บทที่ 301 ผู้หลุดพ้น
บทที่ 301 ผู้หลุดพ้น
เมื่อถึงเวลาเที่ยง บริษัทอิงเหมาก็ถูกซื้อกิจการไปเรียบร้อย!
หลี่อิงไห่รู้สึกหมดหวัง แต่ในขณะที่เขากำลังจะถอดใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึง กงซุนซา
“ใช่! ถูกต้อง! เขาเป็นคนมาติดต่อหาฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไง! เขาต้องช่วยฉันแน่!”
ราวกับเจอฟางเส้นสุดท้ายที่อาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ใบหน้าของเขาจึงมีความหวังขึ้นมาทันที
จากนั้นเขาก็ลงไปชั้นล่างและสั่งให้คนขับรถพาไปส่งยังจุดที่เขาเคยพบกับอีกฝ่าย
กว่าชั่วโมงต่อมาในอาคารสำนักงานอีกแห่งใกล้ใจกลางเมือง
“หัวหน้าแก๊งกงซุน! ในที่สุดผมก็เจอคุณ!”
หลังจากที่หลี่อิงไห่เข้าไปในออฟฟิศและเห็นกงซุนซา เขาก็ดีใจมากในทันที
ในเวลานี้ หลิ่วอวี้จิง หัวหน้าแก๊งวาฬยักษ์ก็บังเอิญนั่งอยู่ข้างในห้องด้วย
ทว่า สีหน้าของหลิ่วอวี้จิงตอนนี้ก็ดูไม่ดีเท่าไหร่เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีคนบุกเข้ามาในห้อง จึงหันไปจ้องเขม็งผู้ที่มาใหม่อย่างเย็นชา
อีกด้านหนึ่ง กงซุนชาก็ตื่นตัวทันทีที่จู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหลี่อิงไห่ที่เข้ามา ก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณมาทำอะไรที่นี่! ตอนนี้เราไม่ควรเจอกัน!”
กงซุนซาเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับปล่อยแรงกดดันข่มขู่หลี่อิงไห่
“ผ…ผมมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณ! คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะให้เวลาผมสองเดือนในการยึดเครือฮ่าวหราน? แต่นี่มันแค่วันเดียวเท่านั้น พวกเขาก็สามารถโต้กลับผมได้…ผม…แล้วแบบนี้ผมจะต้านทานกับเครือฮ่าวหรานที่กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์แล้วได้ยังไง?”
ถึงแม้ว่าหลี่อิงไห่จะตกใจกับแรงกดดันของอีกฝ่าย แต่เนื่องจากตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ จึงสามารถข่มความกลัวเอาไว้ได้และกลั้นใจถามออกไป
“ฮิฮิ รับมือเองไม่ได้งั้นเหรอ?”
กงซุนซาหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็เปลี่ยนท่าทีราวกับผู้มีเมตตา
เขาทำเหมือนกับว่ากำลังนึกถึงสัญญาครั้งก่อน
“ใช่…ใช่ ผมไม่สามารถจัดการกับเครือฮ่าวหรานที่กลับมาเป็นปกติได้แน่นอน นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เครือฮ่าวหรานร่วมมือกับบริษัทใหญ่อื่นเพื่อโจมตีผมอีก?”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปในทางบวก หลี่อิงไห่ก็คิดว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่จะช่วยตัวเอง เขาจึงรีบอธิบายทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หัวสมองของเขาเต็มไปด้วยความหวัง ก็ได้ยินคำพูดที่เย็นชาซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นราดใส่!
“ฮ่า ๆ! ถ้ารับมือเองไม่ได้ก็ตายไปซะ พวกฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย!”
ใบหน้าของกงซุนซาเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างฉับพลัน
“น…นี่คุณ…!”
ดวงตาของหลี่อิงไห่เบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย
“คุณหักหลังผมแบบนี้ไม่ได้นะ! เราตกลงกันแล้ว…”
เขาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะหันหลังให้เขาเร็วราวกับพลิกหนังสือเช่นนี้ วันก่อนอีกฝ่ายยังพูดดีกับเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอไง?
“สัญญา? ฮ่า ๆ ฉันสัญญาอะไรกับแกเมื่อไหร่? อย่ามาพูดจามั่วซั่วใส่ฉันนะโว้ย!” กงซุนซาเยาะเย้ยเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ไม่! คุณพูดเอาไว้ชัดเจนเลย! พวกเราตกลงกันหมดแล้ว…”
“บัดซบ! น่ารำคาญ!”
หลิ่วอวี้จิงทนไม่ไหวอีกแล้วกับเสียงร้องคร่ำครวญที่น่ารำคาญของหลี่อิงไห่ เขาลุกขึ้นจากโซฟาและเดินไปกำคอหลี่อิงไห่ด้วยมือเดียวอย่างรุนแรง
“พ่อคนนี้จะบอกความลับกับแกก็ได้! จริง ๆ แล้วแกเป็นแค่เครื่องมือของพวกฉันเท่านั้น แค่เครื่องมือ! ดังนั้นในเมื่อแกไร้ประโยชน์ พวกฉันก็แค่เขวี้ยงแกทิ้งไปซะ! เอาล่ะ ถ้าตอนนี้แกยังไม่ไสหัวออกไปอีก ฉันจะทำให้แกเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ!”
