ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ

บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ

บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ

เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหวังเหยียนแล้ว โจวเฟยหู่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ

“เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโจวเฟยหู่ก็พูดขึ้นอย่างจนใจ

ตอนนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลอุบายใด ๆ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ต่อไป…

หลังจากสูญเสียพี่น้องไปมากมาย ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันได้

ในเวลาเดียวกัน อู๋หมิ่น ผู้นำตระกูลอู๋ ก็ได้ติดต่อกับศิษย์ของสำนักลึกลับแห่งหนึ่งเรียบร้อย…

ในห้องโถงของตระกูลอู๋ อาการบาดเจ็บของอู๋หมิ่นยังไม่หายดี และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาออกมาจากละครย้อนยุค

แต่ด้วยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งทำให้ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยการแต่งกายที่แปลกประหลาดนี้แน่นอน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังนั่งอย่างสบาย ๆ ในตำแหน่งที่นั่งของอู๋หมิ่น!

“เจ้ากำลังบอกว่าชายหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้ตระกูลอู๋วอดวายได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? นี่เจ้าดูแลตระกูลอู๋แบบไหน ทำไมพวกเจ้าถึงตกต่ำได้ขนาดนี้?”

ชายวัยกลางคนทำตัวราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กำลังดุด่าลูกหลานตัวเอง ซึ่งคนที่เขากำลังดุด่าอยู่ก็คือ อู๋หมิ่น

“ช…ชายหนุ่มคนนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดา! ผมได้จ้างปรมาจารย์มาแล้วมากมาย แต่ปรมาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มคนนั้น และลูกชายของผม อู๋เส้าฮัวก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน!”

อู๋หมิ่นดูวิตกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามเถียง

อย่างไรก็ตาม คำพูดเถียงนี้กลับทำให้ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าดูถูกมากยิ่งขึ้น

“ฮ่า ๆ จ้างพวกปรมาจารย์งั้นเหรอ? แล้วไง? ไอ้พวกที่เจ้าจ้างมามันต่างจากคนธรรมดาตรงไหน?”

เขามองหน้าอู๋หมิ่นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน”

“ผม…ผมไม่รู้…”

อู๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่กลิ่นอายความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก

“เฮอะ ช่างมีความรู้ต่ำต้อยอะไรขนาดนี้! ช้าผู้นี้ชื่ออู๋ลั่น เพื่อเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดเดียวกัน ข้าจะบอกเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ว่าเหนือว่าขั้นพลังภายในที่เจ้าเคยรู้จัก ยังมีระดับที่เรียกขอบเขตก่อรากฐาน!”

“ก่อรากฐาน?”

อู๋หมิ่นพึมพำราวกับเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง

“ถูกต้อง ขอบเขตก่อรากฐานคือการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นผู้อมตะ ซึ่งความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบเทียมได้ และข้าเองคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อรากฐาน!”

ชายวัยกลางคนชื่ออู๋ลั่นพูดช้าๆ

ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มอบเงินให้กับสำนักของเขาเป็นจำนวนมหาศาล เขาคงไม่มีทางเสียเวลาคุยกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน

อู๋หมิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตพลังภายในมาก่อนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกตกตะลึงและงุนงงในเวลาเดียวกัน

“ถ…ถ้างั้นก็หมายความว่า…ท่านทรงพลังมากเลยใช่ไหม?”

เขาไม่อยากเชื่อเลย ถ้าหากตระกูลของเขามีปัญญาสร้างคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงถูกทิ้งให้ดูแลตระกูลอู๋อยู่ที่นี่มาตลอด? ทำไมเขาถึงไม่ได้มีโอกาสบ่มเพาะบ้าง?

ถ้าเขาสามารถเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานได้ เขาก็จะสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่หรือตระกูลไหน ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดาย จนสามารถทำให้ตระกูลอู๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ทำไมตระกูลของเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้?

อู๋ลั่นรู้ทันความคิดของอู๋หมิ่นเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยโดยไม่ลังเลเลย…

“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ อย่าคิดเพ้อเจ้อให้เสียเวลา การบ่มเพาะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าก็จะไม่มีวันทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตก่อรากฐานได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเทียบได้กับข้าผู้นี้งั้นเหรอ?”

