บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหวังเหยียนแล้ว โจวเฟยหู่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ
“เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโจวเฟยหู่ก็พูดขึ้นอย่างจนใจ
ตอนนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลอุบายใด ๆ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ต่อไป…
หลังจากสูญเสียพี่น้องไปมากมาย ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันได้
…
ในเวลาเดียวกัน อู๋หมิ่น ผู้นำตระกูลอู๋ ก็ได้ติดต่อกับศิษย์ของสำนักลึกลับแห่งหนึ่งเรียบร้อย…
ในห้องโถงของตระกูลอู๋ อาการบาดเจ็บของอู๋หมิ่นยังไม่หายดี และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาออกมาจากละครย้อนยุค
แต่ด้วยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งทำให้ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยการแต่งกายที่แปลกประหลาดนี้แน่นอน
สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังนั่งอย่างสบาย ๆ ในตำแหน่งที่นั่งของอู๋หมิ่น!
“เจ้ากำลังบอกว่าชายหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้ตระกูลอู๋วอดวายได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? นี่เจ้าดูแลตระกูลอู๋แบบไหน ทำไมพวกเจ้าถึงตกต่ำได้ขนาดนี้?”
ชายวัยกลางคนทำตัวราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กำลังดุด่าลูกหลานตัวเอง ซึ่งคนที่เขากำลังดุด่าอยู่ก็คือ อู๋หมิ่น
“ช…ชายหนุ่มคนนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดา! ผมได้จ้างปรมาจารย์มาแล้วมากมาย แต่ปรมาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มคนนั้น และลูกชายของผม อู๋เส้าฮัวก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน!”
อู๋หมิ่นดูวิตกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามเถียง
อย่างไรก็ตาม คำพูดเถียงนี้กลับทำให้ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าดูถูกมากยิ่งขึ้น
“ฮ่า ๆ จ้างพวกปรมาจารย์งั้นเหรอ? แล้วไง? ไอ้พวกที่เจ้าจ้างมามันต่างจากคนธรรมดาตรงไหน?”
เขามองหน้าอู๋หมิ่นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน”
“ผม…ผมไม่รู้…”
อู๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่กลิ่นอายความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก
“เฮอะ ช่างมีความรู้ต่ำต้อยอะไรขนาดนี้! ช้าผู้นี้ชื่ออู๋ลั่น เพื่อเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดเดียวกัน ข้าจะบอกเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ว่าเหนือว่าขั้นพลังภายในที่เจ้าเคยรู้จัก ยังมีระดับที่เรียกขอบเขตก่อรากฐาน!”
“ก่อรากฐาน?”
อู๋หมิ่นพึมพำราวกับเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง
“ถูกต้อง ขอบเขตก่อรากฐานคือการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นผู้อมตะ ซึ่งความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบเทียมได้ และข้าเองคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อรากฐาน!”
ชายวัยกลางคนชื่ออู๋ลั่นพูดช้าๆ
ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มอบเงินให้กับสำนักของเขาเป็นจำนวนมหาศาล เขาคงไม่มีทางเสียเวลาคุยกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน
อู๋หมิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตพลังภายในมาก่อนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกตกตะลึงและงุนงงในเวลาเดียวกัน
“ถ…ถ้างั้นก็หมายความว่า…ท่านทรงพลังมากเลยใช่ไหม?”
เขาไม่อยากเชื่อเลย ถ้าหากตระกูลของเขามีปัญญาสร้างคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงถูกทิ้งให้ดูแลตระกูลอู๋อยู่ที่นี่มาตลอด? ทำไมเขาถึงไม่ได้มีโอกาสบ่มเพาะบ้าง?
ถ้าเขาสามารถเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานได้ เขาก็จะสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่หรือตระกูลไหน ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดาย จนสามารถทำให้ตระกูลอู๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ทำไมตระกูลของเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้?
อู๋ลั่นรู้ทันความคิดของอู๋หมิ่นเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยโดยไม่ลังเลเลย…
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ อย่าคิดเพ้อเจ้อให้เสียเวลา การบ่มเพาะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าก็จะไม่มีวันทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตก่อรากฐานได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเทียบได้กับข้าผู้นี้งั้นเหรอ?”
หลังจากนั้น อู๋ลั่นก็รู้สึกไม่อยากจะคุยไร้สาระอะไรอีกต่อไป เขาถามถึงรายละเอียดของภารกิจโดยตรง
อู๋หมิ่นไม่ลังเลเมื่อถูกถามถึงเรื่องภารกิจ เขาพูดทุกอย่างที่เขารู้ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน อู๋ลั่นก็พยักหน้าเล็กน้อย
“เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่ามา ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด เขาถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้า เรื่องนี้จึงไม่สามารถตำหนิเจ้าได้ในการที่เจ้าจัดการกับเขาไม่สำเร็จ”
หลังจากพอจะเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ อู๋ลั่นจึงสรุปเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง
“ใช่ ตระกูลอู๋ของผมไม่มีพลังที่จะต่อกรจริง ๆ ได้โปรดช่วยผมกำจัดชายหนุ่มคนนั้นให้ผมที!”
