บทที่ 298 ตำแหน่งผู้นำตระกูล
บทที่ 298 ตำแหน่งผู้นำตระกูล
“หืม? แกเป็นใครวะ??”
“บัดซบ! แกนั่นแหละที่จะพบกับจุดจบ!”
นักเลงหลายคนเมื่อได้สติ พวกเขาจึงสบถใส่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าเดือดดาล ซึ่งทางด้านของชายหนุ่มเองก็ค่อย ๆ เดินเข้าหาพวกเขาอย่างสบาย ๆ ราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ
“โอ้? พวกแกมีกันแค่นี้เองงั้นเหรอ?”
ที่นี่มีคนเฝ้าอยู่แค่ห้าคนเท่านั้น ซึ่งมันน้อยกว่าที่แรกมาก
“แล้วไงวะ! แค่พวกฉันคนเดียวก็หักคอละอ่อนอย่างแกได้สบาย ๆ แล้ว!”
หนึ่งในกลุ่มนักเลงตะโกนด้วยสีหน้าดูถูก เขาไม่คิดว่าคนร่างผอมอย่าง อวี้ฮ่าวหรานจะเป็นภัยต่อพวกเขา
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงกับการฆ่าพวกแก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปในพริบตาจากจุดที่ยืน และจากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นภายในโกดังร้าง!
ที่ด้านนอก อาโกวยังคงยืนรออยู่ที่รถราวกับเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากด้านในโกดัง ตัวของเขาก็สั่นราวกับโดนน้ำเย็นสาด
เขาไม่อยากจะนึกภาพตามเลยว่าพวกคนข้างในกำลังเผชิญกับชะตากรรมแบบใดอยู่ถึงได้ร้องโหยหวนดังได้ขนาดนี้
หลังจากผ่านไปสักพัก อวี้ฮ่าวหรานก็เดินกลับออกมาจากโกดังพร้อมกับผู้บริหารอีกสองคนของเขา
เมื่อเห็นว่าอาโกวยังคงไม่จากไป อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า
“ฮ่า ๆ แกนี่รู้มากดีจริง ๆ ที่ยังไม่หนีไปไหน”
หากเป็นคนอื่นคงหนีไปแล้ว ตั้งแต่ที่เห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปข้างในโกดัง
จริง ๆ ไม่ใช่ว่าอาโกวไม่อยากหนี แต่เขากลัวจนวิ่งไม่ไหวต่างหาก!
เขาได้เห็นเต็มสองตามาแล้วว่าอวี้ฮ่าวหรานแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา ดังนั้น ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ถูกตามเจอหากหนีไป?
จากนั้น ด้วยการบอกทางของอาโกว อวี้ฮ่าวหรานขับรถตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ อีกหลายที่ซึ่งคนของเขาถูกจับขังเอาไว้ และช่วยเหลือออกมาได้ทั้งหมด
อีกด้านหนึ่ง
ในบ้านหลักตระกูลหลี่
“หลี่อิงไห่! แกกล้าทำแบบนี้กับลูกเขยฉันได้ยังไง! แกไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบ้างเลยงั้นเหรอ!!”
ขณะนี้ หลี่ชงซานยืนชี้หน้าด่าหลี่อิงไห่กลางห้องโถงด้วยสีหน้าเดือดดาลสุดขีด
ผู้นำตระกูลคนนี้โมโหจนไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะมีอายุมากกว่าตัวเอง เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายตรง ๆ โดยไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ทว่า ในทางกลับกัน หลี่อิงไห่กลับนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ได้แสดงสีหน้าเดือดร้อนอะไรเลยถึงแม้ว่าจะถูกด่า
“หึหึ ทำไมฉันจะไม่กล้า? ผู้นำตระกูลที่อ่อนแออย่างแกไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรทั้งนั้นหรอก! และยิ่งไปกว่านั้น ฉันผิดตรงไหน? ฉันแค่พยายามเอาบริษัทที่เป็นของตระกูลหลี่กลับมาจากคนนอกก็เท่านั้น!”
หลี่อิงไห่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเขากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง
“ก…แก!!”
หลี่ชงซานพูดไม่ออกไปสักพักเนื่องจากโกรธสุดขีด
“แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าบริษัทชงซานได้ถูกขายให้กับตระกูลอู๋ไปแล้ว และเมื่อ ฮ่าวหราน เป็นคนซื้อมันกลับมา บริษัทชงซานก็ควรเป็นของฮ่าวหราน ไม่ใช่ของตระกูลเราอีกต่อไป!”
“ก็ที่มันเป็นแบบนั้นเป็นเพราะแกอ่อนแอและโง่เง่า!”
หลี่อิงไห่ตวาดกลับโต้แย้งคำพูดของหลี่ชงซาน
“แกปล่อยให้ลูกชายขยะของแกบ่อนทำลายตระกูลไม่พอ แต่นี่แกกลับยกบริษัทที่เป็นเสาหลักของตระกูลให้กับคนนอกอีกต่างหาก แกไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไงชงซาน?!”
“ตอนนี้แกควรลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูลได้แล้ว และส่งต่อมันมาให้ฉัน ฉันคนนี้ที่สามารถจัดการกับเครือฮ่าวหรานที่ใหญ่โตได้ย่อมมีความสามารถมากกว่าแกในทุก ๆ ด้าน!”
“ฮ่าวหรานไม่ใช่คนนอก!”