เขาขู่ด้วยความหงุดหงิดก่อนที่จะโยนหลี่อิงไห่ลงไปที่พื้น
วันนี้เป็นวันที่เขาอารมณ์ไม่ดีสุด ๆ
“ฉัน…”
หลี่อิงไห่หวาดกลัวจนแทบหยุดหายใจกับการถูกจู่โจมอย่างกะทันหันแบบนี้ หลังจากที่ถูกโยนลงไปที่พื้น เขาก็ตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
“ไสหัวไปได้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าหลี่อิงไห่ยังไม่ออกจากห้องไป หลิ่วอวี้จิงตวาดอีกรอบพร้อมกับเตะส่งอีกฝ่ายให้กระเด็นออกไปนอกห้อง!
“ถุย! รู้จักเจียมกะลาหัวซะบ้าง! คนอย่างแกมีสิทธิ์อะไรมากล้าต่อรองกับคนอย่างพวกฉัน!”
“ฮิฮิ น้องหลิ่วนี่ยังคงใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”
ขณะเดียวกันนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเบา ๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าแผนการเกี่ยวกับเครือฮ่าวหรานน่าจะล้มเหลวไม่ช้าก็เร็ว หลี่อิงไห่ก็ถูกมองเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจอะไร
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในเวลานี้
“ฉันบอกไปหลายรอบแล้วไงว่า ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลงมือ แต่ทำไมคุณกลับยังเฉยอยู่อีก? อวี้ฮ่าวหรานมีความสามารถมาก หากเราไม่รั้งเขาไว้ เราจะจัดการกับโจวเฟยหู่ได้ยังไง!”
“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ!”
ถึงแม้ว่าจะถูกจ้องเขม็ง กงซุนซาก็ยังคงมีสีหน้าที่สงบ
“อันที่จริงแผนลักพาตัวเป็นแผนเสริม ซึ่งถ้ามันสำเร็จก็ดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร”
“ไม่สำเร็จแล้วไม่เป็นไรได้ยังไง? ฉันก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า อวี้ฮ่าวหรานมันแข็งแกร่งขนาดไหน! มันสามารถเอาชนะฉันได้อย่างง่ายดาย คุณมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นหรือไง?”
หลิ่วอวี้จิงงุนงงเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงยังคงแสดงสีหน้าใจเย็นได้
“ฮ่า ๆๆ! ที่นายกำลังกังวลอยู่เป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วนายยังไม่รู้ว่าฉันคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน”
กงซุนซาแสดงสีหน้าภาคภูมิใจในขณะเอ่ยประโยคนี้!
“ฉันยังไม่รู้?”
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกประหลาดใจ
“หลายปีก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์ไปแล้ว ดังนั้นนายคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอที่ตอนนี้ฉันจะทะลวงระดับไปเรียบร้อย?”
หลิ่วอวี้จิงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย แต่เมื่อเขาวิเคราะห์จากข้อมูลก่อนหน้านี้ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างแน่นอน เขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์
ถ้าทะลวงระดับขึ้นไปอีกมันคือระดับอะไรกัน?
หลิ่วอวี้จิงไม่รู้เรื่องพวกนี้เพราะข้อมูลพวกนี้มีมนุษย์น้อยคนที่รู้ เขาเดาได้แค่เพียงว่ามันคงเป็นระดับที่ลึกลับ และผู้ที่อยู่ในระดับนั้นก็ควรที่จะก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
ว่าแต่ชายชราคนนี้ทะลวงระดับขึ้นไปได้แล้วจริงเหรอ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ
ในขณะเดียวกันนี้ กงซุนซาก็พยักหน้าเล็กน้อย และหัวเราะเพื่อเป็นการตอบกลับความสงสัยในใจของหลิ่วอวี้จิง
“ไม่ต้องเดาหรอก เดิมทีฉันไม่ต้องการที่จะเปิดเผย แต่เนื่องจากแผนเสริมนี้ล้มเหลว ดังนั้นฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือเอง!”
ในทันทีที่พูดจบ! พลังลึกลับที่แข็งแกร่งก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า!
มันแตกต่างจากพลังภายในอย่างสิ้นเชิง มันแข็งแกร่งกว่าจนเทียบกันไม่ได้!
“น…นี่…มันพลังอะไร นี่มันไม่ใช่พลังภายใน…”
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของพลังนี้อย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ต่อหน้าพลังที่รุนแรงนี้ ความแข็งแกร่งของเขามันเป็นแค่เรื่องตลก!
“นี่มันระดับอะไรกัน!?”
หลิ่วอวี้จิงมองขึ้นไปที่ชายชราด้วยความตกตะลึง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาและหวาดกลัว
กงซุนซาพึงพอใจอย่างมากกับสีหน้าของอีกฝ่าย
“ฮ่า ๆ ในเมื่อพวกเราร่วมมือกันแล้ว ถ้างั้นฉันจะยอมบอกเกร็ดความรู้ให้นายสักหน่อย เมื่อไหร่ที่ทะลวงขอบเขตพลังภายในไปได้ มนุษย์ผู้นั้นจะอยู่ในโลกของเหล่าผู้หลุดพ้น!”
“ผู้หลุดพ้น?”
“อันที่จริงมีคำเรียกอีกอย่างซึ่งก็คือ ‘ผู้บ่มเพาะ’ และพลังนี้เรียกว่าพลังวิญญาณ!”
“ผ…ผมสามารถทะลวงระดับไปถึงได้เช่นกันงั้นเหรอ?”
หลิ่วอวี้จิงหายใจถี่แรงด้วยความตื่นเต้น เขาอยากเหลือเกินที่จะมีความแข็งแกร่งแบบนี้!
“แน่นอน…ว่าไม่!”
แต่แล้วคำพูดของกงซุนซาก็ดับฝันของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“นายคิดว่ามนุษย์ทุกคนสามารถกลายเป็นผู้หลุดพ้นได้งั้นเหรอ? การที่จะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้ทั้งพรสวรรค์และทรัพยากรที่มหาศาล!”
