บทที่ 318 ล้ำเส้น
บทที่ 318 ล้ำเส้น
อู๋ลั่นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาจึงตั้งใจจะหนี
อย่างไรก็ตามด้วยความแค้นจากการล้มเหลว ก่อนจะจากไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนข่มขู่ขึ้น
“ไอ้หนุ่ม แกอย่าได้ใจไปนัก ถึงแม้ว่าคราวนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้ แต่คราวหน้าฉันมั่นใจว่าฉันฆ่าแกกับลูกของแกได้แน่!”
หลังจากพูดจบเขาพุ่งตัวจากไปโดยไม่เหลียวหลังมอง
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้!
เขาไล่ตามอีกฝ่ายทันราวกับเล่นกล!
‘ผัวะ!!’
หมัดลุ่น ๆ กระแทกเข้าที่ใบหน้าของอู๋ลั่นอย่างจัง!
หมัดนี้แฝงด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นอู๋ลั่นจึงกระเด็นไปไกลห้าเมตรทันที!
อู๋ลั่นกระแทกไปที่พื้นอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“แกกล้าดียังไงมาต่อยหน้าฉันแบบนี้!!!”
เขาจับแก้มซ้ายของตัวเองซึ่งเป็นด้านที่โดนต่อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำร้ายเขาขนาดนี้
อวี้ฮ่าวหรานจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา
“มดแมลงอย่างแกกล้าขู่ลูกของฉันผู้นี้งั้นเหรอ รนหาที่ตาย!”
การที่อีกฝ่ายขู่ฆ่าลูกสาวของเขาเช่นนี้มันคือการล้ำเส้นของเขาอย่างรุนแรง คน ๆ นี้ต้องตาย!
แน่นอนว่าประโยคนี้ของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้อู๋ลั่นใจสั่น เขาไม่รีรออะไรอีกแล้ว และรีบใช้วิธีการลับบางอย่างทันที ซึ่งส่งผลให้ทั้งตัวของเขากลายเป็นกลุ่มควันก่อนจะหายตัวไปจากที่เดิม
เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรแล้ว!
อวี้ฮ่าวหรานหันขวับมองตามทันทีด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่นึกเลยว่าโลกมนุษย์จะมีวิธีเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันเช่นนี้ แน่นอนว่าชายหนุ่มเห็นทุกขั้นตอนว่าอู๋ลั่นหนีไปยังไง สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนจากสายตาของเขาได้
“ฮ่า ๆ! เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ง่าย ๆ หรอกโว้ย! รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับมาอีกแน่และวันไหนที่ข้ากลับมา มันจะหมายถึงวันตายของเจ้ากับลูก…”
เมื่อเข้าใจว่าตัวเองหนีรอดแน่ ๆ แล้ว อู๋ลั่นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และหันหลังหนีไปในทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อู๋ลั่นกำลังได้ใจคิดว่าตัวเองหนีรอดแล้วและพุ่งหนีต่อไปได้ราวห้าสิบเมตร จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาขึ้นข้าง ๆ หู
“แกคิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?”
‘ปัง!!’
ยังไม่ทันที่จะได้ขนลุก อู๋ลั่นก็เจ็บแปลบที่ชายโครงอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็ลอยละลิ่วไปตกที่ในป่าทึบข้างทางห่างออกไปห้าสิบเมตรด้วยพลังเตะของอวี้ฮ่าวหราน!
โครม! อั่ก!!
หลังจากหล่นลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง พลังวิญญาณในร่างของอู๋ลั่นก็ปั่นป่วนจนไม่อาจโคจรเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ เขาจึงพยายามที่จะยันกายลุกขึ้นเพื่อหนีต่อ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจนทำได้แค่พยายามคลานอย่างน่าสังเวช
“ป…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”
อู๋ลั่นไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะตามเขาทันได้ในพริบตาแบบนั้น ความเร็วที่อีกฝ่ายมีมันแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงระดับ…
“เป็นไปได้ยังไง?? คนอายุอย่างมันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดได้ยังไง!?”
“มดแมลงอย่างแกจะมาเข้าใจเทพอย่างฉันผู้นี้ได้ยังไง?”
โดยไม่ทันรู้ตัว อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ปรากฏขึ้นยืนค้ำหัวของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
เขามองลงไปที่อู๋ลั่นด้วยแววตาเย็นชาและดูถูก…
“บทลงโทษสถานเดียวกับคนที่กล้าบังอาจหมายชีวิตลูกสาวของฉันคือตาย!”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองรอบ ๆ ก่อนชั่วอึดใจ และเมื่อมั่นใจว่าตรงจุดนี้รกทึบมากจนถวนถวนมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดแน่ เขาจึงโคจรพลังวิญญาณจนถึงขีดสุดและกระทืบเท้าลงไปที่หัวของอู๋ลั่นอย่างเต็มแรงโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูดอะไร!
บรึ้ม!!
ด้วยการกระทืบอย่างรุนแรง พื้นดินบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ สภาพแวดล้อมโดยรอบที่มีแต่ต้นไม้รกทึบก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“ถุย!”
ด้วยความโมโห อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ศพของอู๋ลั่น
อันที่จริงหากอีกฝ่ายไม่ขู่ลามไปถึงลูกของเขา ชายหนุ่มก็คงจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไป เพราะตัวของเขาเองก็ยังไม่อยากฆ่าคนที่แข็งแกร่งแบบนี้หากไม่จำเป็น
เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้น่าจะมาจากสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ ซึ่งคนผู้นี้คงไม่ใช่คนที่เก่งสุดในสำนัก การที่เขาฆ่าคนเช่นนี้ไปก็หมายถึงว่าในอนาคตเขาคงจะถูกล้างแค้นโดยผู้บ่มเพาะที่อาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ได้ก้าวล้ำเส้นของเขาไปมาก ดังนั้นจึงต้องฆ่าทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก!
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เตะโด่งศพของอู๋ลั่นให้กระเด็นเข้าในป่าลึกกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะใช้พลังวิญญาณทำความสะอาดเลือดของอีกฝ่ายออกจากเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปที่รถ
…
“พ่อจ๋า คนเลวหายไปไหนแล้ว เมื่อกี้พ่อเข้าไปทำอะไรในป่ากับคนเลว?”
หลังจากขึ้นรถ ถวนถวนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยอย่างไร้เดียงสา
“ไม่มีอะไรแล้ว พ่อจัดการกับคนเลวไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่มากวนเราอีก”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางลูบหัวลูกสาวของเขาด้วยความเอ็นดู
“ฮ่าฮ่า พ่อจ๋าสุดยอดที่สุด! พ่อจ๋าไล่คนเลวไปอีกแล้ว ถวนถวนก็ไม่ต้องกลัวคนเลวคนไหนทั้งนั้น!”
เด็กน้อยเมื่อได้ยินคำปลอบของพ่อตัวเอง เธอก็อารมณ์ดีมากกว่าเดิม ด้วยความเป็นเด็กและไร้เดียงสา เธอจึงไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พ่อของเธอเพิ่งลงมือสังหารโหดโดยการเหยียบหัวของศัตรูจนเละไปหมาด ๆ
หลังจากนั้นคู่พ่อลูกก็พากันไปที่เครือฮ่าวหราน และเมื่อเวลาล่วงเลยถึงห้าโมงเย็น อวี้ฮ่าวหรานก็รีบพาถวนถวนที่ยังติดใจอยากจะอยู่เล่นต่อกลับคอนโด
หลังจากกลับไปถึงห้อง หลี่หรงก็บ่นขึ้นทันที
“พี่เขย ทำไมวันนี้พี่กลับซะเย็นแบบนี้! นี่ฉันอุ่นข้าวไปตั้งหลายรอบเพื่อรอพี่กลับมา! เร็ว ๆ เลย รีบพาถวนถวนไปล้างมือล้างเท้าแล้วมากินข้าวกันเดี๋ยวนี้เลย!”
“แหะ ๆ แม่หรงจ๋า วันนี้พ่อจ๋าอัดคนเลวด้วยแหละ!”
ในระหว่างที่กำลังถูกอวี้ฮ่าวหรานพาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือ เด็กน้อยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าสนุกสนาน
“อัดคนเลว? พี่เขย พี่มีเรื่องอีกแล้วงั้นเหรอวันนี้?”
หลี่หรงเบนสายไปถามอวี้ฮ่าวหรานทันที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยใจกับพี่เขยของตัวเองที่มีเรื่องค่อนข้างบ่อย
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
“ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมออกไปแต่โดยดี ดังนั้นพวกเราจึงต้องใช้กำลังเพื่อบังคับให้เขาออกไป”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของเขาเอง หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงไม่กล้าที่จะพูดจาแต่งเติมเรื่องแม้แต่น้อย เขาพูดเฉพาะในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นและได้ยินมา
ในเวลานี้เฉียนเซา เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงแรมออกมาแล้ว เขาก็มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมในทันที
“ใช่ ๆ! ไอ้ยาจกตัวนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ ๆ มันก็ทำร้ายเพื่อนของผมโดยที่พวกผมยังไม่ได้ทันทำอะไรมันก่อนเลย และโดยเฉพาะคำพูดคำจาของมันเย่อหยิ่งมากราวกับไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ท่านประธานควรจะไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้และประกาศห้ามให้เขามาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต!”
สีหน้าของเขาตื่นเต้นมากในขณะที่เขาพูด
คิดจะสู้กับเขางั้นเหรอ?
ในแวดวงชนชั้นสูงมีแต่คนรู้จักเขาเยอะแยะไปหมด คนจน ๆ คนหนึ่งจะมาสู้กับเขาได้ยังไง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลินป๋อเพิกเฉยต่อคำพูดของคนอื่น ๆ และหันไปหาเจ้าของโรงแรม
“ประธานเจ่า ชายหนุ่มคนนี้ไงที่วันนี้ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง เขามีความสามารถอย่างมาก แถมยังสามารถบริหารจัดการบริษัทใหญ่ยักษ์ด้วยตัวของเขาเองแค่คนเดียว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม โดยไม่ได้ใส่ใจกับพวกบอดี้การ์ดของเขาหรือเฉียนเซาเลยแม้แต่น้อย
“อืม ช่างคนเป็นคนหนุ่มอายุน้อยที่น่าประทับใจจริง ๆ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาบ้างก่อนหน้านี้ แต่ไม่นึกเลยว่าตัวจริงจะดูดุดันมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก คนแก่อย่างฉันเทียบไม่ได้เลยจริง ๆ ฮ่า ๆ”
หลังจากพูดจบ ชายชราโบกมือให้บอดี้การ์ดของเขา
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่ารบกวนแขกผู้มีเกียรติของฉัน”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดอึ้งไปในทันที ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“ท…ท่านประธาน แต่ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เริ่มสร้างปัญหาก่อน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านสั่งกับพวกเราหรอกเหรอว่าเราต้องจัดการพวกที่สร้างปัญหาให้กับเราอย่างเด็ดขาด?”
“นายแน่ใจเหรอว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนสร้างปัญหาก่อน? นายเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า? สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้ดูสุภาพที่สุดแล้ว!”
ชายชราผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ประธานเจ่า’ เมื่อได้ยินคำถามของลูกน้องตัวเอง เขาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรอบตัวเขาตกตะลึง
ที่พวกเขาตกตะลึงกันมากเป็นเพราะหนุ่มน้อยที่ประธานเจ่าบอกว่าเป็นคนสุภาพกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ในตอนนี้!
คนสุภาพแบบไหนที่เหยียบหน้าคนอื่นแบบนี้กัน???
ในเวลานี้ หลินป๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอารมณ์ดี
“ฮ่า ๆ น้องอวี้ นายรีบยกเท้าออกก่อนเถอะ นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อครู่นี้ นายก้าวพลาดจนตอนนี้กำลังเหยียบอยู่บนหน้าคนอื่นอยู่?”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูด เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
“โอ้ จริงด้วย โทษทีเมื่อกี้ไม่ทันมอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้คนที่เขากำลังเหยียบหน้าอยู่แล้วค่อยถอนเท้ากลับ
ทุกคนตกตะลึงมากกว่าเดิมกับบทสนทนานี้!
ก้าวพลาดจนเหยียบหน้าคนอื่น? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน!?
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเมื่อกี้ไอ้หนุ่มนี่มันถีบคนอื่นก่อน แล้วจากนั้นก็เหยียบหน้าอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ!
ข้ออ้างแบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่สนใจการแสดงออกของทุกคนรอบ ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงแสดงทัศนคติที่เป็นมิตรต่ออวี้ฮ่าวหรานต่อไป
“ฮ่า ๆ นายเห็นแล้วหรือยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้องชายของฉันคนนี้หรอกที่สร้างปัญหา แต่เนื่องผู้คนที่นี่แออัดมาก ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการพลาดเหยียบกันขึ้น!”
เขายืนยันและจ้องไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยแววตาบอกเป็นนัยให้คล้อยตาม
หัวหน้าบอดี้การ์ดเห็นสิ่งนี้และเข้าใจในทันที
“อ…เอ่อ…ครับท่านประธาน! เมื่อครู่มันอาจจะเป็นผมเองที่ได้ยินผิดไป น้องชายคนนี้น่าจะไม่ได้สร้างปัญหาจริง ๆ มันน่าจะมีแค่ไอ้สองคนนี้ที่พยายามจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตเพื่อก่อกวนโรงแรมของเรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะโยนตัวปัญหาสองคนนี้ออกไปจากโรมแรมของเราทันทีครับท่าน!”
เขาเปลี่ยนทัศนคติทันที
ขณะพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ อย่างตกตะลึง
เขาพยายามเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?
ต้องรู้ว่าประธานของเขาเป็นคนที่เข้มงวดกับกฏระเบียบมากเสมอ ไม่มีสักครั้งเลยที่ประธานของเขาจะพูดละเว้นใครแบบนี้!
ทางด้านของฝูงชนเมื่อได้ยินคำพูดของประธานเจ่า พวกเขาก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม!
แออัดจนพลาดเหยียบหน้ากันเนี่ยนะ!? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน??
อ้างแบบนี้ก็ได้เหรอ?!
คนปัญญาอ่อนยังรับรู้ได้ว่านี่มันคือการแก้ตัวให้กันอย่างน่าไม่อายชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคำพูดนี้มันถูกเอ่ยออกมาจากปากของเจ้าของโรงแรม พวกเขาจะสามารถโต้แย้งอะไรได้?
หลังจากเห็นสถานการณ์ที่าพลิกผันขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบพลางมองคู่หนุ่มสาวอย่างสงสัย
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมประธานเจ่าถึงพูดช่วยเขาขนาดนี้?”
“นี่มันเป็นการช่วยแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยสักนิด!”
“พระเจ้า ชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ พวกเรารีบไปยืนกันตรงอื่นดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหางเลขเอาได้ เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดช่วยเฉียนเซาไปด้วย!”
“…”
มีการพูดคุยกันมากมายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่หนุ่มสาวซึ่งก็คืออวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋ออีกแล้ว
ล้อเล่นเถอะ ขนาดเจ้าของโรงแรมยังออกโรงพูดช่วยขนาดนี้ ต้องโง่ขนาดไหนถึงยังจะกล้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคู่หนุ่มสาวคู่นี้อีก?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นความบิดเบี้ยวนี้ เฉียนเซาก็โมโหจนแทบหัวระเบิด
“ไม่…นี่มันไม่ถูกต้อง! เมื่อกี้ไอ้เวรนี่มันตีเพื่อนของผมก่อนชัด ๆ! ทำไมคุณกลับพูดจาเข้าข้างมันแบบนี้ ผมไม่ยอม!”
เฉียนเซายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และความโมโหทำให้กระบวนการคิดของตัวเองสับสนไปหมดจนกล้าพูดเถียงคนที่เป็นถึงเจ้าของโรงแรมที่เขากำลังยืนอยู่!
แน่นอนว่าชายสองคนที่นอนอยู่ที่พื้นนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งกว่า
“พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาก่อนสักหน่อย! พวกเราถูกทำร้ายก่อนชัด ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เห็นเต็มสองตา!”
นี่มันบ้าอะไรกัน!
นี่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ากลับขาวเป็นดำใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สายตาของชายชรา หัวหน้าบอดี้การ์ดและลูกน้องกระโจนเข้าหาทั้งสองคนทันที!
“พวกคุณทั้งสองคนยังกล้าสร้างปัญหาในโรงแรมของเราอีกงั้นเหรอ! ได้! ในเมื่อเตือนกันแล้วไม่ฟังแบบนี้ถ้างั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ!”
หลังจากพูดจบ บอดี้การ์ดสี่คนก็รวมตัวกันและลากทั้งสองคนออกไป
“ไม่…ไม่…เราบริสุทธิ์!”
ระหว่างโดนลากชายทั้งสองคนยังคงตะโกนเรียกร้องความบริสุทธิ์ของตัวเองเสียงดังลั่น
นี่พวกเขาพลาดไปยั่วยุตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่? นอกจากพวกเขาจะโดนอัดแบบฟรี ๆ แล้วตอนนี้ยังต้องโดนลากออกจากงานประมูลด้วยเนี่ยนะ?
ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่ได้มองทั้งสองคนที่ถูกลากออกไปเลย แต่เขากลับมองไปที่เฉียนเซาด้วยแววตาจริงจัง
“คุณยังอยากจะพูดอะไรต่อไหมกับการตัดสินใจของฉัน? หรือว่าคุณไม่พอใจอะไรตรงไหนหรือเปล่า?”
คำถามที่เย็นชานี้ทำให้หัวใจของเฉียนเซาเต้นผิดจังหวะ
ฉันจะบอกไปว่าไม่พอใจได้ยังไง?!
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย ทรัพย์สินของชายชราผู้นี้รวยกว่าครอบครัวของเขามาก แม้ว่าพ่อของเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่สามารถเถียงชายชราคนนี้ได้!
หากตัวเองทำให้ชายชราคนนี้โกรธเคือง เมื่อเขากลับไปก็คงจะโดนพ่อถลกหนังเป็นแน่
“ผ…ผมพอใจแล้ว”
เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“ฮ่า ๆ เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่า น้องอวี้ของฉันไม่เคยคิดที่จะสร้างปัญหาให้กับใคร นี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
หลินป๋อหัวเราะเมื่อเรื่องนี้ได้รับการจัดการตามที่เขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะนี้ทำให้เฉียนเซารู้สึกเศร้าใจ
นี่มันเป็นการกลับขาวให้เป็นดำไม่ใช่หรือไง?
เห็นกันชัด ๆ ว่าเพื่อนของเขาถูกทำร้ายก่อน แต่ในท้ายที่สุดเพื่อนของเขากลับถูกลากออกไปซะงั้น
แถมอีกฝ่ายยังบังคับให้เขายอมรับว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดอีกต่างหาก…
บัดซบเอ๊ย!
ในขณะนี้ แม้แต่ซูหว่านเอ๋อที่ตอนแรกตื่นตระหนกก็ยังตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นฉากบังคับให้เข้าใจผิดแบบนี้มาก่อน
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในเวลานี้ ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ นี่แหละคือประโยชน์ของการมีอิทธิพล!”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างสบาย ๆ
ตราบใดที่มีอำนาจมีพลัง เขาก็สามารถบังคับให้ใครก็ได้พูดว่าสีดำเป็นสีขาว และคนพวกนั้นก็จำเป็นต้องเชื่อว่ามันสีขาวอย่างไม่อาจเถียงได้
หลังจากที่เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว หลินป๋อก็เข้ามาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้างน้องอวี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูนายสบายดีนะใช่ไหม?”
ในขณะนี้ สีหน้าของหลินป๋อดูปกติอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการบังคับและอ้างเหตุผลว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