หลังจากนั้น อู๋ลั่นก็รู้สึกไม่อยากจะคุยไร้สาระอะไรอีกต่อไป เขาถามถึงรายละเอียดของภารกิจโดยตรง

อู๋หมิ่นไม่ลังเลเมื่อถูกถามถึงเรื่องภารกิจ เขาพูดทุกอย่างที่เขารู้ทันที

หลังจากนั้นไม่นาน อู๋ลั่นก็พยักหน้าเล็กน้อย

“เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่ามา ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด เขาถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้า เรื่องนี้จึงไม่สามารถตำหนิเจ้าได้ในการที่เจ้าจัดการกับเขาไม่สำเร็จ”

หลังจากพอจะเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ อู๋ลั่นจึงสรุปเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง

“ใช่ ตระกูลอู๋ของผมไม่มีพลังที่จะต่อกรจริง ๆ ได้โปรดช่วยผมกำจัดชายหนุ่มคนนั้นให้ผมที!”

อู๋หมิ่นอ้อนวอนอีกครั้ง

เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ลั่นเองก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้าตกลงอย่างไร้กังวล

สองวันต่อมา

“พ่อจ๋า ๆ หนูอยากไปเล่นที่บริษัทของพ่อวันนี้! หนูคิดถึงเพื่อน ๆ ของหนูที่นั่น!”

วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กน้อยจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษ ดังนั้นเธอจึงตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ห้องของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตื่นเต้นและตะโกน

“โอเค พ่อตกลง!”

เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่โตของลูกสาว และเห็นว่าเด็กน้อยคาดหวังมาก อวี้ฮ่าวหรานก็ตกลงในทันที

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็ออกไป

ถวนถวนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตคันใหม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดูตื่นเต้นอย่างมาก

รถสปอร์ตวิ่งออกไปจากเขตที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงย่านไร้ผู้คน ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเหยียบคันเร่งเพิ่ม ร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางถนน!

ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาหลุดมาจากยุคโบราณ

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเหยียบเบรกอย่างรุนแรงทันที!

อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่อสูรที่ไร้หัวจิตหัวใจ เขาไม่สามารถขับรถชนคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่าไม่ได้

หลังจากเบรกอย่างเร่งรีบ รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็หยุดนิ่งกลางถนน!

รถสปอร์ตคันนี้คู่ควรกับเงินเกือบสิบล้านเป็นอย่างมาก ระบบเบรกของมันยอดเยี่ยมกว่ารถคันเก่าของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้

หากเป็นรถคันเก่า ระยะห่างสั้น ๆ แบบนี้รถไม่มีทางหยุดทันแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลย เขามองดูอวี้ฮ่าวหรานอย่างเฉยเมยพร้อมกับเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งนี้…นี่มันผิดปกติ

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงจากรถไปถาม ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวก็ตะโกนถามขึ้นก่อน

“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?!”

น้ำเสียงของชายเสื้อคลุมเขียวหยิ่งผยองมาก

“เพื่อเห็นแก่ที่เจ้ามีไหวพริบดีไม่ขับรถพุ่งเข้าชนข้าเหมือนคนโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าโดยจะปล่อยให้ศพของเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์!” เขาเยาะเย้ย

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่มาขวางทางเขาคือศัตรู ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงลงจากรถ

“แกเป็นใคร แกรู้จักฉันได้ยังไง?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าผู้นี้เป็นใคร เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องตายวันนี้”

ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกราวกับว่าเขากำลังพูดกับมดแมลง

“แต่ก็เอาเถอะ ข้าบอกให้เจ้ารู้สักนิดหน่อยก็ได้ว่าข้าเป็นคนที่ตระกูลอู๋ส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า อย่างน้อย ๆ หลังจากรู้เรื่องนี้เจ้าจะได้ไม่ตายอย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าใครฆ่าเจ้า!”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าจะฆ่าฉันได้?”

เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งหลังจากที่มองดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย…

บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล

อวี้ฮ่าวหรานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ทำอะไรลงไปเลย พร้อมกับเหลือบมองไปที่ชายหัวล้านและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก

“อยู่แค่ขอบเขตกำลังภายนอกแท้ ๆ กลับกล้าเสนอส่งเสียงดังต่อหน้าฉัน ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวบ้างเลยจริง ๆ!”