อู๋หมิ่นอ้อนวอนอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ลั่นเองก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้าตกลงอย่างไร้กังวล
…
สองวันต่อมา
“พ่อจ๋า ๆ หนูอยากไปเล่นที่บริษัทของพ่อวันนี้! หนูคิดถึงเพื่อน ๆ ของหนูที่นั่น!”
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กน้อยจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษ ดังนั้นเธอจึงตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ห้องของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตื่นเต้นและตะโกน
“โอเค พ่อตกลง!”
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่โตของลูกสาว และเห็นว่าเด็กน้อยคาดหวังมาก อวี้ฮ่าวหรานก็ตกลงในทันที
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็ออกไป
ถวนถวนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตคันใหม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดูตื่นเต้นอย่างมาก
รถสปอร์ตวิ่งออกไปจากเขตที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงย่านไร้ผู้คน ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเหยียบคันเร่งเพิ่ม ร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางถนน!
ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาหลุดมาจากยุคโบราณ
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเหยียบเบรกอย่างรุนแรงทันที!
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่อสูรที่ไร้หัวจิตหัวใจ เขาไม่สามารถขับรถชนคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่าไม่ได้
หลังจากเบรกอย่างเร่งรีบ รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็หยุดนิ่งกลางถนน!
รถสปอร์ตคันนี้คู่ควรกับเงินเกือบสิบล้านเป็นอย่างมาก ระบบเบรกของมันยอดเยี่ยมกว่ารถคันเก่าของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้
หากเป็นรถคันเก่า ระยะห่างสั้น ๆ แบบนี้รถไม่มีทางหยุดทันแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลย เขามองดูอวี้ฮ่าวหรานอย่างเฉยเมยพร้อมกับเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งนี้…นี่มันผิดปกติ
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงจากรถไปถาม ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวก็ตะโกนถามขึ้นก่อน
“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?!”
น้ำเสียงของชายเสื้อคลุมเขียวหยิ่งผยองมาก
“เพื่อเห็นแก่ที่เจ้ามีไหวพริบดีไม่ขับรถพุ่งเข้าชนข้าเหมือนคนโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าโดยจะปล่อยให้ศพของเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์!” เขาเยาะเย้ย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่มาขวางทางเขาคือศัตรู ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงลงจากรถ
“แกเป็นใคร แกรู้จักฉันได้ยังไง?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าผู้นี้เป็นใคร เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องตายวันนี้”
ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกราวกับว่าเขากำลังพูดกับมดแมลง
“แต่ก็เอาเถอะ ข้าบอกให้เจ้ารู้สักนิดหน่อยก็ได้ว่าข้าเป็นคนที่ตระกูลอู๋ส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า อย่างน้อย ๆ หลังจากรู้เรื่องนี้เจ้าจะได้ไม่ตายอย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าใครฆ่าเจ้า!”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าจะฆ่าฉันได้?”
เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งหลังจากที่มองดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย…
บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ
บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ
หลี่อิงไห่หันศีรษะไปเหลือบมองที่พวกผู้บริหารเก่าของตนเอง
คนเหล่านี้มักจะเลียแข้งเลียขาของเขาอย่างประจบสอพลอมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พอเกิดปัญหา คนพวกนี้กลับทิ้งเขาอย่างไม่ไยดีเลย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์จัดการกับคนพวกนี้ได้อีกแล้ว
แต่แล้วจู่ ๆ ในขณะเดียวกันนี้!
เลขาสาวน้อยที่ติดตามเขาอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอดก็เดินก้าวเข้ามาขวางตรงหน้าหลี่อิงไห่!
“คุณ…คุณทำแบบนี้ไม่ได้! บริษัทนี้เป็นความพยายามทั้งชีวิตของท่านประธานหลี่!”
เลขาสาวเงยศีรษะขึ้น แววตาของเธอมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก
เธอสูงเพียง 1.65 เมตร เธอนับได้ว่าเตี้ยถ้าเทียบกับเหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ ณ ตรงนี้ ซึ่งมันทำให้เธอดูไม่มีความน่าเกรงขามเลย
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของสาวน้อยคนนี้
เขาไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลานี้ คนอย่างหลี่อิงไห่จะมีลูกน้องที่ซื่อสัตย์ปกป้อง
อย่างไรก็ตาม แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะเลยที่จะสนับสนุนหลี่อิงไห่ ซึ่งมันจะทำให้เจ้านายคนใหม่ไม่พอใจ
“เสี่ยวอวิ๋น นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้ามาแทรกแซงได้!”
หลี่อิงไห่ตกใจกับการกระทำที่กะทันหันนี้เช่นกัน แต่หลังจากได้สติ เขาก็รีบตะโกนขึ้นอย่างเร่งร้อน
เขารู้ใจของอีกฝ่าย เด็กผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป!
“เธอรีบถอยไปซะ ฉันถูกไล่ออกแล้ว นับจากนี้เราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น!”
เขาพูดอย่างเคร่งขรึม แต่ใคร ๆ ก็เห็นได้ว่าหลี่อิงไห่กำลังตื่นตระหนกอยู่ในน้ำเสียงของเขา
“ไม่! คุณใจดีกับฉัน ฉันจะไปทุกที่ที่คุณไป!”