ขณะที่พูด กงซุนซามองไปที่หลิ่วอวี้จิงด้วยสายตาดูถูก
“สำหรับคนอย่างนาย มันเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตนี้ของนายจะสามารถก้าวเข้ามาอยู่จุดเดียวกับฉันผู้นี้!”
บทที่ 302 หลี่จิงเทียนเอาคืน
บทที่ 302 หลี่จิงเทียนเอาคืน
“ฉันไม่สามารถบรรลุมันในชีวิตนี้ได้??”
หลิ่วอวี้จิงตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และตกอยู่ในภาวะขาดสติ
กงซุนซาต้องการที่จะเห็นสีหน้าแบบนี้ของอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้แสดงความพึงพอใจออกมาให้อีกฝ่ายเห็น เขาจึงแสร้งแสดงสีหน้าเห็นใจแทน
“อันที่จริงเรื่องนี้ยังพอมีทางแก้ ถ้าในอนาคตน้องหลิ่วยินดีติดตามฉัน นายจะได้รับโอกาสมากกว่าคนทั่วไป ด้วยความช่วยเหลือจากฉัน นายอาจจะมีโอกาสที่จะทะลวงระดับขึ้นไปได้”
“ป…เป็นความจริงงั้นเหรอ?”
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้ยินคำพูดนี้
“แน่นอน! ตราบใดที่นายเต็มใจติดตามฉัน แก๊งพยัคฆ์เวหาก็จะถูกทำลาย และอวี้ฮ่าวหรานก็จะตายเช่นกัน! และหลังจากนั้น แน่นอนว่านายจะมีโอกาสก้าวต่อไปได้”
กงซุนซาโยนเหยื่อล่อ
“ได้! ผมยินดีติดตามพี่กงซุนนับจากนี้!”
หลิ่วอวี้จิงไม่ลังเลเลยที่จะตกลงหลังจากได้ยินเรื่องนี้!
เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกเหนือสิ่งอื่นใด
“เอาล่ะ! ถ้างั้นจากนี้ไป แก๊งวาฬยักษ์ของนายจะรวมเป็นส่วนหนึ่งกับแก๊งฉลามคลั่งของฉัน!”
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันจบ ทั้งสองแก๊งก็ถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์!
แก๊งวาฬยักษ์ได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง!
หากข่าวนี้แพร่ออกไป คนนับไม่ถ้วนคงหลับไม่ลงกันแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม หลังจากตกลงกันเสร็จ กงซุนซากลับยังไม่ยอมให้หลิ่วอวี้จิงบอกข่าวนี้ออกไปให้คนอื่น ๆ รู้ เขาต้องการให้คนอื่น ๆ ยังคงเข้าใจว่าทั้งสองแก๊งยังเป็นอิสระต่อกัน
…
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลี่อิงไห่ถูกไล่ออกจากแก๊งฉลามคลั่ง เขาก็ขึ้นรถและกลับไปที่บริษัทด้วยความสิ้นหวัง
ข่าวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้หัวใจของเขาแทบทนไม่ไหว!
ภายใต้การโต้กลับที่ดุเดือดของอวี้ฮ่าวหราน เป็นที่แน่ชัดว่าเขาจะต้องสูญเสียบริษัทโดยสิ้นเชิงแน่นอน และถ้าเครือฮ่าวหรานต้องการเล่นงานเขาไปจนสุดทาง เขาอาจจะเป็นหนี้ก้อนโตด้วยซ้ำหลังจากเสียบริษัท!
เมื่อถึงจุดนั้นเขาคงไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้อข้าวกินครบสามมื้อ!
“ฉันมันโง่เอง…ฮ่า ๆ…”
หลี่อิงไห่หัวเราะเยาะเย้ยตัวเองเมื่อนึกถึงน้ำเสียงที่เย็นชาของกงซุนซา และหลิ่วอวี้จิงซึ่งยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
“เครื่องมือ…เครื่องมือ…ฉันมันเป็นได้แค่นั้น…”
แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็คิดถึงหลี่ชงซานอย่างช่วยไม่ได้
ในเวลานี้ คนเดียวที่สามารถหยุดเครือฮ่าวหรานได้น่าจะเป็นผู้นำตระกูลหลี่!
แต่เมื่อครุ่นคิดไปอีกครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขมขื่น
เมื่อวานฉันทั้งเยาะเย้ยและดูถูกอีกฝ่ายไปมากมาย แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้ฉันต้องแบกหน้ากลับไปขอความช่วยเหลือคนที่ฉันเพิ่งดูถูกไป?
ท้ายที่สุด หลังจากตัดสินใจในใจแล้ว เขาก็ออกจากออฟฟิศของตัวเองลงไปชั้นล่างและสั่งให้คนขับรถขับไปที่บ้านหลักตระกูลหลี่
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง
“แกมาที่นี่เพื่ออ้อนวอนฉันงั้นเหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย สีหน้าของหลี่ชงซานก็เปลี่ยนไปเป็นไม่อยากจะเชื่อ
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน และเขากำลังกินมื้อเที่ยงกับลูกชายหลี่จิงเทียน
“ฉัน…ฉันสิ้นหวังแล้วจริง ๆ ชงซาน ชงซาน! โปรดช่วยฉันด้วย หากนายไม่ช่วยฉัน ฉันจบสิ้นแน่นอน!”
