ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 327 กระถางธูป

บทที่ 327 กระถางธูป

บทที่ 327 กระถางธูป
บทที่ 327 กระถางธูป

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วมองไปที่ชายชราที่ทุกคนเรียกว่าประธานเจ่า ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

“ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อย จึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอะไรสักเท่าไหร่ ผมขอเสียมารยาทถามได้ไหมว่าคุณคือ?”

“ฮ่าฮ่า ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ นอกจากนี้ ฉันยังมีโรงแรมอยู่ในเครืออีกหลายแห่งกระจายอยู่ในเมืองฮ่วยอัน และมีธุรกิจต่าง ๆ อีกนิดหน่อย น้องชาย นายรู้ไหมว่าฉันอยากจะเจอนายมาตั้งนานแล้ว!”

ประธานเจ่าหัวเราะเสียงดัง เมื่อได้ยินคำถามของอวี้ฮ่าวหราน จากนั้นเขาก็ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง

ด้วยทัศนคติเชิงบวกขนาดนี้ ผู้คนรอบ ๆ ที่มองดูอย่างสนใจอยู่ก็รู้สึกไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไม ประธานเจ่าถึงช่วยพูดให้กับชายหนุ่มคนนี้ กลายเป็นว่าทั้งสองรู้จักกันจริง ๆ

“อ้อ ที่แท้คุณคือประธานเจ่าผู้โด่งดังนี่เอง”

เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าอย่างสุภาพ

ผู้คนรอบ ๆ เมื่อคลายสงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอวี้ฮ่าวหราน และประธานเจ่าแล้ว พวกเขาก็พากันแยกย้ายไปในทุกทิศทาง

ในขณะนี้ เฉียนเซายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าว่างเปล่า สีหน้าของเขาซีดขาว และในใจก็รู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่งยวด!

“แม่งเอ๊ย! ที่แท้ไอ้เวรนั่นมันรู้จักกับประธานเจ่านี่เอง! ฮึ่ม! แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ ฉันต้องแก้แค้นแกให้ได้!”

เขาพึมพำด้วยความอาฆาตแค้น

หากเขาไม่สามารถล้างแค้นเรื่องวันนี้ได้ มันจะเป็นแผลในใจที่เขาไม่อาจรักษาได้ตลอดชีวิต!

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนอื่นรังแก ตามปกติแล้วเขาต้องเป็นคนรังแกคนอื่นสิวะ!

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ เดินห่างออกไปไกลแล้ว และไม่มีใครเห็นหัวของเขาเลยสักคน

“ฮ่าฮ่า จริงด้วย! จริงด้วย! น้องชายนี่เก่งในเรื่องดูโบราณวัตถุอย่างที่น้องหลินพูดจริง ๆ ด้วย!”

ยิ่งสนทนามากขึ้นเท่าไหร่ ประธานเจ่าก็ยิ่งรู้สึกถูกใจอวี้ฮ่าวหรานมากขึ้นเท่านั้น จนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมีความสุขมาก

เขาเป็นคนที่ชอบสะสมโบราณวัตถุอยู่แล้ว ดังนั้นการได้มาเจอกับอวี้ฮ่าวหรานที่มีความรู้เรื่องโบราณวัตถุมากมาย จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิม

“จริง ๆ แล้วการดูโบราณวัตถุก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่เราจำเป็นต้องศึกษาอ่านประวัติศาสตร์ให้มาก ๆ เท่านี้โอกาสที่จะดูของพลาดก็ลดลงแล้ว” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยกลับ

แต่แล้วจู่ ๆ ในขณะเดียวกันนี้ เลขาหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของประธานเจ่า

“อืม ๆ เข้าใจแล้วเธอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป”

หลังจากฟังคำพูดของเลขาตัวเองจบ ประธานเจ่าก็โบกมือให้อีกฝ่ายออกไปก่อน แล้วจากนั้นเขาจึงหันมาหาอวี้ฮ่าวหราน ซูหว่านเอ๋อ และหลินป๋อ ด้วยท่าทางขออภัย

“เอาละ เดี๋ยวฉันคงต้องขอตัวไปเตรียมเริ่มงานประมูลก่อน ส่วนพวกนายทั้งหมดก็นั่งรอกันตรงนี้แหละ อีกสักเดี๋ยวการประมูลก็จะเริ่มแล้ว”

“ได้เลยครับ ประธานเจ่า เชิญตามสบายเลย!”

หลินป๋อตอบกลับอย่างสุภาพในทันที

เมื่อประธานเจ่าจากไปได้แค่เพียงไม่นานการประมูลก็เริ่มขึ้น!

บรรดาเศรษฐีที่มาเข้าร่วมการประมูลต่างก็มานั่งลงทีละคนที่เก้าอี้ซึ่งถูกจัดวางเป็นแถวเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนอวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ ก็นั่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอการประมูลที่กำลังจะเริ่ม

“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย! การประมูลของชิ้นแรกของวันนี้ ผมขอภูมิใจนำเสนอ! กระถางธูปหยกเคลือบทองคำสมัยราชวงศ์หมิง! ต่อให้จะไม่นับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เอาแค่นับมูลค่าด้านฝีมือและวัสดุเพียงอย่างเดียว กระถางใบนี้ก็มีมูลค่าอย่างน้อยหลายล้านหยวน!”

พิธีกรจัดการประมูลบนเวทีแนะนำโบราณวัตถุชิ้นแรกของการประมูลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หลังจากนั้นแค่เพียงอึดใจเดียว กระถางธูปหยกที่ลงลวดลายด้วยทองคำอย่างวิจิตรงดงามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่บนเวทีอย่างรวดเร็ว อวี้ฮ่าวหรานเปิดใช้เนตรเทวะของเขาด้วยความสนใจอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ของชิ้นนี้ไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่เลย

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สนใจมันในทันที

ในทางกลับกัน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ กลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าขาว ๆ ของเธอในตอนนี้เปลี่ยนเป็นแดงเล็กน้อย

“นี่…มัน…มันสวยมาก ๆ เลย!”

เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก

ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอนนี้ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริง ๆ มีน้อยมากที่คนอายุน้อยแบบนี้จะชอบสะสมของเก่า

และยิ่งไปกว่านั้น เธอถึงขนาดมีห้องเก็บโบราณวัตถุอยู่ในบ้านอีกต่างหาก!

เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าใครเป็นคนปลูกฝังความสนใจนี้ให้กับสาวน้อยคนนี้?

แต่ในขณะเดียวกันนี้ การประมูลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

“กระถางธูปหยกที่ถูกเคลือบด้วยทองจากสมัยหมิงไท่จูของราชวงศ์หมิง นี่นับได้ว่าเป็นของหายาก…”

หลังจากที่การบรรยายแนะนำกระถางธูปจบลง บรรยากาศในห้องประมูลก็ดุเดือดขึ้นมาทันใด

“ราคาเปิดประมูลของกระถางธูปนี้คือ 10 ล้าน! แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญประมูลกันตามปรารถนาได้เลย!”

ทันทีที่พิธีกรประกาศจบ บรรดาเศรษฐีทั้งหลายต่างก็เริ่มเสนอราคาอย่างรวดเร็ว

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 11 ล้าน!”