น้ำเสียงของเลขาสาวดื้อรั้น และใคร ๆ ก็เห็นความดื้อรั้นบนใบหน้าของเธอ
อวี้ฮ่าวหรานมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเลขาสาวตรงหน้าเขาอย่างชัดเจนผ่านประสบการณ์ชีวิตหลายหมื่นปี
“สาวน้อย นี่เธอพูดจริงหรือเปล่าที่บอกว่าติดตามเจ้านายคนเดิมไปทุกที่ที่เขาไป? เธอรู้หรือเปล่าว่าด้วยอิทธิพลของฉันในตอนนี้ หลังจากที่ หลี่อิงไห่ถูกไล่ออกจากที่นี่ ฉันสามารถทำให้เขาไม่มีทางหางานทำในเมืองฮ่วยอันได้อีกเลยตลอดชีวิต หลังจากนี้เขาอาจจะไม่มีปัญญาซื้อข้าวกินได้ครบสามมื้อด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเธอจะทำยังไง?”
ถึงแม้ว่าจะประหลาดใจและประทับใจกับความซื่อสัตย์ของสาวน้อยคนนี้ แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังอยากจะหยอกล้อเธอดูสักหน่อย
“ล…แล้ว…ยังไงล่ะ! ฉันไม่กลัวอิทธิพลของคุณหรอก!”
ดูเหมือนเลขาสาวจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงพอสมควร เธอกัดริมฝีปากก่อนที่จะขึ้นเสียงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลี่อิงไห่ทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาดึงเลขาของตัวเองออกไปด้านข้างทันที
ยิ่งเลขาของเขาพูดมากเท่าไหร่ เรื่องมันก็ยิ่งมีแต่แย่ลงเท่านั้น!
แตกต่างจากความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย เขาเข้าใจดีกับความโหดร้ายในโลกของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการธุรกิจ มันไม่มีมนุษย์ธรรมอะไรทั้งนั้น…
และยิ่งไปกว่านั้น การทำแบบนี้มันยิ่งเป็นการสร้างความขบขันให้กับทุกคนมากกว่าเดิม
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่เลขาสาวอย่างขบขันโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาพาคนของตัวเองตรงเข้าไปในอาคาร
แต่ก่อนที่พวกคณะผู้บริหารของบริษัทอิงเหมาจะทันได้เอ่ยทักทายอวี้ฮ่าวหราน
ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
“ฉันเปลี่ยนใจ ถ้าแกต้องการ แกยังสามารถเป็นผู้จัดการทั่วไปของที่นี่ได้ แต่อำนาจการตัดสินใจทุกอย่างจะต้องอยู่ที่ฉันทั้งหมด ทุกอย่างในบริษัทนี้จะต้องถูกกำหนดโดยฉันเท่านั้น”
ขณะพูด อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้หันศีรษะกลับแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ประโยคนี้ทำให้หลี่อิงไห่ซึ่งกำลังจะจากไปต้องตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดเมื่อครู่นี้เอ่ยถึงเขา
เขาหันกลับไปมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่อยากจะเชื่อ สงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันแบบนี้
หรืออาจเป็นเพราะคำพูดของเลขาของเขา?
แต่ว่าคนระดับประธานบริษัทใหญ่สนใจกับความรู้สึกของคนอื่นด้วยงั้นเหรอ?
หลี่อิงไห่รู้สึกประหลาดใจ เขาไม่สามารถเดาได้จริง ๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนการตัดสินใจอย่างรวดเร็วขนาดนี้
แต่เลขาที่ชื่อเสี่ยวอวิ๋นไม่ได้คิดอะไรมาก ใบหน้าของเธอตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้
“ป…ประธาน…ไม่สิ ผู้จัดการหลี่! คุณได้ยินไหม! คุณยังได้ทำงานต่อ! เขาเห็นใจเรา!”
เธอส่งเสียงเชียร์และกระโดดด้วยความยินดี เธอไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ
เสียงตื่นเต้นของเลขาสาวดังลั่น และแน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เสียงตื่นเต้นนี้ทำให้มุมปากของเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อย
ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าคนอย่างหลี่อิงไห่จะสามารถมีเลขาที่กล้าหาญและซื่อสัตย์แบบนี้ได้ยังไง
แน่นอนว่าการที่จะซื้อใจคนของตัวเองได้ขนาดนี้คงไม่ใช่แค่การพูดเพียงสองสามคำ หลี่อิงไห่คงทำอะไรบางอย่างที่ดีมาก ๆ ให้กับเลขาคนนี้มานานแล้วแน่นอน
บางทีคนอย่างหลี่อิงไห่คงมีด้านดีบ้างพอที่เขาจะเอามาใช้ประโยชน์ได้
อย่างน้อย ๆ ตาแก่คนนี้ก็มีความสามารถพอในการพัฒนาบริษัท
ไม่ว่ายังไงบริษัทอิงเหมาก็พัฒนาได้ดีตลอดในช่วงที่ผ่านมา
จากนั้น ทุกคนก็เข้าไปในห้องประชุมของบริษัท หลังจากการส่งมอบและขั้นตอนที่น่าเบื่อหน่าย บริษัทก็ถูกรวมเข้ากับเครือฮ่าวหราน
นับจากนี้ธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลในเมืองฮ่วยอันจะไม่มีบริษัทไหนเทียบได้กับเครือฮ่าวหรานอีกแล้ว!