ใบหน้าของหลี่อิงไห่เต็มไปด้วยน้ำตาในเวลานี้ เขาคุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้อย่างน่าเวทนา
“ฉันหน้ามืดตามัวไปเพราะคำสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ ของอันธพาลพวกนั้น! ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว…”
เมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาของของอีกฝ่าย หัวใจของหลี่ชงซานก็สั่นสะท้าน
“นาย…เฮ้อ…รีบลุกขึ้นก่อนเถอะ!”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเองจะโดนอีกฝ่ายดูถูกและหักหลังอย่างรุนแรง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน หลี่จิงเทียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตวาดขึ้นทันทีด้วยสีหน้าเดือดดาล!
“เดี๋ยวก่อน! พ่อ! พ่อลืมไปเหรอไงว่าเมื่อวานนี้ไอ้คน ๆ นี้ยังหัวเราะเยาะเราอยู่เลย! แล้วพอมาวันนี้ เมื่อแผนของมันผิดพลาด มันกลับหน้าด้านมาอ้อนวอนเราเนี่ยนะ? เฮอะ! เห็นเราเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไง?”
หลังจากพูดจบ หลี่จิงเทียนยืนขึ้นและชึ้ไปที่หลี่อิงไห่ด้วยสีหน้าดูถูก
“เฮ้อ…แต่ว่า…ลุงสองของลูกไม่เคยคุกเข่าอ้อนวอนแบบนี้มาก่อนเลย พ่อว่าเรา…”
หลี่ชงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้จริง ๆ
อย่างไรก็ตาม บุคลิกของหลี่จิงเทียนคือคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจะยอมได้ยังไง?
“ลุงสองของผมงั้นเหรอ? ไอ้คนแบบนี้เนี่ยนะคือลุงสองของผม? เมื่อวานมันเกือบจะเหยียบหน้าเราอยู่แล้วนะพ่อ! พ่อยังอยากให้ไอ้เวรนี่เป็นลุงสองของผมอีกงั้นเหรอ?”
หลังจากพูดจบ หลี่จิงเทียนเดินไปหาหลี่อิงไห่อย่างมีชัย
“ฉันขอสั่งให้แกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้! อย่ามารบกวนเวลากินข้าวเที่ยงของฉันกับพ่อ ไม่งั้นฉันจะกระทืบแก! ไปซะ!”
หลี่จิงเทียนแค้นมากที่เมื่อวานนี้เขาถูกเรียกว่าขยะ!
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนตระกูลหลี่เหมือนกัน แต่ตราบใดที่ไม่ใช่พ่อหรือน้องสาวของเขา เขาก็ไม่คิดที่จะไว้หน้าใครทั้งนั้น
แน่นอนว่าตอนนี้อาจเพิ่มพี่เขยของเขามาอีกคน
“แก!”
หลี่อิงไห่แทบกระอักเลือดเมื่อถูกหลี่จิงเทียนไล่ เขาไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขาโดนไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ด่าอย่างไม่ไว้หน้าแบบนี้!
“ทำไม แกจะทำไม? แกเห็นรองเท้าของฉันไหม มันสกปรก! ถ้าแกยอมเลียมันให้สะอาด ฉันอาจจะลองโทรหาพี่เขยของฉันให้ แกกล้าหรือเปล่า?”
ยิ่งพูด หลี่จิงเทียนก็ยิ่งรู้สึกเบิกบาน
นี่มันสุดยอด!
เมื่อวานไอ้ลุงสองของเขาคนนี้ยังด่าเขาว่าเป็นขยะอยู่เลย แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับมาคุกเข่าขอร้องพ่อเขาซะแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งให้ข้อเสนอเลียรองเท้าให้สะอาดกับอีกฝ่ายไป แต่ถ้าอีกฝ่ายกล้าทำจริง ๆ เขาคงไม่กล้าจะโทรไปหาพี่เขยของเขา
น่าแปลกที่หลี่ชงซานไม่ได้พูดอะไรขึ้นขัดเลยในระหว่างที่หลี่จิงเทียนดูถูกหลี่อิงไห่ ซึ่งมันทำให้หลี่จิงเทียนมีความสุขกับเรื่องไร้สาระนี้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
จนกระทั่งครู่ต่อมา หลี่ชงซานก็พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“กลับไปซะเถอะ…ต่อให้ฉันจะอยากช่วย แต่ฉันเกรงว่าฉันคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก คราวที่แล้วฉันขอให้ฮ่าวหรานช่วยลูกชายของฉันไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงไม่มีสิทธิ์ไปขออะไรอีกแล้ว”
แม้ว่าเขาจะเป็นคนใจอ่อน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่
เพราะเห็นแก่หน้าของเขา ถึงแม้ว่าหลี่จิงเทียนจะสร้างเรื่องใหญ่ขนาดนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็ยังช่วยออกมาจากคุก
คนเราควรรู้ขีดจำกัดของตัวเอง หลี่ชงซานรู้ดีว่าเรื่องของหลี่อิงไห่นั้นมันเกินขีดจำกัดที่เขาจะขออวี้ฮ่าวหรานได้
“แกได้ยินแล้วใช่ไหม! พ่อของฉันบอกให้แกไปซะ! ถ้าแกยังดื้ออยู่ที่นี่อีก ฉันจะปล่อยหมาให้มากัดแก!”
แน่นอนว่าเมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินคำพูดของพ่อตัวเองที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับเขา เขาก็รีบตวาดขึ้นเสริมทันที
หายากที่พ่อของเขาและความคิดเห็นของเขาจะเป็นไปในแบบเดียวกัน
หลี่อิงไห่อดไม่ได้ที่จะจ้องที่หลี่จิงเทียนอย่างโกรธเคือง
เขาอยากจะลุกขึ้นไปตบหลี่จิงเทียนให้ตายคามือ!
