บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ
บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ
เมื่อได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย หลิวว่านชิงก็ส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
ในฐานะครู มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเอ่ยปากออกมา
“นี่? อะไรกัน? จะบอกว่าเธอไม่เต็มใจอย่างนั้นเหรอ? อายุยังน้อย ก็น่าจะต้องได้รับบทเรียนบ้างไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อาจารย์หวังก็เผยแววเหยียดหยามอยู่บ้าง
“คุณ!”
หลิวว่านชิงไม่พอใจหนัก หากแต่เมื่ออ้าปากจะตอบโต้กลับพูดไม่ออก
อาจารย์หวังที่เห็นเช่นนี้ก็หลุดขำเย้ย ก่อนหันไปสอนเสี่ยวเสวี่ยเล่นเปียโน“ฟังนะ…ครั้งนี้เราจะเอาจริงกันแล้ว เราจะเป็นเด็กอมมือที่เอาแต่พล่ามไปเรื่อยไม่ได้…”
แม้จะอยู่ห่างออกไป ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายยังคงลอยเข้าหูเธอ
“น่าหงุดหงิดจริง ๆ!”
คราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงหลิวว่านชิง แม้แต่หลี่หรงยังอดหัวเสียไม่ได้
ถวนถวนของเธอแสดงได้ดีที่สุดในสายตาของเธอ!
“อย่าโกรธเลยนะคะแม่หรง ถวนถวนเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวหนูจะจัดการเธอให้หงายเลยค่ะ!”
เจ้าตัวน้อยกระตุกชายเสื้อของเธอ
หลี่หรงอิ่มเอมใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนัก ถึงอย่างไรเด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยก็เล่นเปียโนได้คล่องแคล่ว
“ใช่แล้ว ถวนถวนเก่งมากเลยนะคะ คุณน้าอย่าเสียอารมณ์ไปเลยค่ะ”
เธอรู้สึกได้ว่าหลังจากพี่เขยกลับมา นับวันถวนถวนยิ่งดูมั่นใจมากขึ้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลานเธอก็ยังเด็ก มีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง
เวลาล่วงเลยพ้น 8 โมงครึ่ง
ถวนถวนและเพื่อนกลุ่มเดียวกันถูกพาไปห้องรับรอง ส่วนอวี้ฮ่าวหรานกับหลี่หรงรอชมอยู่หน้าเวที
เขาต้องแปลกใจเมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยอยู่ไม่ห่างออกไป
“คุณสวี…มาที่นี่เหมือนกันเหรอคะ?”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย หลี่หรงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อพบฝ่ายตรงข้ามคือสวีรุ่ยซึ่งเพิ่งพบกันเมื่อ 2 วันก่อน
“อ้าว? พวกคุณ… ถวนถวนมางานนี้เหมือนกันเหรอคะ?”
เมื่อพบหน้าทั้งคู่ เธอจึงส่งสีหน้าสงสัยก่อนนึกขึ้นได้
“อย่างนั้นฉันก็จะได้เห็นถวนถวนเล่นเปียโนสินะคะ”
“ใช่ครับ วันนี้คุณโชคดีมากเลยนะครับ มานั่งทางนี้สิครับ ยังไม่มีคนนั่งพอดีเลย”
เป็นอวี้ฮ่าวหรานที่เอ่ยปากเชิญชวนก่อน
“ค่ะ”
สวีรุ่ยรับคำ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมานั่งด้านข้าง
“วันนี้ทางโรงเรียนส่งข้อความแจ้งคุณครูทุกคนค่ะ บอกว่าให้มาชมการแสดงกัน ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษ”
เธอเล่าเมื่อเธอนั่งลง
“ช่วงวันหยุดหน้าร้อนที่ผ่านมาถวนถวนสนใจเรียนเปียโน แล้วก็เรียนได้ดีด้วยครับ ผมก็เลยให้เธอลองมาแข่งดู” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ย
“อ๋อ? ถวนถวนมาแข่งจริง ๆ เหรอคะ?”
สวีรุ่ยมีท่าทีแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ด้วยถวนถวนยังอายุน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนมาก่อน
จะเข้าแข่งขันทั้งที่เรียนภายในวันหยุดหน้าร้อนเดียวได้อย่างไร?
หากแต่เวลานี้หลี่หรงดูปลาบปลื้มใจมาก
“ถวนถวนหัวไวมากค่ะ คุณครูที่สอนชมใหญ่เลย บางทีอาจจะชนะการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ค่ะ”
เมื่อครั้งที่เธอเรียนเปียโนในวัยเด็ก คุณครูยังไม่เคยชมเธอสักครั้ง
แม้ว่าเธอจะชอบเล่นมาก หากแต่คนไม่มีพรสวรรค์อย่างไรก็ไม่มีอยู่วันยังค่ำ
“ค่ะ ถวนถวนเป็นเด็กฉลาดมาก แต่เรื่องที่จะเอาชนะได้…”
สวีรุ่ยไม่มั่นใจในเรื่องนี้นักด้วยรู้ดีว่าเด็กที่เข้าแข่งขันร่ำเรียนเปียโนมาตั้งแต่ยังเด็กมาหลายปี อย่างน้อยก็ทำให้เล่นได้อย่างไม่มีที่ติ
หากแต่ถวนถวนเรียนมาเพียงเดือนเดียว อีกทั้งยังอายุน้อย…
เธอเกรงว่าหากอวยเกินไปตอนนี้ ถ้าพลาดตำแหน่งขึ้นมา ลูกศิษย์จะเสียใจเอาได้
“ไม่ต้องห่วง ผลต้องออกมาดีแน่ครับ”
อวี้ฮ่าวหรานว่าขึ้น เขามั่นใจในตัวลูกสาวคนนี้เต็มที่ เพราะการแสดงเมื่อวานของถวนถวนก็ทำให้เขาตกตะลึงมากทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องรับรอง เด็ก ๆ นั่งอยู่รวมกันที่นี่
“เธอเด็กขนาดนี้ เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”
เด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยถามขึ้นก่อน ถวนถวนนั่งอยู่ข้างเธอด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นความมั่นใจ
“ถวนถวนเก่งมากนะ! พ่อถวนถวนยังบอกว่าจะแข่งชนะเลย”
ดวงตากลมโตจับจ้องคู่สนทนาเขม็ง
“เธอเล่นไม่เป็นหรอก ก็แค่เล่นขำ ๆ น่ะสิ เดี๋ยวจะทำให้พ่อแม่ขายหน้าเปล่า ๆ”
“ไม่มีทาง! ถวนถวนตั้งใจฝึกมาก! พ่อยังชมว่าเก่งที่สุดเลย!”
แม้จะถูกเสี่ยวเสวี่ยปรามาส หากแต่ถวนถวนก็ไม่ท้อถอย ยังคงมั่นใจเต็มที่
หลังได้ฝึกซ้อมรอบสุดท้าย เธอก็ยังเชื่อมั่นในตนเองอย่างถึงที่สุด
“คอยดูไปแล้วกัน”
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมั่นใจเพียงนี้ เสี่ยวเสวี่ยนึกอยากเอาชนะเด็กหญิงตัวน้อยโดยไม่รู้ตัว
ผ่านไปไม่นาน ก็ถึงเวลา 9 โมงเช้า การแข่งขันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ครั้งนี้เป็นงานแข่งขันที่จริงจังมาก มีคณะกรรมการถึงสิบคน
ผู้เข้าแข่งขันคนแรกปรากฏตัวขึ้น เป็นเด็กหญิงอายุราว 5 ถึง 6 ขวบ
“เด็กคนนี้อายุน้อยเกินไป เห็นไหมว่าตื่นเวทีมาก”
“ใช่ ต่อให้ฝึกมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าก็ยังทำได้ไม่ดี”
“พวกเขาแค่มาลองมาหาประสบการณ์ คนที่มาแข่งจริงจังคือเด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบต่างหาก”
“…”
เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน
ท่วงทำนองเปียโนค่อย ๆ ดังขึ้น ไม่รู้ว่าด้วยตื่นเวทีหรือไม่ ท่อนแรกจึงได้ฟังดูกวัดแกว่งเล็กน้อย
หลังเพลงจบลง คณะกรรมการให้คะแนนกัน
ได้คะแนนรวม 4.5 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน
อาจด้วยเพราะอายุของเด็กคนนี้
ด้านคุณครูที่ยืนชมอยู่ฟากซ้ายเวที อาจารย์หวังว่าเย้ย “เห็นไหม? ได้แค่ 4.5 คะแนน ฉันบอกแล้วว่าอายุน้อยแค่นี้จะไปเก่งอะไร เดี๋ยวลูกศิษย์ของเธอก็ต้องเล่นเป็นคนต่อไป คงฝีมือแย่พอกันนั่นแหละ”
“ก็ไว้ค่อยดูแล้วกันว่าจะเป็นยังไง”
หลิวว่านชิงคร้านจะใส่ใจอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา
“หืม? เสี่ยวหลิว พูดอะไรของเธอ อาจารย์หวังอาวุโสกว่าเธอนะ น่าจะเคารพสักหน่อยสิ”
“ใช่แล้ว ที่พูดก็เพราะว่าหวังดี เดี๋ยวเธอจะได้บทเรียนเอง”
“ฮ่า ๆ ยังไงเสี่ยวหลิวก็เพิ่งเรียนจบ ประสบการณ์น้อย อย่าไปถือสาเธอเลย”
ครูอาจารย์เหล่านี้ต่างก็เคยสอนชั้นอื่น ๆ มาก่อน พวกเขาจึงมักจะจับกลุ่มกันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
หลิวว่านชิงอยากจะตะโกนออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอนทั้งนั้น!
“ดูเข้าสิ!”
“ชิ ไม่มีฝีมือแล้วยังจะเชิดอยู่ได้”
เมื่ออาจารย์หวังได้ยิน เธอก็ส่งเสียงเยาะเย้ยถากถาง ตอนนี้ได้เวลาที่ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปจะเริ่มแสดง
เด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบคนนี้ไม่มีท่าทีตื่นเวที แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เก่งมากนัก มีบางช่วงที่เล่นติดขัดกลางคัน
แต่อย่างไรเสียก็เป็นการแข่งขันของเด็ก ๆ จึงไม่มีใครคิดถือสา
“สรุปคะแนนรวมได้ไป… 5.8 คะแนนครับ!”
เมื่อพิธีกรประกาศผลจบ ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปขึ้นเวทีต่อทันที
หากแต่การแสดงของหลายคนไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ได้คะแนนสูงสุดไปเพียง 6 คะแนนเท่านั้น
“มาดูเร็วเข้า! ต่อไปเป็นเสี่ยวเสวี่ย ลูกศิษย์ฉันเอง!”
การแสดงก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก อาจารย์หวังพลันโพล่งขึ้น
เสี่ยวเสวี่ยในชุดกระโปรงขาวขึ้นมาบนเวที เด็กหญิงวัย 7 ย่าง 8 ขวบดูน่ารักน่าชัง ขณะเดียวกันก็ดึงดูดสายตาผู้คนมากเช่นกัน
บทที่ 336 ตำแหน่งงานเฉพาะ
อวี้ฮ่าวหรานรีบส่งถวนถวนและขับรถไปที่เครือฮ่าวหราน
เมื่อวานเขาลืมบอกอีกฝ่ายว่าปกติเขาไม่ได้เข้าบริษัทเร็วเหมือนคนอื่น
ปกติกว่าเขาจะเข้าบริษัทก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าเพราะต้องส่งถวนถวน ก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่เขามาถึงบริษัท อวี้ฮ่าวหรานก็ตรงไปที่ออฟฟิศของหลี่จิงเทียน ทันที
เดิมทีเขากังวลว่า หลี่จิงเทียนจะทำให้ทั้งสองพ่อลูกอึดอัดใจ แต่ไม่นึกเลยว่าพอเขาไปถึง เขากลับเห็นว่าหลี่จิงเทียนกำลังพูดคุยกับสองพ่อลูกเป็นอย่างดีและดูสนิทสนม…
“…พี่เขยของฉันมีโด่งดังและเก่งสุด ๆ ก่อนหน้านี้ตระกูลหลี่ของเรา…”
ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงคุยโวของหลี่จิงเทียน
“หลี่จิงเทียน!”
“พ…พี่เขย…”
เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของอวี้ฮ่าวหราน หลี่จิงเทียนก็หยุดชะงักในทันที
หลังจากเห็นว่านอกเหนือจากการคุยโวแล้ว หลี่จิงเทียนก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย อวี้ฮ่าวหรานจึงรู้สึกโล่งใจ
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เข้าคุกไป หลี่จิงเทียนก็เปลี่ยนไปมากพอสมควร
อย่างน้อยทุกครั้งที่เจอหน้ากัน หลี่จิงเทียนก็ทำตัวเรียบร้อยขึ้นมาก
“อวี้ฮ่าวหราน คุณ…ในที่สุดคุณก็มา”
สวีรุ่ย ยืนขึ้นทันทีที่เธอเห็นอีกฝ่ายมาถึง
“อืม เมื่อวานผมรีบไปหน่อยเลยไม่ได้แจ้งกับคนในบริษัทเอาไว้ก่อนว่าพวกคุณจะมาหาผม”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า เขารู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ
“ม…ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะหยุดเรา แต่เขาก็สุภาพกับเรามาก เช่นเดียวกับรองประธานหลี่ เขากำลังเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับบริษัทเมื่อสักครู่นี้”
สวีรุ่ยพยักหน้าและไม่ได้พูดถึงตอนที่หลี่จิงเทียนทำตัวหยาบคายกับเธอและพ่อเมื่อตอนที่อยู่หน้าประตูแรก ๆ
“ช…ใช่! ผมดูแลแขกของพี่เขยอย่างดีที่สุด ทันทีที่ผมเจอแขกของพี่เขยที่ประตู…ผม…ผมก็ต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีจริง ๆ นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จิงเทียนก็รีบเอ่ยเสริมปกปิดช่วงที่เขาทำพลาดไป
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองคนอื่นอย่างไม่เป็นมิตร
“ฮึ่ม นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายเป็นคนยังไง!”
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าน้องภรรยาตัวแสบของเขาคนนี้ไม่ได้พูดจริงทั้งหมด และพยายามพูดเอาดีเข้าตัวแบบเต็ม ๆ
หากหลี่จิงเทียนปฏิบัติตัวดีอย่างที่พูดทั้งหมด สวีรุ่ยก็คงไม่น่าจะโทรหาเขาในตอนนั้น เพื่อให้เขาช่วยอธิบายเรื่องการมาของเธอและพ่อ
อย่างไรก็ตาม หลี่งจิงเทียนก็พัฒนาตัวเองได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน พอรู้ว่าตัวเองกำลังทำผิดก็รีบแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองทันที ซึ่งดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่คิดอยากเอาเรื่องน้องภรรยาของเขาคนนี้อีก
“พวกคุณมากับผม เดี๋ยวผมจะพาไปหาผู้จัดการหวัง ให้เขาดูว่างานประเภทไหนที่เหมาะสมกับคุณ”
หลังจากทักทายกันเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็พาทั้งสองออกจากออฟฟิศของ หลี่จิงเทียน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานพาคู่พ่อลูกจากไป หลี่จิงเทียนก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขากลัวจริง ๆ ว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาจะทำให้พี่เขยไม่พอใจ จนเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกรอบ
หลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาก็ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตของเขาดีแค่ไหน
เขาไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ มีแต่คนยกยอเขา แถมเงินเดือนของเขาก็สูงปรี้ดและโอนเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติเมื่อครบเดือน โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเหมือนตอนที่เขาอยู่บ้านกับพ่อตัวเอง
มันช่างเป็นชีวิตที่ไร้กังวลอะไรแบบนี้!
และที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับการอยู่ในคุก ความแตกต่างนี้มันเปรียบได้กับสวรรค์และขุมนรก!
“เฮ้อ…ก่อนหน้านี้ฉันคิดบ้าอะไรของฉันกันหว่า? ไหงฉันถึงทำตัวหาเรื่องเดือนร้อนแบบนั้นไปได้?”
เขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาพลางพึมพำและถอนหายใจ
ในอีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็พาคู่พ่อลูกเข้าไปในออฟฟิศของเขา
“นั่งลงก่อน เมื่อครู่ผมเรียกให้คนที่จะคอยดูว่าพ่อของคุณเหมาะกับตำแหน่งงานไหนให้มาที่ห้องของผมแล้ว”
เขาผายมือให้ทั้งสองคนนั่งลง และสวีเซี่ยงจวินก็ขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ ประธานอวี้! ผมขอสาบานว่าหลังจากนี้ผมจะตั้งใจทำงาน ผมจะหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อให้รุ่ยเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!”
เขายังไม่ได้นั่งลงตามที่อวี้ฮ่าวหรานเพิ่งบอก แต่เขาโค้งตัวขอบคุณอย่างจริงจังเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างแท้จริง
“อืม ไม่เป็นไร”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง เรื่องนี้สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายทำตัวมากพิธีกับเขานัก
สักพัก ผู้จัดการหวังก็เดินเข้ามาในห้อง
“ประธานอวี้ ท่านกำลังตามหาผมอยู่หรือเปล่า?”
เขาเห็นคนอีกสองคนที่นั่งอยู่ในออฟฟิศได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงดูสับสนเล็กน้อย
“เอาล่ะ มีบางอย่างที่ผมอยากจะให้คุณช่วยจัดการให้สักหน่อย คุณช่วยดูให้ทีว่าชายคนนี้เหมาะกับงานประเภทไหนในบริษัทของเราที่สุด”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและส่งสัญญาณให้ผู้จัดการหวังให้ความสนใจกับสวีเซี่ยงจวิน
“ให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ดีมากกว่าพนักงานทั่วไปสักหน่อยก็แล้วกัน”
“ม…ไม่ อย่าดีกว่าครับประธานอวี้! ความสามารถของผมมีจำกัด แค่ให้ตำแหน่งงานปกติกับผมก็พอ”
สวีเซี่ยงจวินโบกมืออย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ในทางกลับกัน เมื่อผู้จัดการหวังได้ยินคำสั่งนี้ เขาก็มองคู่พ่อลูกคู่นี้ด้วยความสงสัย มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำให้ประธานของเขาเอ่ยปากพูดเป็นการส่วนตัวให้แบบนี้
คำสั่งนี้เขาจำเป็นต้องจัดการให้ถี่ถ้วน!
โชคดีที่เขารู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัท ซึ่งในไม่ช้าเขาก็มีทางเลือกหลายทางในใจ
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ เขาต้องถามคุณสมบัติของอีกฝ่ายก่อน
ถึงแม้ว่าประธานของเขาจะต้องการมอบตำแหน่งดี ๆ ให้กับคน ๆ นี้ แต่คนผู้นี้ก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งงานนั้น ๆ ได้เหมาะสมเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของประธานของเขาเสียหายได้
“ผมขอถามคุณสักหน่อย ปัจจุบันคุณจบการศึกษาถึงระดับไหน?”
“การศึกษา? เอ่อ…ผมแค่…ผมเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษา แต่ผมอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี และผมสามารถเป็นคนขนของในสายการผลิตทั่วไปได้!”
สวีเซี่ยงจวินตอบกลับอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำถาม
ผู้จัดการหวังไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย คนรุ่นก่อน ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็จบระดับการศึกษาแค่ชั้นประถมเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“เราพอจะมีตำแหน่งที่เหมาะสมกับเขาไหม?”
“แน่นอนว่ามีครับท่านประธาน บริษัทของเราเพิ่งขยายฝ่ายการผลิตเพิ่มเกือบสองเท่าจากเดิม ดังนั้นเราจึงยังขาดอีกหลายตำแหน่งที่ต้องการจ้างเพิ่ม ในเมื่อท่านต้องการจ้างชายคนนี้ผมจึงขอแนะนำให้เขารับตำแหน่งพนักงานดูแลความเรียบร้อยโกดังสินค้าใหม่ของเราที่เพิ่งสร้างเสร็จ”
ผู้จัดการหวังวางตำแหน่งให้สวีเซี่ยงจวินได้อย่างรวดเร็ว
“งานนี้ไม่ยากเย็นอะไร เนื้องานเป็นแค่การตรวจสอบรถที่เข้าออกโกดัง และตรวจดูคนขับรถว่ามีบัตรผ่านรึเปล่าก็แค่นั้น หรือบางครั้งอาจจะมีคำสั่งพิเศษให้ทำบ้างประปราย และชั่วโมงการทำงานก็แค่แปดชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ เงินเดือนที่เขาจะได้รับยังสูงกว่าพนักงานในสายการผลิตทั่วไปถึง 50%”
ผู้จัดการหวังมองดูสีหน้าของเจ้านายตัวเองตลอดเวลาในระหว่างที่เขาอธิบายเงินเดือนและข้อกำหนดของตำแหน่งนี้โดยละเอียด
งานนี้เรียกได้ว่าดีมากเลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้ว เวลาผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ มอบตำแหน่งงานให้ญาติพี่น้องของตัวเอง พวกเขามักจะมอบตำแหน่งประมาณนี้ให้
หลังจากฟังจบ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขารู้สึกว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ไม่สูงเกินไปไม่ต่ำเกินไป และมองไปที่สวีเซี่ยงจวินที่อยู่ด้านข้าง
“ฉันคิดว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ว่าแต่นายว่ายังไง?”
“แน่นอน! มันดีมาก ๆ เลย! ผมยินดีทำอย่างแน่นอน!”
สวีเซี่ยงจวินรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้งานตำแหน่งดีขนาดนี้!
นี่ดีกว่างานก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่เขาเคยทำมา!
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้ หลังจากนี้ผมขอรบกวนคุณด้วยก็แล้วกันผู้จัดการหวัง”
อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้า บทสรุปนี้ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อสวีเซี่ยงจวินมีรายได้ ชีวิตของสวีรุ่ยก็จะดียิ่งขึ้น
หลังจากได้ยินคำสั่ง ผู้จัดการหวังก็ส่งสัญญาณให้สวีเซี่ยงจวินเดินตามเขาออกไป
“ตามผมมา โกดังอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวผมจะพาไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ทำงานและรายละเอียดของหน้าที่ที่คุณจำเป็นต้องรู้”
อวี้ฮ่าวหรานมองดูทั้งสองคนออกไป และหลังจากที่ประตูออฟฟิศปิดลง เขาจึงมองไปที่สวีรุ่ย