…
ในขณะเดียวกัน การฆ่าฟันกันระหว่างแก๊งพยัคฆ์เวหาและแก๊งวาฬยักษ์ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
ในอาณาเขตของทั้งสองฝ่าย แม้แต่คนธรรมดาก็ยังรู้สึกว่ามีการต่อสู้กันมากขึ้นในหมู่พวกอันธพาลรอบตัวพวกเขา
อย่างไรก็ตาม พวกสมาชิกระดับหัวกะทิจะไม่ไปไล่ฆ่ากันข้างนอกในที่สาธารณะ พวกเขาจะไปห้ำหั่นกันในบ่อนหรือพวกผับบาร์ที่ลับตาคนแทน
“หลิ่วอวี้จิงกำลังทำอะไรอยู่?”
ภายในโรงพยาบาล โจวเฟยหู่เอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง
ในขณะนี้ หวังเหยียนเพิ่งตื่นขึ้นหลังจากการผ่าตัด
“หัวหน้า…ผมฉันคิดว่าเราต้องระวังแก๊งฉลามคลั่งให้ดี ตั้งแต่ต้น พวกเขายังไม่ได้ส่งคนออกมาเลย ผมคิดว่าอีกไม่นานพวกนั้นจะต้องกรูกันออกมาและโจมตีเราอย่างสายฟ้าแลบแน่ ๆ”
หวังเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำวิเคราะห์นี้ออกไป ถึงแม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บปางตาย แต่เขาก็ยังอยากที่จะช่วยเหลือโจวเฟยหู่ต่อไป
“อยู่เฉย ๆ ไปซะ หน้าที่ของนายตอนนี้คือพักอย่างเดียว! ฉันแค่พึมพำของฉันคนเดียวเท่านั้น”
เมื่อโจวเฟยหู่ได้ยินคำพูดของลูกน้องตัวเอง ก็รีบหันกลับมาดุทันที เขาไม่ต้องการให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองต้องมาร่วมแบกรับปัญหาทั้ง ๆ ที่นอนเจ็บอยู่แบบนี้
อย่างไรก็ตาม หวังเหยียนก็ยังคงดื้อดึง
“หัวหน้า! ไม่ว่ายังไงผมต้องพูด! แก๊งฉลามคลั่งไม่ใช่แก๊งที่เราจะประมาทได้ และหลิ่วอวี้จิงก็ยังไม่เผยตัวออกมาเลยจนถึงตอนนี้ บางทีพวกเขาอาจบรรลุข้อตกลงบางอย่างที่เลวร้ายกันเรียบร้อยแล้ว!”
โจวเฟยหู่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้นั้นน่าคิด ดังนั้นเขาจึงไม่หยุดให้อีกฝ่ายพูดอีกต่อไป…
“พวกเขาตกลงร่วมมือกันไปแล้วไม่ใช่เหรอไง? ก็แค่ตอนนี้ ตาแก่กงซุนซายังไม่ได้ลงมือ มันก็ไม่ควรที่จะมีอะไรมากไปกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันจะมีอะไรมากกว่านี้ได้ยังไง
หวังเหยียนวิเคราะห์ต่อทันที
“หัวหน้า คิดว่าคนอย่างหลิ่วอวี้จิงจะเป็นคนที่เต็มใจยอมทนทุกข์ทรมานอยู่ฝ่ายเดียวงั้นเหรอ? ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันแล้ว แต่แก๊งวาฬยักษ์เป็นฝ่ายเดียวที่เสียหายอย่างหนักโดยที่แก๊งฉลามคลั่งไม่ได้เสียหายอะไรเลย หัวหน้าคิดว่าตามสันดานของหลิ่วอวี้จิง มีเหรอที่คนแบบนั้นจะนั่งดูได้อยู่เฉย ๆ?”
บทที่ 314 ยินยอม
บทที่ 314 ยินยอม
“เฮ้อ…มันเป็นฉันเอง…มันเป็นเพราะฉันเองที่โลภเกินไป…”
หลี่อิงไห่ถอนหายใจยาว รอยยิ้มที่ขมขื่นชัดเจนปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ไปกันเถอะ ออกไปรอพบกับคนของเครือฮ่าวหรานกันเถอะ”
เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
ในเวลานี้ ทุกอย่างไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เขาจึงไม่มีสิ่งใดพอที่จะไปแข็งขืนได้อีก
เมื่อระลึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำมา อวี้ฮ่าวหรานจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพอจะมีหวังอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะไม่ว่ายังไง อวี้ฮ่าวหรานก็เป็นลูกเขยของหลี่ชงซาน หากอวี้ฮ่าวหรานยังมีใจพอจะไว้หน้าตระกูลหลี่อยู่บ้าง อย่างน้อยก็อาจจะยังคงได้อยู่ในบริษัทต่อไปในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปแทน
ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงค่อย ๆ เดินออกจากออฟฟิศ ซึ่งเลขาสาวก็นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตามเขามาอย่างรวดเร็วโดยถือแฟ้มไว้ในมือ
ในเวลานี้ ทุกคนในบริษัทอิงเหมาทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงการเป็นเจ้าของของบริษัทเรียบร้อย และรู้ด้วยว่าเจ้าของใหม่จะเข้ามารับช่วงต่อเร็ว ๆ นี้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนจึงหมดแรงใจที่จะทำงาน และต่างก็กำลังคิดและปรึกษาหารือกันถึงทางออกสำหรับอนาคตของตัวเอง…
“ฉันคิดว่าเจ้านายคนใหม่น่าจะต้องการให้บริษัทของเราทำเงินทันทีตามเดิม ดังนั้นเขาไม่น่าจะหาคนใหม่มาแทนที่พวกเรา เราแค่ต้องทำหน้าที่ของเราไปตามปกติ”
“ใช่ อันที่จริง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้ว ตาแก่หลี่อิงไห่นั่น ฉันไม่ชอบหน้าเขามาตั้งนานแล้วเหมือนกัน”
“ฉันได้ยินมาว่าเครือฮ่าวหราน ที่เป็นเจ้าของใหม่ของบริษัทเราเป็นกลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับพนักงานของบริษัท สวัสดิการของเครือฮ่าวหรานนับได้ว่าดีที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!”