แต่ด้วยสถานะที่ย่ำแย่ของเขาเช่นนี้ จึงทำได้กัดฟันทนรับคำดูถูก จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจและหันหลังเดินจากไป
สถานะของเขาตอนนี้มันต่ำต้อยมากกว่าหลี่จิงเทียนซะอีก
ถึงแม้ว่าหลี่จิงเทียนจะถูกถอดจากทุกตำแหน่งในบริษัท แต่อย่างน้อย หลี่จิงเทียนก็ยังมีพ่อที่ดี ส่วนเขาตอนนี้สูญเสียทั้งบริษัททั้งตระกูล พูดง่าย ๆ คือเขาไม่มีอะไรเหลือเลย!
หลังจากที่หลี่อิงไห่เดินออกไปจากตัวบ้าน หลี่จิงเทียนก็ยังไม่วายยื่นหัวออกไปพ้นประตูและตะโกนด่าไล่หลัง
“เฮ้! รีบ ๆ ออกไปเลยนะโว้ย และอย่ากลับมากวนฉันกับพ่อกินข้าวอีก!”
ใจของหลี่จิงเทียนพองโต เมื่อได้เอาคืนคนที่ด่าตัวเองเมื่อวานอย่างสาสม
“กลับมานั่งนี่เดี๋ยวนี้!!”
เมื่อเห็นว่าลูกตัวเองชักจะเลยเถิด หลี่ชงซานจึงตะคอกขึ้นอย่างเข้มงวด
“ผม…”
หลี่จิงเทียนหดคออย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงตวาดของพ่อตัวเอง จากนั้นเขาค่อย ๆ เดินก้มหน้ากลับมาไปที่โต๊ะกินข้าว
เขาไม่เข้าใจว่าพ่อของเขาโกรธเขาอีกเรื่องอะไร?
บทที่ 295 เหล่าผู้บริหารหายตัวไป
บทที่ 295 เหล่าผู้บริหารหายตัวไป
เช้าวันถัดมา
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปถึงบริษัทของตัวเอง เขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติในทันที
ที่ด้านในบริษัทพนักงานของเขาทุกคนต่างจับกลุ่มคุยกันหลายกลุ่มด้วยสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด!
เมื่อเดินไปถึงหน้าแผนกฝ่ายขาย และยังเห็นว่ามีพนักงานกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้านนอก อวี้ฮ่าวหรานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ทำไมถึงไม่ไปทำงานกัน? นี่มันเก้าโมงแล้ว มาจับกลุ่มยืนคุยอะไรกันแถวนี้อยู่อีก?”
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วแน่นในระหว่างถาม นี่มันผิดปกติเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพนักงานของตัวเองถึงแสดงสีหน้ากังวลกันขนาดนี้?
“ท…ท่านประธาน…มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ทำงาน แต่หัวหน้าแผนกของเราไม่มาทำงานวันนี้โดยไม่ลาล่วงหน้าก่อน ซึ่งมันทำให้เราไม่สามารถทำงานต่อได้เพราะเอกสารบางอย่างต้องรอลายเซ็นอนุมัติจากเขาก่อน”
“ใช่ครับท่านประธาน เอกสารที่ควรจะถูกเซ็นอนุมัติเช้านี้ยังไม่ได้เซ็นเลย ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถทำงานต่อได้”
“…”
ทุกคนต่างพากันอธิบายด้วยสีหน้ากังวล
“ทั้งหัวหน้าแผนกและรองหัวหน้าแผนกไม่มาทำงานกันทั้งคู่เลยงั้นเหรอ?” อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นมากกว่าเดิม
“ใช่ครับ พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะลาล่วงหน้าเลย” หนึ่งในพนักงานตอบกลับ
“โทรหาแล้วหรือยัง?”
“พวกเราโทรแล้วแต่พวกเขาไม่รับสายเลย แถมเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดแค่กับแผนกของเราที่เดียว แผนกอื่น ๆ ก็เผชิญปัญหาเดียวกันกับเรา”
คำพูดประโยคนี้ของพนักงาน ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหน้าเปลี่ยนสี!
หากปัญหานี้มันเกิดขึ้นกับแค่แผนกเดียว มันอาจจะสรุปได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่นี่มันเกิดขึ้นเกือบทุกแผนกเหมือนกันและเวลาเดียวกัน นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาผู้จัดการหวังทันที!
หลังจากโทรออกไปสีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นเย็นชา เพราะเขาโทรหาอีกฝ่ายไม่ติด
บริษัทของเขาถูกเล่นงานแล้วแน่นอน!
การที่ผู้บริหารระดับสูงทุกคนหายไปพร้อม ๆ กัน มันจะต้องเป็นฝีมือของศัตรูของเขาที่ต้องการจะทำให้เครือฮ่าวหรานกลายเป็นอัมพาต
ในเวลานี้ถ้ามีใครสักคนปล่อยข่าวนี้ออกไป ราคาหุ้นของเครือฮ่าวหรานจะต้องดิ่งลงเป็นประวัติการณ์และนั่นจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบริษัทของเขามากกว่าเดิม
กลุ่มคนที่คิดแผนนี้ขึ้นมาเตรียมตัวมาดีจริง ๆ
แต่หลังจากที่ชายหนุ่มพอจะเข้าใจแผนคร่าว ๆ ของอีกฝ่าย จู่ ๆ พวกพนักงานระดับสูงที่ยังคงมาทำงานก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ท่านประธานพวกเราแย่แล้ว! ตอนนี้มีใครก็ไม่รู้ปล่อยข่าวลือและกำลังกว้านซื้อหุ้นของเราเรื่อย ๆ เลย!”
“ท่านประธานโปรดคิดหาวิธีรับมือด้วย หากพวกเราไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ความเสียหายมันจะใหญ่จนเราแก้ไขไม่ได้”
“ใช่ อีกฝ่ายลงมือเร็วมาก หลังจากปล่อยข่าวลือและเห็นว่าราคาหุ้นของเราร่วง พวกเขาก็รีบโกยซื้อหุ้นของพวกเราทันที จนตอนนี้ได้ส่วนแบ่งไปหลายเปอร์เซ็นต์แล้ว!”
“…”
พวกเขาทุกคนต่างกังวลกันเป็นอย่างมาก เครือฮ่าวหรานคือบริษัทที่มีสวัสดิการดีที่สุดในเมืองฮ่วยอัน ดังนั้นหากบริษัทนี้เป็นอะไรไปขึ้นมามันหมายความว่าพวกเขาอาจจะต้องออกไปหางานที่บริษัทใหม่ที่ห่วยกว่า ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเลย
“เข้าใจแล้ว พวกคุณกลับไปทำงานที่แผนกตัวเองกันก่อน เดี๋ยวผมจะคอยประคับประคองสถานการณ์เอง”
อวี้ฮ่าวหรานลอบถอนหายใจ เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะลงมือเร็วขนาดนี้
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสถานการณ์จะแย่ลง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตื่นตระหนก
เขามีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีแล้ว เขาผ่านสถานการณ์เป็นตายมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นปัญหาแค่นี้ไม่ได้ทำให้ใจของเขาหวั่นไหวสักเท่าไหร่
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานเดินกลับไปที่ออฟฟิศของตัวเองเพื่อหาทางจัดการกับสัดส่วนหุ้นที่กำลังถูกกว้านซื้อไปอย่างรวดเร็ว
ในทันทีที่เข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง อวี้ฮ่าวหรานโทรออกหาเฉิงกัวอัน อย่างรวดเร็ว
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับบริษัทของผม”
“ฉันได้ข่าวมาแล้ว! พวกผู้บริหารในบริษัทของนายพากันลาออกไปพร้อม ๆ กันหมดเลยงั้นเหรอ? ข่าวนี้ฉันเพิ่งได้รับเมื่อครู่นี้เองและกำลังจะโทรหานายเพื่อยืนยันพอดี”
แน่นอนว่า เฉิงกัวอันได้ยินข่าวลือมาแล้วเช่นกัน
“ข่าวนี้มันแพร่ไปทั่วเมืองแล้วใช่ไหม?”
ตามที่อวี้ฮ่าวหรานคาดเอาไว้ ข่าวลือนี้ถูกแพร่ไปเร็วไม่ต่างอะไรกับไฟลามทุ่ง
“ใช่ ตอนนี้แทบทุกคนรู้ข่าวนี้หมดแล้ว เพราะแทบจะทุกสื่อต่างประโคมข่าวนี้กันตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่! ตอนนี้หุ้นของเครือฮ่าวหรานกำลังดิ่งลงไม่หยุดเลย!”
เสียงของเฉิงกัวอันวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“อืม เร็วและรุนแรงตามที่คาดเลยจริง ๆ”
“ตอนนี้ฉันกำลังรวบรวมทุนเพื่อจะกว้านซื้อหุ้นของเครือฮ่าวหรานเช่นกัน ด้วยวิธีการนี้ฉันน่าจะพอช่วยให้ราคาหุ้นไม่ตกเร็วมากสักเท่าไหร่ และหุ้นจะได้ไม่ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นมากนัก เอาไว้หลังจากจบเรื่อง นายก็มาซื้อหุ้นที่ฉันถือคืนไป”
เฉิงกัวอันรีบกล่าวเสริม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
อีกฝ่ายรู้ว่าควรจะช่วยเขายังไงโดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรเลย การมีมิตรที่ฉลาดแบบนี้คอยช่วยเหลือถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก
“ว่าแต่ นายช่วยบอกฉันทีได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าพวกผู้บริหารของนายจะพากันลาออกพร้อม ๆ กันในช่วงเวลาที่บริษัทของนายกำลังรุ่งเรืองแบบนี้”
หลังจากบอกแผนการของตัวเอง เฉิงกัวอันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้
เมื่อได้ยินคำถามนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและตอบกลับ
“ลาออกงั้นเหรอ? ไม่ใช่หรอก พวกเขาถูกลักพาตัวไปต่างหาก!”
แต่เนื่องจากตอนนี้เขาไม่มีเวลามากพอที่จะอธิบายอะไรมากนัก หลังจากตอบประโยคนี้กลับไป อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายทันที
หลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันทั้งหมด อวี้ฮ่าวหรานรู้ดีว่าคนของเขาเป็นยังไง มันไม่มีทางที่ผู้จัดการหวังและผู้บริหารคนอื่น ๆ จะลาออกและหายหน้าไปพร้อม ๆ กันแบบนี้ในชั่วข้ามคืน
ความเป็นไปได้อย่างเดียวมันคือพวกเขาถูกลักพาตัวไปแน่นอน!
“มันเป็นพวกไหนกัน? แก๊งวาฬยักษ์? ตระกูลอู๋? หรือองค์กรอสรพิษ?”