หลี่ชงซานอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับในประเด็นนี้ อวี้ฮ่าวหรานช่วยเหลือตระกูลของเขาเอาไว้หลายรอบ ดังนั้นเขาจึงถือว่าอวี้ฮ่าวหรานเป็นสมาชิกในตระกูลคนหนึ่งโดยสมบูรณ์และมีสิทธิ์ทุกอย่างในตระกูล
“ฮึ่ม! แกบอกว่าลูกเขยของฉันเป็นคนนอก แล้วแกล่ะเป็นอะไร? ไอ้พวกแก๊งฉลามคลั่งเป็นคนสายเลือดเดียวกับแกหรือไง แกถึงได้ไปติดต่อกับพวกมัน?!”
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ หลี่ชงซานจึงเผยว่าตัวเองได้รู้เรื่องบางส่วนเช่นกัน
หลี่อิงไห่อึ้งไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนี้
“น..นี่ แกรู้ด้วยงั้นเหรอ?”
เขานึกไม่ถึงเลยว่า คนที่แทบจะไม่ได้เหยียบออกจากบ้านเลยอย่างหลี่ชงซานจะรู้เรื่องข้างนอกมากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่แผนการทั้งหมดเพิ่งเริ่มเมื่อเช้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้สติ หลี่อิงไห่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“ฮ่า ๆๆ ชงซาน ดูเหมือนว่าฉันประเมินแกต่ำไปหน่อย แต่แล้วยังไงล่ะ? ต่อให้แกรู้มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ท้ายที่สุดฉันก็คือผู้ชนะอยู่ดี!”
“ถึงแม้ว่าฉันจะพอรู้ความคิดของแก แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมแกถึงอยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลนักหนาจนถึงขนาดสร้างความร้าวฉานในตระกูล? แกไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าพวกเราทั้งหมดมีสายเลือดเดียวกัน!”
หลี่ชงซานรู้สึกเจ็บปวดใจในระหว่างพูดประโยคนี้ เขาไม่คิดเลยว่าคนตระกูลเดียวกันจะหักหลังกันได้ขนาดนี้กับแค่เพียงตำแหน่งผู้นำตระกูล?
“ช่างเถอะ ๆ ฉันขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับแกแล้วเพราะต่อให้ฉันอธิบายอะไรไป คนโง่อย่างแกก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาเป็นว่าหลังจากฉันยึดเครือฮ่าวหรานได้เมื่อไหร่ ต่อให้แกจะไม่ลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูล สมาชิกทุกคนในตระกูลก็บังคับให้แกลงอยู่ดี เอาไว้เราค่อยเจอกันใหม่อีกทีตอนนั้นก็แล้วกัน!”
หลังจากพูดจบ หลี่อิงไห่ก็เดินออกจากห้องโถงไปในทันทีส่งผลให้บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัด
หลี่จิงเทียนซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขาตลอด หลังจากได้สติจากอาการตกตะลึงเขาสะกิดพ่อของตัวเองทันที
“พ…พ่อ พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี?”
เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น
อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เพราะตอนนี้หลี่ชงซาน เองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง
เมื่อเช้านี้หลังจากได้รับข่าวเกี่ยวกับเครือฮ่าวหราน ด้วยความไม่เชื่อเขาจึงถามข่าวนี้จากใครหลายคนและท้ายที่สุดเมื่อโทรไปถามหลี่อิงไห่ อีกฝ่ายกลับยอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแบบตรง ๆ ซึ่งมันทำให้เขาช็อกมาก
“เฮ้อ…คราวนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับฮ่าวหรานแล้วว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง”
หลี่ชงซานถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนที่จะเอนพิงเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
ปัญหานี้มันยากเกินกว่าที่เขาจะทำอะไรได้
…
ในขณะเดียวกัน ด้วยความช่วยเหลือจากแก๊งฉลามคลั่ง หลี่อิงไห่จึงกวาดซื้อหุ้นของเครือฮ่าวหรานได้อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเครือฮ่าวหรานในตอนนี้นั้นเหมือนชายร่างกำยำที่ไร้มือและแขน ดังนั้นจึงไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่าง ๆ มันกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในเร็ว ๆ นี้!
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานช่วยเหลือทุกคนเสร็จและกลับไปถึงบริษัท เขากลับผมว่าบรรดาผู้บริหารที่เพิ่งถูกลักพาตัวไปไม่มีใครลาหยุดเลยสักคน พวกเขาต่างกลับมาทำงานเพื่อผลักดันให้สถานการณ์วิกฤตของบริษัทกลับไปเป็นปกติเช่นเดิม!
บทที่ 300 การโต้กลับที่รวดเร็ว
บทที่ 300 การโต้กลับที่รวดเร็ว
เครือฮ่าวหรานเริ่มโต้กลับพร้อมกับบริษัทชิวเฮิงซึ่งให้ความช่วยเหลือในทุกด้าน
ทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่ยักษ์ ดังนั้นเมื่อร่วมมือกัน สถานการณ์ต่าง ๆ จึงพลิกกลับอย่างรวดเร็วรวมไปถึงข่าวลือต่าง ๆ ก็ถูกลบหายไปราวกับว่าไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น!
เวลาเก้าโมงเช้า หลี่อิงไห่ถูกปลุกให้ตื่นโดยโทรศัพท์ขณะที่เขายังหลับอยู่
“ย…แย่แล้ว…ท่านประธานหลี่! พวกเราแย่แล้ว!”
ทันทีที่รับสายโทรศัพท์ ปลายสายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกทันที!
“เป็นบ้าอะไรถึงโทรมาร้องโหยหวนใส่ฉันตั้งแต่เช้าแบบนี้!”
หลี่อิงไห่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอีกฝ่าย และรู้สึกไม่พอใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ในทันที
“แกรีบอธิบายมาให้ไวเลยว่าทำไมถึงโทรมาตะโกนใส่ฉันตั้งแต่เช้า ถ้าหากแกไม่มีเหตุผลที่ดีพอละก็….วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่แกทำงานให้ฉัน!”
เขาดื่มน้ำเย็นก่อนที่จะตัดสินใจไล่พนักงานคนนี้ออก
อย่างไรก็ตาม คำพูดถัดไปของอีกฝ่าย มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า!
“ท…ท่านประธาน! เครือฮ่าวหราน…เมื่อคืนที่ผ่านมาพวกเขาโต้กลับอย่างรุนแรง! แถมมีบริษัทใหญ่เข้าร่วมด้วย! เราสู้พวกเขาไม่ได้เลย!”
“อะไรนะ!!”
หลี่อิงไห่ที่กำลังโกรธอยู่อึ้งไปในทันที!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเขาได้สติ ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความโกรธ
“แกอธิบายมาให้ชัดเจน! เครือฮ่าวหรานเริ่มโต้กลับแล้วเหรอ?”
“ใช่แล้วท่านประธาน! พวกเขาเริ่มโต้กลับเราเมื่อคืนนี้อย่างฉับพลัน จนเราไม่มีแม้แต่เวลาจะได้ตั้งตัว และตอนนี้สถานการณ์ทางฝั่งของเรากำลังย่ำแย่อย่างหนัก!”
เสียงของปลายสายเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าบริษัทอิงเหมากำลังประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก
หลังจากที่ได้ยินคำยืนยันนี้ หลี่อิงไห่ที่เงียบไปอยู่นานเพราะความตกตะลึง
ก่อนหน้านี้เขาได้วางแผนกับแก๊งฉลามคลั่งและแก๊งวาฬยักษ์มาเป็นอย่างดีแล้ว แถมอีกฝ่ายสัญญาว่าจะกักตัวพวกผู้บริหารของเครือฮ่าวหรานเอาไว้อย่างน้อยสองเดือนเพื่อให้ตัวเขามีเวลาเพียงพอในการกวาดซื้อหุ้นและผนวกเครือฮ่าวหราน
แต่นี่น้อยกว่าวัน!!
แถมเป็นเขาเองที่กำลังจะย่อยยับ!
“ไม่…เป็นไปไม่ได้! เป็นไปได้ยังไง! แบบนี้ฉันจบเห่แน่!!”
เมื่อคิดเช่นนี้ ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน
แค่อิทธิพลและความใหญ่โตของเครือฮ่าวหราน ก็สามารถบดขยี้บริษัทของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้กลับมีอีกบริษัทใหญ่ช่วยเครือฮ่าวหรานรุมยำเขาอีก ต่อให้จะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดเล็กหลายบริษัทของแก๊งฉลามคลั่ง มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
“มันจบแล้ว! คราวนี้ฉันจบแล้ว!”
เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถทำได้อีก หลี่อิงไห่ก็วางสายและพึมพำอย่างสิ้นหวัง
เพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากขึ้นจากโอกาสครั้งนี้ เขาได้ใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัททั้งหมดไปแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อถูกโต้กลับ เขาจึงไม่สามารถดิ้นรนอะไรต่อได้เลย!
ไม่มีทางรอด!
ในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนเข้าเรียนเปียโนไปแล้ว ระหว่างทางไปบริษัท ชายหนุ่มโทรออกหาโจวเฟยหู่
“น้องอวี้! โทรมาหาฉันแต่เช้าเลย มีอะไรงั้นเหรอ?”
เสียงที่เบิกบานของอีกฝ่ายดังขึ้นทันที
“ใช่ ฉันมีเรื่องนิดหน่อย”
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุผลที่ชายหนุ่มโทรหาอีกฝ่ายเป็นเพราะหลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน เขาเริ่มคิดที่จะจัดการกับแก๊งวาฬยักษ์ให้เด็ดขาด
ถึงแม้ว่าครั้งนี้หลังจากที่ถูกลักพาตัว พวกผู้บริหารระดับสูงของเครือฮ่าวหรานจะยังคงภักดีและยินดีที่จะสู้ต่อเพื่อบริษัท
แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง…หรือครั้งที่สามล่ะ?
ต่อให้เขาจะสามารถช่วยชีวิตคนเหล่านั้นได้ทุกครั้ง แต่ใครจะอยากทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องเสี่ยงภัยในทุก ๆ วัน?
เห็นได้ชัดว่า หลิ่วอวี้จิงไม่ใช่คนที่จะยอมปล่อยวางเรื่องความแค้นได้ง่าย ๆ หลังจากที่รู้ว่าแผนของตัวเองล้มเหลว คนของเขาอาจถูกลักพาตัวอีกครั้ง!
แก๊งวาฬยักษ์ต้องถูกกำจัด!
มิฉะนั้น เครือฮ่าวหรานอาจไม่สามารถพัฒนาได้อย่างสงบสุข
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงบอกการตัดสินใจของตัวเอง
“ตอนนี้ฉันต้องการให้แก๊งพยัคฆ์เวหาของนายจัดการกับแก๊งวาฬยักษ์ ทันที หรือไม่อย่างน้อย ๆ ก็โจมตีบางพื้นที่ของอีกฝ่าย เพื่อดึงดูดความสนใจของพวกนั้นมาที่นายอย่างเต็มที่”
ประโยคนี้ดูเหมือนจะทำให้โจวเฟยหู่ตกใจพอสมควร เพราะเงียบไปหลายวินาทีก่อนที่จะถามกลับอย่างไม่แน่ใจ
“น้องอวี้ นายกำลังจะบอกว่าเราควรเริ่มโจมตีกลุ่มวาฬตอนนี้เลยงั้นเหรอ?”
“อืม!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบโดยไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วย
เพราะเขาเดาได้ถึงลักษณะนิสัยของอีกฝ่าย
“นี่…นี่มันเยี่ยมไปเลย!! ฮ่า ๆๆ น้องอวี้ ไม่ต้องกังวล ฉันเองก็อยากจะสั่งสอนไอ้แก๊งวาฬยักษ์นั่นมานานแล้ว! ฉันแค่รอสัญญาณจากนายเท่านั้นเอง!”
น้ำเสียงที่ปลายสายของโทรศัพท์ตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
ตามที่อวี้ฮ่าวหรานคาดไว้ โจวเฟยหู่ตั้งตารอสัญญาณจากเขาจริง ๆ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่อีกฝ่ายจะหัวเราะด้วยความปีติยินดีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“ดีมาก คืนนี้ฉันอยากได้ยินข่าวว่าแก๊งพยัคฆ์เวหามีชัยในทุกพื้นที่”
“ไม่มีปัญหา! น้องอวี้! การยึดพื้นที่ไม่ใช่เรื่องยาก ฉันจะแจ้งข่าวให้นายรู้ทันทีเมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วง!”
ถ้ดมา หลังจากที่ทั้งสองคุยรายละเอียดเพิ่มเติมกันอีกเล็กน้อย โทรศัพท์ก็ถูกวางสาย
หลังจากวางสายไปได้เพียงครู่เดียว อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถถึงเครือฮ่าวหราน
วันนี้ต่างจากบรรยากาศที่ตื่นตระหนกของเมื่อวาน ทุกสิ่งทุกอย่างในบริษัทดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง…
เมื่อชายหนุ่มเข้ามาถึงในออฟฟิศ ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานนั่งลง ผู้จัดการหวังก็เคาะประตูและเดินเข้าไปพร้อมกับเอกสารปึกใหญ่
“ท่านประธานอวี้ เมื่อวานพวกเราทำงานหนักกันทั้งคืน เราได้ร่วมมือกับบริษัทชิวเฮิงเพื่อตอบโต้”
“อืม คุณและคนอื่น ๆ ทำได้ดีมาก”
อวี้ฮ่าวหรานมองเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของผู้จัดการหวังซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม
“ขอบคุณครับท่านประธาน สำหรับคำชม แต่เช้านี้ สิ่งต่าง ๆ คืบหน้ามากกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก”
“บอกรายละเอียดมาให้ผมฟังที”
“หลังจากทำงานหนักมาทั้งคืน ทันทีที่ตลาดหุ้นเปิดในเช้าวันนี้ ราคาหุ้นของบริษัทอิงเหมาดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ เราได้ร่วมมือกับบริษัทชิวเฮิง เพื่อซื้อหุ้นของอีกฝ่ายเป็นจำนวนมหาศาล”
ผู้จัดการหวังเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกผู้บริหารและพวกผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอิงเหมาที่รู้ว่าเรือใกล้จะล่มแล้วต่างก็รีบเสนอขายหุ้นของพวกเขาให้กับเราเพื่อเอาตัวรอด”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับยิ้มอย่างสะใจ นี่เป็นข่าวดีจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ บริษัทของหลี่อิงไห่จะสามารถต่อสู้กับเครือฮ่าวหรานและบริษัทชิวเฮิงได้ยังไงจริงไหม?
…
ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยง
ในขณะนี้ในอาคารสำนักงานของบริษัทอิงเหมา
“จบแล้ว…ทุกอย่างมันจบแล้ว…ฉันไม่น่าเอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย!”
หลี่อิงไห่เอนหลังพิงเก้าอี้ผู้บริหารและมองเพดานอย่างสิ้นหวัง
เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งในเวลานี้ ไม่คิดเลยว่าพวกแก๊งใหญ่จะเชื่อถือไม่ได้ขนาดนี้
พวกมันบอกว่าจะยื้อเอาไว้ได้สองหรือสามเดือน แต่นี่มันแค่วันเดียวเอง! แค่วันเดียว…เครือฮ่าวหราน ร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่อีกแห่งโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง!!
ถึงแม้ว่าบริษัทของเขาจะไม่ใช่บริษัทไก่กา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสองยักษ์ใหญ่ เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย!
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูรถและมองไปที่พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่ยืนจ้องเยาะเย้ยเขาอยู่
“ฮ่าฮ่า! แกใจกล้าไม่เบานี่หว่าที่หยุดรถรอพวกฉันแบบนี้!”
เฉียนเซามองอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาประชดประชัน
ในเวลานี้ นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาอีกเจ็ดแปดที่ตามมา เขายังมีพวกบอดี้การ์ดมากกว่าหนึ่งโหลที่ตามมาสบทบอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้ว่าจะเรียกแกว่าคนโง่หรือว่าคนบ้าดีที่ไปไหนมาตามลำพังคนเดียวโดยไม่มีบอดี้การ์ดแบบนี้?”
เขาตั้งใจเยาะเย้ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่คนเดียว
แต่แล้วเมื่อเขาเหลือบเห็นซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของเขาก็ยิ่งชั่วร้ายมากกว่าเดิม
“หึหึ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าแกโดนอัดจนยอมก้มกราบเท้าฉันวิงวอนขอชีวิตเหมือนหมาข้างถนน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถนั่นยังจะชอบแกอยู่ไหม? พวกผู้หญิงน่ะมันเปลี่ยนใจง่ายจะตาย ถ้าเห็นแกอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนั้น แกคงถูกมองเหยียดเหมือนเศษขยะเลยล่ะ ฮ่าฮ่า!”
ในขณะเดียวกันนี้ พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็แสดงสีหน้าดูถูกอวี้ฮ่าวหรานเช่นกัน ในสายตาของพวกเขา อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กลุ่มของเฉียนเซากำลังชื่นมื่น จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลุดไปอยู่ในโลกน้ำแข็งที่หนาวเหน็บจนถึงขั้วกระดูกอย่างฉับพลัน!
“หึ! พวกฝูงมด”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มที่มุมปากพร้อมกับมองพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านี้ด้วยแววตารังเกียจ
แม้ว่าเสียงพูดของเขาจะไม่ดัง แต่กลุ่มของเฉียนเซากลับได้ยินชัดเจนอย่างน่าประหลาด
เฉียนเซาตกตะลึงกับประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้แล้ว เขาก็จ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างดุเดือด
“ไอ้ลูกหมา! แกคิดว่าแกเป็นใครวะถึงกล้ามาเรียกฉันว่ามด? แกปากดีนักใช่ไหม? พวกแกทุกคนไปจับมันมาคุกเข่าต่อหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”
หลังจากตะคอกจบ เฉียนเซาก็โบกมือข้างหนึ่งสั่งให้พวกบอดี้การ์ดลงมือทันที!
บอดี้การ์ดสิบกว่าคนวิ่งตรงดิ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานทันทีหลังจากได้รับสัญญาณ พวกเขาแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าดุร้ายและชักกระบองสั้นที่เอวออกมาเตรียมจะฟาดเป้าหมายให้ลงไปนอนกองที่พื้นโดยเร็วที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาจะต่อกรได้!
ในขณะที่พวกบอดี้การ์ดเข้ามาใกล้จนได้ระยะ
ทันใดนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นแฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่น!
“คุกเข่าลง!”
ถึงแม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของอวี้ฮ่าวหรานจะเบา แต่ในจิตวิญญาณของของพวกบอดี้การ์ดกลับได้ยินเสียงนี้ดังก้องจนร่างแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และร่างของพวกเขาทุกคนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน!
บอดี้การ์ดเหล่านี้ราวกับว่ากำลังมองเห็นพระเจ้าที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าและโลกที่แดงฉานเต็มไปด้วยโลหิตก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา
ทุกคนหยุด
พวกเขาตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อเผชิญกับภาพลวงตาที่น่ากลัวจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้นี้
‘ผลั่ก!’
หลังจากหยุดนิ่งอยู่เพียงอึดใจ พวกบอดี้การ์ดต่างก็คุกเข่าลงราวกับว่าขาของพวกเขาไร้เรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์!
“นี่มันบ้าอะไรวะ!”
ดวงตาของเฉียนเซาเบิกโพลงมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า! เขาอุทานคำหยาบเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกบอดี้การ์ดมืออาชีพที่เคยดุร้ายเหล่านี้ถึงจู่ ๆ ก็คุกเข่าให้กับอีกฝ่ายง่าย ๆ ราวกับเจอบรรพบุรุษตัวเองเช่นนี้?
ไอ้พวกบอดี้การ์ดพวกนี้มันปัญญาอ่อนไปแล้วงั้นเหรอ?
เมื่อเฉียนเซาตะโกน พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ ก็เริ่มตะโกนด่าบอดี้การ์ดของตัวเองเช่นกันด้วยความตกใจ
“บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่! พวกแกคุกเข่าให้กับมันทำไม มันเป็นพ่อแกเหรอไงถึงไปคุกเข่าให้มันแบบนี้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะโว๊ยไม่งั้นฉันจะบอกพ่อให้ไล่แกออกหลังจากนี้!!”
เขาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ก็แปลกประหลาดเกินไปจริง ๆ
บอดี้การ์ดมืออาชีพที่แข็งแกร่งกว่าโหล ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มผอมบางที่ดูไม่มีพิษภัยแบบนี้ได้ไง!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉียนเซาจะตะโกนใส่พวกบอดี้การ์ดอย่างไร พวกบอดี้การ์ดเหล่านี้ต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย พวกเขาเอาแต่มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากจะคุกเข่า แต่ภาพมายาที่ปรากฏขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเขา ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งจนยอมทำทุกอย่างที่ชายหนุ่มคนนี้สั่ง
ในสายตาของพวกเขาตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีอำนาจสูงส่งราวกับเป็นเทพเจ้าที่ไม่สามารถจ้องมองโดยตรงได้
เฉียนเซายิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เมื่อตะโกนจนคอแหบแล้วก็ยังไม่มีใครเชื่อฟังเขา!
“ขยะเอ๊ย! ไอ้พวกขยะ! ไอ้พวกไร้น้ำยา! พวกแกเอาแต่คุกเข่าแบบนี้ได้ไง?”
เขาไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้
การที่ลูกน้องของเขาคุกเข่าให้กับศัตรูของเขาเองแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขาอย่างแรงในที่สาธารณะ!
หลังจากที่สยบพวกบอดี้การ์ดเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เบนสายตากลับมามองเฉียนเซา และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกครั้งอย่างล้อเลียน
“คนพวกนี้เพิ่งประจักษ์ในความจริงที่ว่าต่อหน้าฉันพวกมันไม่ต่างอะไรกับมดแมลง ดังนั้นไม่ว่าแกจะสั่งพวกมันยังไง พวกมันก็ฝ่าฝืนคำพูดของฉันด้วยการลุกขึ้นตามคำสั่งของแกหรอก”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้าหาคนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านั้น
เฉียนเซาอยากจะด่ากลับ แต่เมื่อเขาสบตาอีกฝ่าย เจ้าตัวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกจนคำพูดทุกอย่างจุกอยู่ที่คอ
นี่มันแววตาแบบไหนกัน? ทำไมมันถึงได้น่ากลัวแบบนี้วะ!
เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
แต่หลังจากก้าวถอยไปได้ราวห้าหกก้าว ขาของเขาก็สั่นและไร้เรี่ยวแรงจนก้าวไม่ออกอีกต่อไป!
“ก…แกเป็นใครกันแน่!?”
เฉียนเซาถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ ตั้งแต่เขาเกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรจนก้าวขาไม่ออกแบบนี้มาก่อนเลย!
แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอีกฝ่าย เขายังคงก้าวมาข้างหน้าเรื่อย ๆ
วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง!
“แกกับพวกของแกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! พวกแกคุกเข่าลงให้หมด!”
พลังเสียงของอวี้ฮ่าวหรานไม่ต่างอะไรกับประกาศิตจากสวรรค์ ทันทีที่เฉียนเซาและพรรคพวกที่เหลือได้ยินคำสั่งนี้ พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย!
‘ผลั่ก…ผลั่ก…’
เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งและกลิ่นอายที่สุดแสนจะล้ำลึก คนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็เห็นภาพมายาถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหัวใจของพวกเขา ขาของพวกเขาอ่อนแรงลง และพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้น!
เฉียนเซาจับจ้องที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความรู้สึกสยองขวัญ
“นี่…นี่แกเป็นสัตว์ประหลาดหรือยังไงกัน!?”
เขาดวงซวยมาเจอคนที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ รถตู้เจ็ดแปดคันก็พุ่งมาด้วยความเร็วสูงจากระยะไกล!
“บ้าอะไรวะน่ะ? พวกพวกลูกคนรวยพวกนั้นมันกำลังทำบ้าอะไรอยู่?”
ในรถ SUV ที่อยู่หัวขบวน ชายหัวล้านอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเมื่อเห็นฉากประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ไกลนัก
ทันทีที่รถหยุดนิ่ง ชายหัวล้านก็กระโดดลงจากรถ
“ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกกำลังทำพิธีกรรมบ้าอะไรของพวกแก?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฉากแปลก ๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะคร่ำหวอดอยู่ในโลกใต้ดินมาหลายปีแล้ว
คนเกือบยี่สิบคนคุกเข่าลง และมีชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
ที่สำคัญ ชายหนุ่มคนที่ยังยืนอยู่นั้นเป็นชายที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ร่างผอมบางไร้พิษสงอีกต่างหาก!
ในความเห็นของเขา เหตุการณ์นี้มันไร้สาระสุด ๆ!
บทที่ 296 เรียกค่าไถ่โดยพลการ
บทที่ 296 เรียกค่าไถ่โดยพลการ
“ประธานอวี้ คุณก็น่าจะทราบดีว่า หวังจุนเพิ่งเข้าทำงานในบริษัทของคุณได้ยังไม่ถึงปีเลย ดังนั้นเราจะมีเงินเก็บมากถึงสามล้านได้ยังไง ฉันมีเงินไม่ถึงสามล้านจริง ๆ! ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าวิตกกังวล เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อดี
“คุณต้องช่วยพวกเรานะ! ตอนนี้ลูกของฉันกับหวังจุนอายุแค่ 5 ขวบเอง! เขาจะอยู่โดยไร้พ่อดูแลไม่ได้!”
“ผมเข้าใจแล้ว เอาล่ะ อันดับแรกคุณต้องหามาก่อนว่าสถานที่ ๆ คนพวกนั้นให้ไปส่งเงินมันคือที่ไหน จากนั้นผมสัญญาว่าผมจะพาเขากลับมาได้แน่”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกผิดเล็กน้อย ถ้าหากเขาจัดการกับศัตรูของตัวเองเด็ดขาดมากกว่านี้ เรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิดขึ้น
แต่โลกนี้มันซับซ้อนมากกว่าดินแดนแห่งเทพ ชายหนุ่มยังไม่แกร่งพอจะเผชิญกับคนทั้งโลก หากเขาฆ่าคนพร่ำเพรื่อ ก็คงเจอกับปัญหาที่มาจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งเขามั่นใจว่าตัวเองยังไม่แกร่งพอที่จะต่อต้านได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
นับจากนี้เขาคงต้องเร่งบ่มเพาะให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องสนใจกับกฎเกณฑ์ของโลกนี้มากเกินไป
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หญิงสาวซึ่งมีน้ำตาคลอเบ้า
“คุณโทรไปหาคนพวกนั้นก่อน และบอกกับพวกนั้นว่าคุณมีเงินแล้ว จากนั้นคุณถามสถานที่ส่งเงินมา”
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานเช่นนี้ ภรรยาของผู้จัดการหวังจึงพยักหน้าและโทรออกไปหาเบอร์ที่เพิ่งโทรหาเธอทันที
หลังจากโทรครั้งแรกยังไม่มีรับสาย แต่เมื่อโทรครั้งที่สองมีคนรับสายทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ว่าไง! มีเงินแล้วหรือยัง? ฉันบอกเอาไว้เลยว่าถ้าไม่เอาเงินมาไถ่ตัวผัวแก วันนี้ผัวแกตายแน่!”
“ด…เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรสามีฉันนะ! ตอนนี้ฉันได้เงินมาแล้ว ฉันจะเอาไปให้เดี๋ยวนี้ บ…บอกที่อยู่มาได้เลย!”
เมื่อถูกข่มขู่ หญิงสาวก็ยิ่งตื่นตระหนก แต่ยังโชคดีที่เธอยังนึกได้ถึงคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน
“โอ้? แกได้เงินมาแล้วงั้นเหรอ? ดี ๆๆ! ส่วนสถานที่…เอ่อ…เอาเป็นว่าแกเอาเงินมาที่ตึกสำนักงานที่ยังสร้างไม่เสร็จของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เกาหยวนที่อยู่ตรงชานเมืองทิศใต้ แกวางถุงเงินเอาไว้ที่ชั้นแรกของตึกที่อยู่หน้าสุด”
ความลังเลในเรื่องสถานที่ของปลายสาย ทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าการเรียกค่าไถ่มันจะสำเร็จได้ง่ายขนาดนี้
“ถ…ถ้างั้นตอนนี้ ฉันขอคุยกับสามีของฉันหน่อยจะได้ไหม?”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม
“อย่าเรียกร้องอะไรให้มันเยอะไปนักนะนังบ้า! ฉันต้องได้เงินก่อนเท่านั้น แกถึงจะได้เจอหน้าผัวของแก! ถ้าแกยังพูดจาเพ้อเจ้อต่อไปอีกฉันจะไม่ให้แกไถ่ตัวผัวของแกอีกต่อไป อย่าคิดว่าฉันให้ความสำคัญกับแกนัก เพราะผัวแกไม่ใช่คนเดียวที่ฉันจับมาเรียกค่าไถ่!”
หลังจากพูดจบ อีกฝ่ายวางสายไปอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันนี้เอง อวี้ฮ่าวหรานก็ลุกขึ้น
“คุณรอที่นี่แหละ เดี๋ยวผมจะไปพาตัวสามีคุณกลับมา”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานเดินออกไปจากออฟฟิศเช่นกัน
คำพูดของปลายสายทำให้อวี้ฮ่าวหรานได้ข้อมูลที่สำคัญมามากพอแล้ว
ไอ้คนต้นคิดเรื่องลักพาตัวมันคงไม่ได้มีความคิดที่จะเรียกค่าไถ่ แต่ไอ้พวกคนที่รับหน้าที่ดูแลเหยื่อมันคงจะโลภและคิดเรื่องเรียกค่าไถ่ขึ้นมาเอง เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากน้ำเสียงที่ประหม่าของอีกฝ่าย
และยิ่งไปกว่านั้น คำพูดที่บอกว่า ‘ไม่ใช่คนเดียวที่จับมาเรียกค่าไถ่’ มันแปลว่าคนพวกนี้น่าจะจับผู้บริหารของเขาทั้งหมดไปรวมกันไว้ในที่เดียว ซึ่งถ้าชายหนุ่มสืบต่อจากไอ้คน ๆ นี้ เขาจะต้องหาคนของเขาเจอทั้งหมดแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เพื่อความแนบเนียนของแผนการ อวี้ฮ่าวหรานจึงไปที่ฝ่ายบัญชีเพื่อเอาเงินสดออกมาสามล้านและยัดใส่กระเป๋าใบใหญ่ก่อนที่จะขับรถออกจากบริษัท
…
หลังจากสี่สิบนาทีผ่านไป อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถไปถึงตึกสำนักงานที่ยังสร้างไม่เสร็จของบริษัทเกาหยวน ซึ่งฝ่ายตรงข้ามนัดหมายให้ชายหนุ่มมาที่นี่
หลังจากกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และไม่เห็นใครเลย อวี้ฮ่าวหรานจึง เดินเข้าไปในตึกแรกและวางกระเป๋าเงินลงที่ชั้นแรกของตึกที่ยังคงสร้างไม่เสร็จ
เมื่อวางเงินทิ้งไว้เรียบร้อยและขับรถออกไปจากสถานที่ อวี้ฮ่าวหราน โทรหาภรรยาของผู้จัดการหวัง เพื่อให้เธอโทรหาพวกคนลักพาตัวและแจ้งว่าเงินได้ถูกเอาไปวางเรียบร้อย
แน่นอนว่าทุกอย่างมันได้ผล สิบนาทีถัดมา ชายร่างผอมคนหนึ่งก็ค่อย ๆ แอบย่องเข้าไปในตึกที่อวี้ฮ่าวหรานวางเงินไว้
ในตอนแรกชายร่างผอมยังไม่ได้เข้าไปในตึกทันที เขากวาดสายตามองดูรอบ ๆ อย่างเงียบ ๆ จากด้านนอกนานเกือบห้านาทีก่อนที่จะค่อย ๆ ย่องเข้าไปเปิดประเป๋าเงินดู
ชายร่างผอมตาเป็นประกายทันทีเมื่อเห็นว่าในกระเป๋ามีเงินอยู่หลายปึก จากนั้นก็กวาดสายตามองรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง ก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากตึกไปพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่
“หึหึ ในที่สุดปลาก็กินเบ็ด!”
แน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูก อวี้ฮ่าวหรานจับตาดูอยู่โดยใช้เนตรเทวะ ซึ่งตัวเขาซุ่มดูอยู่ห่างไปอีกประมาณเกือบสองกิโลเมตร
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจากไป อวี้ฮ่าวหรานก็รีบตามไปทันที
ชายร่างผอมวิ่งออกไปพร้อมกับกระเป๋าเงิน ลัดเลาะไปตามหมู่ตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จ และเมื่อผ่านไปราวสิบนาที ชายร่างผอมก็วิ่งเข้าไปในตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จหลังหนึ่งที่เงียบสงัด
ที่ชั้นสองของตึกร้าง ทันที่ที่ชายร่างผอมวิ่งกลับขึ้นไป เสียงบ่นก็ดังขึ้นทันที
“บ้าเอ๊ย อาโกว! แกหายไปไหนมาตั้งนานวะตั้งครึ่งชั่วโมง!”
“ฮ่า ๆ มันคงกลัวไม่กล้าเล่นไพ่กับพวกเรามั้ง มันถึงหายไปนานขนาดนี้! เป็นไงตอนนี้ทำใจจะมาเล่นกับพวกฉันได้แล้วเหรอ?”
“เอ๊ะ? นั่นแกแบกกระเป๋าอะไรมาวะ?”
“…”
ในขณะนี้ ที่ชั้นสองของตึกมีกลุ่มชายฉกรรจ์แปดคนกำลังล้อมวงนั่งเล่นไพ่กันอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าชายร่างผอมเพิ่งกลับมา พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าล้อเลียน
ชายร่างผอมที่ถูกเรียกว่าอาโกวโยนกระเป๋าลงไปที่พื้นและหัวเราะอย่างร่าเริง
“ฮ่า ๆ! มา! วันนี้ฉันจะกินพวกแกให้หมดตัวเลย! ด้วยเงินทุนของฉันตอนนี้พวกแกไม่มีทางชนะฉันได้แน่!”
หลังจากพูดจบ ชายร่างผอมเปิดกระเป๋าอวดเงินข้างในให้เพื่อน ๆ ของตัวเองดู
“อะไรวะน่ะ! นี่แกไปเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน?”
“แม่งเอ๊ย อาโกว! นี่เมื่อกี้แกไปปล้นธนาคารมาเหรอวะ?”
“นี่แกไปทำอะไรมาถึงมีเงินเยอะขนาดนี้?”
ทุกคนต่างมองไปที่ปึกเงินหลายปึกในกระเป๋าด้วยสีหน้าโง่งม
“ไม่ใช่แน่ ฉันว่าเงินพวกนี้เป็นเงินปลอมแน่ ๆ!”
หนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าล้อเลียน เขาไม่เชื่อว่าเพื่อนของตัวเองจะมีเงินมากขนาดนี้ได้
อย่างไรก็ตาม อีกคนในกลุ่มกลับแสดงสีหน้าจริงจัง
“นี่มันดูไม่ปลอมเลย ในนี้มีเงินเท่าไหร่ หลักล้านใช่ไหม?”
“ฮ่า ๆ ใช่ สามล้าน!” อาโกวหัวเราะก่อนจะตอบกลับ
“นี่มันบ้าอะไรกัน แกไปได้เงินนี่มาจากไหน?”
อีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“ก็ไอ้คนที่ถูกเรียกว่าผู้จัดการหวังนั่นแหละ เมื่อกี้เมียมันโทรมา ฉันก็เลยลองโทรกลับไป และโกหกนังผู้หญิงนั่นไปว่าหากมันเอาเงินมาสามล้าน ฉันจะยอมปล่อยตัวผัวของมัน! ไม่นึกเลยว่านังนั่นมันจะโง่หลงเชื่อและให้เงินมาจริง ๆ ฮ่า ๆ!” อาโกวตอบกลับด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“เดี๋ยวนะ นี่แกโทรคุยกับญาติของคนพวกนั้นงั้นเหรอ?”
หนึ่งในกลุ่มคน ถามกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แกไม่ได้ยินที่หัวหน้าสั่งเหรอไงวะ? หัวหน้าย้ำอย่างชัดเจนเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามพวกเราคุยกับญาติของคนพวกนั้น! แกรู้ไหมว่าแกกำลังเล่นอยู่กับไฟ!”
“เอาน่า! จะกังวลไปทำไมมากมาย ถ้าฉันไม่พูด พวกแกไม่พูด หัวหน้าจะรู้ได้ยังไง? และอีกอย่าง เงินนี่ฉันก็จะแบ่งให้พวกแกด้วย พวกแกไม่เอากันเหรอไง?”
อาโกวคิดเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีแล้ว การแบ่งให้คนอื่น ๆ เท่า ๆ กัน มันจะทำให้ทุกคนปิดปากในเรื่องนี้
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ ทุกคนต่างมองหน้ากันและพยักหน้าให้กันอย่างเงียบ ๆ
ไม่มีใครปฏิเสธส่วนแบ่งจากเงินสามล้านอยู่แล้ว
“เออ ก็ได้! ครั้งนี้ก็ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อย่าให้มีครั้งต่อไปเชียวนะโว้ย!”
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นตกลง และจากนั้นต่อมาอีกคนก็ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่บันไดเพื่อที่จะลงไปข้างล่างพร้อมกับพูดว่า
“ฉันจะลงไปดูข้างล่างก่อนเผื่อว่าคนตามแกมา ถ้าพวกแกจะแบ่งเงินกันเลยก็อย่าลืมแยกของฉันเอาไว้ให้…”
พลั่ก!! โครม!!
น่าเสียดายที่ก่อนจะได้พูดจบ ชายที่กำลังเดินลงบันไดถูกเตะจนตัวลอยละลิ่วกลับขึ้นมาที่ชั้นสองและนอนสลบไปในทันที!
ทุกคนที่กำลังชื่นชมอาโกวเมื่อครู่ เมื่อเห็นภาพนี้ พวกเขาต่างก็พากันตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
มันเกิดอะไรขึ้น?
ในขณะเดียวกัน จู่ ๆ ก็มีเสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากชั้นล่าง และค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดมา
“แผนของแกนี่มันใช้ได้เลย หลังจากได้เงินไปแล้ว แกก็เอามาแบ่งให้เพื่อนของแก เพื่อไม่ให้ใครปากโป้งไปฟ้องเจ้านาย!”
น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาเป็นอย่างมาก จนพวกชายฉกรรจ์ต่างรู้สึกขนลุก
“อาโกว!! เห็นไหมว่าแกทำอะไรลงไป!!”
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ตวาดขึ้นดังลั่นด้วยความตื่นตระหนก
พวกเขาจบเห่แน่ถ้าหากหัวหน้าแก๊งรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาทั้งหมดคงโดนลงโทษอย่างหนัก!