“…”
ระหว่างทาง เสียงกระซิบกระซาบของบทสนทนาได้ยินถึงหูของหลี่อิงไห่เช่นกัน
คำพูดของบางคนที่ระบายความไม่พอใจออกมานั้นกล่าวถึงเขาอย่างรุนแรง
หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าเขาได้ยินคำพูดแบบนี้เข้าหูเมื่อไหร่ เขาคงจะเรียกคนพูดมายืนอยู่ตรงหน้าเขาทันที จากนั้นจะตบสั่งสอนสักฉาดและสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลากออกไปจากบริษัทอย่างรวดเร็ว
แต่วันนี้แตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปได้ แต่ก็คงเป็นแค่หุ่นเชิด ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใด ๆ ในบริษัทโดยเฉพาะอำนาจเกี่ยวกับการจัดการกับพวกพนักงาน
“ท…ท่านประธาน…ท่านได้ยินหรือเปล่า? พวกเขา…พวกเขากำลังกล่าวร้ายท่าน…”
เลขาสาวเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับทำท่าจะก้าวไปเผชิญหน้ากับพวกคนที่พูดนินทาหลี่อิงไห่ เธอรับไม่ได้จริง ๆ กับคำพูดหลาย ๆ คำพูดที่คนพวกนี้เอ่ยออกมา
“แล้วไงล่ะ? ฮ่า ๆ ลืมมันไปเถอะ นับจากนี้ฉันไม่มีอำนาจจะทำอะไรใครได้อีกแล้ว”
หลี่อิงไห่หัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อเขาได้ยินคำพูดนินทาเหล่านั้น จากนั้นจึงมองไปยังเลขาข้าง ๆ เขาที่กำลังแสดงสีหน้าไม่เต็มใจ
“เสี่ยวอวิ๋น ฉันจำได้ว่าเธออยู่กับฉันมาเกือบปีแล้วใช่ไหม?”
“ก็คุณหลี่เรียกให้ฉันมาทำงานให้คุณตั้งแต่หลังจากเรียนจบทันที”
เลขาสาวไม่รู้ว่าทำไมหลี่อิงไห่ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอจึงได้แต่ตอบตามความจริงเท่านั้น
“เฮ้อ…เวลาผ่านไปเร็วมากจริง ๆ เอาล่ะ เดี๋ยวตอนออกไปยืนรอ เธออย่ามายืนข้าง ๆ ฉันแบบนี้เด็ดขาด เจ้าของเครือฮ่าวหรานไม่ชอบฉัน มันจะส่งผลต่ออนาคตของเธอเอง”
หลี่อิงไห่ถอนหายใจก่อนที่จะออกคำสั่ง
“เอ๊ะ? แต่…แต่…”
เลขาสาวชื่อเสี่ยวอวิ๋นกระสับกระส่ายทันที เธอพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักอย่างลังเล
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น คิดถึงพ่อแม่ของเธอเอาไว้ ฉันจำได้ว่าอาการป่วยของแม่เธอยังไม่หายดีใช่ไหม? ถ้าฉันเดาไม่ผิด เงินก้อนนั้นที่ฉันให้ไปมันคงหมดไปแล้วตั้งแต่ก่อนเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยถูกต้องไหมล่ะ?”
หลี่อิงไห่ขัดจังหวะอีกฝ่าย
ในทางกลับกันเลขาสาวกลับดื้อรั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ม…ไม่! ท่านประธานหลี่ ฉันไม่สน! ท่านใจดีกับฉันมาโดยตลอด ฉันจะไม่มีวันทิ้งท่าน ฉันจะขอติดตามท่านไปทำงานในทุก ๆ ที่ท่านไป!”
“อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย!”
หลี่อิงไห่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินคำตอบนี้จากเลขาสาวของตัวเอง เขากลับรู้สึกอึดอัด เขาอุปถัมภ์เด็กหญิงที่ยากจนซึ่งแม่ป่วยหนัก ตอนแรกเขาทำเพียงเพื่อสนองความไร้สาระของเขา
แต่เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยืนหยัดเพื่อเขาในเวลานี้
ในทางกลับกัน พวกผู้บริหารที่มักจะมาเลียแข้งเลียขาเขาตลอดเวลาก่อนหน้านี้กลับแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ และพร้อมที่จะไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายคนใหม่เต็มแก่เมื่อเขาหมดอำนาจ
จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินออกจากอาคารสำนักงาน
ไม่กี่นาทีต่อมา ขบวนรถหรูสุดเด่นก็ขับเข้ามาจอดหน้าตึกสำนักงาน
รถนำขบวนคือรถสปอร์ตสุดหรูแลมโบกินีและตามมาด้วยเมอเซเดสต์ เบนซ์ เอสคลาสตัวท๊อปอีกเจ็ดคัน
เนื่องจากมีการแจ้งล่วงหน้ามาแล้ว คณะผู้บริหารของบริษัทอิงเหมาจึงตั้งแถวรออยู่ที่หน้าประตูเรียบร้อย
ในไม่ช้า อวี้ฮ่าวหราน ก็เป็นผู้นำในการลงจากรถ จากนั้นผู้จัดการหวัง และคนอื่น ๆ ก็ลงจากรถและปิดประตู
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาเดินมาที่ประตูหน้าของอาคารสำนักงาน พวกเขาพบว่า หลี่อิงไห่และเลขาสาวกำลังรออยู่ที่ประตูพร้อมกับคนอีกนับสิบ
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันทันที
“โอ้? ท่านประธานบริษัทอิงเหมาผู้สูงส่งมารอรับฉันถึงหน้าประตูเลยงั้นเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด
ในความทรงจำของเขา ชายแก่คนนี้คือคนที่คัดค้านการแต่งงานของเขากับหลี่เม่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อประโยชน์ของตระกูลหลี่ แถมยังใช้เหตุการณ์ที่เขาแต่งงานกับหลี่เม่ยบังคับให้หลี่ชงซานสละตำแหน่งผู้นำตระกูลมาให้กับตัวเอง
อาจกล่าวได้ว่าการกระทำของคน ๆ นี้มุ่งเน้นแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลี่และตัวเองเท่านั้น เขาไม่มีความเห็นใจในฐานะของการเป็นมนุษย์หรือเครือญาติเลย
“แน่นอนว่าเมื่อประธานอวี้กำลังมา ผมต้องออกมารอต้อนรับอยู่แล้ว”
หลี่อิงไห่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานมาด้วยตัวเอง แต่ก็รีบเก็บความประหลาดใจได้อย่างรวดเร็วและปกปิดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ในตอนนี้ ชายหนุ่มที่เขาเคยดูถูกและเชื่อว่าจะเป็นคนทำลายผลประโยชน์ของตระกูลหลี่จนป่นปี้นั้นแข็งแกร่งมากจนเขาต้องก้มศีรษะให้
ในทางกลับกัน เมื่อเผชิญกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าจะเสียดสีอะไรต่อดี เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมก้มหัวให้ง่ายขนาดนี้
“ไปซะ วันนี้ฉันมารับช่วงต่อบริษัทจากแก ฉันไล่แกออก!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสียดสีอีกฝ่ายต่อไม่ได้ ถ้างั้นเขาก็จะทำตามจุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้โดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไงทันที
“ด…เดี๋ยวสิ…”
หลี่อิงไห่แทบจะทั้งล้มทั้งยืน เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้จากปากของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดเลยว่าความหวังสุดท้ายในใจของเขาจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วและป่นปี้ขนาดนี้
นี่มันตรงไปตรงมาเกินไป!
“ต…แต่เราเป็นคนตระกูลหลี่เหมือนกัน คุณทำแบบนี้ไม่ได้…”
“ฉันทำอะไรไม่ได้?”
อวี้ฮ่าวหรานจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายทันทีและขัดจังหวะ
ถ้าตาแก่นี่ไม่เริ่มโจมตีเครือฮ่าวหรานของเขาก่อน เพื่อเห็นแก่ตระกูลหลี่ เขาคงไม่ทำอะไรกับบริษัทอิงเหมา
แต่เนื่องจากมันลงมือกับฉันอย่างหน้าด้าน ๆ ขนาดนี้ ถ้างั้นมันก็ต้องรับกับผลที่ตามมา!
“ฉันขอปลดแกออกจากทุกตำแหน่งในบริษัทตอนนี้เดี๋ยวนี้! แกต้องขนข้าวของส่วนตัวออกไปจากบริษัทของฉันภายใน 10 นาที!”
อวี้ฮ่าวหรานประกาศอย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่อิงไห่มองไปที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลานาน เขารู้สึกสิ้นหวังในใจ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สูดหายใจเข้าลึกอย่างจนใจ
“ตกลง ฉันยอมรับการตัดสินใจของประธานอวี้”
ถ้าต่อต้านไม่ได้ก็ต้องยอม ในเวลานี้เขาไม่มีอำนาจอีกแล้ว
ในเวลานี้ พวกผู้บริหารที่อยู่รอบ ๆ เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบนินทา
“หึหึ ดูหลี่อิงไห่สิ ก่อนหน้านี้ทำตัวราวกับเป็นพระเจ้า แต่ตอนนี้กลับหงอไม่ต่างอะไรกับสุนัขเลย!”
“ก่อนหน้านี้ฉันเตือนเขาไปแล้วว่าไม่ควรทำและฉันก็ไม่อยากจะทำ แต่เขากลับด่าว่าฉันไร้ประโยชน์และยังคงเริ่มแผนเล่นงานเครือฮ่าวหรานต่อไป แล้วดูตอนนี้สิ เห็นไหมล่ะ? ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย!”
“สมควรแล้ว! หลานชายของฉันถูกไล่ออกจากบริษัทเพราะเหตุผลส่วนตัวของหลี่อิงไห่ล้วน ๆ เขาไม่ไว้หน้าฉันเลยสักนิด ตอนนี้ถึงตาของเขาบ้างแล้ว!”
“…”
เสียงนินทาของผู้บริหารหลายคนไม่ได้เบาเลย ซึ่งมันทำให้สีหน้าของหลี่อิงไห่แย่มากกว่าเดิม
บทที่ 313 เตรียมยึดบริษัทอิงเหมา
บทที่ 313 เตรียมยึดบริษัทอิงเหมา
ตอนสิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปถึงบริษัท ผู้จัดการหวังก็เข้ามาหาเขาในออฟฟิศทันที
“หลังจากที่กลับมา คุณโอเคหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง
ผู้จัดการหวังพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขารู้ได้ว่าประธานของเขากำลังถามถึงเรื่องที่หลังจากเขาถูกลักพาตัวไปครั้งล่าสุด
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี แม้ว่าภรรยาของผมจะยังคงมีอาการตื่นกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป แต่เธอก็ยังคงชมว่าท่านประธานเป็นเจ้านายที่ดี เธอสนับสนุนให้ผมมาทำงานกับท่านประธานมากกว่าเดิมซะอีก”
“อืม ผมจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เดี๋ยวผมจะให้ใครสักคนมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับพวกแก๊งพวกนั้นอีกที”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย และเปิดเผยข้อมูลบางอย่างเพื่อทำให้อีกฝ่ายอุ่นใจขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้จัดการหวังได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกใจเล็กน้อยและพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่เคยคิดเลยว่าประธานอายุน้อยของเขา ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ทางด้านการทำธุรกิจและเป็นเลิศในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่กลับมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับพวกกลุ่มแก๊งใต้ดินของเมืองอีกต่างหาก!
นี่ประธานของเขาน่ากลัวเกินไปหน่อยไหม?!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือประธานที่มีอำนาจเช่นนี้ แต่บุคลิกกลับเป็นคนจิตใจดีและเข้าถึงได้ง่าย…
เรื่องนี้ต้องชื่นชม…
“ท่านประธาน ผมจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อเครือฮ่าวหราน ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน!”
ผู้จัดการหวังให้คำมั่นสัญญา
ไม่เพียงแต่ปากที่เอ่ยคำสัญญา ในใจของเขาก็สัญญากับตัวเองเอาไว้เช่นกันว่า ตัวเองจะไม่มีวันหักหลังเครือฮ่าวหราน ไม่ว่าอนาคตจะมีผลประโยชน์มหาศาลเพียงใดมาล่อเขา…
การที่เขาได้มีเจ้านายที่เลิศเลอขนาดนี้นับได้ว่าเป็นโชคที่หาได้ยากในชีวิตของเขา
“ผมรู้ว่าคุณจะทำงานเต็มที่ให้กับผมแน่นอน ผมรู้เรื่องนี้ดี ส่วนตัวของผมเองก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังเช่นกัน”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มและพยักหน้า บุคคลคนนี้สมแล้วที่ชายหนุ่มไว้ใจให้จัดการงานส่วนใหญ่ของบริษัทแทนเขาจริง ๆ
ไม่เช่นนั้น หากเขาดูแลกิจการทั้งหมดนี้อยู่คนเดียว ไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนบ่มเพาะ แม้แต่เวลานอนให้เพียงพอก็คงทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
และที่สำคัญที่สุด ถ้าเขามัวยุ่งอยู่แต่กับการดูแลบริษัท ความตั้งใจเดิมของเขาที่จะไปช่วยหลี่เม่ยคงไม่มีทางสำเร็จแน่นอน…
“ขอบคุณครับท่านประธานอวี้ แต่ว่าวันนี้ผมมีเรื่องจะแนะนำท่าน ท่านประธาน ผมคิดว่าวันนี้เราควรมาคุยเรื่องเซ็นสัญญาควบรวมกิจการของบริษัทอิงเหมา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราได้แล้ว ตอนนี้เรากว้านซื้อหุ้นของพวกเขามากจนเกินพอแล้วครับท่าน”
“อืม ว่ามาเลย”
“หลังจากที่เราร่วมมือกับบริษัทชิวเฮิงโจมตีบริษัทอิงเหมาเพื่อยึดกิจการมา สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นมาก เราแทบจะไม่พบกับการต่อต้านที่แข็งแกร่งจนถึงขณะนี้ จึงเรียกได้ว่าทั้งบริษัทอิงเหมาตกเป็นของเราและบริษัทชิวเฮิงแล้ว แต่ด้วยเหตุผลใดผมก็ไม่ทราบเช่นกัน ในวันนี้บริษัทชิวเฮิงกลับโอนหุ้นทั้งหมดของบริษัทอิงเหมาที่พวกเขาถืออยู่มาให้เราทั้งหมด”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้จัดการหวังก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย
หุ้นที่ได้มานั้นคือเงินจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้นการโอนหุ้นมาเปล่า ๆ แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการโอนเงินมาให้ฟรี ๆ
นี่ไม่ใช่ทัศนคติของบริษัทที่หวังผลกำไรทั่วไปเขาจะทำกันอย่างแน่นอน
“ถ้างั้นแล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาพอจะเข้าใจการกระทำของเฉิงกัวอันอยู่บ้าง
“ตอนนี้ หลังจากได้รับหุ้นบริษัทอิงเหมามาจากบริษัทชิวเฮิงแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าเราได้ควบคุมบริษัทอิงเหมาอย่างสมบูรณ์ คุณมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับบริษัทอิงเหมาทุกอย่างโดยสมบูรณ์ คุณสามารถที่จะยุบหรือจัดระเบียบใหม่ หรือเอาเข้ามาควบรวมเข้ากับเครือฮ่าวหรานได้ตลอดเวลา”
“ถ้างั้นนี่มันก็หมายความว่า ฉันสามารถไล่หลี่อิงไห่ออกจากบริษัทของเขาเองได้ตลอดเวลาใช่ไหม?”
“ถูกต้องครับท่านประธาน! แต่ถ้าจะพูดให้ถูก ท่านควรจะกล่าวว่าไล่ออกจากบริษัทของท่านมากกว่า เพราะตอนนี้บริษัทอิงเหมาเป็นทรัพย์สินของท่านแล้ว” ผู้จัดการหวังพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามของอวี้ฮ่าวหราน
“หึหึ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย เอาล่ะ คุณไปเตรียมตัวให้พร้อม ผมอยากให้คุณพาผมไปดูบริษัทอิงเหมาในวันนี้!”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เขาตัดสินใจว่าเขาจะเข้าครอบครองบริษัทอิงเหมาในวันนี้เลย
เรื่องนี้มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะใจเล็กน้อย
เมื่อหลายสิบวันก่อน หลี่อิงไห่เคยต้องการที่จะขอรวมบริษัทอิงเหมาเข้ากับเครือฮ่าวหราน ด้วยเงื่อนไขหลังจากรวมแล้วขอแบ่งหุ้นเครือฮ่าวหรานไปครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สุดแสนจะต่ำช้า ซึ่งชายหนุ่มก็ปฏิเสธไปในทันทีในเวลานั้น
ทว่าวันนี้…บริษัทอิงเหมาได้ถูกรวมเข้ากับเครือฮ่าวหรานจริง ๆ
เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ หลี่อิงไห่ไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ เลยสักหยวน!
น่าตลกจริง ๆ!
นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทต่างก็เป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรซึ่งสามารถสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้อย่างเหมาะเจาะ
หลังจากความสำเร็จของการควบรวมกันนี้ จุดแข็งของเครือฮ่าวหราน จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกว่าบางทีเขาควรจะขอบคุณเฉิงกัวอันให้เหมาะสม เพราะถ้าหากปราศจากความช่วยเหลือจากบริษัทชิวเฮิง ความสำเร็จนี้มันคงได้มาไม่ง่ายนัก
แต่ในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องเข้าควบคุมบริษัทอิงเหมาก่อน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้จัดการหวังกลับมาที่ออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหรานอีกครั้ง และส่งสัญญาณว่าผู้ติดตามทุกคนพร้อมแล้ว
กลุ่มคนมากกว่าหนึ่งโหล แบ่งกันนั่งรถหรูสำหรับผู้บริหารแปดคัน ออกจากเครือฮ่าวหรานเป็นขบวน
คณะที่เดินทางไปในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริหารที่มากประสบการณ์ของเครือฮ่าวหราน และในคณะยังมีทนายความมืออาชีพอีกสองคน
ที่หัวขบวนรถคือรถสปอร์ตสุดหรูสีเหลืองสดใสที่โดดเด่นของอวี้ฮ่าวหราน
หลังจากนั้น Mercedes Benzes S class สีดำสุดหรูเจ็ดคันก็ขับตามกันมุ่งหน้าไปที่บริษัทอิงเหมา
…
ในบริษัทอิงเหมา หลี่อิงไห่กำลังนั่งมองเพดานบนเก้าอี้ผู้บริหารของตัวเอง
คราวนี้เขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์!
ภายใต้การถูกรุมโจมตีของบริษัทใหญ่ยักษ์ถึงสองบริษัท เขาไม่มีทางต่อต้านอะไรได้เลย!
เขาไม่ได้นอนหลับมาสองวันสองคืน สีหน้าของเขาจึงดูซีดเซียวอย่างยิ่งในเวลานี้
“ท…ท่านประธานหลี่…เราเพิ่งได้รับโทรศัพท์ว่า คนจากเครือฮ่าวหรานกำลังจะมาที่บริษัทของเรา!”
ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เลขาสาวดูมีท่าทีกังวลเป็นอย่างมาก
เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาหนึ่งปีกว่า และเธอมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลี่อิงไห่ ในเวลานี้เมื่อบริษัทได้ถูกเปลี่ยนมือ มันจึงทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจ
“ท่านประธาน…เราจะทำยังไงกันดี?”
“เหอะ ๆ…จะทำอะไรได้อีก? มันจบแล้ว…ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…”
หลี่อิงไห่หัวเราะอย่างขมขื่น