ตั้งแต่อวี้ฮ่าวหรานกลับมายังโลกนี้ เขาเจอกับอุปสรรคขวางทางมากมาย แม้ว่าจะผ่านมันมาได้ทั้งหมด แต่การที่เขาไม่สามารถฆ่าใครได้ตามใจชอบก็ทำให้บรรดาศัตรูของเขายังคงอยู่และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้ ชายหนุ่มเองก็สับสนไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหนที่กำลังเล่นงานตัวเอง
ในขณะเดียวกับที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังครุ่นคิด จู่ ๆ พนักงานคนหนึ่งก็เปิดประตูอฟฟิศของเขาเข้ามาโดยที่ไม่เคาะประตูก่อนด้วยสีหน้าเร่งร้อน
“ท่านประธาน! ตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาตามหาท่าน! เธออ้างตัวเองว่าเธอเป็นภรรยาของผู้จัดการหวัง พวกเราพยายามหยุดเธอแล้วแต่เธอไม่ฟังเลยและกำลังวิ่งมาที่นี่!”
อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ใส่ใจกับการที่พนักงานคนนี้ไม่ยอมเคาะประตูห้องก่อน เขาโบกมือและเอ่ยขึ้น
“ปล่อยให้เธอเข้ามาหาผมได้เลย”
ถัดมาไม่เกินหนึ่งนาที ผู้หญิงหน้าตาดีอายุประมาณสามสิบต้น ๆ คนหนึ่งก็เข้ามาในออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าย่ำแย่
“ป…ประธานอวี้! คุณต้องช่วยสามีของฉันนะ! หวังจุนถูกลักพาตัวไป ค…คนพวกนั้นเรียกค่าไถ่สามีของฉันสามล้านหยวน พวกมันบอกว่าถ้าฉันไม่จ่ายมันจะไม่มีทางปล่อยหวังจุน!”
“เรียกค่าไถ่?”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกสนใจทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้จากอีกฝ่าย พวกผู้บริหารคนอื่นที่หายตัวไป แต่กลับไม่มีญาติคนไหนของผู้บริหารพวกนั้นเอ่ยขึ้นถึงเรื่องเรียกค่าไถ่เลย
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายที่จับตัวคนของเขาไปน่าจะมีความเห็นต่างกันเล็กน้อย
“บอกรายละเอียดผมมา ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะเอ่ยให้ความมั่นใจออกไป ภรรยาของผู้จัดการหวังก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย
“เมื่อวานหลังจากที่ฉันรอหวังจุนจนถึงสี่ทุ่ม และเห็นว่าเขายังไม่กลับบ้าน ฉันก็เลยโทรหาเขา ในตอนแรกไม่มีใครรับสายเลย แต่พอผ่านไปสักพักก็มีคนโทรกลับมา และบอกว่าพวกเขาจับตัวหวังจุนเอาไว้และต้องการเงินสามล้านเพื่อเป็นค่าไถ่”
ในระหว่างที่พูด หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นจากความกลัว
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
หมับ!
นักเลงลูกน้องของสวีเปียว ฟันมีดอย่างสุดกำลังที่ตัวเองมีหวังจะฟันคอของอวี้ฮ่าวหรานให้ขาดภายในครั้งเดียว สีหน้าของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตัวเองกำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อพบว่ามีดที่เขาฟันไปมันกลับถูกอีกฝ่ายใช้มือเปล่า ๆ จับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!
นี่…มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเลงก็พยายามดึงมีดออกอย่างสุดแรง
แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานใช้กำลังเล็กน้อยบดขยี้ใบมีดที่ตัวเองจับอยู่จนแหลกละเอียด พร้อมกับปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าใส่นักเลงผู้น่าสงสาร!
บรึ้ม!
อ๊ากกกก
นักเลงที่โดนคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าเต็ม ๆ กระอักเลือดเป็นสายและลอยละลิ่วหายเข้าป่าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย!
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย
“หึหึ เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องแต่น่าเสียดายที่ใช้มันผิดที่!”
หลังจากเยาะเย้ยนักเลงที่โชคร้ายคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองพวกนักเลงที่เหลือ
“พวกแกอยากลองด้วยไหม?”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับทันทีด้วยอาการสั่นกลัว
“พี่อวี้ พี่อวี้! ผ…ผมไม่โทษพี่แน่นอนต่อให้ไอ้นั่นมันตาย! ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ร…เร็วเข้า! พวกแกทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถเร็ว!”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของสวีเปียวหวาดกลัวสุดขีด เขารีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีให้เตรียมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้โบกมือหยุดเขาเอาไว้!
“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าฉันจะปล่อยแกไป?”
สวีเปียวแข็งค้างเป็นรูปปั้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และเขาก็รีบหันไปอธิบายด้วยสีหน้าวิงวอน
“พี่อวี้ ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินพี่จริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อการร้องขอความเมตตาของอีกฝ่าย เขาจึงถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันได้ยินมาว่าแก๊งวาฬยักษ์ของแกสั่งให้สมาชิกทั้งหมดถอยร่นจากแนวหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกแกมีแผนชั่วใหม่ ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”
เนื่องจากชายหนุ่มเคยเจอกับพวกแก๊งวาฬยักษ์หลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่าคนเหล่านี้สวมชุดของแก๊งวาฬยักษ์
“ฉัน…ไม่…คือเราแค่ขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ได้…”
“ถ้าแกโกหก แกตาย!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลไม่กล้าพูดบางประโยคออกมา อวี้ฮ่าวหรานจึงข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเอาจริง!
สวีเปียวเลิกลังเลและไม่กล้าโกหกในทันที
เขามองอีกฝ่ายด้วยความสยดสยองเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความตายที่จะมาถึงแน่หากตัวเองโกหกต่อไปอีกแค่ครึ่งคำ!
น่ากลัวโคตร ๆ เลย!
“พวกเรา…แก๊งวาฬยักษ์ของเราได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง ดังนั้นการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นคำสั่งของกงซุนซา!”
ในที่สุดเขาก็จะพูดความจริง…
ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย
“อืม เข้าใจแล้ว แกไสหัวไปได้แล้ว”
จากการเพ่งมองจังหวะการเต้นของหัวใจและภาษากายต่าง ๆ เขาจึงสามารถตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน
หลังจากได้รับอนุญาต สวีเปียวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถด้วยความตื่นตระหนกและจากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดของเขา
ย่านรกร้างแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยกเว้นเสียงร้องโอดโอยที่เจ็บปวดของเฉียนเซา เพราะโดนเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่กลุ่มของเฉียนเซาอย่างดูถูก แต่เมื่อคิดได้ว่าขณะนี้มีซูหว่านเอ๋อเฝ้ามองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะสร้างฉากโหดร้ายขึ้นมาให้อีกฝ่ายฝันร้าย ดังนั้นจึงเดินกลับไปที่รถและเร่งเครื่องจากไป
ภายในรถ
ไม่นานหลังจากที่ขับออกมา ซูหว่านเอ๋อที่ตื่นตระหนกก็เริ่มทำใจได้บ้างเล็กน้อย
การปรากฏตัวของพวกนักเลงเมื่อครู่นี้ทำให้เธอตกใจมาก
โชคดีที่คนที่เธอชอบแข็งแกร่งกว่า!
“ฮ่าวหราน…คุณ…คุณสุดยอดมากเลย…”
ซูหว่านเอ๋อยิ่งรู้สึกเชิดชูเขามากกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะพูดชมเบา ๆ
เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายผู้นี้จะมีอำนาจมากจนคำพูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่าขอความเมตตาได้
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ด้วยไม่มีใครทำร้ายคุณได้หรอก”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ให้ความมั่นใจกับเธอ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ได้ทำให้หัวใจของซูหว่านเอ๋อหวั่นไหวมากเพียงใด
…
อีกด้านหนึ่ง
โจวเฟยหู่มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเช้าผลไม้
“คราวนี้สถานการณ์ยิ่งแปลกมากขึ้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกแก๊งวาฬยักษ์ถึงถอยร่นทิ้งพื้นที่แนวหน้าให้เรายึดไปฟรี ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราและพวกมันต่างก็สูญเสียในจำนวนพอ ๆ กัน?”
ทันทีที่โจวเฟยหู่นั่งลง เขาก็พูดเรื่องนี้กับหวังเหยียน
หวังเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“การที่พวกมันทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นภายในแก๊งของพวกมัน”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนก็ได้รับข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเขา
‘แก๊งวาฬยักษ์ถูกยุบและสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งแล้ว’
ข้อความสั้น ๆ นี้ทำให้เขาตกใจจนขนลุก
“เกิดอะไรขึ้น!”
โจวเฟยหู่รู้สึกไม่ดีอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังเหยียน เขาไม่เคยเห็นหวังเหยียนแสดงสีหน้าแบบนี้เลยนอกจากว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย
“แก๊งวาฬยักษ์ตกเป็นของกงซุนซาแล้ว! ทั้งสองแก๊งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!”
หวังเหยียนบอกข้อความที่เขาเพิ่งอ่านผ่านโทรศัพท์ เขาเชื่อมั่นในข่าวนี้หมดใจ เพราะอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งต่อข่าวนี้!
เขาเชื่อว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางส่งข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันมาหาเขาแน่นอน
“นี่มัน…!”
โจวเฟยหู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพรวดทันที
“นายเพิ่งพูดว่าแก๊งวาฬยักษ์ถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนไปแล้วงั้นเหรอ!? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!!”
โจวเฟยหู่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอุทานเสียงดัง
เขารู้ดีว่าหลิ่วอวี้จิงเป็นคนยังไง คนประเภทนี้เต็มใจที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอื่นแถมยอมยุบแก๊งตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?
“นี่…ข่าวนี้จริงเหรอ?”
“ผมมั่นใจที่สุด เพราะข่าวนี้อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งมาให้ผม มันไม่มีทางที่จะเป็นข่าวลวงแน่นอน และนี่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเร็ว ๆ นี้แก๊งวาฬยักษ์ถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ”
น้ำเสียงของหวังเหยียนหนักแน่นมากในขณะนี้ และข่าวนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสั่งให้คนของเราถอยร่นมาเช่นกันเพื่อที่เราจะได้รวมกลุ่มกันรับมือกับการถูกโจมตีได้เร็วมากกว่าเดิม!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ได้รับคำตอบยืนยัน เขาเริ่มคิดหาแผนรับมือในหัวมากมาย
…
ในเวลาเดียวกัน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาจึงไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ส่วนตัวของชายหนุ่มนั้นก็ขับรถกลับไปที่บริษัทต่อเพื่อดูเอกสารต่าง ๆ ที่ตัวเองจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติให้เสร็จสิ้น
หลังบ่ายสามโมง เขาก็ขับรถออกจากบริษัทเพื่อไปรับถวนถวน
ทว่า ในระหว่างที่เขาขับผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็เห็นสวีรุ่ยและพ่อของเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน
แต่เมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อลูกคู่นี้ในเวลานี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเมื่อดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเพิ่งจะสามโมงกว่า ชายหนุ่มจึงหยุดรถสปอร์ตที่ข้างถนนอย่างช้า ๆ
“…จะทำยังไงดีนะเฮ้อ…หางานไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว…”