หลังจากที่ต่อยอีกฝ่ายจนปลิวได้ขนาดนี้ ไม่มีใครกล้าดูถูกคำพูดของเขาอีกแล้ว

“แก…แกอย่าได้ใจไปนักนะโว้ย ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มีคนที่แข็งแกร่งกว่าแกอีกมากมาย! ต่อให้แกจะแข็งแกร่งกว่าฉันแต่หลังจากนี้แกไม่รอดแน่!”

แม้ว่าชายหัวล้านจะบาดเจ็บจนอาเจียนเป็นเลือด แต่ก็ยังสามารถตะโกนข่มขู่เสียงดังได้

“แกทำร้ายสมาชิก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ แบบนี้ แกไม่มีทางรอดแน่!”

ในตอนแรกพวกแขกในร้านอาหารรวมไปถึงพนักงานของร้าน เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจได้บ้าง แต่แล้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ สีหน้าของเขาทุกคนก็มืดมนลงอย่างกะทันหันกับความจริงที่โหดร้าย

ในสายตาของคนทั่วไป ปัจจุบันแก๊งพยัคฆ์เวหาคือแก๊งที่มีอิทธิพลที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!

ดังนั้นไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแก๊งที่มีอิทธิพลและกำลังคนเป็นร้อย ๆ คน ไม่ช้าก็เร็วคน ๆ นั้นจะต้องตายอย่างน่าอนาถในท้ายที่สุด!

แต่ในทางกลับกัน เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’อีกครั้ง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันที

“หึหึ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนว่าแก๊งพยัคฆ์เวหาที่แกพูดถึงจะจัดการกับฉันคนนี้ยังไง!”

แปดนาทีผ่านไปตั้งแต่เขาโทรหาโจวเฟยหู่

ในเวลาเดียวกันนี้!

รถ SUV มากกว่าหนึ่งโหลพุ่งเข้ามาเบรกอย่างรุนแรงที่ด้านนอกร้านอาหาร!

ทันใดนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์สวมสูทดำและแว่นกันแดดจำนวนมากก็เปิดประตูลงจากรถ!

โจวเฟยหู่รีบวิ่งเข้ามาในร้านอาหารทันทีที่เขาลงจากรถ และหัวหน้าสาขาอีกแปดคนก็วิ่งตามมาติด ๆ อย่างรวดเร็ว

ชายหัวล้านและจินเส่า เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเบิกบานสุดฤทธิ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักโจวเฟยหู่จริง ๆ!

“ห…หัวหน้าโจว! ขอบคุณมากที่คุณอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเอง! นี่เลย ไอ้ลูกหมานั่นมันดูถูก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มันบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ น่าขยะแขยง! มันดูถูกพวกเราทุกคนเลย!”

จินเส่ารีบวิ่งเข้ามาหาโจวเฟยหู่เป็นคนแรกและปั้นเรื่องใส่ร้ายอวี้ฮ่าวหรานทันที

เขาไม่คิดเลยว่าโจวเฟยหู่จะมาที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้หลังจากที่เขาแค่โทรหาอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว!

วันนี้ไอ้สารเลวคนที่กล้าตบหน้าเขาต้องตายแน่!

แต่ในทางกลับกัน ชายหัวล้านกลับรู้สึกอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ

สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ดีเลย!

อันที่จริงเขานั้นไม่ใช่คนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เขาเป็นแค่รองหัวหน้าแก๊งขนาดเล็กที่ตกลงจะร่วมมือกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ในการต่อกรกับแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่ง

ด้วยความลำพองใจหลังจากเป็นพันธมิตรกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ หลายครั้งเขาจึงแอบอ้างว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เพื่อขู่ให้คนอื่นกลัวเขามากกว่าเดิม

ดังนั้น “แก๊งพยัคฆ์เวหา” ตัวจริงจะคาดโทษเขาแน่นอนหากรู้ว่าตัวเขาชอบอ้างชื่อพยัคฆ์เวหาเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว

แต่จินเส่าไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเต็มที่

“หัวหน้าโจว เอาเลย! จัดการไอ้เวรนั่น…”

พลั่ก!

แต่แล้วขณะที่จินเส่าพูดขึ้นยังไม่ทันจบประโยค เขาก็โดนต่อยเข้าเต็มท้องน้อยจนทรุดลงไปนอนตัวงอเหมือนกุ้งทันที

โจวเฟยหู่โกรธสุดขีดจนควันแทบออกหู!

ไม่จำเป็นต้องมีใครอธิบายเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่! ไอ้ลูกหมาพวกนี้กำลังยั่วยุอวี้ฮ่าวหรานภายใต้ชื่อแก๊งของเขา!

“บัดซบ! ขยะอย่างแกกล้าดียังไงมาทำเรื่องชั่วโดยอ้างชื่อ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ของฉัน??”

โจวเฟยหู่กระชากคอเสื้อของจินเส่า และยกตัวอีกฝ่ายขึ้นจากพื้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล!

“วันนี้แกตายแน่! ฉันจะฆ่าแกในข้อหาที่แกกล้าล่วงเกินน้องชายของฉัน!”

จินเส่าที่เพิ่งโดนชกท้องยังไม่หายงุนงง

“ช…ชกผมทำไม? อ…ไอ้ผู้ชายคนนั้นต่างหากที่ทำร้ายคนของคุณ แถมมันยังบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เป็นขยะทั้งหมด!”

เพี้ยะ!!

เมื่อโจวเฟยหูได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตบไปที่หน้าจินเส่าอย่างแรงจนฟันของอีกฝ่ายร่วงแทบจะหมดปาก!

“น้องอวี้ไม่ใช่คนที่แกจะพูดจาหมา ๆ ใส่ได้โว้ย! และถ้าเขาบอกว่าพวกของฉันเป็นขยะ พวกฉันก็คือขยะกันทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น!”

อวี้ฮ่าวหรานคือตัวตนที่สามารถกำหนดความเป็นตายของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ได้อย่างใจนึก ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โจวเฟยหู่ก็ไม่มีทางที่จะกล้าโกรธเคืองหรือล่วงเกินอวี้ฮ่าวหรานไม่ว่าด้วยเหตุผลใด

ตอนนี้จินเส่าเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว! ตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้

ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้ล่วงเกินตัวตนที่น่ากลัวสุด ๆ เข้าให้แล้ว!

“ลากไอ้เวรนั่นมาตรงนี้ให้ฉัน!”

หลังจากที่โจวเฟยหู่ตบหน้าจินเส่าไปอย่างแรง เขาก็ชี้ไปที่ชายหัวล้านซึ่งกำลังนั่งทรุดอยู่ตรงกำแพง

หัวหน้าสาขาซึ่งอยู่ในขอบเขตพลังภายในสองคนพุ่งตรงไปหาชายหัวล้านและลากตัวมาให้โจวเฟยหู่อย่างรวดเร็ว

“แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าแกเป็นคนของสาขาไหนในแก๊งพยัคฆ์เวหาของฉัน! ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าแกเลย?”

เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้น่าจะแอบอ้างชื่อแก๊งของเขามาสร้างเรื่องชั่ว

“ผม…ผม จริง ๆ แล้วผมอยู่ในแก็งค์มังกรดิน…แก๊งของผมเป็นแก๊งเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนี้…”

“แก๊งมังกรดิน? โอ้ ฉันจำได้แล้ว ดูเหมือนว่าแก๊งของแกจะมาเข้าร่วมประชุมพันธมิตรครั้งล่าสุดด้วยใช่ไหม!”

ถึงแม้ว่าสีหน้าของโจวเฟยหู่จะเย็นชาอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

จากนั้นเขารีบหันศีรษะไปพูดอย่างจริงใจกับอวี้ฮ่าวหรานที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ “น้องอวี้ นายได้ยินแล้วใช่ไหมว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกมันเอาชื่อแก๊งของฉันมาแอบอ้างต่างหาก!”

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับการทำสงครามกับแก๊งฉลามคลั่งเช่นนี้ โจวเฟยหู่ไม่ต้องการให้อวี้ฮ่าวหรานผิดหวังกับแก๊งของเขา ไม่งั้นแก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะพบกับจุดจบ หากไม่มีอวี้ฮ่าวหรานคอยช่วยเหลือ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าเขารับรู้

จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อไป เขาหันกลับไปชิมอาหารที่เฉิงชิวอวี้แนะนำให้เขาลองลิ้มรสอย่างสบาย ๆ ต่อ

อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็นการพยักหน้าเล็กน้อยนี้ มันก็ทำให้โจวเฟยหูรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งรอดจากโทษประหาร!

ก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับโทรศัพท์และได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจและผิดหวังของอวี้ฮ่าวหราน เขาตกใจมากจนหัวใจเกือบหยุดเต้น แล้วก็รีบรวมคนและตรงดิ่งมาที่นี่ทันที

ในเวลานี้ เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับว่ามีคนยกภูเขาออกจากอกของเขาไปแล้ว

“น้องอวี้ เชิญนายกินต่อตามสบายได้เลย! ฉันสัญญาว่าหลังจากนี้ ไอ้สองตัวนี้จะไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นอีกตลอดไปแน่นอน!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปกินอาหารต่อ โจวเฟยหู่จึงไม่กังวลอะไรอีกต่อไป เขาหันไปสั่งให้คนของเขาลากทั้งจินเส่าและชายหัวล้านรวมไปถึงนักเลงสิบกว่าคนที่มากับชายหัวล้านออกไปจากร้าน!

บรรดานักเลงที่มากับชายหัวล้านต่างก็เดินตัวสั่นออกไปจากร้านแต่โดยดีโดยไม่ขัดขืนอะไรเลย

ตลกเถอะ!

ต่อหน้าคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา หากพวกเขากล้าขัดขืน พวกเขาคงจะถูกฆ่าตายในทันที!

บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้

บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้

อวี้ฮ่าวหรานไม่จำเป็นต้องฆ่าสามคนนี้ เพราะเขาไม่มีความแค้นอะไรกับอีกฝ่าย

“แน่นอน!”

พอผู้อาวุโสหลินได้ยินคำพูดนั้น เขาจึงรีบยืนยันทันที

แค่ล้อเล่นเท่านั้นเองน่า…เขาไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนั้น จะยังคิดลงมือฆ่าได้อีกเหรอ?

“ฮึ่ม กลัวว่าจะมีคนอื่นมาสมทบน่ะสิ!”

ตอนนั้นเอง อวี้ฮ่าวหรานก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชา

ชายหนุ่มรู้ดีว่า แม้แต่จอมยุทธ์ในแต่ละสำนักยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แถมยังมีความแตกต่างมากมาย

“เรื่องนี้…ฉันช่วยไม่ได้จริง ๆ พอเดินกลับไปที่ประตู ฉันทำได้แค่ห้ามพวกเขาไว้แค่นั้น”

การแสดงออกของผู้อาวุโสหลินไม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นแม้แต่น้อย แม้อู๋ลั่นจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมาง แต่ตอนนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว

ในความคิดเห็นของผู้อาวุโสหลิน การต่อสู้กับปรมาจารย์ลึกลับคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดมากนัก โดยเฉพาะตระกูลอู๋ที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์

แต่ยังมีหลายคนในสำนักที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอู๋ลั่น

ถึงยังไงคนพวกนี้ก็ไม่มีทางนิ่งเฉย

พอได้ยินแบบนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็หลับตาลงเพื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ

“พวกแกไปได้แล้ว คราวหน้าถ้าอยากมาเยี่ยมเยือนกันอีก ฉันก็ยินดีต้อนรับเสมอ”

น้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่น้อย…

“ยังไงก็เถอะ ถ้าแกกล้าแตะต้องคนในตระกูลฉันอีก ฉันไม่ปล่อยคนของแกไว้แน่! ฉันจะตามฆ่าพวกมันให้หมด!”

พูดจบ จิตสังหารรุนแรงของชายหนุ่มก็ได้แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้นทันที!

ด้วยจิตสังหารอันรุนแรง ดูเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังจะกลายเป็นสีแดงฉาน!

ทั้งสามคนรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที ราวกับชายหนุ่มที่กำลังยืนหันหลังเป็นปีศาจที่จ้องจะกินเลือดเนื้อมนุษย์!

ผู้อาวุโสหลินนั้นรู้สึกหวาดหวั่นกว่าใคร ชายตรงหน้าคนนี้เคยฆ่าคนด้วยจิตสังหารอันรุนแรงแบบนี้ไปแล้วกี่คน?!

แม้แต่การฆ่าล้างเมืองหรือการฆ่าล้างตระกูลก็ยังเทียบไม่ได้กับพลังของอีกฝ่าย!

แต่ผู้อาวุโสหลินกลับไม่รู้เอาเสียเลย ว่าจิตสังหารที่เปี่ยมไปด้วยพลังนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่!

ในอดีตแค่แผ่จิตสังหารออกมา สิ่งมีชีวิตนับล้านต่างก็พากันคุกเข่าร้องขอชีวิตต่อชายหนุ่ม ช่างเป็นพลังทำลายล้างที่รุนแรงมหาศาล!

เมื่อต้องเผชิญกับบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ อู๋ชิงรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด เพลิงโทสะที่ลุกโชนถูกดับจนมอดลงในทันที

ความรู้สึกนั้น ทำให้อู๋ชิงตระหนักว่าตัวเองเพิ่งถูกหยามเกียรติ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที

หลังจากการขู่เตือน อวี้ฮ่าวหรานหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังแล้วเดินจากไป

วันนี้เขาปล่อยให้สามคนนั้นยังมีชีวิตรอด ก็เพราะเห็นแก่ครอบครัว

ถึงยังไงมันก็ถือเป็นความลับของสำนักโลกเร้นลับ ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของมัน

การฆ่าอู๋ลั่นแค่คนเดียวอาจไม่ได้สร้างความเคียดแค้นมากมาย แต่ถ้าฆ่าทั้งสามคน เขากลัวว่าอาจเป็นการนองเลือดที่ไม่มีวันจบสิ้น

ถ้ายังอยู่ในโลกของเทพเซียนเหมือนกับในอดีต อวี้ฮ่าวหรานก็คงลงมือฆ่าเศษสวะพวกนี้ไปแล้วแน่ ๆ!

กว่าจะเดินทางกลับมาถึงบริษัทก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงตรงดิ่งไปที่ห้องซ้อมเปียโนทันที

เวลานี้ถวนถวนคงกำลังฝึกซ้อมอยู่สินะ เสียงเปียโนดังกังวานในห้องฝึกซ้อม

เขานั่งฟังอย่างเงียบ ๆ

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงจินตนาการไม่ออกแน่ว่าบทเพลงไพเราะนี้ลูกสาวของเขาเป็นคนบรรเลง

พรสวรรค์นี้ทรงพลังไม่น้อย คงทำให้ทุกคนตกตะลึงกันใหญ่

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดด้วยความภาคภูมิใจ

ในที่สุดก็มาถึงตอนเช้าตรู่ หลี่หรงเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น

วันนี้เธอตั้งใจลางานหนึ่งวันเพื่อไปดูการแข่งขันของถวนถวน

หลังจากผ่านช่วงเช้าอันแสนวุ่นวาย ในที่สุดอาหารเช้าก็ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว

“พี่เขย เมื่อวานพี่เป็นคนพาถวนถวนไปซ้อม ฝีมือหลานเป็นยังไงบ้าง?”

ระหว่างนั่งรับประทานอาหาร หลี่หรงก็ถามด้วยความสงสัย

เธอไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนอย่างจริงจังสักครั้ง ฉะนั้นจึงไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ฉันได้ยินมาว่าถึงจะเป็นการแข่งขันสำหรับเด็ก แต่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบที่มีฝีมือก็มีอีกหลายคน ฉันกลัวว่าถวนถวนจะกดดันตัวเองเกินไป”

หญิงสาวกลัวว่าถวนถวนจะถูกรังแก

หลังจากได้ยินลูกสาวบรรเลงเพลงเมื่อวาน สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ไม่ต้องห่วง ไม่รู้ซะแล้วว่าถวนถวนเป็นลูกสาวใคร!

“ฮ่า ๆ! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นสินะ! เก่งมาก!”

สีหน้าของถวนถวนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยความภูมิใจไม่ต่างกัน

หลี่หรงแอบมองสองพ่อลูกอยู่เงียบ ๆ

“ดีมาก! เจ๋งสุด ๆ!”

ไม่นานทั้งสามคนก็รับประทานอาหารกันจนอิ่ม

การแข่งขันเปียโนถูกจัดขึ้นที่โรงยิมใจกลางเมืองในเวลาเก้าโมงเช้า

หลังจากใช้เวลาเดินทางไปกว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่จัดงานในเวลาแปดโมงเช้า

ณ ข้างหลังเวที

“พวกคุณอยู่กันที่นี่เอง ถวนถวนเป็นนักเรียนที่ฉันภาคภูมิใจที่สุดเลยค่ะ!”

ทันทีที่พวกเขามาถึง หลิวว่านฉิงก็ออกมาต้อนรับทันที

“สวัสดีค่ะอาจารย์หลิว!”

เมื่อถวนถวนเห็นอาจารย์ เธอรีบทักทายด้วยความเคารพ หลิวว่านฉิงโผเข้ากอดเด็กน้อยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

“ถวนถวนเก่งมาก วันนี้อาจารย์จะเป็นกำลังใจให้หนูเอง”

เธอเป็นครูสอนพิเศษที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปีนี้

“หืม? คนด้อยประสบการณ์อย่างเธอกล้าสอนคนอื่นด้วยเหรอ?”

ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เดินผ่านหน้าครูสาวไปด้วยความรังเกียจ

“เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของเธอเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นรู้จักกับหลิวว่านฉิง

“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“อืม…ไม่มีอะไรหรอก อันดับการแข่งขันของลูกศิษย์เธอต่ำลงทุกปี ฉันเลยกลัวว่าเด็กคนนี้จะจำโน๊ตเพลงไม่ได้ด้วยซ้ำ”

อาจารย์หญิงวัยกลางคนจงใจดูถูกพลางถอนหายใจ จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเด็กหญิงอายุราวเจ็ดหรือแปดขวบที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “เอาล่ะ เสี่ยวเสวี่ย หนูซัดคู่แข่งให้หมอบไปเลยนะจ๊ะ”

เด็กหญิงคนนั้นหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แต่พอเธอมองมาที่ถวนถวน สายตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเหยียดหยาม

“ได้เลยค่ะอาจารย์หวัง!”

จากนั้นเด็กหญิงจึงนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนเพื่อฝึกซ้อมต่อไป เธอเลือกเพลงตามใจชอบก่อนบรรเลงตามตัวโน้ต!

ไม่นานเสียงเปียโนอันไพเราะเพราะพริ้งก็ดังขึ้น

เด็กหญิงคนนี้มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบ แต่ฝีมือในการเล่นเปียโนกลับเก่งกาจไม่น้อย พวกเขาจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีรังเกียจถวนถวน

“โอ้…ใครเป็นคนบรรเลงเพลงไพเราะเพลงนี้กัน?”

ท่วงทำนองอันแสนไพเราะดึงดูดความสนใจผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงทันควัน

“ใช่ ๆ ชั้นเรียนของเรามีคนที่ฝีมือขนาดนี้ด้วยเหรอ? น่าเสียดายที่พวกเราเข้าร่วมชมการแข่งขันจัดอันดับครั้งนี้ไม่ได้”

“โอ้โห อัศจรรย์มาก… เด็กน้อยคนนี้บรรเลงถูกต้องทุกตัวโน้ตเลย”

“…”

หลังจากหยุดฟังไปสักพัก หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะออกปากชื่นชม ใบหน้าของอาจารย์หวังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“นี่สิถึงจะเรียกว่าเหมาะสมกับการแข่งขัน ลูกศิษย์ของเธอฝีมือด้อยเกินไป อย่าเสียเวลาเลย”

ตอนนี้หญิงวัยกลางคนถือว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าหลิวว่านฉิง ดังนั้นเธอจึงเหยียดหยามอีกฝ่ายไม่หยุดปาก

หลี่หรงรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย เนื่องจากเด็กหญิงตรงหน้ามีฝีมือในการเล่นเปียโนที่เก่งเกินไป

หญิงสาวไม่ได้ฝึกมือเล่นเปียโนมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้จะได้รับอนุญาตให้เข้าแข่งขัน แต่ฝีมือของเธอยังเทียบกับเด็กหญิงอีกคนไม่ได้

“พี่ฮ่าวหราน พวกเราพาถวนถวนเข้าไปข้างในกันเถอะ อย่ามัวเสียเวลาเลย…”

เรื่องการส่งเสริมให้ถวนถวนเรียนเปียโน เป็นความคิดและความคาดหวังของเธอทั้งหมด หลี่หรงจึงกลัวว่าหลานสาวจะถูกโจมตีจนเสียความมั่นใจ และเกลียดการเล่นเปียโนไปตลอดชีวิต

ถึงอย่างนั้น สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานและหลิวว่านฉิงก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทั้งสองรู้ระดับความสามารถของถวนถวนดีที่สุด

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ อาจารย์หวังจึงรู้สึกเบื่อหน่าย

“โธ่เอ๊ย ครูรุ่นใหม่จะฝึกสอนใครให้เก่งได้ ผู้ปกครองต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้ว”

พอได้ยินแบบนั้น หลิวว่านฉิงอดกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ไม่ได้ สีหน้ามืดมนลงกว่าเดิม

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท