บทที่ 351 สามชายลึกลับ
บทที่ 351 สามชายลึกลับ
หลังจากที่กลุ่มของโจวเฟยหู่ออกจากร้านอาหารไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ทักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาให้กินอาหารกันต่ออย่างใจเย็น
“ฮ่าวหราน…คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ”
เฉิงชิวอวี้มองไปยังกลุ่มคนที่น่ากลัวของโจวเฟยหู่ทยอยกันจากไป
“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย อย่ากลัวไปเลย”
อวี้ฮ่าวหรานปลอบโยนอย่างสบาย ๆ
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ!
ผู้ที่มากินอาหารในร้านวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองเอาไปเล่าโอ้อวดไปชั่วชีวิต
ผู้จัดการเหงื่อออก
ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นว่าคนที่มีอำนาจจริง ๆ มันเป็นเช่นไร!
เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!
จินเส่าที่หยิ่งผยองเสมอมา ได้ถูกลากออกไปราวกับหมาที่ตายแล้ว!
ไม่นานทั้งสองก็กินข้าวเสร็จ
“ที่นี่อร่อยจริง ๆ ผมชอบมาก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปากชม เฉิงชิวอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
นี่น่ะเหรอคือผู้ชายที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวจนแทบจะเป็นลมได้?
“ข…แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง…ค่อย ๆ เดินช้า ๆ นะครับ ผมขอประทานอภัยจริง ๆ สำหรับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอาไว้คราวหน้าที่พวกท่านมา ผมจะปรับปรุงการบริการให้ดีมากกว่าเดิม!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป ผู้จัดการก็เอ่ยอำลาอย่างนอบน้อมทันที
“คราวหน้าถ้าฉันมา ที่นี่คงไม่มีคนอย่างนายน้อยจินอะไรนั่นอีกแล้วจริงไหม?”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างเฉยเมย
“ไม่! ไม่มีแล้วแน่นอน!”
ผู้จัดการรีบสัญญา ล้อเล่นเถอะ หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปใครจะกล้าทำตัวรนหาที่ตายแบบนั้นที่นี่อีก?
หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็ไปส่งเฉิงชิวอวี้กลับบ้าน
“ฮ่าวหราน วันนี้คุณน่าทึ่งอีกแล้ว!”
เมื่อลงจากรถ เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นทันที
“หืม? ผมน่าทึ่งตรงไหนกัน?”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา มันไม่มีผลต่ออารมณ์โดยรวมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“คุณ…”
จู่ ๆ เฉิงชิวอวี้ก็แก้มแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปกติแล้วหากผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เธอมักจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่เสมอ
“งั้น…งั้นฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเธอ เฉิงชิ้วอวี้จึงอยากกลับบ้านโดยเร็วเพื่อทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเธอสงบลง
หลังจากที่ทั้งสองกล่าวคำอำลา เขาก็ขับรถออกไป
แต่แทนที่จะกลับไปที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานกลับขับรถกลับคอนโดทันที
ชายหนุ่มวางแผนว่าหลังจากกลับไปถึงห้อง เขาจะใช้โบราณวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งตัวเองเพิ่งได้มาจากตำหนักคุมกฎขององค์กรสรพิษเมื่อวานนี้ทันที
วันนี้เขาต้องดูดซับพลังจากพวกมันให้หมด
เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้ ทำให้ชายหนุ่มกระหายที่จะแข็งแกร่งให้เร็วมากขึ้น
และที่สำคัญ…หากต้องการพบกับภรรยาตัวเองอย่างเร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้
อวี้ฮ่าวหรานกลับไปถึงคอนโดประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ
ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู จากนั้นจึงนำโบราณวัตถุขึ้นมาดูดซับพลังวิญญาณทันที
กระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง มัน ค่อย ๆ ขยายทะเลวิญญาณในตันเถียนของตัวเองให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลานี้เขาใกล้จะทะลวงระดับแล้ว
—
ในเวลาเดียวกัน ชายลึกลับสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอู๋ ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตระกูลอู๋นั้นกำลังตกต่ำมากจากการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติภายในตระกูล!
“อู๋ลั่น? เรา…เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย…”
ในห้องโถงตระกูลอู๋ สมาชิกทุกคนในตระกูลอู๋ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาต่างมองไปที่ชายลึกลับทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว
ทั้งสามแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมโบราณ ราวกับหลุดออกจากละครย้อนยุคกำลังภายใน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะการแต่งกายของชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้
ที่พื้นบ้าน บอดี้การ์ดสิบกว่าคนทั้งหมดนอนสลบไสลอยู่ในอาการปางตาย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้
“แกล้อเล่นใช่ไหมที่บอกว่าไม่รู้! อู๋ลั่นออกเดินทางมาที่นี่หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากพวกแก! แต่ตอนนี้พวกแกกลับบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ?”
ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่สวมชุดโบราณ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดซึ่งสวมชุดคลุมสีดำถามอย่างเย็นชาในเวลานี้
“นั่น… นั่นเป็นเพราะผู้นำตระกูลอู๋หมิ่นที่เพิ่งตายไป เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปโดยไม่บอกคนอื่นเลย และตอนนี้ทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้รายละเอียดอื่น ๆ อีกเลย”
ในห้องโถง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นและอธิบายอย่างร้อนรน
ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้เข้ามาที่ตระกูลอย่างหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ซึ่งทำให้เขานึกถึงสำนักเมฆาเขียวที่เคยมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับตระกูลอู๋
อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักนั้น
“ผู้นำตระกูลของพวกแกถูกฆ่า? เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
“เรื่องนี้…เรายังไม่ได้ตรวจสอบทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกคือชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูลมากที่สุด”
“อวี้ฮ่าวหราน? ชายหนุ่มผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”
“นี่…นี่ ผู้น้อยก็ไม่รู้”
ชายชราที่ยืนขึ้นตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่เคยเจอกับอวี้ฮ่าวหรานโดยตรง ดังนั้นเขาจะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
“อืม การที่อู๋ลั่นหายตัวไปน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถจัดการกับอู๋ลั่นได้ มันก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าตระกูลอู๋จะรับมือไม่ไหว”
ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แล้วปลอบอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกข้าขนาดนั้น พวกข้าสามคนรวมไปถึงอู๋ลั่นมาจากสำนักเดียวกัน พวกเราทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับตระกูลอู๋อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นพวกข้าจะไม่ทำอันตรายต่อพวกเจ้าตระกูลอู๋”
ผู้อาวุโสของตระกูลอู๋ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย “ผู้น้อย…ผู้น้อยเคยได้ยินเรื่องของสำนักเมฆาเขียวมาเช่นกันว่าพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับตระกูลอู๋ของเรา คราวนี้การหายตัวไปของอู๋ลั่น นับได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลอู๋ด้วยจริง ๆ พวกผู้น้อยละอายใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”
“เอาละ ช่างมันเถอะ เรื่องนี้โทษพวกเจ้าที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าจงไปเตรียมที่พักอาศัยให้เราก่อน ส่วนเรื่องอวี้ฮ่าวหราน เราจะตรวจสอบเอง”
บรรยากาศในห้องโถงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และหลังจากที่ทั้งสามรู้ว่าผู้นำตระกูลอู๋คนที่เรียกอู่ลั่นมาถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอคติกับคนอื่น ๆ ของตระกูลอู๋อีกต่อไป
บทที่ 344 คำขอ
บทที่ 344 คำขอ
ม…มันเป็นไปได้ยังไงกัน!?
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานจับมีดด้วยมือเปล่า ชายชราจึงรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกไปทั้งร่าง!
ความกลัวกัดกินหัวใจเขาอย่างรุนแรง เขาต้องการหันหลังหนีจากคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ตัวชายชราก็พุ่งเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเกินไปแล้วในเวลานี้!
ฉึก!
วินาทีถัดมา อวี้ฮ่าวหรานแทงมีดที่เขาเพิ่งจับได้เข้าไปที่อกของชายชราอย่างไม่แยแส
“แก…!”
ชายชรารู้สึกสิ้นหวังเมื่อเห็นมีดปักเข้ามาในอกของตัวเอง และก่อนที่จะทันได้พูดจบ ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็วและสิ้นลมหายใจไปอย่างน่าอนาถ!
เส้นเลือดและเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างเต็มไปด้วยพิษสีเทาดำ
“พิษชนิดนี้รุนแรงมากทีเดียว”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นสิ่งนี้ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย อีกฝ่ายหนึ่งมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับผู้ที่เข้าสู่ขั้นเริ่มต้นของขอบเขตก่อรากฐานแล้ว แต่พิษนี้กลับสังหารอีกฝ่ายได้ภายในไม่ถึงสองวินาที
สามารถบอกได้ว่าองค์กรอสรพิษนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างยาพิษจริง ๆ
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายตายเร็วไปหน่อย เขาเลยไม่มีโอกาสสอบถามเกี่ยวกับที่ตั้งสาขาใหญ่ขององค์กรอสรพิษ
การจัดการองค์กรนักฆ่านี้คงต้องรอหาโอกาสต่อไปในอนาคตเท่านั้น
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็กวาดสายตามองไปที่โบราณวัตถุหลายชิ้นที่อยู่ในตู้กระจกนิรภัยรอบห้อง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของตัวเองเล็กน้อย
วัตถุโบราณเหล่านี้เป็นของที่พลังวิญญาณแฝงทั้งหมด ยกเว้นอันที่ถูกดูดซับไปแล้ว ยังมีอีกสามชิ้นที่หลงเหลือพลังวิญญาณอยู่หนาแน่น
แม้จะไม่ได้ดีเท่าพระพุทธรูปหยกอันล่าสุดที่เขาได้มา แต่มันก็ถือว่าเป็นกำไรงามอย่างแน่นอน…
หลังจากนำของเก่าทั้งหมดมา อวี้ฮ่าวหรานก็รีบกลับไปที่รถ
จุดประสงค์การมาครั้งนี้สำเร็จอย่างสวยงาม
ตำหนักคุมกฎองค์กรอสรพิษถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ เจ้าตำหนัก รองเจ้าตำหนัก และนักฆ่าทั้งหมดถูกชายหนุ่มฆ่าเรียบไม่มีเหลือ!
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็กลับไปถึงคอนโดราวหกโมงเย็น
“พี่เขย! เร็วเข้า! มากินข้าว วันนี้ฉันนึ่งปูขน มันเป็นปูราคาแพงที่อร่อยสุด ๆ ไปเลย”
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง หลี่หรงก็ทักทายเขาทันที
“พ่อจ๋า! ปูตัวใหญ่อร่อย! ถวนถวนอยากกินทุกวันเลย!”
เด็กน้อยตะโกนด้วยความตื่นเต้นพร้อมจับขาปูขึ้นชู
ฉากนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานผู้เพิ่งสังหารโหดคนมาเป็นร้อยแสดงรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาได้ในทันที
“เหรอ? พ่อชักอยากกินบ้างแล้วสิ พ่อขอกินอันที่อยู่ในมือลูกได้ไหม?”
ขณะพูด เขาก็เดินไปหาลูกสาวและโน้มไปทำท่าจะงับขาปูที่อยู่ในมือเด็กน้อย
“เอ๊ะ? ไม่เอา! พ่อจ๋าแกะเองสิ อันนี้ของถวนถวน แม่หรงแกะให้หนูกิน!”
เด็กน้อยรีบยัดขาปูใส่ปากทันทีจนแก้มป่องซึ่งดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก ส่วนแขนอีกข้างก็พยายามผลักหน้าพ่อของตัวเองออกไป
“พี่เขยเลิกเล่นได้แล้ว รีบ ๆ ไปล้างมือแล้วมากินข้าวด้วยกันเร็วเข้า!”
หลี่หรงยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นฉากนี้
…
เช้าตรู่ของวันถัดมา ยังไม่ทันที่อวี้ฮ่าวหรานจะไปถึงบริษัท เฉิงกัวอันก็โทรมา
“ฮ่าวหราน เรื่องเมื่อวานหลังจากที่นายไป…นาย…ปลอดภัยดีไหม?”
จังหวะพูดของเขามีความลังเล เขาไม่คิดว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งถึงขนาดสังหารหมู่ตำหนักคุมกฎได้ทั้งตำหนัก
ไม่ว่ายังไง องค์กรอสรพิษนั้นก็ไม่ใช่องค์กรนักฆ่าธรรมดา เพราะมีตัวตนที่ลึกลับและแข็งแกร่งมากมายแฝงตัวอยู่ในองค์กร แถมสถานที่ตั้งของแต่ละตำหนักก็เป็นความลับ มันจึงเป็นไปได้มากว่า อวี้ฮ่าวหรานไม่น่าจะหาที่ตั้งที่ถูกต้องเจอด้วยซ้ำ…
“ตอนนี้องค์กรอสรพิษไม่มีตำหนักคุมกฎอีกแล้ว”
เมื่อเผชิญกับข้อสงสัยของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ตอบกลับอย่างใจเย็น
“หา?”
เฉิงกัวอันอ้าปากหวอ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาถามกลับอีกรอบด้วยความไม่แน่ใจ
“นาย…นายหมายถึง นายทำลายตำหนักคุมกฎไปหมดแล้วงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง ผมจะบอกรายละเอียดให้คุณทราบภายหลังเมื่อมีโอกาส”
น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานนั้นสงบมาก เพราะสำหรับเขาแล้วการทำลายตำหนักคุมกฎไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
“ดี ๆ! ฮ่าวหราน นายนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ…”
เฉิงกัวอันรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำยืนยันนี้
หลังจากทั้งสองคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายไป
ราวสิบนาทีถัดมาเขาก็ขับรถถึงเครือฮ่าวหราน
หลี่อิงไห่กำลังนั่งตัวลีบรอเขาอยู่ในออฟฟิศ
“มีอะไร?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หลี่อิงไห่ที่พยายามทำตัวนอบน้อม แต่ถึงอีกฝ่ายจะพยายามทำตัวเปลี่ยนไป อวี้ฮ่าวหรานก็ยังรู้สึกไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี เพราะชายชราคนนี้สร้างปัญหาให้เขาหลายครั้งแล้ว
“ฮ…ฮ่าวหราน”
หลี่อิงไห่ลังเลแต่ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าและเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน
“เรียกฉันว่าประธานอวี้ คราวนี้นายมีอะไรถึงมาที่นี่?”
อวี้ฮ่าวหรานถามกลับอย่างไร้อารมณ์ ชายหนุ่มไม่อยากพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายให้เสียเวลา
ชายแก่คนนี้สร้างความรำคาญให้ชายหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าอีกฝ่ายยังมีมนุษยธรรมอยู่ในใจในเรื่องการดูแลเลขาสาวน้อยนั่นเป็นอย่างดี ป่านนี้ก็คงไล่อีกฝ่ายออกไปจากบริษัทอิงเหมาไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ป…ประธานอวี้ คือที่ผมมาที่นี่ครั้งนี้เป็นเพราะผมอยากจะคุยเรื่องการปรับกลยุทธ์การผลิต บริษัทอิงเหมาจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิต แต่คุณภาพของสินค้ายังต้องคงเดิม”
สีหน้าของหลี่อิงไห่เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะยังคงเคืองเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อเข้าเรื่องงานทันที
“คือนายเจอปัญหาหรือว่าอะไร?”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาปล่อยให้ผู้จัดการหวังจัดการเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้รายละเอียดปัญหาเชิงลึกมากนัก
“มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับท่านประธาน แต่ถ้าเราต้องการเพิ่มกำลังการผลิต ผมขอแนะนำให้เปลี่ยนเครื่องจักรเก่าบางรุ่น เพราะคุณภาพของสินค้าที่ผลิตโดยเครื่องจักรเก่าเหล่านี้มันไม่เสถียรและมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหา”
“ทำไมนายไม่จัดการกับปัญหานี้ก่อนหน้านี้?”
“เมื่อก่อน บริษัทอิงเหมาทำการค้าแต่กับลูกค้ารายเล็กซึ่งได้ส่วนต่างกำไรเพียงเล็กน้อยแต่หมุนเวียนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นปัญหานี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่หลังจากเข้าร่วมเข้ากับเครือฮ่าวหรานเราจึงมีลูกค้ารายใหญ่จำนวนมากเข้ามาส่งคำสั่งซื้อกับเรา”
หลังจากพูดถึงจุดนี้ หลี่อิงไห่ก็เหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้าเขาก่อน จากนั้นเขาก็พูดต่อไปหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการฮึดฮัดใด ๆ
“บริษัทใหญ่ ๆ ที่ส่งคำสั่งซื้อเข้ามาไม่มีข้อกำหนดใด ๆ สำหรับระดับคุณภาพที่ต้องสูงขึ้น แต่คุณภาพของสินค้าโดยรวมต้องได้มาตรฐานอยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเราใช้เครื่องจักรเก่าเหล่านั้นผลิตสินค้าออกมา ผมเกรงว่าสินค้าที่เราผลิตมันจะไม่ตรงตามข้อกำหนดของพวกบริษัทใหญ่”
“ตกลง คำขอของนายมีเหตุผลดี เดี๋ยวฉันจะให้ผู้จัดการหวังตรวจสอบเรื่องนี้อีกทีและร่างแผนการจัดซื้อเครื่องจักรใหม่ส่งมาที่ฉัน”
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
หมับ!
นักเลงลูกน้องของสวีเปียว ฟันมีดอย่างสุดกำลังที่ตัวเองมีหวังจะฟันคอของอวี้ฮ่าวหรานให้ขาดภายในครั้งเดียว สีหน้าของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตัวเองกำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อพบว่ามีดที่เขาฟันไปมันกลับถูกอีกฝ่ายใช้มือเปล่า ๆ จับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!
นี่…มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเลงก็พยายามดึงมีดออกอย่างสุดแรง
แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานใช้กำลังเล็กน้อยบดขยี้ใบมีดที่ตัวเองจับอยู่จนแหลกละเอียด พร้อมกับปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าใส่นักเลงผู้น่าสงสาร!
บรึ้ม!
อ๊ากกกก
นักเลงที่โดนคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าเต็ม ๆ กระอักเลือดเป็นสายและลอยละลิ่วหายเข้าป่าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย!
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย
“หึหึ เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องแต่น่าเสียดายที่ใช้มันผิดที่!”
หลังจากเยาะเย้ยนักเลงที่โชคร้ายคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองพวกนักเลงที่เหลือ
“พวกแกอยากลองด้วยไหม?”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับทันทีด้วยอาการสั่นกลัว
“พี่อวี้ พี่อวี้! ผ…ผมไม่โทษพี่แน่นอนต่อให้ไอ้นั่นมันตาย! ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ร…เร็วเข้า! พวกแกทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถเร็ว!”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของสวีเปียวหวาดกลัวสุดขีด เขารีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีให้เตรียมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้โบกมือหยุดเขาเอาไว้!
“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าฉันจะปล่อยแกไป?”
สวีเปียวแข็งค้างเป็นรูปปั้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และเขาก็รีบหันไปอธิบายด้วยสีหน้าวิงวอน
“พี่อวี้ ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินพี่จริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อการร้องขอความเมตตาของอีกฝ่าย เขาจึงถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันได้ยินมาว่าแก๊งวาฬยักษ์ของแกสั่งให้สมาชิกทั้งหมดถอยร่นจากแนวหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกแกมีแผนชั่วใหม่ ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”
เนื่องจากชายหนุ่มเคยเจอกับพวกแก๊งวาฬยักษ์หลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่าคนเหล่านี้สวมชุดของแก๊งวาฬยักษ์
“ฉัน…ไม่…คือเราแค่ขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ได้…”
“ถ้าแกโกหก แกตาย!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลไม่กล้าพูดบางประโยคออกมา อวี้ฮ่าวหรานจึงข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเอาจริง!
สวีเปียวเลิกลังเลและไม่กล้าโกหกในทันที
เขามองอีกฝ่ายด้วยความสยดสยองเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความตายที่จะมาถึงแน่หากตัวเองโกหกต่อไปอีกแค่ครึ่งคำ!
น่ากลัวโคตร ๆ เลย!
“พวกเรา…แก๊งวาฬยักษ์ของเราได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง ดังนั้นการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นคำสั่งของกงซุนซา!”
ในที่สุดเขาก็จะพูดความจริง…
ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย
“อืม เข้าใจแล้ว แกไสหัวไปได้แล้ว”
จากการเพ่งมองจังหวะการเต้นของหัวใจและภาษากายต่าง ๆ เขาจึงสามารถตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน
หลังจากได้รับอนุญาต สวีเปียวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถด้วยความตื่นตระหนกและจากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดของเขา
ย่านรกร้างแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยกเว้นเสียงร้องโอดโอยที่เจ็บปวดของเฉียนเซา เพราะโดนเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่กลุ่มของเฉียนเซาอย่างดูถูก แต่เมื่อคิดได้ว่าขณะนี้มีซูหว่านเอ๋อเฝ้ามองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะสร้างฉากโหดร้ายขึ้นมาให้อีกฝ่ายฝันร้าย ดังนั้นจึงเดินกลับไปที่รถและเร่งเครื่องจากไป
ภายในรถ
ไม่นานหลังจากที่ขับออกมา ซูหว่านเอ๋อที่ตื่นตระหนกก็เริ่มทำใจได้บ้างเล็กน้อย
การปรากฏตัวของพวกนักเลงเมื่อครู่นี้ทำให้เธอตกใจมาก
โชคดีที่คนที่เธอชอบแข็งแกร่งกว่า!
“ฮ่าวหราน…คุณ…คุณสุดยอดมากเลย…”
ซูหว่านเอ๋อยิ่งรู้สึกเชิดชูเขามากกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะพูดชมเบา ๆ
เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายผู้นี้จะมีอำนาจมากจนคำพูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่าขอความเมตตาได้
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ด้วยไม่มีใครทำร้ายคุณได้หรอก”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ให้ความมั่นใจกับเธอ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ได้ทำให้หัวใจของซูหว่านเอ๋อหวั่นไหวมากเพียงใด
…
อีกด้านหนึ่ง
โจวเฟยหู่มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเช้าผลไม้
“คราวนี้สถานการณ์ยิ่งแปลกมากขึ้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกแก๊งวาฬยักษ์ถึงถอยร่นทิ้งพื้นที่แนวหน้าให้เรายึดไปฟรี ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราและพวกมันต่างก็สูญเสียในจำนวนพอ ๆ กัน?”
ทันทีที่โจวเฟยหู่นั่งลง เขาก็พูดเรื่องนี้กับหวังเหยียน
หวังเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“การที่พวกมันทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นภายในแก๊งของพวกมัน”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนก็ได้รับข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเขา
‘แก๊งวาฬยักษ์ถูกยุบและสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งแล้ว’
ข้อความสั้น ๆ นี้ทำให้เขาตกใจจนขนลุก
“เกิดอะไรขึ้น!”
โจวเฟยหู่รู้สึกไม่ดีอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังเหยียน เขาไม่เคยเห็นหวังเหยียนแสดงสีหน้าแบบนี้เลยนอกจากว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย
“แก๊งวาฬยักษ์ตกเป็นของกงซุนซาแล้ว! ทั้งสองแก๊งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!”
หวังเหยียนบอกข้อความที่เขาเพิ่งอ่านผ่านโทรศัพท์ เขาเชื่อมั่นในข่าวนี้หมดใจ เพราะอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งต่อข่าวนี้!
เขาเชื่อว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางส่งข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันมาหาเขาแน่นอน
“นี่มัน…!”
โจวเฟยหู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพรวดทันที
“นายเพิ่งพูดว่าแก๊งวาฬยักษ์ถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนไปแล้วงั้นเหรอ!? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!!”
โจวเฟยหู่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอุทานเสียงดัง
เขารู้ดีว่าหลิ่วอวี้จิงเป็นคนยังไง คนประเภทนี้เต็มใจที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอื่นแถมยอมยุบแก๊งตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?
“นี่…ข่าวนี้จริงเหรอ?”
“ผมมั่นใจที่สุด เพราะข่าวนี้อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งมาให้ผม มันไม่มีทางที่จะเป็นข่าวลวงแน่นอน และนี่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเร็ว ๆ นี้แก๊งวาฬยักษ์ถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ”
น้ำเสียงของหวังเหยียนหนักแน่นมากในขณะนี้ และข่าวนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสั่งให้คนของเราถอยร่นมาเช่นกันเพื่อที่เราจะได้รวมกลุ่มกันรับมือกับการถูกโจมตีได้เร็วมากกว่าเดิม!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ได้รับคำตอบยืนยัน เขาเริ่มคิดหาแผนรับมือในหัวมากมาย
…
ในเวลาเดียวกัน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาจึงไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ส่วนตัวของชายหนุ่มนั้นก็ขับรถกลับไปที่บริษัทต่อเพื่อดูเอกสารต่าง ๆ ที่ตัวเองจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติให้เสร็จสิ้น
หลังบ่ายสามโมง เขาก็ขับรถออกจากบริษัทเพื่อไปรับถวนถวน
ทว่า ในระหว่างที่เขาขับผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็เห็นสวีรุ่ยและพ่อของเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน
แต่เมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อลูกคู่นี้ในเวลานี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเมื่อดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเพิ่งจะสามโมงกว่า ชายหนุ่มจึงหยุดรถสปอร์ตที่ข้างถนนอย่างช้า ๆ
“…จะทำยังไงดีนะเฮ้อ…หางานไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว…”
บทที่ 332 กล้าแต่โง่
บทที่ 332 กล้าแต่โง่
ในที่สุดคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็มาถึง และทันทีที่เห็นว่ามีคนมาช่วยแล้ว เฉียนเซาก็มีแรงใจจนสามารถลุกขึ้นได้และวิ่งไปหากลุ่มคนของแก๊งวาฬยักษ์ที่เพิ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าสาขาสวี!! ในที่สุดคุณก็มา ไอ้เวรนี่ไงที่ผมอยากให้คุณช่วยจัดการให้ มันโคตรหยิ่งผยองเลย ช่วยจัดการมันให้ผมที!!”
เฉียนเซาหันศีรษะและชี้ไปที่อวี้ฮ่าวหราน ซึ่งอยู่ไม่ไกลด้วยความโกรธ
ชายหัวล้านรู้สึกรำคาญใจสุด ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาเป็นหัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ชื่อ สวีเปียว
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียนเซามักจะให้ผลประโยชน์แก่เขา เขาก็คงไม่ใส่ใจกับไอ้ขยะอ้วนนี่หรอก
“เออ! เดี๋ยวฉันช่วยเอง! เด็ก ๆ! ไปสอนไอ้เวรนั่นให้รู้ว่าความแข็งแกร่งคืออะไร!”
เขาตะโกนอย่างสบาย ๆ และปล่อยให้ลูกน้องทั้งหมดที่อยู่ข้างหลังเขาจัดการเรื่องนี้แทน
สวีเปียว เป็นคนที่หยิ่งผยองมาก เขาคือปรมาจารย์พลังภายใน หากเขารู้สึกว่าคู่ต่อสู้ไม่คู่ควรให้เขาลงมือเขาจะไม่มีวันเปลืองแรงลงมือเองเด็ดขาด ซึ่งชายหนุ่มตรงหน้าเขานั้นดูมีอายุยี่สิบต้น ๆ ที่ไม่มีพิษสงอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางลงมือเองให้เปลืองแรง
ส่วนเฉียนเซานั้น เมื่อเห็นสิ่งนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากจนอยากจะกระโดดโลดเต้น
ด้วยจำนวนคนของแก๊งวาฬยักษ์มากขนาดนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งแค่ไหนฝั่งของเขาก็ชนะแน่!
ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในคนที่มาคือหัวหน้าสาขาเชียวนะ!
“ไอ้ลูกหมากล้าสู้กับฉันคนนี้แกตายแน่!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างภาคภูมิใจ
ในขณะเดียวกัน สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ก็ค่อย ๆ ตีวงล้อมเข้าหาอวี้ฮ่าวหราน ด้วยสีหน้าน่ากลัวซึ่งถ้าคนธรรมดาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้คงกลัวจนฉี่ราดแล้วแน่ ๆ
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานที่เผชิญกับเหตุการณ์นี้ การแสดงออกของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย อีกทั้งยังยิ้มเยาะอีกฝ่ายด้วย
“เหอะ ๆ แค่มดแมลงอีกฝูงหนึ่งก็แค่นั้น”
เขาจ้องมองอย่างเยาะเย้ย
“แกพูดถึงใครว่าเป็นมดแมลง!”
“แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
เมื่อเห็นท่าทีหยิ่งผยองของอวี้ฮ่าวหราน พวกแก๊งวาฬยักษ์ต่างก็ตะโกนอย่างหงุดหงิด
แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าขณะนี้หัวหน้าสาขาของพวกเขาที่ได้เห็นหน้าชัด ๆ ของอวี้ฮ่าวหรานแล้ว กำลังหน้าซีดเหมือนเป็นไก่ต้ม!
จากสีหน้าที่เย่อหยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกภายในพริบตา!
หลังจากล้มเหลวในการซุ่มโจมตีหวังเหยียนในคืนนั้น เขาก็ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในผับอย่างละเอียดหลังจากนั้น
แม้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดส่วนใหญ่จะถูกทำลายไปแล้ว แต่มันยังมีบางส่วนที่สามารถกู้คืนมาได้ซึ่งมันเป็นภาพที่เห็นหน้าของคนของผู้ที่ฆ่าคนของแก๊งวาฬยักษ์นับร้อยและหัวหน้าสาขาทั้งสี่อย่างชัดเจน!
คนผู้นั้นฆ่าคนของแก๊งเดียวกันกับเขานับร้อยง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!
“น…นายคืออวี้ฮ่าวหราน!!”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และเม็ดเหงื่อจำนวนมากก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน!
ความกลัวกัดกินใจของเขาถึงขีดสุดในทันที!
คน ๆ นี้มันคือดาวหายนะคนนั้น!
ชิบหายแล้วไง!
นี่เขาพาคนมาที่นี่เพื่ออะไร? นี่ฉันกำลังรนหาที่ตายอยู่ชัด ๆ เลย!
อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าสวีเปียวคิดอะไรอยู่ พวกเขาแค่เห็นสีหน้าของลูกพี่ตัวเองจู่ ๆ ก็แข็งทื่อและจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกอย่างหนัก และจู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้หยุด!
“ลูกพี่? เป็นอะไรไปงั้นเหรอ?”
“ลูกพี่เราควรรีบฆ่าไอ้เวรนี่ก่อนที่จะมีรถผ่านมา ส่วนรถสปอร์ตของมันหากเราเอาไปขายคงได้เงินเยอะแยะเลยทีเดียว แถมไอ้พวกลูกคนรวยพวกนี้บอกว่าในรถสปอร์ตนั่นมีผู้หญิงสวยมาก ๆ อยู่ด้วย หลังจากจบเรื่องนี้พวกเราอาจได้ของเล่นเพิ่มมาอีกชิ้น!”
หนึ่งในลูกน้องของสวีเปียวพยายามจ้องมองเข้าไปในรถของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตั้งใจ แต่ด้วยฟิลม์กระจกที่ดำมืดเขาจึงเห็นแค่ลาง ๆ ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะสวยมาก ๆ นั่งอยู่ในรถ
แน่นอนว่านักเลงพวกนี้ชอบเล่นสนุกกับผู้หญิงสวย ๆ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้พวกเขาจะยอมปล่อยซูหว่านเอ๋อไปง่าย ๆ
อย่างไรก็ตาม สวีเปียวยิ่งแสดงสีหน้าตื่นตระหนกมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินลูกน้องของตัวเองเอ่ยขึ้นว่าจะเล่นสนุกกับผู้หญิงของดาวหายนะตรงหน้าเสียงดัง
“ก…แก!! หุบปากไปเดี๋ยวนี้!!”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกน้องตัวเอง เขาทั้งตกใจและโกรธ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ทางด้านของเฉียนเซาที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไร และยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวีเปียว เขาจึงพูดยุยงอีกรอบ
“หัวหน้าสาขาสวี อีกฝ่ายเป็นแค่คนรวยที่ไร้พิษสง…ด้วยความแข็งแกร่งของคุณ คุณสามารถจัดการกับไอ้เวรนี่ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว แต่ก่อนที่คุณจะฆ่ามันผมขอให้คุณช่วยลากมันมาให้ผมกระทืบก่อนสักรอบเถอะ ผมแค้นมันมาก ผมอยากจะทำให้มันเจ็บที่สุดก่อนที่มันจะตาย!”
“หุบปาก!!”
‘ผลั่ก!’
สวีเปียวไม่สามารถเก็บอารมณ์ของตัวเองได้อีกแล้ว เขาเตะไปที่ท้องของเฉียนเซาอย่างแรงจนกลิ้งหลุน ๆ ไปด้านข้าง!
เมื่อได้ยินเฉียนเซาพูดพล่อย ๆ แบบนี้ เขาจึงโกรธจัดจนระเบิดอารมณ์
“นี่…นี่แกจะฆ่าฉันเหรอไง!?”
ด้วยความเดือดดาลและอับอายหลังจากถูกเตะอย่างแรง เมื่อยันตัวขึ้นลุกนั่งได้ เฉียนเซาก็สบถใส่สวีเปียวเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เขาเรียกมาให้ช่วยตัวเองกลับมาเตะเขาจนกลิ้งแบบนี้!
“ฉันเรียกแกมาให้แกฆ่าไอ้ขยะนั่น แต่ทำไมแกถึงทำกับฉัน…”
“ถ้าแกกล้าพูดอีกประโยคเดียวฉันจะฆ่าแกทิ้ง!!”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดล่าสุดของเฉียนเซา!
ไอ้นี่มันพยายามจะลากฉันลงนรกไปด้วยชัด ๆ!
คนที่แข็งแกร่งขนาดฆ่าคนนับร้อยและหัวหน้าสาขาอีกสี่คนได้ราวกับพลิกฝ่ามือ ฉันจะสู้กับอีกฝ่ายได้ยังไง??
ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้เหนือกว่าพวกหัวหน้าสาขาสี่คนนั่นที่ตายไปด้วยซ้ำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเลยถ้าขืนเขากระโจนเข้าไปหาชายคนนี้!
การที่เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเขาอาศัยแต่ความแข็งแกร่งของตัวเองปะทะกับทุกอย่างในโลกเหมือนพวกกระทิงโง่ แต่เขามักจะใช้ลูกน้องที่ไร้สมองของตัวเองพุ่งเข้าไปหาความตายก่อนจากนั้นเขาถึงค่อยอ้างผลงานทั้งหมดเป็นของตัวเอง หรือถ้าเห็นว่าสู้ไม่ได้จริง ๆ เขาก็แค่ขอยอมแพ้!
ลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้โว้ย!
“พ…พี่ชายไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายหัวล้านร่างกำยำที่มีส่วนสูงเกิน 1.8 เมตร ก็คุกเข่าลงทันที!
‘ผลั่ก!’
ด้วยเสียงคุกเข่าลง บรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ที่เหลือต่างตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ!
ปากของพวกเขาเปิดกว้าง และตาของพวกเขาแทบถลนออกมาเบ้า!
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกพี่ของตัวเองจู่ ๆ ก็คุกเข่าลงอ้อนวอนอีกฝ่ายแบบนี้!
“ล…ลูกพี่…นี่มัน…”
ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังพูดไม่ออก
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกพี่ของเขาถึงคุกเข่าลง?
แต่ด้วยฐานะสมาชิกระดับรากหญ้า เขาจึงไม่มีข้อมูลว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามน่ากลัวขนาดไหน!
“พวกแกทั้งหมดห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด!”
สวีเปียวรู้ดีว่ามันน่าละอายที่คุกเข่าให้กับฝ่ายตรงข้ามต่อหน้าลูกน้องของเขาแบบนี้ แต่อีกฝั่งหนึ่งเป็นใครกันล่ะ?
เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่สามารถฆ่าคนนับร้อยได้ง่าย ๆ ศักดิ์ศรีมันจะมีค่าอะไรอีก?
“พ…พี่อวี้! ครั้งนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นพี่ที่อยู่ที่นี่ ผมขอร้องพี่โปรดช่วยคิดซะว่าผมแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้นจะได้ไหม? และถ้าพี่ไม่ว่าอะไรผมจะพาคนของผมจากไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ บรรดาลูกน้องของสวีเปียวที่อยู่รอบ ๆ ต่างแสดงสีหน้าโง่งม
พวกเขาไม่เคยเห็นลูกพี่ตัวเองทำอะไรที่มันน่าละอายมากขนาดนี้เลย
นี่ลูกพี่ของพวกเขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ ถึงได้คุกเข่าลงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่’ แล้วขอความเมตตาเพื่อที่จะได้จากไปแบบนี้
เมื่อเห็นฉากนี้ หนึ่งในลูกน้องที่ไม่เข้าใจ แถมกลับมีความคิดอยากสร้างผลงานไต่เต้าตำแหน่งในแก๊งจนไม่ดูสถานการณ์ก็ตะโกนขึ้นเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าห้าวหาญ
“ลูกพี่! ไอ้นี่มันแค่ขยะ! คุณคุกเข่าให้มันไปทำไม! ลูกพี่คอยดูผมนะ ผมจะฟันคอไอ้เวรนี่ให้หลุดภายในครั้งเดียวให้ลูกพี่ดู!!”
หลังจากพูดจบเขาก็วิ่งปรี่เข้าไปหาอวี้ฮ่าวหราน พร้อมกับเหวี่ยงมีดในมือ!
ขณะนี้เขาคิดถึงแค่โอกาสที่จะได้สร้างผลงานและรู้สึกว่าลูกพี่ของเขาไม่น่าเคารพอีกต่อไปแล้ว หากเขาฆ่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งในแก๊ง และอีกไม่นานเขาจะได้ก้าวข้ามหัวสวีเปียวที่โง่เขลาและขี้ขลาดขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน!!
“บัดซบแล้วไง!”
เมื่อสวีเปียวเห็นภาพนี้ เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาอยากจะพุ่งตัวไปขวางแต่มันก็สายเกินไปแล้ว!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างขบขันทันทีเมื่อเห็นว่ามีมดแมลงตัวหนึ่งที่อยากจะไต่เต้าตำแหน่งในแก๊งเล็ก ๆ ไร้ค่าพุ่งเข้ามาอย่างโง่เขลาราวกับรนหาที่ตาย
“ฮึ่ม! แกมันก็แค่คนที่กำลังจะตาย แกกล้าดียังไงมาทำหน้าทำตาหยิ่งผยองต่อหน้าฉัน แกตายแน่!!”
เมื่ออะดรีนาลีนหลั่งสุดขีดจากความตื่นเต้นที่จะได้สร้างผลงานและจินตนาการที่จะได้เลื่อนตำแหน่งในแก๊ง ลูกน้องของสวีเปียวก็พุ่งเข้าหา อวี้ฮ่าวหรานอย่างดุร้ายและฟันด้วยมีดอย่างโง่เขลา!
เขาภูมิใจในพฤติกรรมของตัวเองมากในตอนนี้ เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายตาย ชื่อเสียงของเขาในแก๊งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในทันใด!
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมไม่มีใครเลยรีบวิ่งตามเขามา และเขาไม่รู้ว่าทำไมสวีเปียวถึงได้หวาดกลัวนัก แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ทันแล้ว เขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะฆ่าอีกฝ่ายให้ได้เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ของตัวเอง!