คนที่ยื่นข้อเสนอครั้งแรกคือซูหว่านเอ๋อซึ่งถูกใจกับกระถางนี้เป็นอย่างมาก

เธอเพิ่มราคาขึ้นมาหนึ่งล้านทันที

สิ่งนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าที่บ้านของอีกฝ่ายจะเอ็นดูลูกสาวของตัวเองขนาดนี้จนให้เงินมาใช้ซื้อของเก่าราคาเป็นสิบล้านได้โดยไม่คิดอะไรมาก

“ฉัน… ฉัน…ที่ฉันมีเงินเยอะมันเป็นเพราะ…ที่ผ่านมาพอฉันโชคดีได้ซื้อของแท้มาในราคาถูก ๆ บางทีฉันก็เอาไปขายทำกำไรต่อ ดังนั้นฉันก็เลยพอจะมีเงินเก็บบ้าง…”

เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เหล่มองดูเธออย่างสงสัย ซู่หว่านเอ๋อก็รีบอธิบายอย่างร้อนรนทันที

หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พูดติดตลก

“น้องอวี้ นายรู้รึเปล่าว่า ถึงแม้หว่านเอ๋อร์จะอายุแค่นี้ แต่ในแง่ของความรู้ในการดูพวกโบราณวัตถุนั้นสาวน้อยคนนี้แก่กล้ากว่าฉันอีก ฮ่าฮ่า”

“ไม่จริงสักหน่อย…ลุงหลินเก่งกว่าหนูตั้งเยอะ!”

“ฮ่าฮ่า อย่าถ่อมตัวไปเลย อันที่จริงแล้วบางทีลุงก็เคยคิดเล่น ๆ เหมือนกันว่าถ้าหากผู้ชายคนไหนได้แต่งงานกับหว่านเอ๋อร์ ผู้ชายคนนั้นคงโชคดีสุด ๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเขาจะได้โบราณวัตถุในบ้านตระกูลซูไปครอบครอง และเขาก็คงรวยเละเลยละ ถ้าหากกอบโกยพวกมันไปขายทั้งหมด! ฮ่าฮ่า”

“ลุงหลิน!!”

ซูหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเขินอายเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แก้มของเธอแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด

“ฮึ่ม! หนูไม่พูดกับลุงหลินแล้ว!”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินป๋อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

ในตอนนี้ราคาของกระถางธูปหยกได้พุ่งขึ้นมาเป็น 18 ล้านแล้ว

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 19 ล้าน!”

ซูหว่านเอ๋อหันศีรษะกลับมาดูการประมูลอีกครั้ง และยกป้ายขึ้นทันทีด้วยความคาดหวังว่าเธอจะได้มันมาครอบครองในราคาที่ไม่แรงเกินไปนัก

“คงจะดีถ้าไม่มีใครแข่งมันกับฉัน”

เธอมองดูกระถางธูปหยกสีทองอันวิจิตรงดงามบนเวทีด้วยสายตาโหยหา และอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ

“สุภาพบุรุษหมายเลข 22 เสนอราคา 21 ล้านหยวน!”

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ความหวังของเธอพังทลายอย่างรวดเร็ว เมื่อมีคนยกป้ายแข่งราคากับเธอ

ต่อมาไม่นานนักราคาก็พุ่งไปถึง 24 ล้าน ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีกรอบ

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 25 ล้าน!”

เมื่อราคาสูงขึ้นไปถึงยี่สิบล้าน เสียงของผู้เข้าร่วมสู้ราคาก็เริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยี่สิบห้าล้านนั้นก็ยังไม่ใช่ขีดจำกัดในใจของใครหลาย ๆ คน

ในไม่ช้าก็มีคนยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีก

“หมายเลข 18 เสนอราคา 26 ล้าน!”

ทันทีที่ราคานี้ถูกขาน ซูหว่านเอ๋อก็แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน

เธอก้มศีรษะลง และพลิกดูโบรชัวร์การประมูลในมือ ดวงตาของเธอที่ดำราวกับไข่มุกดำมองดูที่รายชื่อสิ่งของการประมูลอันต่อไปอย่างไม่เต็มใจนัก

เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้ว่าราคาของกระถางธูปนี้มันเกินขีดจำกัดความอดทนของซูหว่านเอ๋อแล้ว ดังนั้นต่อให้เขาช่วยเธอไป เธอก็คงจะไม่ดีใจสักเท่าไหร่

แต่ในเวลานี้ หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขากลับพูดขึ้นเป็นคนแรก

“หว่านเอ๋อร์ หนูอยากได้กระถางนี้มาก ๆ เลยใช่ไหม? มา ๆ เดี๋ยวลุงซื้อให้เอง!”

เขามองหน้าสาวน้อยที่เขารักเหมือนหลานแท้ ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม

“หืม? ม…ไม่…ลุงหลิน อย่าเลยหนู…”

ซูหว่านเอ๋อ ตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย และเธอก็รีบปฏิเสธ

แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ปฏิเสธจบ หลินป๋อก็ได้เสนอราคาไปแล้ว

“สุภาพบุรุษหมายเลข 33 เสนอราคา 30 ล้าน!”

แน่นอนว่าเมื่อราคาดีดไปเป็นสามสิบล้าน ทุกคนในห้องก็เงียบเสียงไปทันที!

บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ

“ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมออกไปแต่โดยดี ดังนั้นพวกเราจึงต้องใช้กำลังเพื่อบังคับให้เขาออกไป”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของเขาเอง หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงไม่กล้าที่จะพูดจาแต่งเติมเรื่องแม้แต่น้อย เขาพูดเฉพาะในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นและได้ยินมา

ในเวลานี้เฉียนเซา เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงแรมออกมาแล้ว เขาก็มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมในทันที

“ใช่ ๆ! ไอ้ยาจกตัวนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ ๆ มันก็ทำร้ายเพื่อนของผมโดยที่พวกผมยังไม่ได้ทันทำอะไรมันก่อนเลย และโดยเฉพาะคำพูดคำจาของมันเย่อหยิ่งมากราวกับไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ท่านประธานควรจะไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้และประกาศห้ามให้เขามาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต!”

สีหน้าของเขาตื่นเต้นมากในขณะที่เขาพูด

คิดจะสู้กับเขางั้นเหรอ?

ในแวดวงชนชั้นสูงมีแต่คนรู้จักเขาเยอะแยะไปหมด คนจน ๆ คนหนึ่งจะมาสู้กับเขาได้ยังไง!

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลินป๋อเพิกเฉยต่อคำพูดของคนอื่น ๆ และหันไปหาเจ้าของโรงแรม

“ประธานเจ่า ชายหนุ่มคนนี้ไงที่วันนี้ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง เขามีความสามารถอย่างมาก แถมยังสามารถบริหารจัดการบริษัทใหญ่ยักษ์ด้วยตัวของเขาเองแค่คนเดียว!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม โดยไม่ได้ใส่ใจกับพวกบอดี้การ์ดของเขาหรือเฉียนเซาเลยแม้แต่น้อย

“อืม ช่างคนเป็นคนหนุ่มอายุน้อยที่น่าประทับใจจริง ๆ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาบ้างก่อนหน้านี้ แต่ไม่นึกเลยว่าตัวจริงจะดูดุดันมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก คนแก่อย่างฉันเทียบไม่ได้เลยจริง ๆ ฮ่า ๆ”

หลังจากพูดจบ ชายชราโบกมือให้บอดี้การ์ดของเขา

“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่ารบกวนแขกผู้มีเกียรติของฉัน”

เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดอึ้งไปในทันที ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง

“ท…ท่านประธาน แต่ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เริ่มสร้างปัญหาก่อน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านสั่งกับพวกเราหรอกเหรอว่าเราต้องจัดการพวกที่สร้างปัญหาให้กับเราอย่างเด็ดขาด?”

“นายแน่ใจเหรอว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนสร้างปัญหาก่อน? นายเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า? สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้ดูสุภาพที่สุดแล้ว!”

ชายชราผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ประธานเจ่า’ เมื่อได้ยินคำถามของลูกน้องตัวเอง เขาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรอบตัวเขาตกตะลึง

ที่พวกเขาตกตะลึงกันมากเป็นเพราะหนุ่มน้อยที่ประธานเจ่าบอกว่าเป็นคนสุภาพกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ในตอนนี้!

คนสุภาพแบบไหนที่เหยียบหน้าคนอื่นแบบนี้กัน???

ในเวลานี้ หลินป๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอารมณ์ดี

“ฮ่า ๆ น้องอวี้ นายรีบยกเท้าออกก่อนเถอะ นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อครู่นี้ นายก้าวพลาดจนตอนนี้กำลังเหยียบอยู่บนหน้าคนอื่นอยู่?”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูด เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก

“โอ้ จริงด้วย โทษทีเมื่อกี้ไม่ทันมอง!”

หลังจากพูดจบ เขาก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้คนที่เขากำลังเหยียบหน้าอยู่แล้วค่อยถอนเท้ากลับ

ทุกคนตกตะลึงมากกว่าเดิมกับบทสนทนานี้!

ก้าวพลาดจนเหยียบหน้าคนอื่น? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน!?

เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเมื่อกี้ไอ้หนุ่มนี่มันถีบคนอื่นก่อน แล้วจากนั้นก็เหยียบหน้าอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ!

ข้ออ้างแบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่สนใจการแสดงออกของทุกคนรอบ ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงแสดงทัศนคติที่เป็นมิตรต่ออวี้ฮ่าวหรานต่อไป

“ฮ่า ๆ นายเห็นแล้วหรือยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้องชายของฉันคนนี้หรอกที่สร้างปัญหา แต่เนื่องผู้คนที่นี่แออัดมาก ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการพลาดเหยียบกันขึ้น!”

เขายืนยันและจ้องไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยแววตาบอกเป็นนัยให้คล้อยตาม

หัวหน้าบอดี้การ์ดเห็นสิ่งนี้และเข้าใจในทันที

“อ…เอ่อ…ครับท่านประธาน! เมื่อครู่มันอาจจะเป็นผมเองที่ได้ยินผิดไป น้องชายคนนี้น่าจะไม่ได้สร้างปัญหาจริง ๆ มันน่าจะมีแค่ไอ้สองคนนี้ที่พยายามจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตเพื่อก่อกวนโรงแรมของเรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะโยนตัวปัญหาสองคนนี้ออกไปจากโรมแรมของเราทันทีครับท่าน!”

เขาเปลี่ยนทัศนคติทันที

ขณะพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ อย่างตกตะลึง

เขาพยายามเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?

ต้องรู้ว่าประธานของเขาเป็นคนที่เข้มงวดกับกฏระเบียบมากเสมอ ไม่มีสักครั้งเลยที่ประธานของเขาจะพูดละเว้นใครแบบนี้!

ทางด้านของฝูงชนเมื่อได้ยินคำพูดของประธานเจ่า พวกเขาก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม!

แออัดจนพลาดเหยียบหน้ากันเนี่ยนะ!? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน??

อ้างแบบนี้ก็ได้เหรอ?!

คนปัญญาอ่อนยังรับรู้ได้ว่านี่มันคือการแก้ตัวให้กันอย่างน่าไม่อายชัด ๆ!

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคำพูดนี้มันถูกเอ่ยออกมาจากปากของเจ้าของโรงแรม พวกเขาจะสามารถโต้แย้งอะไรได้?

หลังจากเห็นสถานการณ์ที่าพลิกผันขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบพลางมองคู่หนุ่มสาวอย่างสงสัย

“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมประธานเจ่าถึงพูดช่วยเขาขนาดนี้?”

“นี่มันเป็นการช่วยแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยสักนิด!”

“พระเจ้า ชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ พวกเรารีบไปยืนกันตรงอื่นดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหางเลขเอาได้ เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดช่วยเฉียนเซาไปด้วย!”

“…”

มีการพูดคุยกันมากมายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่หนุ่มสาวซึ่งก็คืออวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋ออีกแล้ว

ล้อเล่นเถอะ ขนาดเจ้าของโรงแรมยังออกโรงพูดช่วยขนาดนี้ ต้องโง่ขนาดไหนถึงยังจะกล้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคู่หนุ่มสาวคู่นี้อีก?

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นความบิดเบี้ยวนี้ เฉียนเซาก็โมโหจนแทบหัวระเบิด

“ไม่…นี่มันไม่ถูกต้อง! เมื่อกี้ไอ้เวรนี่มันตีเพื่อนของผมก่อนชัด ๆ! ทำไมคุณกลับพูดจาเข้าข้างมันแบบนี้ ผมไม่ยอม!”

เฉียนเซายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และความโมโหทำให้กระบวนการคิดของตัวเองสับสนไปหมดจนกล้าพูดเถียงคนที่เป็นถึงเจ้าของโรงแรมที่เขากำลังยืนอยู่!

แน่นอนว่าชายสองคนที่นอนอยู่ที่พื้นนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งกว่า

“พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาก่อนสักหน่อย! พวกเราถูกทำร้ายก่อนชัด ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เห็นเต็มสองตา!”

นี่มันบ้าอะไรกัน!

นี่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ากลับขาวเป็นดำใช่ไหม?

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สายตาของชายชรา หัวหน้าบอดี้การ์ดและลูกน้องกระโจนเข้าหาทั้งสองคนทันที!

“พวกคุณทั้งสองคนยังกล้าสร้างปัญหาในโรงแรมของเราอีกงั้นเหรอ! ได้! ในเมื่อเตือนกันแล้วไม่ฟังแบบนี้ถ้างั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ!”

หลังจากพูดจบ บอดี้การ์ดสี่คนก็รวมตัวกันและลากทั้งสองคนออกไป

“ไม่…ไม่…เราบริสุทธิ์!”

ระหว่างโดนลากชายทั้งสองคนยังคงตะโกนเรียกร้องความบริสุทธิ์ของตัวเองเสียงดังลั่น

นี่พวกเขาพลาดไปยั่วยุตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่? นอกจากพวกเขาจะโดนอัดแบบฟรี ๆ แล้วตอนนี้ยังต้องโดนลากออกจากงานประมูลด้วยเนี่ยนะ?

ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่ได้มองทั้งสองคนที่ถูกลากออกไปเลย แต่เขากลับมองไปที่เฉียนเซาด้วยแววตาจริงจัง

“คุณยังอยากจะพูดอะไรต่อไหมกับการตัดสินใจของฉัน? หรือว่าคุณไม่พอใจอะไรตรงไหนหรือเปล่า?”

คำถามที่เย็นชานี้ทำให้หัวใจของเฉียนเซาเต้นผิดจังหวะ

ฉันจะบอกไปว่าไม่พอใจได้ยังไง?!

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย ทรัพย์สินของชายชราผู้นี้รวยกว่าครอบครัวของเขามาก แม้ว่าพ่อของเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่สามารถเถียงชายชราคนนี้ได้!

หากตัวเองทำให้ชายชราคนนี้โกรธเคือง เมื่อเขากลับไปก็คงจะโดนพ่อถลกหนังเป็นแน่

“ผ…ผมพอใจแล้ว”

เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

“ฮ่า ๆ เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่า น้องอวี้ของฉันไม่เคยคิดที่จะสร้างปัญหาให้กับใคร นี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”

หลินป๋อหัวเราะเมื่อเรื่องนี้ได้รับการจัดการตามที่เขาต้องการ

อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะนี้ทำให้เฉียนเซารู้สึกเศร้าใจ

นี่มันเป็นการกลับขาวให้เป็นดำไม่ใช่หรือไง?

เห็นกันชัด ๆ ว่าเพื่อนของเขาถูกทำร้ายก่อน แต่ในท้ายที่สุดเพื่อนของเขากลับถูกลากออกไปซะงั้น

แถมอีกฝ่ายยังบังคับให้เขายอมรับว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดอีกต่างหาก…

บัดซบเอ๊ย!

ในขณะนี้ แม้แต่ซูหว่านเอ๋อที่ตอนแรกตื่นตระหนกก็ยังตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นฉากบังคับให้เข้าใจผิดแบบนี้มาก่อน

“ฮ่าว…ฮ่าวหราน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ในเวลานี้ ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย

“ฮ่า ๆ นี่แหละคือประโยชน์ของการมีอิทธิพล!”

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างสบาย ๆ

ตราบใดที่มีอำนาจมีพลัง เขาก็สามารถบังคับให้ใครก็ได้พูดว่าสีดำเป็นสีขาว และคนพวกนั้นก็จำเป็นต้องเชื่อว่ามันสีขาวอย่างไม่อาจเถียงได้

หลังจากที่เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว หลินป๋อก็เข้ามาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม

“เป็นไงบ้างน้องอวี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูนายสบายดีนะใช่ไหม?”

ในขณะนี้ สีหน้าของหลินป๋อดูปกติอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการบังคับและอ้างเหตุผลว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ

บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก
บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก

ราคาสามสิบล้านมันเกินมูลค่าของกระถางธูปหยกนี้มากเกินไปจนผู้คนไม่กล้าประมูลต่ออีก

ในไม่ช้า รายการประมูลนี้ก็สรุปผล

“หว่านเอ๋อร์ เดี๋ยวหลานเอาของชิ้นนี้กลับไปเก็บในห้องเก็บสมบัติของหลานได้เลย คิดซะว่าลุงมอบให้เป็นของขวัญในฐานะที่หลานทำตัวเป็นเด็กดีมาโดยตลอด”

หลังจากรับกระถางธูปมาแล้ว หลินป๋อก็หันศีรษะไปพูดกับซูหว่านเอ๋อ อย่างอ่อนโยน

“แต่…แต่…”

ซูหว่านเอ๋อลังเลมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอต้องการปฏิเสธ แต่เธอก็อยากได้กระถางธูปนี้มากจริง ๆ

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุงหลินบอกให้หลานรับไว้ก็รับเอาไว้เถอะ ก่อนหน้านี้ที่พ่อของหลานบังคับให้หลานแต่งงาน ลุงก็มัวแต่ติดธุระที่ต่างประเทศไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรจนไม่ได้ช่วยหลาน ไม่งั้นพ่อของหลานคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นแน่ เอาเป็นว่านี่ถือว่าเป็นการขอไถ่โทษจากลุงก็แล้วกัน”

หลินป๋อหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเธอแสดงสีหน้าชวนน่าเอ็นดู

เขาเอ็นดูซูหว่านเอ๋อมาตลอด ตอนนี้อายุเขาก็ปาเข้าไปถึงเลขสี่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีบุตรหลาน ดังนั้นเขาจึงมองซูหว่านเอ๋อเป็นเหมือนกับบุตรหลานแท้ ๆ ของเขาเอง

ก่อนหน้านี้เมื่อเขากลับมาจากการเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศและได้รู้ว่าตระกูลซูทำอะไรลงไป เขาก็รีบตรงดิ่งไปที่บ้านตระกูลซูเพื่อตำหนิ ซูกว่างไห่อย่างรุนแรงภายในคืนที่กลับมาทันที

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ซูกว่างไห่ตกตะลึงมากที่ลูกสาวของเขารู้จักคนที่มีอำนาจขนาดนี้

และเมื่อรวมกับการกระทำก่อนหน้านี้ของอวี้ฮ่าวหราน ตระกูลซูก็ยิ่งไม่กล้าโต้แย้งอะไรเลย

หลังจากการประมูลของชิ้นแรกจบไป ของชิ้นที่สองก็ถูกนำขึ้นมาประมูลอย่างรวดเร็ว มันเป็นแจกันลายคราม แต่ไม่ใช่แบบที่ซูหว่านเอ๋อชอบ

อวี้ฮ่าวหราน ใช้เนตรเทวะตรวจสอบตามปกติ ซึ่งมันก็เช่นเดิมกับชิ้นที่แล้ว เขาไม่เห็นพลังวิญญาณใด ๆ แฝงอยู่ในแจกันที่นำขึ้นมาประมูลเป็นชิ้นที่สอง

เขารู้สึกผิดหวังในใจนิดหน่อย

ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งด่วน ชายวัยกลางคนที่เขาฆ่าตายไปเมื่อล่าสุดเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานแถมยังแต่งตัวแปลก ๆ และมีสำเนียงพูดที่แปลก ๆ ราวกับหลุดมาจากยุคเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งจากองค์ประกอบทั้งหมดมันมีความเป็นไปได้สูงมากที่อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักบ่มเพาะที่แอบซ่อนอยู่ในโลกนี้ และนั่นหมายความว่าหลังจากนี้เขาจะต้องรับมือกับพวกผู้บ่มเพาะของจริง ไม่ใช่พวกนักเลงธรรมดา ๆ กระจอก ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา

ในไม่ช้าการประมูลโบราณวัตถุชิ้นที่สองก็จบลงและถูกยกออกไป โบราณวัตถุชิ้นที่สองถูกเฉียนเซาซื้อไปด้วยราคากว่าสิบสามล้าน

แน่นอนว่าหลังจากได้ของมา เฉียนเซาก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาดูถูก อวี้ฮ่าวหรานราวกับว่าเขาเป็นเศรษฐีที่อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่ามาที่นี่เพื่ออะไร

หลังจากนั้นไม่นาน ของประมูลชิ้นที่สามก็ถูกนำมาวาง ซึ่งก็คือภาพวาดโบราณ

สำหรับของชิ้นนี้ อวี้ฮ่าวหรานไม่มีความจำเป็นต้องใช้เนตรเทวะมองดูมันด้วยซ้ำ ภาพวาดบนผืนกระดาษแบบนี้ตามปกติแล้วมันไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานมากนัก ดังนั้นภาพที่ยังดูสมบูรณ์ขนาดนี้อย่างมากที่สุดก็มีอายุแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น

ของที่มีอายุแค่หลักร้อยปีตามปกติแล้วมันย่อมไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่แน่นอน

และรายการประมูลนี้ก็ยังไปอยู่ในมือของเฉียนเซาเช่นเดิม

เขาภูมิใจมากกับการซื้อของอวดชาวบ้านแบบนี้

“หึหึ ต่อให้มันรู้จักกับประธานเจ่าแล้วยังไง? ท้ายที่สุดคนที่รวยกว่าอย่างฉันก็ได้เปรียบ!”

เสียงของเขาดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก

“ใช่ คนจน ๆ แบบนั้นจะมีคุณสมบัติที่จะเทียบกับคุณได้อย่างไร”

“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะบอดี้การ์ดที่นี่เข้มงวดมาก ผมคงสั่งให้คนของผมเข้ามาลากไอ้เวรนั่นออกไปกระทืบให้คุณเฉียนไปแล้ว!”

ที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งของเฉียนเซามีนายน้อยรุ่นที่สองจากตระกูลร่ำรวยหลายคนนั่งขนาบด้วยสีหน้าประจบแจง

เมื่อไหร่ที่พวกเขารวมตัวกัน พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดเสมอ

“ฮึ่ม! ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปล่อยมันไปแน่ หลังจากที่มันออกจากโรงแรมนี้ไป!”

ใบหน้าของเฉียนเซาเต็มไปด้วยความอาฆาต เขามองไปที่อวี้ฮ่าวหราน เป็นระยะ ๆ พลางกัดฟันกรอด

“…”

หลังจากนั้นไม่นานนักของชิ้นที่สี่ก็ถูกนำมาตั้งบนเวที มันคือโต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์สมัยราชวงศ์หมิงที่มีกระจกทองเหลืองบานใหญ่ถูกติดตั้งอยู่ด้านบน สภาพของมันสมบูรณ์เป็นอย่างมากจนทำให้ความวิจิตรงดงามของมันไม่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาเลย

ราคาเริ่มต้นของรายการประมูลนี้คือห้าล้าน!

เมื่อเห็นรายการนี้ ดวงตาของซูหว่านเอ๋อก็เปล่งประกายอีกครั้ง และเธอก็เสนอราคาทันที

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 8 ล้าน!”

เธอขึ้นราคาสามล้านเต็มในครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจแน่วแน่มากที่จะได้มันมา

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสีหน้าและท่าทางของซูหว่านเอ๋อในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอดูจริงจังแน่วแน่ไม่ยอมใคร ไม่เหมือนกับตามปกติที่แทบไม่กล้าเอ่ยปากปฏิเสธคนทั้งโลก

ผู้หญิงคนนี้ชอบพวกของโบราณมากจริง ๆ

ในไม่ช้าราคาก็พุ่งขึ้นไปถึงสิบสามล้าน แต่ซูหว่านเอ๋อก็ยังไม่ลดละง่าย ๆ

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 16 ล้าน!”

การเพิ่มราคาขึ้นอีกสามล้านครั้งนี้ ทำให้ทุกคนในห้องประมูลตกตะลึงเล็กน้อย และทุกคนก็มองมายังหญิงสาวที่กำลังแสดงแน่วแน่มากในขณะนี้

สุดท้ายก็ไม่มีใครสู้ราคาต่ออีก เพราะในความคิดของทุกคน มูลค่าของโบราณวัตถุชิ้นนี้คงไม่เกินสิบหกล้านแน่นอน

ดังนั้นซูหว่านเอ๋อจึงได้โบราณวัตถุชิ้นนี้ไปตามที่เธอปรารถนา ดวงตาสีดำของเธอโค้งเป็นเสี้ยว เธอดูมีความสุขมากจริง ๆ

จากนั้นภาพวาดโบราณอีกชิ้นถูกซื้ออีกครั้งโดยเฉียนเซาด้วยราคายี่สิบสามล้าน

ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานยังไม่เคลื่อนไหว

“ดูสิ คุณเฉียนเซา ไอ้คนจนคนนั้นมันไม่กล้าซื้ออะไรสักอย่างเลย น่าสมเพชจริง ๆ คนจนอย่างมันมาทำที่นี่เพื่อมาทำให้ตัวเองขายขี้หน้ารึไง?”

“ใช่แล้ว ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวตัวเองบ้างเลย สถานที่แบบนี้คนจน ๆ อย่างมันเหมาะที่จะมาเหยียบที่ไหนกัน?”

“…”

ในเวลานี้ เฉียนเซาเหลือบมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาดูถูกสุดขีด

“ไอ้คนจน ๆ แบบนี้จะมาเทียบบิดาผู้นี้ได้ยังไง!”

ในสายตาของเขา แม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะรู้จักกับคนใหญ่คนโต เขาก็ยังอยู่สูงกว่าเพราะเขาคือคนที่มีเงินมากกว่า!

ของชิ้นถัดมาถูกนำขึ้นมาวางอย่างรวดเร็วเช่นเดิม แต่คราวนี้แววตาของ อวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

มันคือพระพุทธรูปหยกโบราณที่ดูเก่าแก่มาก พระพุทธรูปหยกนี้มีความสูงประมาณยี่สิบเซนติเมตร และรูปร่างขององค์พระพุทธรูปก็บอบบางมาก!

แค่เพียงหลือบมองแวบเดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ต่างออกไปจากโบราณวัตถุก่อนหน้านี้ที่ถูกนำขึ้นมาประมูล!

ด้วยทักษะเนตรเทวะ อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นได้อย่างชัดเจน!

พระพุทธรูปองค์นี้มีพลังวิญญาณแฝงอยู่อย่างหนาแน่น!

ความหนาแน่นของพลังวิญญาณนั้นมีมากกว่าสองเท่าของจี้หยกที่เขาได้รับมาก่อนด้วยซ้ำ!

มันเป็นของโบราณที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมา!

“พระพุทธรูปหยกองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง และการแกะสลักพื้นผิวของตัวองค์พระพุทธรูปก็ละเอียดละออมาก แม้แต่เทคโนโลยีการแกะสลักในปัจจุบันนี้ก็ยังบรรลุถึงระดับนี้ได้ยาก และที่น่ายกย่องที่สุดคือคุณภาพของหยกที่ใช้ในการแกะสลัก หยกนี้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง! พระพุทธรูปหยกองค์นี้จึงนับได้ว่าเป็นสมบัติที่…”

หลังจากการแนะนำอย่างยิ่งใหญ่จากพิธีกร หลายคนในห้องประมูลก็มองไปที่พระพุทธรูปด้วยดวงตาเป็นประกาย

อย่างไรก็ตาม ราคาเริ่มต้นของพระพุทธรูปหยกองค์นี้ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ถึงกับผงะ

“พระพุทธรูปหยกสมัยราชวงศ์ถังองค์นี้ ราคาเปิดประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 55 ล้าน!”

บทที่ 330 แก้แค้น
บทที่ 330 แก้แค้น

หลังจากได้ยินราคาสูงเสียดฟ้านี้ ทุกคนก็พยายามคาดเดา

มีชนชั้นสูงเพียงไม่กี่คนในเมืองฮ่วยอันที่สามารถควักเงินสองร้อยล้านออกมาได้อย่างง่ายดาย

แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่ค่อยเข้าร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักเขาเลย

ในเวลานี้ เฉียนเซาตกตะลึง!

ถ้าอีกฝ่ายหยุดลงตอนที่ขานราคาหนึ่งร้อยล้าน เขาก็คงคิดแค่ว่ามันเป็นแค่การขู่ขวัญ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับขานราคาขึ้นมาเป็นสองร้อยล้าน ดังนั้นมันก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายต้องการจะซื้อของชิ้นนี้จริง ๆ

นี่อีกฝ่ายรวยขนาดนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?

จากนั้น ภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของเขา เมื่อเฉียนเซาเห็นคนของโรงแรมได้นำหีบห่อที่บรรจุพระพุทธรูปหยกมาให้อีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ยื่นบัตรเครดิตสีทองสะดุดตารูดจ่ายออกไป!

และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที พนักงานของโรงแรมก็คืนบัตรเครดิตสีทองคืนด้วยท่าทางเคารพ

แน่นอน…จ่ายไปแล้ว!

“นี่มัน…”

หลังจากตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เฉียนเซาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ดวงตาของเขาเบิกกว้างและมองไปที่หน้าของบรรดาคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเหลือเชื่อ

พวกลูกหลานรุ่นที่สองของตระกูลร่ำรวยต่างก็พูดไม่ออกอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาไม่นึกเลยว่า คนที่พวกเขาคิดดูถูกมาตลอดจะกลายเป็นมหาเศรษฐีตัวจริง!

หลังจากได้รับของที่ต้องการมา อวี้ฮ่าวหรานก็ลุกขึ้นทันทีเตรียมที่จะจากไป แต่ก่อนที่จะเดินออกไปนั้น ชายหนุ่มเหลือบมองเฉียนเซาอย่างดูถูกและเอ่ยขึ้น

“ฉันจำได้ว่าแกอยากจะเรียกฉันว่า ‘พ่อ’ ใช่ไหม? อย่าฝันไปหน่อยเลย! ฉันไม่ต้องการจะมีลูกโง่ ๆ อย่างแกหรอก!”

เมื่อสมบัติอยู่ในมือแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี และต้องการเยาะเย้ยอีกฝ่ายเล็กน้อย

อุ๊บ…!

ซูหว่านเอ๋อเมื่อได้ยินประโยคนี้ เธอเกือบจะหลุดขำออกมา

เมื่อเฉียนเซาได้ยินประโยคนี้ เขาแทบอยากจะกระอักเลือดออกมาเพราะความโกรธ!

เจ็บใจ! เจ็บใจจริง ๆ!!

ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งดูถูกอีกฝ่ายว่าเป็นคนจน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันย้อนคำพูดของเขาเข้ามาหาตัวเองเต็ม ๆ!

นี่ไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้าในที่สาธารณะ!

ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้!

“แก! แกรอฉันก่อนเถอะ!!”

หงุดหงิด โกรธ เถียงไม่ได้ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงต่อและบวกกับความอับอายสุดขีด เฉียนเซาจึงลุกและเดินหนีไปอย่างรวดเร็วทันที

ลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่คอยสนับสนุนเฉียนเซาอยู่ตลอด เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาก็รีบลุกตามไปในทันที

อวี้ฮ่าวหรานไม่มีเวลาที่จะติดตามและให้ความสนใจ ในขณะนี้การประมูลสิ้นสุดลงและการโอนต้องออกไป

“ฮ…ฮ่าวหราน คือว่า…”

“หืม?”

ขณะที่เขากำลังจะจากไป จู่ ๆ ซูหว่านเอ๋อก็คว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้

“ฉ…ฉัน…ฉันอยากชวนคุณไปทานอาหาร…”

เธอทำใจอยู่นาน และในที่สุดเธอก็สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้

ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำคู่นั้นมองที่อวี้ฮ่าวหรานอย่างคาดหวัง

“กินข้าว?”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อคิดว่าตัวเองก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเช่นกัน ดังนั้นจึงพยักหน้า

“อืมไปกันเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวคุณเอง”

“ไม่ ครั้งนี้…ครั้งนี้ฉันอยากจ่าย!”

ซูหว่านเอ๋อดูเหมือนจะคิดเรื่องนี้เอาไว้ได้พักใหญ่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าเธอจะประหม่าจนหน้าแดงก่ำ แต่น้ำเสียงที่เธอพูดขึ้นกลับดูแน่วแน่เป็นอย่างมาก

“อืม…ก็ได้ งั้นพวกเราไปกันเถอะ”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ และตอบตกลงหลังจากที่ตัวเองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

แต่ในขณะเดียวกันนี้ หลินป๋อที่เพิ่งคุยกับประธานเจ่าเสร็จก็เดินมาหา

“ฮ่า ๆ หนุ่มสาวกำลังจะไปเดทกันงั้นเหรอ? ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปช่วยพาชายชราคนนี้ไปด้วยจะได้ไหม?”

เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง และตั้งใจเดินเข้ามาพูดแหย่เล่นด้วยสีหน้าเบิกบาน

ซูหว่านเอ๋อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกกับการหยอกล้อตัวเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากของเธอและมองหน้าอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย

“อะแฮ่ม ๆ แหม ลุงแค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ดูสิทำหน้าทำตางอนลุงซะแล้ว ฮ่า ๆ ลุงไปก็ได้”

หลินป๋อรู้สึกขบขันเล็กน้อยกับดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำที่จ้องมาที่เขาอย่างขุ่นเคือง เขาโบกมืออย่างสบาย ๆ ก่อนที่จะจากไป

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นความเป็นกันเองระหว่างหลินป๋อและซูหว่านเอ๋อ

“ไปเถอะ ไปด้วยรถของผมกัน คุณแค่บอกทางไปร้านที่คุณอยากจะกินมาก็พอ”

จากนั้นคนทั้งคู่ก็พากันเดินไปที่ลานจอดรถ

อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่เฉียนเซาออกจากโรงแรมไป เขาก็โทรเรียกบอดี้การ์ดของตัวเองทันที และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกหลายคนก็เรียกบอดี้การ์ดของพวกเขาเอง

จากนั้นไม่นานบอดี้การ์ดมากกว่ายี่สิบคนก็มารวมตัวกัน ซึ่งทำให้กลุ่มของพวกเขาดูค่อนข้างน่ากลัว

“คุณเฉียนเซา คุณคิดว่าคนเราจะจัดการกับไอ้เวรนั่นได้จริง ๆ เหรอ? ผมคิดว่าไอ้เวรนั่นไม่น่าจะใช่คนธรรมดาเช่นกัน มันไม่มีทางที่คนแบบนั้นที่สามารถจ่ายเงินได้ 200 ล้านอย่างสบาย ๆ จะมีอิทธิพลน้อยกว่าเรา!”

ในเวลานี้ หนึ่งในลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่อยู่กลุ่มเดียวกับเฉียนเซาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล

แม้ว่าครอบครัวของเขาจะรวย แต่เงินสองร้อยล้านนั้นเกือบจะเทียบเท่ากับทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวของเขา ดังนั้นจึงคิดว่าเขาไม่ควรที่จะไปยั่วยุอีกฝ่ายที่มีเงินมากกว่าครอบครัวมากขนาดนี้ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ จากที่ตัวเองโมโหอยู่แล้ว เขาก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม

“โว้ย! นี่แกคิดว่าฉันจะเอาบอดี้การ์ดของพวกเราไปสู้งั้นเหรอ? ฉันไม่ประมาทขนาดนั้นหรอก คราวนี้ฉันจะเล่นให้แรงจนไอ้เวรนั่นมันจะต้องเสียใจที่ได้เกิดมาเลย!”

“ไม่ประมาท? เฉียนเซา นี่คุณกำลังจะทำอะไร…”

“ฉันรู้จักสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์อยู่สองสามคน พวกมันใช้ประโยชน์จากฉันมาหลายรอบแล้ว ตอนนี้มันได้เวลาที่พวกมันจะต้องทำประโยชน์ให้กับฉันบ้าง!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แววตาของเฉียนเซาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา

ในสังคมลูกคนรวยอย่างพวกเขา เมื่อไหร่ที่มีการเรียกใช้คนของแก๊งใต้ดิน มันหมายถึงว่าพวกเขาต้องการให้ศัตรูตายหรือไม่ก็พิการเป็นอย่างน้อย!

ดังนั้นเมื่อได้ยินแผนการนี้ของเฉียนเซา พวกลูกหลานคนรวยเหล่านี้จึงก้าวถอยห่างออกไปเล็กน้อย และบางคนก็กลัวจนไม่อยากที่จะเข้าร่วมการล้างแค้นนี้อีกต่อไป

ต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วคนที่โดนอวี้ฮ่าวหรานดูถูกมีแค่คนเดียวคือเฉียนเซา ส่วนพวกเขานั้นไม่ได้มีความแค้นอะไรต่ออวี้ฮ่าวหรานเลย

ถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็ไม่อยากที่จะเอาตัวถลำลึกลงไปให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางโดยที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรแบบนี้

“ด…เดี๋ยว…ก่อน อย่าให้มันถึงขนาดนั้นเลยจะดีกว่าไหม?”

หนึ่งในลูกหลานคนรวยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหม่าสุดขีด

“ถ้ากลัวแกก็ไสหัวไปซะ และจากนี้ไปอย่าโผล่หน้ามาในกลุ่มของฉันอีก!”

เฉียนเซาจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มที่กำลังแสดงสีหน้าประหม่าสุดขีด เขาไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นว่าเฉียนเซาจริงจังมากกับเรื่องนี้ คนที่เหลือไม่กี่คนก็ตกลงกับแผนการของเฉียนเซา

ตัดกลับมาทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน

หลังจากที่เขาขับรถพาซูหว่านเอ๋อออกไปจากโรงแรม สถานการณ์ทุกอย่างก็ปกติดีจนกระทั่งเขาขับรถไปถึงย่านรกร้าง ซึ่งเขาได้พบว่ามีรถหลายคันกำลังขับตามเขามาอย่างประสงค์ร้าย!

ภายในรถสปอร์ตสีเหลืองสดใส

“ฮ่าวหราน…ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ทางไปร้านอาหารที่ฉันบอกนี่นา”

ซูหว่านเอ๋อรู้สึกสงสัยเมื่อเห็นว่าสองข้างทางที่พวกเขากำลังขับผ่านอยู่มันไม่คุ้นตาเธอเลยแม้แต่น้อย แถมอวี้ฮ่าวหรานก็ขับไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ

“ไม่ต้องกลัวหรอกผมไม่ใช่คนเลว ผมไม่ลักพาตัวคุณไปไหนหรอกสบายใจได้!”

เขาหยอกล้ออย่างสบายใจ

“แต่…”

ซูหว่านเอ๋อไม่เข้าใจเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังจะขับรถพาเธอไปไหน แต่ด้วยความเชื่อใจ เธอจึงไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรและแค่เพียงสงสัยว่าท้ายที่สุดเขาจะไปจอดที่ไหน

แต่แล้วจู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็เบี่ยงรถไปข้างทางและจอดรถอย่างกระทันหัน!

“มีคนกำลังตามเรามา ผมแค่ไม่อยากให้คนทั่วไปเห็นสิ่งที่ผมกำลังจะทำ ดังนั้นผมเลยขับมาในย่านร้างผู้คนนี้ เอาล่ะ คุณรออยู่ในรถก่อน ผมขอเวลาครู่หนึ่งจัดการแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ นี่ก่อน!”

ทันทีที่คำอธิบายจบลง อวี้ฮ่าวหรานก็ลงจากรถและเดินไปหยุดอยู่ที่หลังรถ!

“เอ๊ะ?”

ซูหว่านเอ๋อรู้สึกสับสนทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่ครู่ต่อมา มีรถสปอร์ตหลายคันพุ่งมาหยุดอย่างรุนแรงที่ด้านหลังห่างไปไม่ไกลนัก และตามมาด้วยรถ SUV อีกสี่ห้าคันก็ทยอยตามมาหยุดลง!

ทันทีที่รถเหล่านี้หยุดลง บอดี้การ์ดร่างกำยำมากกว่าโหลก็ลงมาจากรถ SUV!

ถัดมา พวกลูกหลานคนรวยก็ลงจากรถสปอร์ต และเดินเข้ามาอยู่ภายใต้การนำของเฉียนเซา!

บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด

ทันทีที่ประกาศราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนออกมา คนส่วนใหญ่ก็นิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าราคาดังกล่าวสูงกว่าที่คนส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้

ก่อนหน้านี้ โบราณวัตถุที่ขายออกไปแพงที่สุดราคาเพียงสามสิบล้านหยวน ใครจะจินตนาการได้ว่ามันจะมีของที่มีราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนโผล่ออกมาแบบนี้

สมบัติเช่นนี้เศรษฐีทั่ว ๆ ไปไม่มีสิทธิ์ซื้อได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เฉียนเซาก็ยกป้ายของเขาขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 56 ล้าน!”

ทันทีที่พิธีกรบนเวทีรายงานราคา เฉียนเซาไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาเยาะเย้ยอวี้ฮ่าวหรานอย่างมีชัย

ในเวลานี้ เขาคาดไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางที่จะมีเงินพอประมูลของชิ้นนี้ร่วมกับเขาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอ่ยราคาขึ้นมาเพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่ายแบบนี้

แน่นอนว่า เฉียนเซาไม่ได้คิดว่าท้ายที่สุดตัวเองจะมีปัญญาพอซื้อพระพุทธรูปหยกนี้ เพราะราคามันคงโดดไปไกลมากกว่าที่ตัวเองจะเอื้อมไหว เขาแค่อยากเอ่ยราคาขึ้นเพื่อหยามหน้าอวี้ฮ่าวหรานก็เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายของตัวเองขึ้น

“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 80 ล้าน!”

พิธีกรรายงานราคา และทุกคนในห้องโถงที่ยังคงลังเลอยู่ต่างกันก็หันศีรษะมองมาไปยังตำแหน่งหมายเลข 31 ด้วยความตกใจ

“พระเจ้า! เขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ? เพิ่มราคามาถึง 80 ล้านดื้อ ๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ?”

“เพิ่มราคามาขนาดนี้ได้ยังไง?? นี่เขาบ้าหรือเขาโง่กันแน่? แล้วแบบนี้ฉันจะสู้ราคาได้ยังไงต่อ!”

“…”

ทุกคนตกตะลึงแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หลังจากเงียบไปหลายวินาที ก็เกิดเสียงวิจารณ์ดังทั่วห้อง

ทางด้านของเฉียนเซา ตอนนี้เขากำลังตกตะลึงจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า!

เขาแค่ส่งสายตาเยาะเย้ยอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสู้ราคาจริง ๆ!

แถมราคาที่อีกฝ่ายสู้มามันมากกว่าราคาของทั้งหมดที่เขาซื้อ ๆ ไปในวันนี้ทั้งหมด!

สิ่งนี้มันทำให้เฉียนเซาดูเหมือนเป็นตัวตลกไปเลย

“จะบ้าเหรอ! แกมีเงินมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง!?”

เขาตะโกนร้องออกมาอย่างไม่เชื่อ

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย

“ทำไม? แกไม่คิดจะสู้ราคากับฉันแล้วงั้นเหรอ? ฉันแค่ขึ้นราคานิดหน่อย แค่นี้แกก็กลัวแล้วงั้นเหรอ?”

“แก!”

เฉียนเซาไม่รู้จะเถียงยังไงต่อ ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างช่วยไม่ได้

“คุณเฉียนเซา เห็นชัด ๆ ว่าไอ้เวรนั่นมันแค่แกล้งคุณเล่น มันจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง? ตราบใดที่คุณไม่เสนอราคาสู้กับมันและปล่อยให้มันชนะการประมูลไป ท้ายที่สุดมันเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายเดือดร้อน!”

ในเวลานี้ ชายหนุ่มลูกหลานตระกูลเศรษฐีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉียนเซาให้คำแนะนำราวกับเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้

“หุบปาก! แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอไง?”

เฉียนเซาหันหน้าไปตวาดใส่ชายหนุ่มข้าง ๆ ทันที ใบหน้าของเขามืดมนเต็มที่

เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่โดนคนที่ตัวเองคิดว่าอยู่ต่ำกว่าสร้างความลำบากให้กับเขาได้ขนาดนี้

ในวงสังคม เขาสามารถเสียทุกอย่างได้ แต่จะเสียหน้าไม่ได้!

“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 81 ล้านหยวน!”

ไม่นานนักพิธีกรก็รายงานราคาใหม่

ในเวลานี้ เฉียนเซานั่งลงและมองดูอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเคียดแค้น จู่ ๆ เขาต้องเสียเงินมากกว่า 80 ล้านในครั้งนี้ เขาจะจดจำความแค้นนี้อย่างแน่นอน!

แต่อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างดูถูกและยกป้ายขึ้นอีกครั้ง!

“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 100 ล้านหยวน!”

“บ้าอะไรวะน่ะ?!!!”

เฉียนเซาที่เพิ่งนั่งลงกระเด้งตัวลุกขึ้นมายืนทันที เขาทั้งตกใจและโกรธ

“นี่แกโง่หรือบ้ากันแน่!! ฉันอุตส่าห์เมตตาแกให้ทางถอยกับแกแล้ว แต่แกกลับเสนอราคาต่อแบบนี้ทำบ้าอะไร!?”

ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อพระพุทธรูปหยกนี่ด้วยซ้ำเพราะรู้ว่ามันจะต้องแพงมาก แต่ถัดมาเขาก็ถูกบีบให้รักษาหน้าของตัวเองโดยการต้องยอมตัดใจเพิ่มราคาเกทับอวี้ฮ่าวหรานมาเป็น 81 ล้านซึ่งเขาคิดว่าตัวเขาคงจะต้องได้ซื้อมันจริง ๆ แน่ โดยที่ไม่ได้อยากจะเสียเงินมากขนาดนี้เลย แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับขึ้นราคามาอีกเกือบยี่สิบล้านหยวน!

นี่มันมากเกินไปแล้ว!

แม้ว่าจะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเฉียนก็ตาม แต่ราคาหนึ่งร้อยล้านก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย!

เฉียนเซาไม่สามารถเสี่ยงดวงขานราคาเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากได้ซื้อมันจริง ๆ ในราคามากกว่าร้อยล้านหยวน มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเขา…

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับทำเพียงแค่เหลือบมองกลับไปและเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก

“นั่นมันเรื่องของแก ฉันแค่ต้องการซื้อของนี่ไปประดับห้องนั่งเล่นของฉันก็แค่นั่น”

เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกตะลึง

คำพูดนี้มันเย่อหยิ่งเกินไป ซื้อสมบัติหายากมูลค่า 100 ล้านหยวน เพื่อเอาไปตกแต่งห้องนั่งเล่นแค่นั้นเนี่ยนะ?

นรกเถอะ!

บ้านของแกมีมูลค่าถึงร้อยล้านแล้วหรือไง!

กล้าเอาของมูลค่าร้อยล้านไปประดับห้องนั่งเล่นเนี่ยนะ!

เฉียนเซามองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างโกรธจัด ก่อนที่จะตวาดขึ้นดังลั่น

“ฉันเข้าใจแกผิดไป! แกไม่ใช่คนยากจน แต่แกมันเป็นไอ้โง่! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีปัญญาจ่าย!”

“แล้วถ้าฉันสามารถจ่ายได้ล่ะ?” อวี้ฮ่าวหราน ถามกลับทันควัน

“ฮึ่ม! ถ้าแกสามารถจ่ายได้ ฉันจะยอมเรียกแกว่าพ่อเลย!”

เฉียนเซาปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีเงินทุนขนาดนั้น ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนรวยจริง ๆ จะใส่ชุดราคาถูกแบบนั้นทำไม? มันคงไม่มีคนรวยคนไหนที่ไม่ดูแลการแต่งกายของตัวเองหรอกจริงไหม?

“เหอะ ๆ อย่าเลย ฉันไม่อยากมีลูกชายแบบแก ถ้ามี ฉันเกรงว่าฉันคงฆ่าแกทันทีที่แกลืมตาดูโลก”

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเยาะ

“แก!”

เฉียนเซาโกรธจนเกือบควันออกหู

“ฉันไม่เชื่อแกหรอก! แกมันก็ดีแต่ปาก!”

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน การเสนอราคาในงานประมูลก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน!

“สุภาพบุรุษหมายเลข 13 เสนอราคา 110 ล้าน!”

“สุภาพบุรุษหมายเลข 19 เสนอราคา 115 ล้าน!”

ราคามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่พูดไม่ออกอย่างรวดเร็ว

คุณค่าของพระพุทธรูปหยกองค์นี้มีค่าคู่ควรกับเงินจำนวนนี้ และคุณภาพของหยกเช่นนี้นั้นหายากมากในโลกปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อยู่แล้ว

“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 150 ล้านหยวน!”

เพิ่มราคา 35 ล้านด้วยการขานครั้งเดียว!

ทุกคนสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง!

พวกเขาพบว่าชายหนุ่มหมายเลข 31 กำลังใช้เงินราวกับว่ามันเป็นแค่เศษกระดาษ!

ต้องรู้ว่าเงิน 150 ล้านนั้นเพียงพอที่จะซื้อบริษัทขนาดเล็กได้หลายบริษัท!

ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่หยุดประมูล แต่ก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งที่ยังไม่เต็มใจจะยอมแพ้อยู่ และขานราคาสู้อย่างอีกครั้ง

“สุภาพบุรุษหมายเลข 14 เสนอราคา 155 ล้าน!”

ทุกคนไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้มันเป็นการแข่งขันของมหาเศรษฐีตัวจริง!

บางคนที่เพิกเฉยต่ออวี้ฮ่าวหรานก่อนหน้านี้ ตอนนี้รู้สึกเสียดายโอกาสของตัวเองเป็นอย่างมาก ทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีโอกาสพวกเขาถึงโง่ไม่ยอมผูกมิตรกับมหาเศรษฐีอายุน้อยคนนี้??

คนที่สามารถใช้เงินซื้อของประดับบ้านมูลค่า 150 ล้านได้นั้น พวกเขาเทียบไม่ได้เลย

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นว่ายังมีคนพยายามจะสู้ราคาอยู่ เขาก็ยกยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายสู้ราคาอีกรอบ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะได้พระพุทธรูปหยกองค์นี้!

“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 200 ล้าน!”

ราคานี้แม้แต่พิธีกรบนเวทียังตกใจ!

พระเจ้า!

เขาไม่เคยเห็นการขานราคาสู้ที่บ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!

ตามปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะซื้อราคากันทีละล้านสองล้าน แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเพิ่มราคาขึ้นมาทีเดียวถึง 45 ล้าน!

เศรษฐีผู้ที่เคยคิดจะสู้ราคากับอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินราคานี้เขาถอนหายใจก่อนที่จะโบกมือยอมแพ้ราคาไปในที่สุด

ในขณะนี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องประมูลต่างมองไปที่ชายหนุ่มหมายเลข 31 โดยพยายามเดากันว่าชายหนุ่มคนนี้มีที่มายังไง ทำไมถึงได้กล้าใช้เงินมากขนาดนี้?

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท