บทที่ 323 รวมแก๊ง
บทที่ 323 รวมแก๊ง
“มาเริ่มการประชุมกันเถอะ!”
หลัวจากเดินเข้ามาในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ประกาศขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เมื่อบรรดาหัวหน้าสาขามองเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหัวหน้าตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในทันที
“หัวหน้า…เกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมหัวหน้าถึงเจ็บแบบนี้?”
“ตราบใดที่หัวหน้าบอกมาว่าใครเป็นคนทำให้หัวหน้าอยู่ในสภาพแบบนี้ พวกเราจะรีบไปเด็ดหัวคนผู้นั้นในทันที!”
“…”
เมื่อทุกคนเห็นสภาพเช่นนี้ของหลิ่วอวี้จิง ทุกคนก็ลืมเรื่องที่เพิ่งบ่นไป และรีบเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
หลิ่วอวี้จิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แววตาของเขาดูหวั่นไหว
“ทุกคน…ฉันซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่พวกนายเป็นห่วงฉันแบบนี้ แต่ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ฉันได้รับบาดเจ็บโดยอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งตอนนี้มันร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างเต็มตัวแล้ว พวกนายไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้หรอก”
เขาแสร้งทำเป็นสิ้นหวัง
ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนี้ ห้องประชุมทั้งห้องก็เงียบลง พวกเขาต่างรู้สึกหนักใจกับการล้างแค้น
ในขณะนี้ แก๊งฉลามคลั่งไม่ยอมส่งคนมาช่วยเหลือพวกเขา ภายใต้การรุกหนักของแก๊งพยัคฆ์เวหา แก๊งวาฬยักษ์จึงแทบจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ นับประสาอะไรกับการแก้แค้น?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หัวหน้าสาขาคนหนึ่งก็อดไม่ได้!
“แต่! เราจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้! แก๊งวาฬยักษ์ของเราประสบความสูญเสียอย่างหนักไปแล้ว! อย่างน้อย ๆ เราต้องแก้แค้นให้ได้!”
น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและหงุดหงิดอย่างยิ่ง
คนอื่น ๆ ต่างก็ครุ่นคิดถึงปัญหาซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็จำได้ถึงคำถามที่คาใจพวกเขาอยู่ทุกวันนี้
“หัวหน้า! ผมอยากจะถามว่า ทำไมแก๊งฉลามคลั่งที่บอกว่าเป็นพันธมิตรกับเราถึงไม่ส่งคนมาช่วยพวกเราเลย?”
“ไอ้เฒ่ากงซุนซากำลังทำอะไรอยู่? มันบอกว่าเป็นพันธมิตรกับเรา แต่ทำไมการกระทำของมันเหมือนกับพยายามจะทำให้เราอ่อนแอลงเพื่อที่มันจะได้กลืนกินพวกเราซะเองแบบนี้?”
ทุกคนวิจารณ์กันอย่างดุเดือด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลิ่วอวี้จิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับ ๆ เขากำลังจะทำลายกองกำลังของเขาด้วยมือของเขาเอง
“พวกนายเดาผิดแล้ว เมื่อครู่นี้ฉันเพิ่งรู้ข่าวของกงซุนซา เขาเพิ่งไปหาอวี้ฮ่าวหรานคนเดียว แต่กลับได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นกัน ตอนนี้เขาจึงไม่ไว้ใจพันธมิตรที่เปราะบางอย่างเรา และไม่เต็มใจที่จะขัดแย้งกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอีกต่อไป”
บรรดาหัวหน้าสาขาทั้งหลายต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หากเป็นกรณีนี้ แสดงว่าแก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแก๊งฉลามคลั่งแน่นอน!
หากเผชิญหน้ากับแก๊งพยัคฆ์เวหาเพียงลำพังพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานแน่ พวกเขาเสร็จแน่!
แม้ว่าโจวเฟยหู่จะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ในแก๊งพยัคฆ์เวหามีพวกที่มีฝีมือเข้าขั้นปรมาจารย์มากมาย ซึ่งมันทำให้เวลาเปิดศึกใหญ่ใส่กัน แก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจึงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
“แล้ว…หัวหน้า เราควรทำยังไงดี?
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากแก๊งฉลามคลั่ง พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก๊งพยัคฆ์เวหาเลย!”
“ใช่หัวหน้า! เราต้องคิดหาวิธี ไม่งั้นพวกเราจบเห่แน่!”
“…”
ผู้คนในห้องต่างตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาอย่างรวดเร็ว
ถ้าแก๊งฉลามคลั่งไม่ช่วย แก๊งวาฬยักษ์ก็จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง!
อันที่จริง แก๊งวาฬยักษ์ไม่ควรจะเสียเปรียบถึงขนาดนี้ แต่พวกเขาตัดสินใจพลาดในตอนแรกที่เพิกเฉยต่อพวกแก๊งเล็ก ๆ ทั้งหลาย จนในเวลานี้ พวกแก๊งเล็ก ๆ เหล่านั้นร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้สถานการณ์ของแก๊งวาฬยักษ์ย่ำแย่ลงไปอีก
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหวั่นวิตก หลิ่วอวี้จิงก็เอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ฉัน หลิ่วอวี้จิงไม่ได้วางแผนรับมือให้ดี ฉันขอโทษทุกคนจากใจจริง!”
เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยซึ่งมันยิ่งกินใจผู้คนในห้องประชุม
“แก๊งพยัคฆ์เวหาได้สังหารพี่น้องของเราไปมากมาย และอวี้ฮ่าวหรานก็จัดการพี่น้องของเราไปเป็นร้อยคนแล้ว เดิมทีฉันคิดว่าแก๊งฉลามคลั่งจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเราเมื่อเห็นว่าเราลำบาก แต่ฉันไม่คิดเลย…ฉันไม่คิดเลยว่า…สิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นแบบนี้”
ในประโยคเดียวนี้เขาโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังอวี้ฮ่าวหรานและแก๊งพยัคฆ์เวหาเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยิ่งทำให้นับจากนี้เขาจะหว่านล้อมคนของเขาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย
“หัวหน้า! อย่าโทษตัวเองแบบนี้! ที่หัวหน้าทำลงไปทั้งหมดก็เพราะคิดถึงอนาคตของแก๊งเรา และอีกฝ่ายก็หยิ่งผยองขนาดนั้น แม้ว่าเราจะไม่เริ่มก่อน ไม่ช้าก็เร็วพวกมันคงเล่นงานเราเช่นกัน”
“ใช่ เราทุกคนสนับสนุนหัวหน้า!”
“…”
นี่คือสถานการณ์ที่หวังเอาไว้
หากหลิ่วอวี้จิงต้องการรวมแก๊งของตัวเองเข้ากับแก๊งฉลามคลั่งอย่างราบรื่น จะต้องทำให้บรรดาหัวหน้าสาขาของแก๊งรู้สึกสิ้นหวัง ไม่เช่นนั้นพวกเดนตายเหล่านี้ไม่มีทางละทิ้งศักดิ์ศรีไปอยู่ใต้ร่มเงาของแก๊งอื่นแน่นอน
“อันที่จริงฉันมีแผนบางอย่างที่ไม่เพียงแต่เราจะแก้แค้นได้เท่านั้น แต่มันยังจะทำให้เรามีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย!”
หลังจากที่บรรยากาศคุกกรุ่นดีพอแล้ว ในที่สุดหลิ่วอวี้จิงก็พูดเข้าประเด็น
“แผนอะไรงั้นเหรอหัวหน้า?”
“หัวหน้า…พูดมาเลย!”
เมื่อหัวหน้าสาขาเหล่านี้ได้ยินว่าอาจมีแผนที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ พวกเขาก็แทบรอไม่ไหวในทันที ตราบใดที่สามารถแก้แค้นได้ พวกเขาก็ยินดียอมทำตามแผนทุกอย่าง
เมื่อเห็นแววตาที่คาดหวังและคล้อยตามของผู้คนในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะพูด
“เหตุผลที่แก๊งฉลามคลั่งไม่เต็มใจที่จะดำเนินการร่วมมือกับเราต่อ เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกับศัตรูที่ทรงพลังโดยไม่มีเหตุผล”
“แต่เมื่อวานฉันได้คุยกับกงซุนซาแล้ว และเขาบอกว่าถ้าเรายินยอมเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่ง เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยทำลายแก๊งพยัคฆ์เวหา และอวี้ฮ่าวหราน!”
ผู้คนในห้องตกอยู่ในความเงียบงันทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้!
หากเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีสงคราม หากหลิ่วอวี้จิงพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนในห้องคงโต้แย้งอย่างรุนแรงจนยอมตายดีกว่าจะยอมไปเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป แก๊งวาฬยักษ์ได้มาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสิ้นหวังสุด ๆ และการเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งมันอาจถือได้ว่าเป็นโอกาสเดียวในการอยู่รอด
“ผมไม่เห็นด้วย! ผมเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์เพื่อสนับสนุนหัวหน้าให้เป็นชายที่ปกครองโลกใต้ดินทั้งหมด ดังนั้นหากผมจะต้องเปลี่ยนมาเป็นก้มหัวให้กับตาแก่นั่น ผมไม่อาจยอมรับได้!”
“ฉันด้วย! ฉันยอมสู้จนตัวตายดีกว่าปล่อยให้แก๊งวาฬยักษ์ของเราถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนกิน!”
ในขณะที่คนอื่น ๆ เงียบ หัวหน้าสาขาสองคนยืนขึ้นแย้งในทันใด
แต่ในขณะเดียวกัน!
จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากนอกประตู!
“ฮ่า ๆ! ดี! ช่างขัดแย้งอะไรกันเช่นนี้!”
ทันทีที่ประตูถูกผลักเปิดออก ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าของเสียงหัวเราะคือ กงซุนซา หัวหน้าแก๊งฉลามคลั่ง!
ทันทีที่เดินเข้ามาด้านในห้อง กงซุนซาก็โบกมือซัดพลังวิญญาณใส่หนึ่งในหัวหน้าสาขาสองคนที่ยืนขึ้นโต้แย้งในทันที!
บึ้ม!
เสียงร่างของหัวหน้าสาขาที่โดนซัดพลังเข้าใส่จนกระเด็นลอยไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนสะดุ้ง!
แค่โบกมือครั้งเดียวก็ส่งร่างปรมาจารย์พลังภายในกระเด็นไปเจ็ดแปดเมตร!
ความแข็งแกร่งของชายชราคนนี้มากมายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยดสยองในใจ
หลังจากจัดการไปคนหนึ่งแล้ว กงซุนซาจึงเบนสายตามองไปที่อีกคนที่ยังยืนอยู่และเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“ว่าไง? ตอนนี้นายยังไม่เห็นด้วยอยู่อีกไหม?”
เขาถามพลางลูบเคราของตัวเอง
“ผ…ผมเห็นด้วยแล้ว ๆ!”
หัวหน้าสาขามองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครยืนขึ้นกับเขาเลย เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงอย่างสิ้นหวัง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ดี! เมื่อไม่มีใครแย้งอะไรแล้วงั้นฉันขอประกาศว่าแก๊งวาฬยักษ์จะเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งของฉันนับจากวันนี้เป็นต้นไป!”
ในที่สุดแผนการที่ตัวเองวางไว้ก็สำเร็จ ซึ่งมันทำให้กงซุนซาอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าหยิ่งผยอง
“พวกนายทุกคนในห้องไม่ต้องกังวล แม้ว่าชื่อของแก๊งวาฬยักษ์จะหายไป แต่ฉันจะไม่ปฏิบัติต่อพวกนายอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน หัวหน้าหลิ่ว นับจากนี้ฉันขอแต่งตั้งให้นายเป็นรองหัวหน้าแก๊งฉลามคลั่งของฉัน!”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูเป็นการออกคำสั่งซึ่งมันฟังไม่รื่นหูเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
บทที่ 319 บุกถึงประตู
บทที่ 319 บุกถึงประตู
เมื่อได้ยินคำถามที่เป็นกังวลของหลี่หรง อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะขบขัน
“อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก”
อู๋ลั่นถูกเขาจัดการไปแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ต้องการให้หลี่หรงกังวล เขาจึงพูดตัดบทไป
แต่หลังจากที่พาถวนถวนล้างมือเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ตัดสินใจบางเรื่องอย่างเด็ดขาด
“เธอกับถวนถวนกินข้าวกันไปก่อนเลย พี่มีเรื่องต้องจัดการอีกเรื่อง แล้วเดี๋ยวดึก ๆ พี่จะกลับมา”
“หืม? มีเรื่องอะไรอีกงั้นเหรอพี่เขย? ทำไมพี่ไม่กินข้าวก่อนล่ะ?”
หลี่หรงรู้สึกงงงวยกับคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน
ความขุ่นเคืองจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“เรื่องนี้พี่ต้องจัดการในทันที ไม่อย่างนั้นพี่คงรู้สึกไม่สบายใจ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบโดยตรงว่ามันคืออะไร แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจริงจังมาก หลี่หรงจึงทำได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น และตัดสินใจที่จะไม่หยุดอีกฝ่ายอีกต่อไป
“อืม…ถ้างั้นพี่ก็รีบไปเถอะ เอาไว้เดี๋ยวฉันจะแบ่งกับข้าวส่วนของพี่เก็บเอาไว้ให้”
“อืม”
หลังจากตกลงกันได้อย่างรวบรัดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หันหลังและจากไป
แต่ทันทีที่เขาปิดประตูออกจากห้อง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที!
เรื่องของอู๋ลั่นวันนี้ทำให้เขากังวลมาก
ชายวัยกลางคนนั่นบอกว่าถูกตระกูลอู๋เชิญตัวมา!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือตระกูลอู๋!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจตัวเองได้อีกต่อไป
ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่อีกฝ่ายกลับระรานครอบครัวของชายหนุ่มไม่หยุด คราวนี้เขาจึงต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลังจากลงลิฟท์และขึ้นรถไป เขาก็เหยียบคันเร่งจนมิดทันที!
…
เวลาราว 1 ทุ่ม ท้องฟ้ามืดสนิท อู๋หมิ่นและภรรยาของเขากำลังกินอาหารเย็นอยู่ในบ้านหลักของตระกูล
“ฮึ่ม! การแก้แค้นครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่! ไม่ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าอู๋ลั่นได้!”
อู๋หมิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสะใจ
“เฮอะ! ไอ้หมาเน่าตัวนั้นน่าจะตายไปนานแล้ว! มันกล้าดียังไงมาฆ่าลูกชายของฉัน! ฉันขอให้มันตายในสภาพศพไม่สมบูรณ์!”
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแสดงสีหน้าเคียดแค้นในขณะพูด
“จากนี้มันยังไม่จบหรอก! แค่ฆ่ามันคนเดียวฉันยังไม่สะใจพอ! มันยังมีลูกสาวอีกคน ลูกสาวของมันต้องตายตามพ่อของมันไปด้วย!”
อู๋หมิ่นเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอาฆาต
“ใช่! ฆ่านังเด็กนั่น! แต่เราต้องฆ่านังเด็กนั่นอย่างช้า ๆ ให้สาสมกับที่พ่อของมันฆ่าลูกของเรา!
เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดของสามีตัวเอง เธอก็แสดงความร้ายกาจออกมาพลางคิดจินตนาการว่าจะใช้วิธีไหนดีเพื่อทรมานเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่เธอรังเกียจ
“จริงสิ ผู้หญิงของมันอีกล่ะ? เราจะปล่อยผู้หญิงของมันไปไม่ได้ น้องเมียของมันคุณต้องจับมาด้วย! ฉันจะกำจัดตัวเมียทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมันทั้งหมด! ลูกชายของฉันตายเพราะนังนั่น!”
“แน่นอน! ถึงเธอไม่พูด ฉันก็จะทำแน่! ลูกชายของอู๋หมิ่นจะตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ยังไง!”
การแสดงออกของอู๋หมิ่นเย็นชายิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“ดี! ดีมาก! ครอบครัวของมันทั้งหมดต้องตายตามลูกชายของเราไป พวกมันต้องกลายเป็นวิญญาณรับใช้ลูกของเราในยมโลก!”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ทั้งโหดเหี้ยมและขมขื่น
แต่ในขณะนั้น ประตูรั้วคฤหาสน์กลับกระเด็นล้มลงทั้งบาน!
โครม!
บอดี้การ์ดสองสามคนที่ยืนอยู่หลังประตูถูกทับจนเละ!
“เร็ว…วิ่ง…”
บรรดาบอดี้การ์ดต่างแตกตื่นโกลาหล พวกเขาต่างร้องตะโกนพลางวิ่งถอยกลับเข้ามาที่ตัวคฤหาสน์
ในเวลานี้ ร่างผอมบางปรากฏขึ้นที่ประตู!
อู๋หมิ่นตกใจ เขาลุกขึ้นและรีบเดินออกไปดูสถานการณ์ทันที แต่ฝุ่นที่ฟุ้งปกคลุมบริเวณประตู ทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครเป็นผู้มาเยือน
“ไม่ทราบว่าท่านผู้แข็งแกร่งเป็นใครงั้นหรือ? ทำไมท่านถึงบุกเข้ามาในบ้านของผู้น้อยเช่นนี้?”
หลังจากที่เจอกับอู๋ลั่นมาไม่นาน มุมมองต่อโลกใบนี้ของอู๋หมิ่นก็เปลี่ยนไป เขาเข้าใจมากขึ้นว่าต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่ง เขาควรจะนอบน้อมให้มากที่สุด เพราะไม่งั้นคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองจะตายตอนไหน
อย่างไรก็ตาม ชายที่เพิ่งถล่มประตูก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาช้า ๆ และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เมื่อกี้แกไม่ได้เพิ่งพูดเหรอว่าจะส่งดวงวิญญาณของฉันผู้นี้ไปเป็นข้ารับใช้ลูกชายของแกในยมโลก? วันนี้ที่ฉันมามีเพียงจุดประสงค์เดียวคือส่งพวกแกทุกคนลงไปอยู่กับไอ้ขยะอู๋เส้าฮัว!”
หลังจากฝุ่นจางไป หัวใจของอู๋หมิ่นแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกเป็นใคร!
“แก! ทำไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่! แกไม่ควร! แกไม่ควร! ทำไมแกถึงยังไม่ตาย!?”
ดวงตาของอู๋หมิ่นเบิกกว้างจนแทบจะถลนในเวลานี้ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่
คนที่บุกเข้ามาคืออวี้ฮ่าวหราน!
ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็เพิกเฉยต่อคำถามของอีกฝ่าย เขายังคงเดินต่อไปอย่างช้า ๆ และเมื่อเหลือบมองเข้าไปด้านในคฤหาสน์และเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดวางอยู่กลางห้องโถง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก
“ฮิฮิ ดีจังเลยนะ กำลังกินข้าวมื้อสุดท้ายกันอยู่ซะด้วย”
ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ อู๋หมิ่นแสดงท่าทางขาดสติทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือฆาตกรฆ่าลูกชายของเธอ เธอตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้สารเลว! แกฆ่าลูกชายของฉัน! แกตายแน่! ไม่สิ ครอบครัวของแกทั้งหมดจะต้องตาย! ฉันจะทรมานแก ลูกของแก ผู้หญิงของแกทุกคนด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะ…”
“หุบปาก!!”
อู๋หมิ่นไม่รอให้ภรรยาพูดจบและรีบตวาดให้หยุดเสียงดัง
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมภรรยาของเขาถึงโง่เง่าอะไรได้ขนาดนี้ ไม่รู้ตัวหรือไงว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน!?
อีกฝ่ายหนึ่งบุกเข้ามาโดยไร้รอยขีดข่วน ส่วนอู๋ลั่นก็หายไปโดยไม่ส่งข่าวคราวกลับมาเลย สถานการณ์เช่นนี้มันหมายความได้อย่างเดียวซึ่งก็คือ อู๋ลั่นถูกจัดการไปแล้ว และพวกเขากำลังโดนจะโดนเก็บกวาด!
“อวี้ฮ่าวหราน ตระกูลอู๋ของฉันยินดียอมรับเงื่อนไขทุกอย่างที่นายต้องการ แลกกับการที่นายจะยอมปล่อยให้เราสองคนมีชีวิตรอด”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องจำใจต้องยอมรับความจริงที่ว่า อู๋ลั่นอาจจะตายไปแล้ว!
มิฉะนั้น อวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางมาปรากฏกายที่นี่ได้
ตอนนี้แผนการของเขาที่คิดออกคือพยายามเจรจาให้อวี้ฮ่าวหราน กลับไปก่อน และจากนั้นเขาจะแจ้งเรื่องนี้แก่สำนักเมฆาเขียวเพื่อที่สำนักจะได้ส่งคนมาอีกครั้ง
ถึงตอนนั้นไอ้เวรนี่จะต้องตายแน่นอน!
แต่ในขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็จ้องมองอู๋หมิ่นด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันบอกเอาไว้เลยว่าแกไม่มีทางอยู่รอดเกินคืนนี้แน่”
น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาสุดขั้ว
แน่นอนว่าคำพูดนี้ทำให้อู๋หมิ่นหมดหวัง
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของอวี้ฮ่าวหราน อู๋หมิ่นก็ปลงใจแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเขาก็ไม่รอดแน่นอน และเขาไม่สามารถซ่อนความคิดของตัวเองจากอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่สวมเสื้อหลุดยุคคนนี้จะมีความมั่นใจอย่างสุดกู่ ที่แท้ชายผู้นี้คือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐาน!
ตั้งแต่ที่เขากลับมาโลกมนุษย์ นี่เพิ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานคนที่สองที่เขาเจอ แน่นอนว่าคนแรกก็คือ คงเหอ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้บ่มเพาะระดับนี้หายากมาก!
ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะมีความมั่นใจขนาดนี้
อวี้ฮ่าวหรานคาดไม่ถึงเช่นกันว่าตระกูลอู๋จะมีเส้นสายพอที่จะหาผู้บ่มเพาะระดับนี้มาเล่นงานเขาได้!
ดูเหมือนว่าต่อให้ชายหนุ่มจะไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น แต่เมื่อความแข็งแกร่งของเขายิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ โชคชะตาก็จะร้อยเรียงให้เขาได้พานพบกับผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย!
ชายวัยกลางคนคืออู๋ลั่น ที่ถูกเชิญมาโดยตระกูลอู๋ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดูถูกมากกว่าเดิม
“น่าสงสารจริง ๆ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้เจ้ากำลังเผชิญกับตัวตนแบบไหน? เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าด้วยความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้ามันเพียงพอแล้วที่จะสามารถอวดดีได้อย่างไม่เกรงกลัวใครในโลกใบนี้ได้?”
“น่าขำ! น่าขำจริง ๆ!”
ทันทีที่พูดจบ อู๋ลั่นก็ระเบิดพลังวิญญาณออกจากร่างจนเป็นรัศมีแสงตระการตาในทันที!
“เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ากับข้า เราต่างชั้นกันแค่ไหน!”
อู๋ลั่นเดินช้า ๆ ไปทางอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าดูแคลนสุดขีด ในสายตาของเขา ปรมาจารย์พลังภายในก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกที่แค่บีบก็ตายคลายมือก็รอด
ในทางกลับกัน ในเวลานี้ สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่เขาหันไปมองลูกสาวของเขาในรถแทน
“ไม่ต้องกลัวนะถวนถวน เดี๋ยววันนี้พ่อจะอัดคนเลวคนนี้ให้ลูกดู!”
“เย้! พ่อจัดการคนเลวเลย! หนูอยากดู!”
เด็กน้อยไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวเลยเช่นกัน กลับกันเธอก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้นอีกต่างหาก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาวตัวเองเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกโล่งใจในทันที
แต่เมื่ออู๋ลั่นเห็นภาพนี้ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเดือดดาลอย่างรวดเร็ว!
ไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ดูถูกเขา!
“มนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้ากล้าดียังไงถึงดูถูกข้าเช่นนี้! รนหาที่ตาย!!”
อู๋ลั่นโคจรพลังวิญญาณของตัวเองอีกครั้งอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม แต่ในขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าใส่ อวี้ฮ่าวหรานกลับหันกลับมาก่อนและตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณเข้มข้น!
“มดแมลงอย่างเจ้า กล้าดียังไงมารบกวนความสุขสงบของข้าเทพผู้นี้!”
หากเป็นคนธรรมดาคงมองว่าคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานเป็นแค่คำพูดที่ชวนหัวเราะ แต่ในทางกลับกัน สำหรับอู๋ลั่นนั้นเขารู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าเข้าใส่หูจนพลังวิญญาณที่เขาเพิ่งโคจรมันติดขัดอย่างน่าตื่นตระหนก!
อู๋ลั่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
พลังของชายหนุ่มตรงหน้าเขาน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายหนุ่มก็ไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ตั้งตัว เขาโคจรพลังและปล่อยคลื่นพลังรุนแรงใส่ชั้นพลังป้องกันของอู๋ลั่นทันที!
บรึ้ม!
เมื่อพลังวิญญาณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เสียงระเบิดดังสนั่นไกลไปหลายกิโล!
คลื่นกระแทกอันทรงพลังกวาดวัชพืชในรัศมีมากกว่าสิบเมตรจนล้มระเนระนาด แม้แต่ฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นไปบนอากาศอย่างรุนแรง!
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นแค่เพียงผลกระทบจากคลื่นกระแทกเท่านั้น!
อู๋ลั่นตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ เพราะแค่คลื่นพลังเพียงอย่างเดียวของอีกฝ่าย ร่างของเขากลับไถลไปไกลกว่าสิบเมตร!
อั่ก!
หลังจากตั้งหลักได้สำเร็จ อู๋ลั่นก็ทนไม่ไหวกับอาการบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมา!
“เจ้า! นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง!
อู๋ลั่นไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายที่เขาคิดว่าเป็นเพียงปรมาจารย์พลังภายในจะน่าสะพรึงกลัวได้ขนาดนี้!
ชายหนุ่มคนนี้ดูเด็กมาก แต่ความแข็งแกร่งกลับเหนือล้ำจนน่าตกตะลึง!
ไอ้หนุ่มนี่อายุเท่าไหร่?
นี่มันไม่น่าเป็นไปได้!
“เป็นไปไม่ได้!! เจ้าแข็งแกร่งมากกว่าข้าขนาดนี้ได้ยังไง?!”
เมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่าแค่คลื่นพลังของอีกฝ่ายก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แล้ว มันก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ย ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นกล้าอวดดีต่อหน้าเขางั้นเหรอ?
“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะฆ่าข้าได้? ความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้าสำหรับข้าแล้วมันไม่ต่างอะไรกับความแข็งแกร่งของมดแมลง!”
อวี้ฮ่าวหรานย้อนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างดูถูก
ใบหน้าของอู๋ลั่นซีดทันทีเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจคิดไว้!
“ไอ้หนู! แกอย่าได้ใจไปนัก ฉันไม่เชื่อว่าวันนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้!”
จากนั้น เขาก็รีบโคจรพลังวิญญาณเพื่อใช้ทักษะที่ตัวเองถนัดที่สุด!
“เบิ่งตาดูให้ดี นี่คือค่ายกลเบญจธาตุของข้า! ตาย!”
อู๋ลั่นตะโกนพร้อมกับวาดมือไปมาบนอากาศเขียนอักขระบางอย่างซึ่งมันส่งผลให้เกิดเส้นลวดลายลอยขึ้นไปบนฟ้าปกคลุมบริเวณที่อวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกฝ่ายติดอยู่ในค่ายกลที่จนเองสร้างขึ้นโดยได้ขยับหนีไปไหน อู๋ลั่นก็หัวเราะทันที!
“ฮ่า ๆ! แกเสร็จแน่! กล้าดูถูกฉันงั้นเหรอ แกคิดว่าฉันเป็นเหมือนพวกกระจอกที่แกเคยเจอมาหรือไง?”
หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จ อู๋ลั่นก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีกรอบ
ค่ายกลนี้คือค่ายกลขึ้นชื่อของสำนักของเขา อำนาจของมันนั้นมหาศาลเป็นอย่างมาก
ด้วยค่ายกลนี้ อู๋ลั่นจึงมั่นใจว่าจะสามารถสยบศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้แน่นอน
แต่ค่ายกลนี้มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือมันควรถูกจัดวางเอาไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่นำมาใช้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ เพราะมันต้องใช้เวลาในการวาดมือสั่งพลังสร้างค่ายกล หากในระหว่างที่เขาตระเตรียม ศัตรูวิ่งหลบออกไปจากระยะค่ายกลนี้ก็จะใช้ไม่ได้ผลทันที แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือชายหนุ่มคนนี้จะโง่ไม่ยอมหลบแบบนี้
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่ได้ใส่ใจกับกลเม็ดเล็ก ๆ นี้ของอีกฝ่ายเลย
ค่ายกล?
เป็นเวลาหลายหมื่นปีที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งเทพ ดังนั้นมันจึงไม่มีค่ายกลใด ๆ ที่เขาไม่เคยเห็น!
ของพวกนี้มันก็แค่กลเม็ดเล็กน้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น เนตรเทวะที่ชายหนุ่มฝึกฝนนั้นไม่ใช่แค่เอาไว้ดูโบราณวัตถุเพียงอย่างเดียว มันยังสามารถทำให้เห็นโครงข่ายหรือจุดอ่อนของค่ายกลทั้งหมดได้ในพริบตา!
ดังนั้นการทำลายค่ายกลไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน สำหรับเขาแล้วมันคือเรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือ!
“เฮอะ! ไร้สาระ!”
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่หยิ่งผยองของอีกฝ่าย แววตาของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งเต็มไปด้วยการดูถูก
หลังจากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณไปที่หว่างคิ้ว และเนตรเทวะก็ถูกเปิดใช้ทันที!
จุดอ่อนของค่ายกลถูกเห็นได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน!
“ทลาย!”
หลังจากตะโกนเสียงดังลั่น อวี้ฮ่าวหรานชกหมัดออกไปอย่างรุนแรงควบแน่นพลังวิญญาณให้อยู่ในรูปแบบหมัดยักษ์พุ่งออกไปยังบริเวณจุดอ่อนของค่ายกล!
บรึ้ม!!
เคร้ง!!
หลังจากพลังหมัดกระแทกเข้ากับค่ายกล จู่ ๆ ก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นไปทั่วบริเวณ!
สีหน้าภาคภูมิใจของอู๋ลั่นหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน!
เขามองไปรอบ ๆ ค่ายกลของตัวเองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ อีกฝ่ายทำลายค่ายกลของเขาได้ด้วยหมัดเดียว!
เมื่อเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกสยองจนขนหัวลุก!
อู๋หมิ่นส่งเขามาเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้ไง!?
วินาทีถัดมา อวี้ฮ่าวหรานออกมายืนอยู่ด้านนอกค่ายกลที่พังทลาย!
“เฮอะ ๆ เนี่ยน่ะเหรอ ค่ายกลที่แกภูมิใจ?”
เขาเย้ยหยันและหัวเราะคิกคัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยครั้งนี้ อู๋ลั่นก็โต้แย้งไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว!
มันช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้!
ค่ายกลที่ไม่มีใครเทียบได้ ถูกทำลายด้วยหมัดเดียว!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์พลังภายในจะทำได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก!
“อู๋หมิ่น! อู๋หมิ่น! เจ้าหลอกข้า! เจ้าต้องการจะฆ่าข้าใช่ไหม!!”
ในเวลานี้ ในใจของเขาทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้น เขาสะพรึงกลัวกับความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหราน และเคียดแค้นอู๋หมิ่นที่ไม่ได้บอกกับเขาว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนี้!
ไอ้เวรอู๋หมิ่นมันไม่ได้อยากจะให้เขาแก้แค้นแทนแล้ว! มันอยากให้เขาตายมากกว่า!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อู๋ลั่นก็ไม่มีแรงจะสู้ต่ออีกแล้ว เขาต้องหนี!
แต่อวี้ฮ่าวหรานจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ตามต้องการได้อย่างไร?!
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คนของแก๊งวาฬยักษ์ทั้งหมดก็รวมตัวกัน และเปลี่ยนชื่อเป็นแก๊งทะเลฉลาม
อีกด้านหนึ่ง…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทแต่เช้าและนั่งบนเก้าอี้ราคาแพงอันแสนสบายของตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบานสุดขีด
หลี่อิงไห่ถูกโค่น หวังเจวียตายแล้ว อู๋เส้าฮัวก็ตายเช่นกัน แม้แต่เผิงอิงอิงที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาก่อนหน้านี้ก็ต้องไปนอนในคุก แต่ตอนนี้เขากลับยังสามารถนั่งสบายอยู่ที่นี่ได้
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาฉลาดกว่าคนพวกนั้นหรอกเหรอ?
หลี่จิงเทียนคิดอย่างภาคภูมิใจ
“ฮึ คนเหล่านั้นมันก็แค่พวกโง่เง่า พวกมันคิดว่าพวกมันฉลาดมาก แต่ฉันต่างหากที่ฉลาดมากกว่าพวกมัน!”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่ามากกว่าเดิม
แต่แน่นอนว่าถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังละทิ้งนิสัยหลงตัวเองไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวอยู่เหนือกว่าพี่เขยของตัวเองอีกแล้ว เขาเข้าใจดีว่าจากทัศนคติของพี่เขย นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้รับการให้อภัย หลังจากนี้หากเขาสร้างเรื่องอีก เขาอาจจะได้ไปนอนตัวเย็นอยู่ใต้ต้นไม้แถบชานเมืองแทน
ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงาน
“วันนี้หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทหรือเปล่า?”
หลังจากฟังรายงานตามปกติแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ถามด้วยความสนใจ
“เขามาครับท่านประธาน แต่หลังจากที่เขาเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง เขาก็ไม่ออกมาเลย”
ผู้จัดการหวังจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลี่จิงเทียนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ดีแล้วที่มันไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน ถึงแม้ว่าผมจะให้ตำแหน่งรองประธานกับเขา แต่เขาจะไม่มีสิทธิไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งนั้นในบริษัท เอาไว้เดี๋ยวผมจะจัดการประชุมกับผู้บริหารทุกคนเพื่ออธิบายเรื่องนี้กับทุกคนให้รู้เอาไว้ด้วย”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและอธิบายแผนของเขาอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมากกับการให้เงินเดือนหลี่จิงเทียนแบบเปล่า ๆ แต่สิ่งที่กังวลก็คือ เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่มย่ามกับกิจการในบริษัท
หลี่จิงเทียนนั้นค่อนข้างโง่ และเป็นพวกไร้สมอง คนแบบนี้ต่อให้ไม่คิดร้ายต่อบริษัท แต่หากเข้ามามีอำนาจตัดสินใจในบริษัทมากเกินไปมันก็รังแต่จะทำให้บริษัทวุ่นวาย
ผู้จัดการหวังไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้ายที่สุด นี่คือเรื่องในครอบครัวของเจ้านายของเขา ดังนั้นจึงไม่ควรออกความเห็นมากเกินไป
แต่ในขณะเดียวกันนี้ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้น
“คุณออกไปก่อน”
เมื่อเห็นมีสายเข้า อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้ผู้จัดการหวังออกไปและรับโทรศัพท์
“ฮ่า ๆๆ! น้องอวี้ ช่วงนี้นายเป็นไงบ้างสบายดีไหม? ไม่เห็นนายติดต่อมาบ้างเลย หรือว่าเดี๋ยวนี้นายไม่สนใจพวกวัตถุโบราณแล้ว?”
น้ำเสียงที่ร่าเริงของหลินป๋อดังมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“อืม ก่อนหน้านี้ผมยุ่งนิดหน่อย แต่วันนี้ผมว่างอยู่”
“ฮ่า ๆ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย! วันนี้ฉันจะไปงานประมูลระดับสูง ในงานมีโบราณวัตถุล้ำค่ามากมายที่จะถูกนำขึ้นประมูลแยกกัน และงานประมูลนี้ก็เชิญแขกไม่มาก อีกทั้งคนนอกไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม แต่ถ้านายว่างวันนี้ตอนเที่ยงนายมาหาฉันได้เลย!”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของอวี้ฮ่าวหรานเต้นรัวทันที
“โอเค บอกสถานที่มาได้เลย ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาตกลงโดยไม่ลังเล
ถึงเวลาที่เขาควรจะเร่งเพิ่มระดับการบ่มเพาะ
การปรากฏตัวของผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานทำให้เขาตระหนักว่านับจากนี้เขาจะต้องเจอกับพวกผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในโลกนี้แล้ว ซึ่งถ้าหากต้องการใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นต่อไป ชายหนุ่มก็จำเป็นต้องบ่มเพาะให้เร็วขึ้นเท่านั้น
“ตกลง! สถานที่จัดงานประมูลคือห้องจัดเลี้ยงที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเคมปินสกี้ ตอนนี้ฉันเองก็อยู่ในระหว่างเดินทางไป เอาไว้เราเจอกันที่นั่นก็แล้วกันนะน้องอวี้!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วก็วางสาย
ช่วงก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ซื้อโบราณวัตถุมาพักใหญ่ ๆ แล้ว
หลังจากกลับจากการทริปไปเที่ยว มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ชายหนุ่มยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการจัดการเอกสารตอนเช้า และขับรถตรงไปยังโรงแรมเคมปินสกี้
หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็มาถึงล็อบบี้ของโรงแรม และแจ้งชื่อของตัวเองกับพนักงานโรงแรม
ดูเหมือนว่าหลินป๋อจัดการทุกอย่างให้เขาหมดแล้ว พวกพนักงานโรงแรมจึงนำทางเขาตรงไปยังลิฟท์อย่างนอบน้อม
ระหว่างทางนั้นมีพวกบอดี้การ์ดชุดดำจำนวนมากยืนประจำจุดตามรายทางทุก ๆ สิบเมตร ที่เอวของบอดี้การ์ดเหล่านี้โปนเล็กน้อยซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าคนเหล่านี้ล้วนติดอาวุธกันทุกคน
เห็นได้ชัดว่าการประมูลครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ในไม่ช้า ภายใต้การนำของพนักงาน เขาก็เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงชั้นบนสุด
ห้องจัดเลี้ยงแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหลังของห้องเต็มไปด้วยอาหารและของขบเคี้ยวต่าง ๆ เหมือนงานเลี้ยงทั่วไป
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมีโต๊ะที่ดูหรูหราวางอยู่บนเวที และที่ด้านล่างเวทีก็มีเก้าอี้ที่แต่ละตัวดูราคาแพงจำนวนมากวางเรียวแถวอยู่หลายสิบตัว เห็นได้ชัดว่าส่วนนี้ใช้สำหรับจัดงานประมูล
ในเวลานี้ห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยพวกผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ในเมืองฮ่วยอันมากมาย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงของซูหว่านเอ๋อ
“ฉัน…ฉัน…ไปได้แล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของซูหว่านเอ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก ซึ่งมันทำให้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเดินผ่านผู้คน
อวี้ฮ่าวหรานเห็นกลุ่มชายสามคนยืนล้อมรอบซูหว่านเอ๋ออยู่ตรงกลาง
“โธ่ จะรีบไปไหนกันล่ะหว่านเอ๋อ? รู้ไหมว่าผมชอบคุณมานานแล้ว ตอนนี้สัญญาการแต่งงานของคุณก็ถูกยกเลิก คุณแต่งงานกับผมได้ไหม? คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ได้ด้อยกว่าหลี่จิงเทียนมากเท่าไหร่หรอก”
“หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกันนะ! ถ้าเป็นเรื่องเงิน ผมเองก็มีเงินเหมือนกับหลี่จิงเทียน!”
“อย่าไปฟังไอ้สองคนนี้ หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกัน ถ้าคุณตกลงกับผม ผมจะให้พ่อผมไปคุยกับพ่อคุณทันทีวันนี้เลย!”
ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานได้ยินทุกคำพูดของชายทั้งสามคนจากประสาทการฟังอันเหนือมนุษย์
ซูหว่านเอ๋อดูสับสนในเวลานี้ และเนื่องจากเธอพูดไม่เก่ง จึงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ แม้กระทั่งหลังจากเหตุการณ์นั้น สาวน้อยคนนี้ก็ยังพูดกับคนอื่นไม่เก่งอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นเฉิงชิวอวี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ป่านนี้ไอ้สามหนุ่มนั่นคงโดนตบไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็รีบเดินออกไป ในฐานะที่เขาและเธอเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นตามปกติแล้วจึงไม่สามารถมองดูอีกฝ่ายถูกรังแกได้
“แต่… ฉันไม่ต้องการ…ฉันไม่ต้องการที่จะแต่งงาน…”
ซูหว่านเอ๋อเริ่มตื่นตระหนกและสับสนจากการถูกชายทั้งสามคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอไม่สามารถพูดโต้แย้งได้อย่างเหมาะสมเพราะความหัวอ่อนของเธอ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ชายทั้งสามได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นเรา งั้นเรายังไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ พวกเรามาทดลองอยู่ด้วยกันก่อน แต่ฉันมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่ฉันทำให้เธอขึ้นสวร…”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ่ม! พวกแกไม่เห็นหรือไงว่าผู้หญิงกำลังไม่พอใจ?”
อวี้ฮ่าวหรานเดินมาหยุดที่ด้านหลังและมองดูชายทั้งสามคนอย่างดูถูก
ทั้งสามคนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่พวกเขาก็หัวเราะทันทีเมื่อเห็นว่าผู้พูดเป็นแค่ชายที่สวมเสื้อผ้าธรรมดามาก
“ฮ่า ๆ ฉันก็นึกว่าเป็นใครใหญ่โตที่ไหนมาพูดจาอวดเบ่ง นี่คนจน ๆ อย่างแกเข้ามาในงานนี้ได้ไงเนี่ย? ไปเลย รีบไสหัวไปให้ไกล ๆ อย่ามารบกวนเวลาของฉันกับหว่านเอ๋อ ไม่งั้นฉันจะเรียกยามให้มาลากแกออกไป!”
ผู้พูดขณะนี้คือชายหนุ่มร่างอ้วนที่แต่งตัวดี แต่สีหน้าของเขาแสดงอาการดูถูกอย่างชัดเจน
“ฮ…ฮ่าวหราน!”
ซูหว่านเอ๋อไม่คิดเลยว่าเธอจะได้พบกับอวี้ฮ่าวหรานที่นี่ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ใบหน้าซีดเผือดของเธอจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด
ชายร่างอ้วนประหลาดใจกับอาการแสดงออกของซูหว่านเอ๋อ เขามองทั้งสองอย่างสับสน
“บัดซบ! นี่มันบ้าอะไรกัน? ซูหว่านเอ๋อ ฉันไม่คิดเลยนะว่าผู้หญิงที่อยู่ในสังคมชั้นเดียวกับเราจะลดตัวลงไปคบกับคนจน ๆ แบบนี้ด้วย!”
เขาอดไม่ได้ที่จะติเตียนด้วยความอิจฉาในใจ
บทที่ 336 ตำแหน่งงานเฉพาะ
อวี้ฮ่าวหรานรีบส่งถวนถวนและขับรถไปที่เครือฮ่าวหราน
เมื่อวานเขาลืมบอกอีกฝ่ายว่าปกติเขาไม่ได้เข้าบริษัทเร็วเหมือนคนอื่น
ปกติกว่าเขาจะเข้าบริษัทก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าเพราะต้องส่งถวนถวน ก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่เขามาถึงบริษัท อวี้ฮ่าวหรานก็ตรงไปที่ออฟฟิศของหลี่จิงเทียน ทันที
เดิมทีเขากังวลว่า หลี่จิงเทียนจะทำให้ทั้งสองพ่อลูกอึดอัดใจ แต่ไม่นึกเลยว่าพอเขาไปถึง เขากลับเห็นว่าหลี่จิงเทียนกำลังพูดคุยกับสองพ่อลูกเป็นอย่างดีและดูสนิทสนม…
“…พี่เขยของฉันมีโด่งดังและเก่งสุด ๆ ก่อนหน้านี้ตระกูลหลี่ของเรา…”
ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงคุยโวของหลี่จิงเทียน
“หลี่จิงเทียน!”
“พ…พี่เขย…”
เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของอวี้ฮ่าวหราน หลี่จิงเทียนก็หยุดชะงักในทันที
หลังจากเห็นว่านอกเหนือจากการคุยโวแล้ว หลี่จิงเทียนก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย อวี้ฮ่าวหรานจึงรู้สึกโล่งใจ
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เข้าคุกไป หลี่จิงเทียนก็เปลี่ยนไปมากพอสมควร
อย่างน้อยทุกครั้งที่เจอหน้ากัน หลี่จิงเทียนก็ทำตัวเรียบร้อยขึ้นมาก
“อวี้ฮ่าวหราน คุณ…ในที่สุดคุณก็มา”
สวีรุ่ย ยืนขึ้นทันทีที่เธอเห็นอีกฝ่ายมาถึง
“อืม เมื่อวานผมรีบไปหน่อยเลยไม่ได้แจ้งกับคนในบริษัทเอาไว้ก่อนว่าพวกคุณจะมาหาผม”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า เขารู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ
“ม…ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะหยุดเรา แต่เขาก็สุภาพกับเรามาก เช่นเดียวกับรองประธานหลี่ เขากำลังเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับบริษัทเมื่อสักครู่นี้”
สวีรุ่ยพยักหน้าและไม่ได้พูดถึงตอนที่หลี่จิงเทียนทำตัวหยาบคายกับเธอและพ่อเมื่อตอนที่อยู่หน้าประตูแรก ๆ
“ช…ใช่! ผมดูแลแขกของพี่เขยอย่างดีที่สุด ทันทีที่ผมเจอแขกของพี่เขยที่ประตู…ผม…ผมก็ต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีจริง ๆ นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จิงเทียนก็รีบเอ่ยเสริมปกปิดช่วงที่เขาทำพลาดไป
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองคนอื่นอย่างไม่เป็นมิตร
“ฮึ่ม นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายเป็นคนยังไง!”
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าน้องภรรยาตัวแสบของเขาคนนี้ไม่ได้พูดจริงทั้งหมด และพยายามพูดเอาดีเข้าตัวแบบเต็ม ๆ
หากหลี่จิงเทียนปฏิบัติตัวดีอย่างที่พูดทั้งหมด สวีรุ่ยก็คงไม่น่าจะโทรหาเขาในตอนนั้น เพื่อให้เขาช่วยอธิบายเรื่องการมาของเธอและพ่อ
อย่างไรก็ตาม หลี่งจิงเทียนก็พัฒนาตัวเองได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน พอรู้ว่าตัวเองกำลังทำผิดก็รีบแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองทันที ซึ่งดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่คิดอยากเอาเรื่องน้องภรรยาของเขาคนนี้อีก
“พวกคุณมากับผม เดี๋ยวผมจะพาไปหาผู้จัดการหวัง ให้เขาดูว่างานประเภทไหนที่เหมาะสมกับคุณ”
หลังจากทักทายกันเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็พาทั้งสองออกจากออฟฟิศของ หลี่จิงเทียน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานพาคู่พ่อลูกจากไป หลี่จิงเทียนก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขากลัวจริง ๆ ว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาจะทำให้พี่เขยไม่พอใจ จนเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกรอบ
หลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาก็ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตของเขาดีแค่ไหน
เขาไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ มีแต่คนยกยอเขา แถมเงินเดือนของเขาก็สูงปรี้ดและโอนเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติเมื่อครบเดือน โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเหมือนตอนที่เขาอยู่บ้านกับพ่อตัวเอง
มันช่างเป็นชีวิตที่ไร้กังวลอะไรแบบนี้!
และที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับการอยู่ในคุก ความแตกต่างนี้มันเปรียบได้กับสวรรค์และขุมนรก!
“เฮ้อ…ก่อนหน้านี้ฉันคิดบ้าอะไรของฉันกันหว่า? ไหงฉันถึงทำตัวหาเรื่องเดือนร้อนแบบนั้นไปได้?”
เขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาพลางพึมพำและถอนหายใจ
ในอีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็พาคู่พ่อลูกเข้าไปในออฟฟิศของเขา
“นั่งลงก่อน เมื่อครู่ผมเรียกให้คนที่จะคอยดูว่าพ่อของคุณเหมาะกับตำแหน่งงานไหนให้มาที่ห้องของผมแล้ว”
เขาผายมือให้ทั้งสองคนนั่งลง และสวีเซี่ยงจวินก็ขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ ประธานอวี้! ผมขอสาบานว่าหลังจากนี้ผมจะตั้งใจทำงาน ผมจะหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อให้รุ่ยเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!”
เขายังไม่ได้นั่งลงตามที่อวี้ฮ่าวหรานเพิ่งบอก แต่เขาโค้งตัวขอบคุณอย่างจริงจังเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างแท้จริง
“อืม ไม่เป็นไร”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง เรื่องนี้สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายทำตัวมากพิธีกับเขานัก
สักพัก ผู้จัดการหวังก็เดินเข้ามาในห้อง
“ประธานอวี้ ท่านกำลังตามหาผมอยู่หรือเปล่า?”
เขาเห็นคนอีกสองคนที่นั่งอยู่ในออฟฟิศได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงดูสับสนเล็กน้อย
“เอาล่ะ มีบางอย่างที่ผมอยากจะให้คุณช่วยจัดการให้สักหน่อย คุณช่วยดูให้ทีว่าชายคนนี้เหมาะกับงานประเภทไหนในบริษัทของเราที่สุด”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและส่งสัญญาณให้ผู้จัดการหวังให้ความสนใจกับสวีเซี่ยงจวิน
“ให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ดีมากกว่าพนักงานทั่วไปสักหน่อยก็แล้วกัน”
“ม…ไม่ อย่าดีกว่าครับประธานอวี้! ความสามารถของผมมีจำกัด แค่ให้ตำแหน่งงานปกติกับผมก็พอ”
สวีเซี่ยงจวินโบกมืออย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ในทางกลับกัน เมื่อผู้จัดการหวังได้ยินคำสั่งนี้ เขาก็มองคู่พ่อลูกคู่นี้ด้วยความสงสัย มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำให้ประธานของเขาเอ่ยปากพูดเป็นการส่วนตัวให้แบบนี้
คำสั่งนี้เขาจำเป็นต้องจัดการให้ถี่ถ้วน!
โชคดีที่เขารู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัท ซึ่งในไม่ช้าเขาก็มีทางเลือกหลายทางในใจ
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ เขาต้องถามคุณสมบัติของอีกฝ่ายก่อน
ถึงแม้ว่าประธานของเขาจะต้องการมอบตำแหน่งดี ๆ ให้กับคน ๆ นี้ แต่คนผู้นี้ก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งงานนั้น ๆ ได้เหมาะสมเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของประธานของเขาเสียหายได้
“ผมขอถามคุณสักหน่อย ปัจจุบันคุณจบการศึกษาถึงระดับไหน?”
“การศึกษา? เอ่อ…ผมแค่…ผมเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษา แต่ผมอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี และผมสามารถเป็นคนขนของในสายการผลิตทั่วไปได้!”
สวีเซี่ยงจวินตอบกลับอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำถาม
ผู้จัดการหวังไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย คนรุ่นก่อน ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็จบระดับการศึกษาแค่ชั้นประถมเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“เราพอจะมีตำแหน่งที่เหมาะสมกับเขาไหม?”
“แน่นอนว่ามีครับท่านประธาน บริษัทของเราเพิ่งขยายฝ่ายการผลิตเพิ่มเกือบสองเท่าจากเดิม ดังนั้นเราจึงยังขาดอีกหลายตำแหน่งที่ต้องการจ้างเพิ่ม ในเมื่อท่านต้องการจ้างชายคนนี้ผมจึงขอแนะนำให้เขารับตำแหน่งพนักงานดูแลความเรียบร้อยโกดังสินค้าใหม่ของเราที่เพิ่งสร้างเสร็จ”
ผู้จัดการหวังวางตำแหน่งให้สวีเซี่ยงจวินได้อย่างรวดเร็ว
“งานนี้ไม่ยากเย็นอะไร เนื้องานเป็นแค่การตรวจสอบรถที่เข้าออกโกดัง และตรวจดูคนขับรถว่ามีบัตรผ่านรึเปล่าก็แค่นั้น หรือบางครั้งอาจจะมีคำสั่งพิเศษให้ทำบ้างประปราย และชั่วโมงการทำงานก็แค่แปดชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ เงินเดือนที่เขาจะได้รับยังสูงกว่าพนักงานในสายการผลิตทั่วไปถึง 50%”
ผู้จัดการหวังมองดูสีหน้าของเจ้านายตัวเองตลอดเวลาในระหว่างที่เขาอธิบายเงินเดือนและข้อกำหนดของตำแหน่งนี้โดยละเอียด
งานนี้เรียกได้ว่าดีมากเลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้ว เวลาผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ มอบตำแหน่งงานให้ญาติพี่น้องของตัวเอง พวกเขามักจะมอบตำแหน่งประมาณนี้ให้
หลังจากฟังจบ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขารู้สึกว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ไม่สูงเกินไปไม่ต่ำเกินไป และมองไปที่สวีเซี่ยงจวินที่อยู่ด้านข้าง
“ฉันคิดว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ว่าแต่นายว่ายังไง?”
“แน่นอน! มันดีมาก ๆ เลย! ผมยินดีทำอย่างแน่นอน!”
สวีเซี่ยงจวินรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้งานตำแหน่งดีขนาดนี้!
นี่ดีกว่างานก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่เขาเคยทำมา!
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้ หลังจากนี้ผมขอรบกวนคุณด้วยก็แล้วกันผู้จัดการหวัง”
อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้า บทสรุปนี้ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อสวีเซี่ยงจวินมีรายได้ ชีวิตของสวีรุ่ยก็จะดียิ่งขึ้น
หลังจากได้ยินคำสั่ง ผู้จัดการหวังก็ส่งสัญญาณให้สวีเซี่ยงจวินเดินตามเขาออกไป
“ตามผมมา โกดังอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวผมจะพาไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ทำงานและรายละเอียดของหน้าที่ที่คุณจำเป็นต้องรู้”
อวี้ฮ่าวหรานมองดูทั้งสองคนออกไป และหลังจากที่ประตูออฟฟิศปิดลง เขาจึงมองไปที่สวีรุ่ย
บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
หกโมงเย็น
เมื่อหลี่หรงพาถวนถวนกลับมาถึงคอนโด ห้องของอวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงล็อกแน่น
ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับการบ่มเพาะ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
อันที่จริง ต่อให้ประตูจะไม่ได้ล็อก แต่ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณด้านใน หากคนธรรมดาจะเปิดประตูเข้าไปก็คงไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี
หลังจากดูดซับโบราณวัตถุทีละชิ้นจนหมด พลังวิญญาณในร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หนาแน่นจนเข้าสู่จุดปะทุ!
ทันใดนั้น!
การไหลเข้าของพลังวิญญาณจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ทะเลวิญญาณในตันเถียนของอวี้ฮ่าวหรานระเบิดออกครั้งใหญ่คล้ายกับเหตุการณ์บิ๊กแบง จากนั้นมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฟุ้งกระจายในจุดตันเถียนก็ค่อย ๆ ควบแน่นกันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายดวงดาว
“เฮ้อ…ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จ”
อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว
ในเวลานี้ ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน และเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งคิดถึงหลี่เม่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่กลับมายังโลกมนุษย์ และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของตัวเองเลย และในแง่ของความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน มันยังเร็วเกินไปที่จะสามารถท่องโลกนี้ไปทั่วได้อย่างปลอดภัย
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง
ในห้องนั่งเล่นมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หลี่หรงได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยไว้บนโต๊ะแล้ว
“พี่เขยในที่สุดพี่ก็ออกมาสักที มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว”
เมื่อพี่เขยของเธอออกมาจากห้องเธอก็เอ่ยทักเขาทันที
“โทษทีที่วันนี้ต้องให้เธอลำบากไปรับถวนถวน ทั้ง ๆ ที่เธอต้องกลับมาทำอาหารต่ออีกแบบนี้”
อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขอโทษ แต่การทะลวงระดับเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งกลางคันและออกไปรับถวนถวนได้อย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน
อย่างไรก็ตาม หลี่หรงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เธอจึงไม่รบกวนเขาเลยในระหว่างที่ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง
“ไม่เป็นไรพี่เขย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ที่พี่มาช่วยจัดการปัญหาในบริษัทให้ฉัน บริษัทของฉันก็เลยสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมจนฉันไม่ต้องปวดหัวอีกเลย”
หลี่หรงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร กลับกันเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ได้แบ่งเบาภาระให้อวี้ฮ่าวหราน
“พ่อจ๋า!”
ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนก็วิ่งออกจากห้องของตัวเองมาพร้อมกับมือที่ถือขนม และตามมาด้วยสุนัขสองตัวที่คล้ายคลึงกัน
“พ่อจ๋า ถวนถวนอยากบอกข่าวดีกับพ่อ!”
เด็กน้อยในเวลานี้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานบังเกิดความสนใจ หลี่หรงก็ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้
“พี่เขย นั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเดี๋ยวฉันอธิบายเอง” เธอส่งชามข้าวให้ชายหนุ่มก่อน แล้วพูดต่อว่า “ครูสอนเปียโนเห็นว่าถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น เธอจึงอยากให้ถวนถวนเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับเยาวชนที่กำลังจะจัดขึ้นในเมือง”
“การแข่งขันเปียโน?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองลูกสาวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“เอาสิ! ในเมื่อถวนถวนมีความสามารถจนครูเห็นแววขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปแข่งกันเลย!”
ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องเรียนเปียโนของถวนถวน ชายหนุ่มแค่ให้ถวนถวนไปเรียนเพราะไม่อยากขัดใจหลี่หรงก็แค่นั้น ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของเขาจะเก่งจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แบบนี้?
“คุณครูหลิวบอกว่าถวนถวนน่าทึ่งมาก หลังจากที่เรียนได้แค่เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็เก่งกว่าเด็กคนอื่นที่เรียนมาเป็นปีซะอีก”
ถวนถวนเข้ามาใกล้ในขณะนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตา ก็แสดงสีหน้าอย่างมีชัย
“ฮ่า ๆ! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกสาวของอวี้ฮ่าวหรานย่อมเหนือกว่าคนอื่น ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานปรบมือ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
หลังอาหารเย็น อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงก็พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโนต่ออีกสักพัก และหลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็กลับเข้าห้องเพื่อบ่มเพาะอีกรอบ
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งทะลวงระดับมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน เขาจึงจำเป็นต้องปรับรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองให้มั่นคง
—
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนไปเรียนเปียโนเช่นเคย แต่เมื่อเขาเห็นหลิวว่านฉิง เขาก็ถามเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโน
ในห้องพักครู
“ใช่ ถวนถวน มีพรสวรรค์จริง ๆ มือของเธอคล่องแคล่วมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน”
หลิวว่านฉิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมความสามารถของถวนถวนในเวลานี้
“เธอเป็นเด็กหัวไวที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยทีเดียว”
“เอาละ ขอบคุณที่ครูหลิวส่งเสริมลูกของผมเสมอมา ว่าแต่การแข่งจะเริ่มเมื่อไหร่”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ลูกสาวของเทพฮ่าวหรานนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนธรรมดา
“การแข่งขันจะเริ่มวันมะรืนนี้ และเมื่อการแข่งขันนี้จบลงมันก็จะเป็นช่วงเดียวกับที่คลาสเปียโนภาคฤดูร้อนของเราสิ้นสุดลง”
หลิวว่านชิงตอบกลับ
“ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดีที่สุด หากผู้ปกครองจริงจังกับเรื่องนี้มากสักหน่อย พรุ่งนี้ชั้นเรียนเปียโนจะหยุดหนึ่งวัน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คุณควรพาถวนถวนไปฝึกซ้อมต่อด้วย เพื่อช่วยให้ถวนถวนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในวันแข่งขัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำอำลาและจากไป
หลังจากส่งลูกสาวของตัวเองเรียบร้อย เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของตัวเอง
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้
ในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเรื่องของถวนถวนและเปียโน
การฝึกซ้อมที่คอนโดอาจมีเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านร้องเรียนได้ แถมสถานที่มันก็เล็กไปสักหน่อยกับการนำเปียโนตัวใหญ่ไปวาง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกผู้จัดการหวังให้เข้ามาหา
“ผมต้องการให้บริษัทของเรามีห้องเปียโน ผมต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้”
“หา?”
ผู้จัดการหวังตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนี้
พวกเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกล การมีห้องเปียโนในบริษัทมันจึงดูแปลกสุดกู่!
“ท…ท่านประธาน นี่คุณพูดจริงงั้นเหรอ?”
เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ผมจริงจัง! ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องการให้ห้องเปียโนสมบูรณ์แบบที่สุด เอาแบบที่มืออาชีพใช้งาน!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเขาแน่วแน่มาก
“ลูกสาวของผม ถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโน ดังนั้นในอนาคตผมอาจจะให้ลูกสาวมาซ้อมที่นี่”
เนื่องจากการซื้อเปียโนไปไว้ที่คอนโดไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างห้องเปียโนในบริษัทมันซะเลย
ผู้จัดการหวังพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
ประธานของเขาตามใจลูกมากเกินไปหน่อยไหม? พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองชอบไปเล่นที่สวนสนุก ประธานของเขาก็สร้างสวนสนุกในบริษัทขึ้นมา และมาตอนนี้พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนมาแล้วดันเก่ง ประธานของเขาก็สั่งให้สร้างห้องเปียโน…
“รับทราบครับท่านประธาน! ไม่มีปัญหา บริษัทมีห้องเก็บเสียงที่สร้างเสร็จเอาไว้อยู่แล้ว เราแค่ต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย วันนี้วันเดียวก็น่าจะเสร็จ”
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้กิจการบริษัทกำลังไปได้สวยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย
ในตอนเย็น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปรับถวนถวน เขาก็บอกข่าวดีกับลูกสาวของตัวเอง
“จริงเหรอ พ่อจ๋า! หนูจะมีเปียโนเป็นของตัวเองงั้นเหรอ!”
เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากเรียนเปียโนมาได้เป็นเดือน เธอก็ตกหลุมรักเปียโนเข้าเต็มเปา
“แน่นอน!”
อวี้ฮ่าวหรานยืนยัน
บทที่ 360 เด็ก 4 ขวบแสนน่าทึ่ง
บทที่ 360 เด็ก 4 ขวบแสนน่าทึ่ง
เมื่อเสี่ยวเสวี่ยนั่งลงเริ่มเล่นเปียโน ทุกคนถึงกับตกตะลึง
“หือ? เด็กคนนี้…ฝีมือดีเลยนะ!”
“ใช่แล้ว เก่งมาก รู้สึกเหมือนมีสไตล์เป็นของตัวเองเลย”
“นี่สิถึงเรียกว่าการแข่งขัน เด็กก่อนหน้านี้เทียบไม่ติดเลย”
“…”
เมื่อท่วงทำนองดังขึ้น ผู้ชมต่างกระซิบกระซาบคุยกัน เพราะการแสดงของเด็กหญิงคนนี้น่าจับตามองมาก
ทั้งยังได้เสียงปรบมือชื่นชมจากเหล่าคุณครูที่นั่งชมอยู่
“ฮ่า ๆ อาจารย์หวัง นึกไม่ถึงว่าศิษย์ของคุณจะเก่งขนาดนี้ น่าทึ่งมาก!”
“เทียบกับเด็กคนนี้ ศิษย์ที่ฉันพามาดูด้อยไปเลยล่ะ”
คุณครูที่อยู่รอบข้างเอ่ยชม สีหน้าอาจารย์หวังฉายแววเปี่ยมความภาคภูมิใจ
“เด็กคนนี้มาแข่งเอารางวัลจริง ๆ ดีกว่าคนที่มาแข่งเอาประสบการณ์มากโข”
อาจารย์รอบข้างพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ แต่ฉันว่าอาจารย์หวังเองก็ตาแหลมถึงได้มองออกว่าเธอเป็นอัจฉริยะ”
“แต่มีบางคนคิดจะเทียบกับคุณอยู่น่ะสิ โถ่เอ๊ย…ลูกวัวเกิดใหม่ไม่คิดกลัวเสือเลย”
“…”
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กัน ด้วยจงใจถากถางหลิวว่านชิงซึ่งอยู่แถวนั้น
ไม่นานการแสดงได้สิ้นสุดลง
“คะแนนรวมของเฉินเสี่ยวเสวี่ยคือ… 8.8 คะแนน!”
ผลคะแนนที่ออกมาชวนให้ผู้ชมฮือฮา อย่างไรเสียที่ผ่านคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ถึง 6 คะแนนเท่านั้น ได้คะแนนเท่านี้นับว่าสูงมาก
จบการแสดง สีหน้าเสี่ยวเสวี่ยดูเหมือนจะคาดหวังในใจ เธอโค้งให้คณะกรรมการก่อนลงจากเวทีไป
ภายในห้องรับรอง
“ที่เหลือขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้ว ฉันได้ 8.8 คะแนน” เธออดจะโอ้อวดคะแนนตนเองไม่ได้เมื่อเดินผ่านห้อง
เวลานี้มีเด็กเป็นสิบคนภายในห้อง พวกเขาต่างอยู่ในอาการตื่นเต้น หากแต่เมื่อได้ยินเช่นนี้กลับนิ่งเงียบกันหมด
พวกเขาไม่หลงเหลือความมั่นใจอีกต่อไป
“ฮึ่ย! ถวนถวนต้องทำได้ดีกว่าแน่!”
ถวนถวนอดโพล่งขึ้นไม่ได้ ตอนนี้เธอนึกหวั่นไหวอยู่บ้าง
อย่างไรเสียเด็กหลายคนก็ได้คะแนนเพียง 5 ถึง 6 คะแนนเท่านั้น ตัวเธอจะมีฝีมือมากกว่าสักเท่าใดกัน?
การแสดงต่อไปเริ่มขึ้นในไม่ช้า
บางคนแสดงได้อย่างน่าประทับใจ มีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สุดท้ายได้คะแนนไป 6.9 คะแนน
หากขึ้นแสดงก่อนหน้านี้ คงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจ แต่ตอนนี้ทุกคนได้ชมการแสดงของเสี่ยวเสวี่ยแล้ว จึงไม่มีท่าทีแปลกใจ
“ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปคืออวี้ซินถวน!”
ถวนถวนเดินขึ้นมาบนเวทีเมื่อพิธีกรประกาศชื่อ
ดวงตาฉ่ำจ้องมองผู้ชมเบื้องหน้า เธอไม่ตื่นเวทีแม้แต่น้อย
เด็กหญิงสวมชุดกระโปรงสีขาวเข้ารูป ผมยาวดำขลับ แก้มใสพองเผยแววตื่นเต้น ยิ่งทำให้ดูน่ารักน่าชัง
“เด็กคนนี้น่ารักดีนะ เสียดายที่มาแข่งตอนยังเด็กอยู่ อาจจะยังฝีมือไม่ถึง”
“น่ารักจริง ๆ แหละ กล้ามาแข่งทั้งที่ยังอายุน้อยขนาดนี้”
“อื้ม ไม่ได้แค่น่ารักนะ แต่ว่ายังดูมั่นใจมากด้วย เห็นไหมว่าไม่ตื่นเวทีเลย”
“…”
ทุกคนต่างทึ่งในความน่ารักของเด็กหญิง แต่ไม่มีใครคิดว่าเธอมีความสามารถ
ถึงอย่างไรเด็กที่อายุมากกว่าเธอครึ่งปีก็ยังไม่สามารถเล่นเปียโนเพลงเดียวได้จบ
ด้านที่นั่งของคุณครู อาจารย์หวังก็เอ่ยขึ้นอย่างนึกดูถูก
“เด็กคนนี้เป็นศิษย์อาจารย์หลิว ฉันว่าอย่างน้อยก็คงเก่งพอจะเล่นจนจบเพลงนะ”
ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อายุแค่นี้เอง ให้มาแข่งตั้งแต่เด็กแบบนี้ทำไมล่ะ?”
“ใช่แล้ว อาจารย์หลิว คุณยังด้อยประสบการณ์ ถ้าเสียชื่อหลังการแข่งครั้งนี้จะไม่แย่เอาเหรอ?”
“ฉันว่าอาจารย์หลิวประมาทเกินไปแล้วนะคะ อายุ 5 ขวบเองนี่? เด็กคนนี้อาจดูโน้ตเพลงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำก็ได้ค่ะ”
“…”
ทุกคนต่างวิจารณ์กัน หลิวว่านชิงเม้มปาก นิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
ความจริงเธอกลัวว่าถวนถวนจะตื่นเวที ถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชมมากมาย
บนเวที
หลังโค้งทักทายให้คณะกรรมการ ถวนถวนนั่งลงหน้าเปียโน ท่าทีของเธอดูสงบนิ่งท่ามกลางแสงไฟที่ฉายส่องมาหา
ไร้ซึ่งความขัดเขิน ไร้ซึ่งอาการตื่นเวที ตอนนี้เด็กน้อยดูมั่นใจเต็มที่ เพราะเธอเห็นพ่อกับน้าของเธอแล้ว
มือเล็กบรรจงวางลงบนแป้นเปียโน! ท่าทางคล่องแคล่วไม่สมวัยเริ่มบรรเลงดนตรี!
เสียงเปียโนนุ่มนวลอ่อนหวาน บ้างคล้ายสายน้ำไหลเอื่อย บ้างคล้ายนกน้อยขับร้องแผ่วเบา
ไร้ซึ่งที่ติ…ท่วงทำนองเสนาะหูดังก้องทั่วโถง!
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่พลันเงียบลง
พวกเขาจับจ้องมือเล็กที่ขยับไหวไปมากลางแสงไฟด้วยความอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อสายตนเองว่าต้นเสียงนี้จะมาจากเด็กหญิง!
ผู้ชมตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงเปียโนแสนไพเราะก้องกังวาล!
กระทั่งทุกคนได้สติรู้สึกตัว!
“พระเจ้าช่วย! เด็กอายุเท่านี้เอง!”
“เก่งมาก! เก่งจริง ๆ! เธอเล่นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
“ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ได้ยินกับหู ใครจะไปเชื่อ!”
“…”
ทุกคนเอ่ยชมกับยกใหญ่
หากเป็นการแข่งขันระดับผู้ใหญ่คงไม่น่าแปลกใจอย่างแน่นอน หากแต่เป็นฝีมือของเด็กอายุไม่ถึง 5 ขวบดีด้วยซ้ำ!
เป็นธรรมดาที่เหล่าผู้ชมจะทึ่งจนถึงขั้นพูดไม่ออก!
เทียบกับเด็กคนก่อนหน้านี้ที่สามารถเล่นได้จนจบเพลงเท่านั้น ถือว่าต่างกับราวฟ้ากับเหว!
หลี่หรงมองถวนถวนเปล่งประกายกลางแสงไฟราวหงส์ขาว ทำเอาไม่อาจเชื่อว่าหลานสาวเป็นคนเล่นเพลงนี้
“ฮ่าวหราน…ฉัน…ฉันฝันไปหรือเปล่า?”
หญิงสาวพึมพำพลางหันมองหน้าพี่เขยซึ่งนั่งข้าง ๆ อวี้ฮ่าวหรานยื่นมือไปหยิกแก้มเธอ
ชายหนุ่มปลาบปลื้มใจเช่นกัน แม้เขาจะเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การแสดงของถวนถวนวันนี้ก็ยังคงชวนให้เขาอึ้ง
“โอ๊ย! พี่เขย หยิกฉันจริงเลยเหรอ!” หลี่หรงเจ็บแก้มเล็กน้อยโวยขึ้นทันที ยกมือขึ้นจะทุบอีกฝ่าย
หากแต่สายตากลับอดหันไปมองบนเวทีไม่ได้
“เก่งมาก! ถวนถวนของเราเป็นอัจฉริยะชัด ๆ! เก่งพอ ๆ กับตอนฉันอายุ 20 เลย”
เธอเอ่ยชมไม่ขาดปาก แววภาคภูมิใจฉายชัดบนสีหน้า ฝีมือหลานสาวดีกว่าเธอมาก!
ตอนนั้นเธอตั้งใจฝึกซ้อมทุกวัน มีอาจารย์คอยสอนให้ แต่สุดท้ายเธอกลับไม่เอาอ่าวในเรื่องนี้
สวี่รุ่ยถึงกับตกตะลึง เธอไม่รู้ว่าถวนถวนจะเล่นเปียโนเก่งถึงเพียงนี้
ต่อให้เธอเล่นเปียโนไม่เป็น แต่ยังฟังออกว่าไพเราะขนาดไหน
“นี่…นี่มัน…”
เธอตกใจเสียจนพูดไม่ออก อาจารย์หวังซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหน้าเปลี่ยนสีทันที!
ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าฉายแววเหลือเชื่อ
“มัน…เป็นไปได้ยังไง…เด็กตัวเท่านี้เอง!”
เธอเป็นครูสอนเปียโน ย่อมฟังท่วงทำนองออกว่ามีฝีมือเก่งกาจ อีกทั้งเวลานี้เหล่าคุณครูที่อยู่ข้างเธออึ้งไปเช่นกัน…
ความสามารถของเด็กคนนี้คนละชั้นกับเด็กคนอื่น!
มันเทียบเท่ากับเด็กชั้นมัธยมปลาย ทั้งยังเหนือกว่าเด็กชั้นประถม!
บทที่ 337 การกลับมาขององค์กรอสรพิษ
บทที่ 337 การกลับมาขององค์กรอสรพิษ
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายและถามขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง? เดือดร้อนเรื่องอะไรบ้างรึเปล่า?”
“ไม่…ไม่มีอะไรอีกแล้ว เรื่องเดียวที่ฉันไม่สบายใจคือการเห็นพ่อของฉันนั่งกังวลอยู่ที่บ้านทุกวันแค่นั้น ฉันขอบคุณคุณมากจริง ๆ”
สวีรุ่ยเอ่ยขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าเขารวย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อเห็นความใหญ่โตของบริษัทของอีกฝ่าย
ที่นี่น่าจะมีคนทำงานเป็นพันคน ซึ่งเมื่อเทียบกับโรงเรียนอนุบาลเธอที่มีคนทำงานยังไม่ถึงยี่สิบคน มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ไม่เป็นไร สำหรับผมเรื่องนี้มันเล็กน้อยมาก ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณที่บ้านเอง พ่อของคุณจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับงานจนถึงช่วงเย็น คุณรอเขาไม่ไหวหรอก”
เมื่อเห็นการขอบคุณที่จริงใจของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยและเริ่มพูด
“ฉ…ฉันกลับเองดีกว่า”
ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธ แต่สีหน้าของเธอกลับดูมีความสุข
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เช้า ๆ แบบนี้ผมไม่มีงานอยู่แล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานไม่พูดอะไรต่ออีก เขาก็เดินไปเปิดประตูออฟฟิศของตัวเองแล้วผายมือเชิญอีกฝ่ายให้ออกไปกับเขา ซึ่งทำให้สวีรุ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินตามออกไป
อวี้ฮ่าวหรานให้อีกฝ่ายไปรอเขาที่หน้าประตูตึกสำนักงาน ส่วนตัวเขานั้นลงไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อขับรถขึ้นมารับ
สวีรุ่ยรออยู่ที่บริเวณแถวหน้าประตูทางเข้าตึก แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแมวร้อง
“หืม? เสียงแมวนี่นา”
จากนั้นจู่ ๆ แมวสีขาวตัวน้อยก็โผล่ออกมาจากกอหญ้าในสวนหน้าตึก
ทันทีที่เธอเห็นแมวน้อยน่ารักตัวนี้ สวีรุ่ยก็ย่อตัวลงไปลูบไล้มัน
แมวสีขาวตัวนี้ไม่กลัวคนเลย หางของมันปัดป่ายไปมาและมันเอาหัวของมันถูมือของสวีรุ่ยอย่างเป็นมิตร
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมาจอดที่หน้าประตูตึก
จากระยะไกล เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สวีรุ่ยกำลังลูบแมวขาวด้วยสีหน้ามีความสุข เขาจึงลงจากรถและเดินเข้าไปถาม
“คุณชอบแมวงั้นเหรอ?”
“ใช่ ฉันอยากเลี้ยงมันมาก่อน แต่พ่อของฉันไม่เคยหางานที่มั่นคงทำได้เลย ดังนั้นฉันเลยไม่กล้าเลี้ยงเพราะกลัวว่ามันจะอดอยาก…”
สวีรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองอวี้ฮ่าวหราน แม้ว่าในใจของเธอจะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่เธอก็พร้อมที่จะจากไป
“ถ้าชอบก็เก็บไว้ แมวตัวนี้มันคือแมวจรจัดที่ชอบแอบเข้ามาในบริษัท”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ
“หืม? ฉัน…ฉันเลี้ยงมันได้งั้นเหรอ?”
สวีรุ่ยไม่แน่ใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“แน่นอน ตอนนี้พ่อของคุณมีงานที่มั่นคงทำแล้ว ดังนั้นอนาคตของคุณมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แค่เลี้ยงแมวตัวเดียวไม่มีปัญหาหรอก!”
หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานพูดให้ความมั่นใจ สวีรุ่ยก็ก้มลงอุ้มแมวขึ้นมาด้วยสีหน้าเบิกบาน
จากนั้นทั้งสองก็ออกจากบริษัทไป
…
อีกด้านหนึ่ง ภายในบริษัทชิวเฮิง
บรรยากาศในชั้นบนสุดของบริษัทเวลานี้มีบางอย่างผิดปกติ!
ทั้งชั้นเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ!
อย่างไรก็ตาม หากมองดี ๆ พนักงานทุกคนในชั้นนี้ต่างผล็อยหลับกันทุกคนโดยไม่ทราบสาเหตุ!
ภายในห้องประธานบริษัท
“พ…พวกนายกล้าบุกเข้ามาที่นี่ได้ยังไง!?”
เฉิงกัวอันมองดูสามคนข้างหน้าเขาด้วยความโกรธ
“น่าตลกสิ้นดี! แกคิดว่าแกเป็นใคร? ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนั้นปกป้องแก สาขาของเราในเมืองนี้ก็สามารถลบแกออกไปจากโลกได้อย่างง่ายดาย!”
ชายร่างผอมราวกับกิ่งไม้เอ่ยขึ้นอย่างถากถาง
ชายใส่สูทดำทั้งสามคนยืนขวางอยู่ที่ประตูห้อง กลิ่นอายที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นพิษ
“อสรพิษเงิน! ฉันรู้ว่าแกไม่พอใจกับการที่ฉันถอนตัวออกมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ฉันเองก็ทำลายจุดตันเถียนของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ทำไมแกถึงยังตามล่าฉันอยู่อีก!?”
เฉิงกัวอันจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างดุเดือด
ชายที่ถูกเรียกว่า ‘อสรพิษเงิน’ หัวเราะเบา ๆ
“หึหึ ทำไมฉันถึงต้องตามล่าแกงั้นเหรอ? การที่แกถอนตัวออกจากองค์กรของเราไปแบบนั้น มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสมาชิกขององค์กรคนอื่น ๆ ยังไงล่ะ! หากสมาชิกทุกคนต้องการทำแบบแกบ้าง พวกเราจะเป็นยังไง? องค์กรอันทรงเกียรติของเรามันจะเละเทะขนาดไหนหากมีคนทำแบบแกสักสิบหรือยี่สิบคน?”
ขณะนี้สายตาของอสรพิษเงินเย็นชาเป็นอย่างมาก
“วันนี้ฉันตั้งใจว่าจะยังไม่ฆ่าแกกับลูกสาวที่นี่ และถ้าหากแกให้ความร่วมมือและนำตัวอวี้ฮ่าวหรานมาให้ฉัน บางทีฉันอาจจะปล่อยพวกแกพ่อลูกไปก็ได้!”
“แก! ทำไมแกถึงยังตามจองเวรฉันแบบนี้! ฉันลาออกมาตั้งนานแล้ว! แถมฉันก็ยอมทำลายความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อให้ได้ออกมา!”
เฉิงกัวอันตะโกนอย่างเศร้าโศกและโกรธเคือง
เขาเคยเป็นหัวหน้าสาขาขององค์กรอสรพิษ ดังนั้นเขาจึงรู้จักชายตรงหน้าเขาเป็นอย่างดี
ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของชายผู้นี้ ผู้คนต่างเรียกเพียงชื่อเล่นเท่านั้นซึ่งก็คือ อสรพิษเงิน เขาคือหนึ่งในปรมาจารย์ของตำหนักคุมกฎภายในองค์กรอสรพิษ
เขาคือปรมาจารย์ที่อยู่ในขั้นจุดสูงสุดของพลังภายใน!
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ เฉิงกัวอันจะไม่ทำลายจุดตันเถียนของตัวเอง เขาก็ยังไม่สามารถเป็นศัตรูกับชายคนนี้ได้อยู่ดี
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! มากับพวกฉันแต่โดยดี! ไม่งั้นฉันจะกรอกยาพิษใส่ปากลูกสาวของแก!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินยอมที่จะร่วมมือด้วย อสรพิษเงินจึงข่มขู่อย่างเย็นชา
ในเวลานี้ เฉิงชิวอวี้กำลังนอนสลบไสลอยู่บนโซฟา โดยไม่สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเฉิงกัวอันเห็นเช่นนี้ เขาก็ตื่นตระหนกอย่างมาก เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวของตัวเองต้องมารับเคราะห์จากอดีตอันมืดมนของเขา!
“ได้! ฉันจะไปกับแก!”
เขาตกลงอย่างรวดเร็ว
“แต่แกต้องสาบานว่าแกจะไม่ทำร้ายลูกสาวของฉัน แล้วฉัน…แล้วฉันจะเต็มใจทำทุกอย่างตามที่แกสั่ง”
เมื่อเห็นฉากนี้ อสรพิษเงินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“ตกลงง่าย ๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ทำไมต้องให้ฉันขู่แกอยู่เรื่อยเลย?”
เขาเหลือบมองเฉิงชิวอวี้ซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เขาบนโซฟา
“แต่… ลูกสาวของแกนี่ช่างร้อนแรงจริง ๆ! จิ๊ จิ๊ ฉันล่ะไม่อยากจะปล่อยไปเลย”
“แกกำลังจะทำบ้าอะไร!!”
เฉิงกัวอันตะโกนสุดเสียงด้วยความโกรธเมื่อเห็นแววตาหื่นกระหายของอีกฝ่าย!
เขาอุตส่าห์ยอมตกลงด้วยแล้ว อีกฝ่ายยังจ้องจะเล่นงานลูกสาวของเขาแบบนี้ได้ไง!
“เออ ๆ ฉันยังไม่ทำอะไรลูกสาวของแกหรอก ตราบใดที่แกว่านอนสอนง่าย! แต่หลังจากนี้เมื่อไหร่ที่ฉันบอกให้แกเรียกไอ้อวี้ฮ่าวหรานมา แกต้องทำตามแต่โดยดี ไม่งั้นแล้วล่ะก็…หึหึ”
อสรพิษเงินมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม ชะตากรรมของคู่พ่อลูกนี้ถูกกำหนดไว้นานแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เมื่อไหร่ที่อวี้ฮ่าวหรานถูกฆ่าเรียบร้อย พ่อลูกคู่นี้ก็จะถูกตัดสินโทษให้ตายอย่างอนาถเช่นกัน!
คนที่ถอนตัวจากองค์กรอสรพิษได้มีแต่คนตายเท่านั้น!
“พาพวกมันออกไป!”
หลังจากหยอกล้อเสร็จแล้ว เขาก็สั่งหัวหน้าสาขาอีกสองคนที่มาด้วยกันนำตัวคู่พ่อลูกตระกูลเฉิงออกไป
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานส่งสวีรุ่ยกลับบ้านเรียบร้อย เขาก็หยุดแวะดูโกดังที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่
เขาไม่ได้อยากจะให้ความสำคัญกับสวีเซี่ยงจวินมากนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงชีวิตในอนาคตของสวีรุ่ย เขาจึงจำเป็นต้องให้ความสนใจสักหน่อย
ในไม่ช้ารถสปอร์ตก็หยุดลงใกล้ ๆ กับโกดัง
“งานก็จะมีประมาณนี้ เวลาตอนกลางวันนายต้องคอยเดินตรวจตราทุกระยะ…ตระเวนไปให้ทั่ว…”
ทันทีที่เขามาถึงประตูโกดัง เสียงของผู้จัดการหวังก็ดังขึ้นจากด้านใน
เมื่อผลักประตูเข้าไป อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นว่าสวีเซี่ยงจวินกำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของคน ๆ นี้ยังพอใช้ได้อยู่
ทางด้านของผู้จัดการหวังเมื่อเห็นประธานของตัวเองเข้ามา เขาก็รีบเอ่ยทักขึ้นทันที
“ท่านประธาน สวีเซี่ยงจวินเรียนรู้งานได้รวดเร็วพอสมควร ผมคิดว่าเขามีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับงานที่นี่”
“ผมให้สัญญาว่าผมจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้ท่านประธานผิดหวังแน่นอน!”
สวีเซี่ยงจวินรีบโค้งตัวรับรองทันที มันไม่ง่ายเลยที่จะได้งานดี ๆ แบบนี้
อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่เสแสร้ง สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะราบรื่นกว่าที่เขาคิด