาจับจ้องที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความรู้สึกสยองขวัญ
“นี่…นี่แกเป็นสัตว์ประหลาดหรือยังไงกัน!?”
เขาดวงซวยมาเจอคนที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ รถตู้เจ็ดแปดคันก็พุ่งมาด้วยความเร็วสูงจากระยะไกล!
“บ้าอะไรวะน่ะ? พวกพวกลูกคนรวยพวกนั้นมันกำลังทำบ้าอะไรอยู่?”
ในรถ SUV ที่อยู่หัวขบวน ชายหัวล้านอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเมื่อเห็นฉากประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ไกลนัก
ทันทีที่รถหยุดนิ่ง ชายหัวล้านก็กระโดดลงจากรถ
“ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกกำลังทำพิธีกรรมบ้าอะไรของพวกแก?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฉากแปลก ๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะคร่ำหวอดอยู่ในโลกใต้ดินมาหลายปีแล้ว
คนเกือบยี่สิบคนคุกเข่าลง และมีชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
ที่สำคัญ ชายหนุ่มคนที่ยังยืนอยู่นั้นเป็นชายที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ร่างผอมบางไร้พิษสงอีกต่างหาก!
ในความเห็นของเขา เหตุการณ์นี้มันไร้สาระสุด ๆ!
บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
“โอ้! อรุณสวัสดิ์ครับรองประธานหลี่! ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ทั้งสองนี้ต้องการพบท่านประธานอวี้จของเรา แต่พวกเขาไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าหรือใบรับรองใด ๆ เลย”
เมื่อรปภ. เห็นว่าเป็นหลี่จิงเทียนที่เอ่ยทัก เขาก็แสดงความเคารพในทันที
หลี่จิงเทียนหรี่ตาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และพบว่าเขาไม่รู้จักสองคนนี้เลย
“อยากเจอพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า ล้อเล่นรึเปล่า คนธรรมดาจะเข้าพบพี่เขยของฉันง่าย ๆ ได้ยังไง?”
เขาแสดงสีหน้าดูหมิ่นและคิดว่าสองคนนี้น่าจะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา
อันที่จริง เขาลืมไปเลยว่าเขาเคยเจอสวีรุ่ย และเคยพยายามจะรังแกเธอมาก่อน แต่เนื่องจากมันนานมากแล้วและหลังจากนั้นก็มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับเขามากมายจนเขาลืมเหตุการณ์เล็ก ๆ นั้นไปซะสนิท
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉากนี้สวีเซี่ยงจวินก็รีบเดินเข้ามาหา
“คุณ…คุณเป็นรองประธานหลี่งั้นเหรอครับ? คือว่าเมื่อวานท่านประธานอวี้บอกกับพวกเราว่าให้เรามาพบเขาที่นี่วันนี้ คุณช่วยแจ้งท่านประธานให้พวกเราหน่อยจะได้ไหม?”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่จิงเทียนที่แสดงสีหน้าหยิ่งผยอง ท่าทางของสวีเซี่ยงจวินก็ยิ่งนอบน้อมมากขึ้น
แต่ใครคือหลี่จิงเทียน?
“ฮ่าฮ่า แกนี่ตลกจริง ๆ! แกต้องการพบกับพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? นี่แกฝันอยู่รึไง?”
เขามองสวีเซี่ยงจวินตั้งแต่หัวจรดเท้า คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“แกโชคดีมากเลยนะที่เช้านี้ฉันอารมณ์ดีมาก ไม่งั้นล่ะก็ฉันคงออกจากรถไปตบหน้าของแกแล้ว แกนี่ไม่รู้จักเจียมตัวซะเลย!”
“แต่…แต่ประธานอวี้บอกให้ผมมาจริง ๆ…”
สวีเซี่ยงจวิน ตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายและลังเล
“พ่อคะ พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้วเดี๋ยวหนูขอโทรหาเขาก่อนดีกว่า เมื่อวานเขาบอกว่าให้เราโทรหาเมื่อเรามาถึงบริษัท!”
สวีรุ่ยก้าวออกมาขวางไว้และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรออก
“โอ้! ใช่! ใช่! เรายังไม่ได้โทรเลย!”
สวีเซี่ยงจวินพยักหน้ารัวและพูดขึ้นด้วยความดีใจราวกับว่าเขาเพิ่งหาทางออกจากเขาวงกตที่น่ากลัวได้
“โทรหางั้นเหรอ? เหอะ คนอย่างพวกแกไม่มีทางมีเบอร์โทรของพี่เขยฉันหรอก!”
หลี่จิงเทียนรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในใจ
การโทรเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล คือ…คือว่าเรามาถึงแล้ว”
“หืม? มาแต่เช้าเลยงั้นเหรอ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหาผมล่วงหน้าก่อน ตอนนี้ผมยังไปไม่ถึงบริษัทเลย”
“ค…คือฉันลืมไป แต่ตอนนี้เราเข้าไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกักตัวเราเอาไว้…”
สวีรุ่ยบอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็น เธอก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายจริงๆ ทว่าในเดียวกันนี้ หลี่จิงเทียนกลับขนลุกไปทั่วทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ของสวีรุ่ย
“น…นั่นมันเสียง…เสียงของพี่เขยของฉันจริง ๆ!”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินเสียงของหลี่จิงเทียนลอดมาทางโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที!
“คุณยื่นโทรศัพท์ของคุณให้ไอ้โง่ที่อยู่ไม่ไกลจากคุณที!”
หลี่จิงเทียนเป็นคนที่มีนิสัยชอบรังแกคนอื่นและมองคนธรรมดาทั่วไปต่ำกว่าตัวเองเสมอมา ดังนั้นอวี้ฮ่าวหรานจึงคาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจากน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกของหลี่จิงเทียน
สวีรุ่ยตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน และเธอก็เดาได้ว่า ‘ไอ้โง่’ ที่อวี้ฮ่าวหรานหมายถึงนั้นคือใคร
“เอ่อ…รองประธานหลี่ พี่เขยของคุณขอให้คุณคุยกับเขา”
เธอยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน อันที่จริงเธอจำได้ว่าหลี่จิงเทียนเป็นคนที่เคยพยายามรังแกเธอมาก่อน
ทางด้านของหลี่จิงเทียน เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าคู่พ่อลูกนี้รู้จักกับพี่เขยของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่หลงเหลือความหยิ่งผยองอีกต่อไป
“พ…พี่เขย…อรุณสวัสดิ์พี่เขย”
“หลี่จิงเทียน!”
เสียงตะคอกจากปลายสายดังขึ้นอย่างชัดเจนจนทำให้มือของหลี่จิงเทียนสั่นริก ๆ จนแทบจะจับโทรศัพท์ไม่อยู่…
“พ…พี่เขย…พี่อย่าเพิ่งโกรธผมสิ…”
เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินเสียงที่ดูไม่พอใจอย่างรุนแรงของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาก็ขมขื่น!
“แกยังมีหน้ามาบอกให้ฉันไม่โกรธอีกงั้นเหรอ! สองคนนั้นเป็นเพื่อนของฉัน เมื่อกี้แกทำตัวหยาบคายอีกแล้วใช่ไหม!”
แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อวี้ฮ่าวหรานรู้ดีว่าสันดานของ หลี่จิงเทียนเป็นอย่างไร
เขาไม่ต้องการให้สวีรุ่ยไม่สบายใจด้วยเหตุนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองส่วนหนึ่งกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น
ระบบความปลอดภัยของเครือฮ่าวหรานถูกปรับปรุงให้เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวผู้บริหารที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะเข้าไปในบริษัทได้โดยไม่มีใบรับรองหรือการนัดหมายล่วงหน้า
เมื่อวานมันฉุกละหุกเกินไปหน่อยจนเขาลืมแจ้งเรื่องนี้กับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทตัวเอง
“ผม…ผมผิดไปแล้ว…พี่เขย…”
หลี่จิงเทียนมีสีหน้าขมขื่นเมื่อเขาโดนตะคอกด่า และเขาก็ไม่กล้าโต้เถียงเลย ดังนั้นเขาจึงรีบขอโทษ
รปภ. ที่ดูฉากนี้ถึงกับอึ้ง แน่นอนว่า ประธานอวี้คงเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้รองประธานหลี่ที่แสนจะหยาบคายหงอถึงขนาดนี้ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคู่ของพ่อและลูกสาวที่แต่งตัวธรรมดาด้วยความตกใจ เขาลอบถอนหายใจอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เขาระมัดระวังพอไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายไปก่อนหน้านี้…
ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เขาอาจจะถูกเลิกจ้างก็เป็นได้
“แกฟังฉันให้ดี ๆ นะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปถึงบริษัท ดังนั้นในระหว่างนี้แกต้องต้อนรับเพื่อนของฉันทั้งสองให้ดี ๆ ดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่แกจะทำได้เข้าใจไหม!”
“ครับ ครับพี่เขย! ผมสัญญาว่าจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี!”
หลังจากได้รับคำสั่งจากปลายสายของโทรศัพท์แล้ว หลี่จิงเทียนก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอีกฝ่ายวางสาย เขาจึงตระหนักได้ว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจำนวนมาก
พี่เขยของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!
“เอ่อ…ตอนนี้เราเข้าไปได้แล้วใช่ไหม?”
เมื่อเห็นหลี่จิงเทียนกำลังหน้าซีด สวีรุ่ยก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
จากนั้นหลี่จิงเทียนก็ตอบสนองและเขาก็รีบเปิดประตูลงจากรถและรีบเดินเข้ามาประจบประแจงคู่พ่อลูกอย่างนอบน้อม
“น…แน่นอนเลย! อีกเดี๋ยวพี่เขยของผมจะมาถึง เพราะงั้นในระหว่างนี้เดี๋ยวผมจะดูแลพวกคุณเอง มาเถอะ ๆ ทำตัวตามตามสบายเหมือนที่นี่เป็นบ้านของพวกคุณเองได้เลย!”
ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาทันที ราวกับว่าเขาได้เห็นญาติที่เขาไม่ได้พบหน้ากันมานาน
“มาเถอะ! มาขึ้นรถของผมได้เลย! หน้าประตูนี้มันอยู่ห่างจากตึกสำนักงานพอสมควร เดินเข้าไปไม่ไหวหรอกเหนื่อยแย่เลย มา ๆ เดี๋ยวผมขับรถพาพวกคุณเข้าไปเอง!”
เมื่อพูดจบ เขาก็รีบเปิดประตูรถให้คนทั้งสองอย่างรวดเร็วและชักชวนให้ขึ้นรถ
รปภ. ที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกละอายใจมาก ๆ
ดูจากความเร็วที่พวกคนชั้นสูงสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ มันไม่แปลกเลยที่คนอย่างเขาจะเป็นได้แค่รปภ. ไปตลอดชีวิต
…
สวีเซี่ยงจวิน ยังคงมึนงงและกว่าที่เขาจะตอบสนองได้ก็คือตอนที่เขาถูกอีกฝ่ายลากเข้าไปนั่งในรถ BMW แล้ว
ทั้งสองขึ้นรถ และคราวนี้ไม่มีรปภ. คนไหนกล้าหยุดพวกเขาอีกต่อไป
“โธ่ เมื่อกี้พวกคุณก็ไม่ยอมบอกก่อนว่าพวกคุณเป็นเพื่อนของพี่เขยของผม เอาล่ะ เดี๋ยวในระหว่างตอนที่พี่เขยของผมยังไม่มา พวกคุณเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของผมก่อน ข้างในออฟฟิศของผมสะดวกสบายที่สุดในบริษัทแล้ว!”
หลี่จิงเทียนพยายามเอาอกเอาใจจนสวีรุ่ยและพ่อของเธอเริ่มรู้สึกอึดอัด
แน่นอนว่าสาเหตุที่หลี่จิงเทียนยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้เป็นเพราะเขากลัวพี่เขยของเขา
“อืม…จริง ๆ แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้”
สวีรุ่ยชักจะทนไม่ไหว เธอไม่คุ้นชินกับการได้รับการปฏิบัติแบบนี้
“โธ่ ๆ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก! ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินของพี่เขยผมทั้งหมด และคุณก็เป็นเพื่อนกับเขา ดังนั้นคุณสามารถทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”
หลี่จิงเทียนยิ้มร่าและค่อย ๆ ขับรถเข้าไปในลานจอดรถ
จากนั้นเขาก็พาคู่พ่อลูกขึ้นไปที่ออฟฟิศของเขาเอง
สวีรุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นออฟฟิศส่วนตัวของอีกฝ่าย
“นี่…นี่มันห้องทำงานของคุณเหรอ รองประธานหลี่? นี่มันใช่ห้องทำงานจริง ๆ งั้นเหรอ…”
เธอไม่รู้จะอธิบายยังไง นี่มันออฟฟิศแบบไหนกัน?
โต๊ะพูล โปรเจคเตอร์ กอล์ฟในร่ม…
เธอเห็นเครื่องเล่นเกมอีกหลายเครื่องตรงมุมห้องด้วย!
ที่นี่มีวิธีความบันเทิงขั้นพื้นฐานทั้งหมด!
“เป็นไงล่ะ สุดยอดเลยใช่ม้า? กว่าที่ผมจะแต่งห้องได้ขนาดนี้เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่แน่ะ! เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ อยากเล่นอะไรพวกคุณเล่นได้เลย ทำตัวเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”
หลี่จิงเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากเขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำอะไรในบริษัทอยู่แล้วและพี่เขยรวมไปถึงพ่อของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าการที่เขาแต่งห้องแบบนี้มันผิดตรงไหน
แต่แน่นอนว่า สวีรุ่ยกับพ่อของเธอไม่กล้าทำตัวตามสบายเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ ในห้องนี้ตามที่หลี่จิงเทียนอนุญาต พวกเขาทั้งคู่จึงเอาแต่นั่งรอที่โซฟาอย่างเงียบ ๆ
พวกเขารู้สึกทึ่งกับขนาดของบริษัทนี้ และในทางกลับกัน พวกเขาก็พูดไม่ออกเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของหลี่จิงเทียนที่ย่ำแย่เมื่อเจอคนที่ดูต่ำกว่า และสามารถเปลี่ยนบุคลิกได้อย่างทันควันเมื่อพบว่าพวกเขาเป็นคนรู้จักของอวี้ฮ่าวหราน
บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!
บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!
หลังจากตัดหัวหนึ่งในลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังรอดอยู่ไปแล้ว จิ่นเฟิง ก็ลากลูกน้องของหวังเหยียนอีกคนมานั่งคุกเข่าตรงหน้าเขา
“หึหึ ดูลูกน้องของแกคนนี้สิ! ขาหักขนาดนี้คงเดินไม่ได้เหมือนเดิมอีกตลอดชีวิต เฮ้อ…แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะช่วยให้มันไม่ต้องเป็นคนพิการโดยการจบชีวิตมันทิ้งให้!”
จิ่นเฟิงพูดติดตลกพร้อมกับทาบมีดไปที่คอของชายคนนั้น และมองขึ้นไปยังหวังเหยียนด้วยแววตาหยอกล้อ
แต่แล้วก่อนที่เขาจะทันได้ลงมีด!
เสียงคำรามของรถสปอร์ตดังจากที่ไกล ๆ และเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลังจากเสียงเบรกอันรุนแรง รถสปอร์ตก็หยุดที่หน้าทางเข้าบ่อน!
“ห่าอะไรวะ! นี่แกเป็นใคร…”
“บัดซบ แกกำลังหาเรื่อง…”
พลั่ก ๆ! โครม!
ก่อนที่ลูกน้องของจิ่นเฟิงที่เฝ้าหน้าประตูอยู่สองคนข้างนอกจะทันได้พูดจบ คำพูดของเขาก็หายไปกลางคันก่อนที่จะมีเสียงโครมครามดังลั่นตามมา!
วินาทีถัดมา พวกเขาสองคนก็ถูกโจมตีจากด้านนอก ก่อนจะลอยเข้ามาในห้องโถงของบ่อน!
เสียงดังลั่นขนาดนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องโถงทันที!
ที่ประตู ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แต่ก่อนที่จะมองเห็นได้ชัดเจน สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ก็ตะโกนสาปแช่งซะก่อน
“บัดซบ! ไอ้เวรนี่มันเป็นใคร!!”
“แม่งเอ๊ย! กล้าทำร้ายคนของพวกเราแบบนี้วันนี้แกตายแน่!”
“…”
ทว่าทันใดนั้นชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา!
“วันนี้พวกแกทุกคนจะไม่มีใครรอดไปจากที่นี่!”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ต่างก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง พวกทุกคนต่างรู้สึกขนลุก!
ชายหนุ่มคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้า ๆ นั้นดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำพวกเขาได้ทุกเวลา แค่ประโยคเดียว ทุกคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว!
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างโง่งมและหยุดสาปแช่ง
“บัดซบ! พวกแกเป็นบ้าอะไรกัน? พวกแกกลัวคน ๆ เดียวแบบนี้ได้ไงวะ!?”
ในขณะเดียวกัน จิ่นเฟิงก็ตะโกนด่าคนของตัวเองเสียงดังลั่น เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งลูกน้องของตัวเองเมื่อเห็นเช่นนี้
แต่จริง ๆ แล้วตัวเขาเองก็ยังตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา ด้วยเหตุผลที่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ มันเหมือนกับว่าเขาได้เห็นยักษ์จากนรกที่แสนเหี้ยมโหดกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจความคิดของคนเหล่านี้ เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างช้า ๆ พร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารให้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง!
กลิ่นอายสังหารที่หนาแน่นขนาดนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกอยู่ในความกลัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนมองเห็นรูปร่างของชายที่เดินเข้ามาได้อย่างชัดเจน ความกลัวของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเยาะเย้ย!
มันเป็นเพียงชายหนุ่มร่างผอมเท่านั้นเอง!
พวกเขาไม่รู้จักอวี้ฮ่าวหราน ในวันนั้นตอนที่หลิ่วอวี้จิงพาคนไปล้อมบริษัทชิวเฮิง หลิ่วอวี้จิงไม่ได้เรียกคนของตัวเองไปทั้งหมด ซึ่งในวันนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปด้วย
“ถุย! ฉันหลงคิดไปได้ยังไงว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด! แม่งก็แค่ไอ้ละอ่อนที่เบื่อชีวิตก็แค่นั้นเอง!”
“เฮอะ! ผอมแห้งขนาดนั้น แค่ฉันดีดหัวมันทีเดียวกะโหลกมันก็ยุบแล้วมั้ง!”
“แม่งเอ๊ย! กล้าขู่ให้พ่อคนนี้กลัวงั้นเหรอ วันนี้แกตายแน่!”
“…”
หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา พวกเขาก็เริ่มด่าทอกันในทันที
แม้แต่จิ่นเฟิงก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก
“ฮ่า ๆ แกน่ะเหรอ คนที่หวังเหยียนโทรหา?”
เขายิ้มเยาะเย้ย
“แกมาที่นี่เพื่อมาตายกับสหายของแกงั้นเหรอ?”
ขณะที่พูด จิ่นเฟิงก็ผลักลูกน้องของหวังเหยียนที่เขากำลังจะฆ่าให้กระเด็นออกไปก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่มปริศนาพร้อมกับควงมีดในมือไปด้วยแบบสบาย ๆ
เมื่อเห็นการกระทำของเหล่านี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พ่นลมหายใจก่อนที่จะแสดงสีหน้าดูถูก
“พวกฝูงมดนี่มันไร้สาระเหมือน ๆ กันหมด!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้ฮ่าวหราน จิ่นเฟิงกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ!
“ฮ่า ๆ! หวังเหยียน ไหนแกลองบอกมาหน่อยสิว่าแกไปรู้จักกับไอ้เพี้ยนนี่มาจากไหน? ฝูงมด?? ฮ่า ๆๆ! คนที่แกเรียกมานี่แม่งโคตรตลกเลย!”
จิ่นเฟิงเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองหวังเหยียนที่ลุกขึ้นมานั่งเอาหลังพิงกำแพงได้แล้วอย่างเยาะเย้ย
น่าเสียดายที่จิ่นเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของ หวังเหยียนในเวลานี้!
จิ่นเฟิงเยาะเย้ยหวังเหยียนแค่เพียงประโยค จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกครั้ง
“แกนี่ตลกดีวะ ว่าแต่แกเป็นใครกันวะ ถึงได้กล้าเรียกพวกฉันว่ามด?”
จิ่นเฟิงยังคงเยาะเย้ยอย่างไม่กลัวตาย
“เอาแบบนี้ดีกว่า เห็นแก่ที่แกแม่งโคตรตลกเลย ฉันจะให้โอกาสแก ถ้าแกคุกเข่าลงและคลานลอดหว่างขาของฉัน ฉันอาจจะปล่อยให้แกรอดจากที่นี่ไปโดยที่หักขาแกแค่สองข้างพอ!”
อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้สาระแบบนี้
มนุษย์ธรรมดาสั่งให้เขาคลานลอดหว่างขาน่ะเหรอ?
“ฉันควรขอบคุณแกด้วยไหมที่คิดเมตตาฉันขนาดนี้?”
สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปเป็นเหี้ยมโหดอย่างฉับพลัน!
แต่แล้วก่อนที่จิ่นเฟิงจะทันได้เยาะเย้ยต่อไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ!
ร่างของไอ้หนุ่มนั่นทำไมมันถึงค่อย ๆ หายไปแบบนั้น!
อะไรวะน่ะ?
เสี้ยววินาทีถัดมา!
ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขาราวกับผี!
อันที่จริงแล้ว ภาพที่จิ่นเฟิงเห็น มันคือภาพติดตาที่เกิดจากความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อของอวี้ฮ่าวหราน!
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็รู้สึกว่าคอของตัวเองถูกบีบอย่างกะทันหัน และจู่ ๆ ก็มีคลื่นพลังอันแข็งแกร่งกวาดผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาให้กระเด็นลอยออกไปไกลจนกระแทกกับกำแพง!
‘บรึ้ม!’
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่จิ่นเฟิง ซึ่งเขากำลังกำคออยู่ด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยามและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“แกมีคุณสมบัติอะไรดีถึงกล้ามาโอ้อวดต่อหน้าข้าผู้นี้ ไอ้มดแมลง!!”
“อ่อก…อ่อก…อ่อก…”
จิ่นเฟิงรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่คอของตัวเองก็ถูกบีบแน่นจนไม่สามารถพูดอะไรได้เลย!
“อยากพูดเหรอ? น่าเสียดายที่ฉันไม่อยากจะฟัง แกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดอะไรให้ฉันได้ยิน!”
อวี้ฮ่าวหรานเยาะเย้ยอย่างเย็นชา
ถ้าเป็นในดินแดนแห่งเทพ มนุษย์คนใดก็ตามที่กล้าดูหมิ่นเขาโดยการบอกให้เขาไปคลานลอดหว่างขา เขาจะฆ่าล้างตระกูลของคน ๆ นั้นให้เหี้ยนไม่เหลือแม้แต่หมูหมากาไก่ หรือถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่น เขาจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกมันทั้งหมดในทันที!
ศพนับล้านจะต้องปรากฏขึ้นเพื่อชะล้างความแค้นของเขา!
ในเวลานี้ หัวใจของจิ่นเฟิงเป็นเหมือนทะเลที่บ้าคลั่ง เขาหวาดกลัว เขาหวาดกลัวจริง ๆ!
หวังเหยียนเรียกสัตว์ประหลาดแบบนี้มาได้ยังไง!
หากเขาพูดได้ในตอนนี้ ก็คงจะรีบสั่งให้คนของเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดทันที!
ชายคนนี้คือตัวตนที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้!
“แกกลัวงั้นเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ใบหน้าของจิ่นเฟิง ซึ่งเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีดอย่างเยาะเย้ย
“ถ้าเมื่อกี้แกยอมคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้าผู้นี้ปรากฏตัว บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตแก เพียงแค่ทำให้แกพิการไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว!”
“โฮ…โฮ…”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความตื่นตระหนกในหัวใจของจิ่นเฟิงก็พุ่งขึ้นทะลุปรอท!
เขารู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าที่เข้มข้น!
กร๊อบ!
ในขณะที่จิ่นเฟิงกำลังตื่นตระหนกสุดขีด อวี้ฮ่าวหรานก็หักคอของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี!
หลังจากจบชีวิตของจิ่นเฟิงไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองคนของแก๊งวาฬยักษ์ที่ยังคงอยู่ในห้องโถง!
บทที่ 294 เริ่มแผนการ
บทที่ 294 เริ่มแผนการ
“พ…พวกเราจะทำให้ทันที…แต่…แต่ว่าคุณหลี่ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย คุณอย่าฟ้องพวกเราเลยได้ไหม? ตระกูลอู๋บังคับให้พวกเราทำ…”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไป เขาเห็นผู้หญิงสองคนกำลังยืนก้มหน้าให้กับหลี่หรงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เรื่องเมตตาเอาไว้พูดกันทีหลัง! ถ้าบัญชีที่พวกเธอเอามาให้ฉันมันไม่มีปัญหาอะไร พวกเธอจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าพวกเธอคิดเล่นตุกติกล่ะก็ พวกเธอได้ไปนอนในคุกแน่!”
หลี่หรงซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะของเธอเอ่ยขู่ขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
“ม…มั่นใจได้เลยคุณหลี่ เดี๋ยวเราจะรีบไปเอาบัญชีของแท้มาให้คุณแน่นอน!”
เมื่อโดนขู่ว่าจะถูกส่งตัวเข้าคุก อดีตพนักงานบัญชีสองคนที่ลาออกไปเมื่อเดือนที่แล้วต่างก็หวาดกลัวจนยอมทำตามที่หญิงสาวบอกทุกอย่าง
“ดี! เอาล่ะ ตอนนี้รีบไปเอามาให้ฉันได้แล้ว และอย่าลืมปิดประตูหลังจากออกไปด้วย!”
หลี่หรงพยักหน้าก่อนที่จะโบกมือไล่สองคนนั้นให้ออกไป และหันมาหา อวี้ฮ่าวหรานที่เพิ่งเข้ามา
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่ในห้องแล้ว เธอบ่นขึ้นทันที
“พี่เขย! เมื่อวานฉันโดนลักพาตัวไปแท้ ๆ ทำไมวันนี้ตอนเช้าพี่ถึงไม่มาทำงานกับฉันด้วย!”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะตอบกลับ
“ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อวานพี่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือไง เธอยังจะกลัวอะไรอีก?”
เมื่อวานหลังจากช่วยหลี่หรงกลับมาได้ ด้วยความกังวล อวี้ฮ่าวหราน จึงมาที่บริษัทของหลี่หรงอีกรอบในช่วงเย็น จัดการปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยกชุด และตั้งใจว่าจะหาทีมใหม่มาแทน
และยิ่งไปกว่านั้น อวี้ฮ่าวหรานยังสั่งให้คนของเขาไปตามตัวพนักงานบัญชีเก่าของหลี่หรงให้มาที่นี่ในวันนี้อีกด้วย
“แต่ว่าพี่เขย พี่ไล่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของฉันยกชุดเลย จนตอนนี้ที่บริษัทของฉันไม่มีใครทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลยสักคนหากมีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันจะทำยังไง…”
หลี่หรงรู้สึกจนใจ เมื่อบริษัทไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย เธอจึงรู้สึกไม่มั่นคงเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง ปัญหานี้พี่จะจัดการเดี๋ยวนี้นี่แหละ”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานโทรหาเฉิงกัวอันทันทีและอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
“ฮ่าวหราน นายอยากจะยืมพวกบอดี้การ์ดของฉันไปใช้งานก่อนงั้นเหรอ?”
“ใช่ ผมขอยืมมาก่อนเป็นการชั่วคราว”
“ฮ่า ๆ ได้! ไม่มีปัญหา ฉันมีบอดี้การ์ดดี ๆ อยู่เยอะแยะ เดี๋ยวฉันแบ่งไปให้ยืมก่อน และนายไม่ต้องกังวล พวกเขาถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยม นายไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความซื่อสัตย์ของพวกเขาเลย!”
เฉิงกัวอันตอบตกลงอย่างง่ายดาย
“อืม ผมขอบคุณมาก”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และแน่นอนว่าครั้งนี้เขาจำบุญคุณของอีกฝ่ายที่ช่วยเหลือเขาเอาไว้อีกครั้ง ชายหนุ่มจึงตั้งใจว่าจะตอบแทนให้กับเฉิงกัวอันแน่นอนหากมีโอกาส
เฉิงกัวอันจัดการเรื่องที่อวี้ฮ่าวหรานขอเร็วมาก แค่เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง บอดี้การ์ดมืออาชีพที่ดูน่าเกรงขามยี่สิบคนก็มาถึงบริษัทของหลี่หรง
เมื่อตรวจสอบแล้วว่ารายได้และสวัสดิการของตัวเองเป็นที่น่าพึงพอใจ กลุ่มบอดี้การ์ดก็พากันเซ็นสัญญาทำงานชั่วคราวให้กับหลี่หรง
จากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็แบ่งบอดี้การ์ดมาสิบคน และพาพวกเขาตระเวนไปทั่วบริษัทของเธอ เพื่อถอนรากถอนโคนหนอนของตระกูลอู๋ที่ยังอยู่ในแผนกต่าง ๆ ของบริษัท
“ม..ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ใช่คนของตระกูลอู๋! ฉันทำงานที่นี่มาตั้งสองปีกว่าแล้ว ฉันจะไม่มีทางหักหลังบริษัทแน่นอน!”
“คุณจะไล่ฉันไม่ได้นะ! คุณไล่ฉันโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ ฉันไม่ยอมแน่!”
ในระหว่างที่เก็บกวาดพวกหนอนที่ถูกส่งมาแฝงตัว บรรดาพนักงานที่ถูกลากออกไปต่างตะโกนร้องขอความยุติธรรม หรือไม่บางคนก็ถึงขนาดขู่อาฆาตเลยก็มี
อย่างไรก็ตาม ภายใต้เนตรเทวะของอวี้ฮ่าวหราน เขาสามารถรับรู้ได้ทั้งหมดว่าใครโกหกใครพูดจริง
ส่วนหลี่หรงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เอาแต่ยืนแสดงสีหน้าหดหู่ นึกไม่ถึงเลยว่าบริษัทของตัวเองนั้นจะถูกแทรกซึมเข้ามาถึงขนาดนี้
การกวาดล้างดำเนินไปถึงเวลาเกือบเที่ยง
“เฮ้อ…ในที่สุดก็เสร็จสักที…คนพวกนั้นนี่มันร้ายกาจกันจริง ๆ”
หลี่หรงถอนหายใจด้วยความกังวล การกวาดล้างนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นสักเท่าไหร่ พวกพนักงานหลายคนที่ถูกไล่ออกไปต่างข่มขู่เธอและอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมันทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจอะไรกับคำขู่พวกนั้นเลย
“คนพวกนั้นมันก็แค่ตัวตลก ถ้าพวกมันยังกล้าโผล่หน้ามา พี่จะกวาดล้างให้พวกมันไม่กล้าอยู่ในเมืองนี้อีกเลย”
“จ้า จ้า พ่อพี่เขยคนเก่งของฉัน ฉันเชื่อ! แต่พี่เขย ตอนนี้ฉันหิวแล้ว เราออกไปหาอะไรกินกันไหม?”
เนื่องจากพ่อครัวในโรงอาหารก็ถูกไล่ออกไปเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องไปกินอาหารที่ข้างนอกบริษัทก่อนชั่วคราวจนกว่าจะหาพ่อครัวคนใหม่มาได้
อวี้ฮ่าวหรานขบขันเล็กน้อยเมื่อเห็นหลี่หรงลูบท้องของตัวเอง และแสดงสีหน้าทุกข์ทน จากนั้นเขาก็พาหลี่หรงออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารในละแวกใกล้ ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเย็นนี้มันกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับบริษัทของเขาเอง…
…
เย็นของวันเดียว บรรดาพนักงานทั้งหลายของเครือฮ่าวหรานต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
ผู้จัดการหวังขับรถกลับบ้านทางเดิมตามปกติเฉกเช่นที่ทำเป็นประจำ แต่จู่ ๆ เมื่อขับไปถึงย่านเปลี่ยวผู้คน รถของเขาก็ถูกรถตู้แปดคันล้อมเอาไว้และบังคับให้หยุด!
“พวกแกเป็นใครกัน!”
หลังจากรถจอดเขาลดกระจกลงและตะโกนถามพวกรถตู้ที่กำลังล้อมรถตัวเองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
แต่แล้วเมื่อรถทั้งหมดหยุดลง นักเลงเกือบยี่สิบคนก็กรูกันลงมาจากรถตู้!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้จัดการหวังจึงรีบเลื่อนกระจกรถขึ้นปิดทันที
แต่กระจกรถบาง ๆ จะไปทนมือทนไม้พวกนักเลงเกือบยี่สิบคนได้ยังไง?
โครม โครม โครม!! เพล้ง!!
แต่เพียงไม่กี่อึดใจ พวกนักเลงทุบกระจกรถของผู้จัดการหวังจนแตกละเอียดและเอื้อมมือเข้าไปในรถเพื่อปลดล็อกประตูจากด้านใน ก่อนที่จะลากตัวของผู้จัดการหวังออกมา
“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย! แกกล้าดียังไงถึงล็อกประตูใส่พ่อของแกคนนี้ แกอยากตายงั้นเหรอ!”
นักเลงที่ลากตัวผู้จัดการหวังลงจากรถตะคอกใส่ด้วยสีหน้าดุเดือด
“พ…พวกคุณเป็นใคร? ผมไม่เคยล่วงเกินอะไรพวกคุณ ทำไมพวกคุณถึงกับผมแบบนี้???”
ด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้ว่าจะกลัว ผู้จัดการหวังก็ยังถามกลับไป เขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนพวกนี้เล่นงานคนผิดหรือเปล่า?
“แกใช่หวังจุนหรือเปล่า?”
หนึ่งในนักเลงถามกลับด้วยสีหน้าข่มขู่
“ช…ใช่ผมเอง”
“ฮ่า! ถ้างั้นก็ไม่ผิดตัว! แกเนี่ยแหละที่พวกฉันกำลังตามหา!”
หลังจากนั้น ผู้จัดการหวังถูกอุ้มขึ้นรถตู้อย่างรวดเร็วและรถตู้ก็เร่งเครื่องจากไปทันที
อันที่จริงในเวลาเดียวกันนี้ ชะตากรรมของพวกผู้บริหารเครือฮ่าวหรานทั้งหลายต่างก็คล้ายคลึงกับผู้จัดการหวัง
บทที่ 312 แผนการที่ถูกวางเอาไว้แล้ว
บทที่ 312 แผนการที่ถูกวางเอาไว้แล้ว
“ถ…ถึงแม้ว่า…พวกพี่น้องของเราจะไม่ตายโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ แต่…แต่หัวหน้าอย่าเพิ่งทำอะไรโดยใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว สำหรับหลิ่วอวี้จิ่ง ตอนนี้เรายังไม่สามารถจัดการกับมันได้ชั่วคราว”
สีหน้าของหวังเหยียนเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของโจวเฟยหู่
เขาเข้าใจดีถึงความแข็งแกร่งของโจวเฟยหู่ว่ามีขนาดไหน หัวหน้าแก๊งของตัวเองเพิ่งบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์กำลังภายในมาไม่นานนี้เอง ดังนั้นโจวเฟยหู่จึงยังไม่สามารถที่จะไปจัดการกับหลิ่วอวี้จิงได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงรีบปรามอีกฝ่ายทันที
หวังเหยียนไม่ได้นับรวมความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหราน เข้ามาอยู่ในความแข็งแกร่งของแก๊งพยัคฆ์เวหา เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณแก๊งพยัคฆ์เวหาอะไรทั้งนั้น…
อันที่จริงตั้งแต่แรก แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ติดหนี้บุญคุณ อวี้ฮ่าวหราน
ทว่าในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เริ่มพูดแทรก
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าในอนาคตมีเรื่องอะไรก็แค่บอก ฉันจะไปช่วยในทันที”
เขาให้สัญญากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง
“น…น้องอวี้ นายยินดีจะช่วยพวกฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?”
โจวเฟยหู่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้อีกฝ่ายถึงลงทุนทำเช่นนี้เพื่อพวกเขา
ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เขาพอจะสังเกตเห็นว่า อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนที่ไม่ค่อยยี่หระกับอะไร และห่วงใยแค่ครอบครัวของตัวเองเท่านั้น
“ไม่ต้องถามมาก แค่รู้ว่าฉันจะไปช่วยก็พอ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้อธิบายมาก
การที่เขาตัดสินใจจะช่วยแบบนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะหวังเหยียน แต่ส่วนหลักเป็นเพราะชายหนุ่มรู้สึกรำคาญกับความเลวทรามของพวกแก๊งวาฬยักษ์ที่แสดงออกมาตอนเหตุการณ์ในบ่อน
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการให้แก๊งที่ชั่วช้าแบบนี้เดินร่อนไปมาอยู่ในเมืองเดียวกับที่ครอบครัวของตัวเองอยู่ เขารู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่!
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินออกจากวอร์ดไป
…
ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง
ตรู๊ดด ตรู๊ดดด ตรู๊ดดดด…
เวลาตีสาม หลิ่วอวี้จิงเพิ่งผล็อยหลับไปบนโซฟา แต่จู่ ๆ ก็ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์รัวถี่ ๆ!
จริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลับ แต่เขาแค่รอสายนี้มานานเกินไปจนเผลอผล็อยหลับ
“ห…หัวหน้า! มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!!”
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขารับโทรศัพท์ เสียงตื่นตระหนกก็ดังมาจากอีกฝั่งสาย
สีหน้าของหลิ่วอวี้จิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย และเดาถึงเรื่องที่กำลังจะได้ยินถัดมา
“จิ่นเฟิง…ทำพลาดจนหวังเหยียนหนีไปได้ใช่ไหม?”
“ไม่…ไม่…ผมเพิ่งมาถึงที่บ่อน! พวกของเรา…พวกของเราตายกันหมดเลยหัวหน้า!!”
เมื่อพูดประโยคนี้เสียงของปลายสายยิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม ราวกับว่าเห็นบางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ
“อะไรนะ!?”
หลิ่วอวี้จิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และเขาตกใจจนดีดตัวยืนขึ้น! !
“แกอธิบายมาดี ๆ เลยนะ! ถ้าแกล้อฉันเล่นฉันฆ่าแกแน่!!”
ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าลูกน้องของเขาไม่มีทางล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ แต่ด้วยความโกรธจัด หลิ่วอวี้จิงจึงตะโกนขู่ออกโดยไม่รู้ตัว
หรือบางทีเขาอาจกลัวจนไม่อยากจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
เสียงลมหายใจที่ปลายสายสั่นเทิ้ม และต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อปรับอารมณ์และอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ในสิ่งที่ตัวเองเห็น
“ค…คือผมรอสายโทรศัพท์จากหัวหน้าสาขาจิ่นนานมาก จนเริ่มสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่โทรหาผมสักที ผมก็เลยเริ่มโทรไปแต่ก็ไม่มีใครรับสาย จากนั้นด้วยความกังวลผมก็เลยขับรถมาที่บ่อนเพื่อดู…แต่แล้ว…แต่แล้ว…สิ่งที่ผมเห็นก็คือ…ทุกคนตายหมดแล้ว หัวหน้าสาขาจิ่นรวมไปถึงหัวหน้าสาขาอีกสามคนก็ตายทั้งหมดด้วย…”
ขณะที่พูด เสียงของปลายสายสั่นกลัวมาก
หลังจากที่ฟังจนจบ หลิ่วอวี้จิงก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาท่อนเหล็กมาตีที่หัวของตัวเองอย่างจังจนมึนงงไปหมด และมือไม้ของเขาก็อ่อนจนโทรศัพท์ในมือร่วงตกไปที่พื้น
“ทั้งหมด…ตายทั้งหมด … ”
หัวหน้าสาขาสี่คนที่เป็นปรมาจารย์กำลังภายในตายหมดเลย! เพื่อแผนการสังหารหวังเหยียน เขาจึงได้สั่งการเสาหลักของแก๊งเกือบทั้งหมด แต่ตอนนี้ทุกคนที่เขาส่งไปกลับตายหมดแล้ว!
แม้ว่าตัวเองจะตัดสินใจเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง แต่ความแข็งแกร่งของลูกน้องของเขาก็นับได้ว่าเป็นตัวกำหนดตำแหน่งในอนาคตของเขาต่อ กงซุนซา!
หากความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน ตำแหน่งของเขาจะไม่ด้อยกว่าอีกฝ่าย
แต่ในเวลานี้เขาไม่เหลือความแข็งแกร่งอะไรไปต่อรองตำแหน่งเลย!
“นี่…มันเข้าทางของตาเฒ่ากงซุนอย่างถึงที่สุดเลยใช่ไหม? ตาแก่นั่นคงเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้?”
เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง และรู้สึกสยดสยองกับแผนการของกงซุนซา
ด้วยวิธีนี้ ตาแก่นั่นคงยิ่งยึดครองโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น!
ในมุมมองของหลิ่วอวี้จิง ต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งมากเพียงไหน เขาก็มองว่าไม่ได้อันตรายสักเท่าไหร่ เพราะอวี้ฮ่าวหรานดูไม่ใช่คนที่ชอบใช้แผนเจ้าเล่ห์ แต่กับกงซุนซา…ชายแก่คนนี้อันตรายมากว่ามาก ๆ!
“เฮ้อ…ช่างเถอะ…ลืมมันซะ ให้มันเป็นไปตามที่ตาแก่นั่นต้องการก็แล้วกัน ไม่ว่ายังไงฉันเองก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับว่ายอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้ว
ความปรารถนาในความแข็งแกร่งได้เอาชนะหน้าที่ความรับผิดชอบของแก๊งตัวเองไปจนหมดสิ้นเรียบร้อย
…
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเสร็จสิ้นสิ่งที่ควรทำทั้งหมดแล้ว เขาจึงตรงกลับคอนโดทันที และกว่าจะกลับไปถึงก็เป็นเวลาตีสองเข้าไปแล้ว
เมื่อมองเวลาดูแล้วและเห็นว่าดึกมาก อวี้ฮ่าวหรานจึงค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าไฟในห้องนั่งเล่นยังคงเปิดอยู่!
หลี่หรง น้องภรรยาของเขากำลังนอนอยู่บนโซฟา!
แต่เธอหลับไปแล้วในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ อากาศจะค่อนข้างหนาว หลี่หรงจึงนอนอยู่บนโซฟาในท่าขดตัว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มุมปากของอวี้ฮ่าวหรานก็กระตุกเล็กน้อย เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
แม้ว่าอีกฝ่ายมักจะเจ้าอารมณ์ แต่อันที่จริงชายหนุ่มเข้าใจดีกว่าอีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของเขามากอย่างชัดเจน
เมื่อเห็นว่าอากาศมันค่อนข้างหนาวกว่าปกติ อวี้ฮ่าวหรานจึงกลัวว่าคนธรรมดาอย่างน้องภรรยาจะเป็นไข้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องของตัวเองและหยิบเอาผ้าห่มสำรองที่อยู่ในตู้มาห่มให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา