บทที่ 361 เข้าปะทะอย่างจัง
บทที่ 361 เข้าปะทะอย่างจัง
“อาจารย์หลิว… คุณ…. ลูกศิษย์คุณน่าทึ่งมาก! เด็กคนนี้เก่งมากเลย!”
ทุกคนต่างหันขวับมองอาจารย์สาวซึ่งนั่งเงียบอยู่ที่นั่งด้านหลัง
“ไม่ใช่แค่เก่งแล้ว! แต่เข้าขั้นอัจฉริยะเลยต่างหาก! อาจารย์หลิว! ลูกศิษย์คุณมีพรสวรรค์มาก!”
“ใช่ ฉันสอนมาหลายปี ไม่เคยเห็นเด็กคนไหนฉายแววตั้งแต่เด็กขนาดนี้เลย!”
“…”
อาจารย์หลิวเริ่มมีปฏิกิริยา ทั้งที่ผู้คนชื่นชมเธอมากมาย เธอกลับรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
เธอโดนดูแคลนมานานตั้งแต่เข้ามาเป็นอาจารย์ มีหรือจะเคยเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้?
“เพราะว่าเด็กฉลาดอยู่แล้วต่างหากค่ะ ฉันแค่สอนไปตามปกติ”
อาจารย์สาวรีบบอกอย่างถ่อมตัว
อาจารย์หวังรีบโพล่งขึ้นทันที
“ใช่แล้ว ครั้งนี้เธอแค่โชคดีได้ลูกศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นแหละ”
ประโยคนี้ชวนปวดใจ ช่างบาดหูหลิวว่านชิงไม่น้อย และเมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอก็อดตอกกลับไม่ได้
“ถ้าคุณเก่งนัก เจอลูกศิษย์แบบนี้สักคนไหมคะ? มาพูดจาแดกดันอะไรอยู่ได้”
คำพูดแฝงแววเหยียดหยาม เธอไม่พอใจอีกฝ่ายมานานแล้ว
“เธอ!”
อาจารย์หวังถึงกับสีหน้าเปลี่ยนเมื่อได้ยินคำตอกกลับจากอาจารย์หลิว หากแต่ไม่อาจเถียงได้
ถึงอย่างไรลูกศิษย์ตนอย่างเสี่ยวเสวี่ยก็กำลังถูกเปรียบเทียบกับศิษย์ของอีกฝ่าย
ผู้คนไม่สนใจเธอ และหันไปคุยกับหลิวว่านชิง
เสียงดนตรีจากบนเวทีค่อย ๆ แผ่วลง ถวนถวนทำการแสดงจบแล้ว!
“น่าทึ่งมาก! เด็กคนนี้เก่งสุด ๆ เลยครับ!”
ไม่ทันที่คณะกรรมการจะให้คะแนน พิธีกรออกอาการตกตะลึงอย่างหนัก ถึงกับอุ้มถวนถวนขึ้นมาพร้อมกับออกปากชมไม่หยุด
ผ่านไปเพียงครู่เดียว ไม่ต้องลุ้นแต่อย่างใด คณะกรรมการทั้งหมดให้คะแนน 10 เต็ม!
สำหรับการแข่งขันระดับเด็กแบบนี้ ฝีมือขั้นนี้ถือว่าเกินความคาดหมายไปมาก!
ต้องได้คะแนนเต็ม 10 อย่างแน่นอน!
“10 คะแนนครับ! อวี้ซินถวนได้คะแนนเต็ม 10 ไปเลยครับ!”
เสียงประกาศจากพิธีกรดังขึ้น ผู้ชมหน้าเวทีตกอยู่ในความฮือฮา ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็นอัจฉริยะในการแข่งขันระดับเยาวชนเช่นนี้!
ถวนถวนอยู่ในอ้อมแขนพิธีกร หางตาสังเกตเห็นบางคนจ้องมองตนเองจากด้านหลัง
เมื่อหันมองพบว่าเป็นเสี่ยวเสวี่ย แน่นอนว่าเด็กน้อยก็อดส่งสีหน้าเยาะเย้ยตอกกลับอีกฝ่ายไม่ได้
เสี่ยวเสวี่ยเม้มปากแน่น สีหน้าตะลึงงันกลับกลายเป็นงอง้ำ มิน่า…เด็กคนนี้ถึงได้มั่นอกมั่นใจนักหนา เก่งกาจเสียขนาดนี้!
ความคิดในตอนนี้หลงเหลือเพียงตนไม่อาจเอาชนะได้
ไม่นานการแข่งขันระดับเยาวชนก็สิ้นสุดลง
เวลา 11 โมงเช้า
อวี้ฮ่าวหรานกับหลี่หรงเดินออกจากห้องโถงด้วยกัน
“มาถวนถวน…ไปฉลองกัน!”
ชายหนุ่มอุ้มถวนถวนไว้แขนหนึ่งขณะเอ่ยชวน แน่นอนว่าตั้งแต่ลูกของเขาปรากฏตัวขึ้น เธอก็เอาชนะผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้อย่างขาดลอย
หลี่หรงเผยสีหน้าโล่งใจ
ครั้งหนึ่งเธอเคยเข้าแข่งขันเช่นกัน คิดว่าตนเองจะคว้าชัยชนะมาให้ได้ น่าเสียดายที่ความสามารถของเธอไม่ถึง
หญิงสาวไม่คาดคิดว่าถวนถวนที่เรียนเปียโนได้เพียงเดือนกว่าจะฝีมือก้าวหน้าขนาดนี้
เรียกได้ว่าอัจฉริยะอย่างไรก็เป็นอัจฉริยะอยู่วันยังค่ำ…
เธอมีความสุขมาก เอ่ยขึ้น “วันนี้อยากกินอะไร ตามใจถวนถวนเลยจ้ะ!”
“ได้สิ แน่นอนอยู่แล้ว! ได้ที่หนึ่งทั้งที!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเห็นด้วย
สวีรุ่ยเห็นครอบครัวอยู่ด้วยกัน พลันนึกได้ว่าตนเองควรขอตัวออกมา
“อวี้ฮ่าวหราน ฉันหมดธุระแล้ว ขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ”
สถานการณ์แบบนี้ไม่อยู่รบกวนคงดีกว่า
“หืม? อย่าเพิ่งไปสิคะ ช่วงนี้ถวนถวนอยู่แต่บ้าน บอกว่าคิดถึงคุณตลอดเลย ไปกินข้าวด้วยกันสิคะ”
หลี่หรงหันไปเรียกรั้งเธอไว้ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้ารับน้อย ๆ เช่นกัน
“ใช่ครับ ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ เรารู้จักกันมานานไม่ใช่คนอื่นคนไกลสักหน่อย”
สวีรุ่ยจึงไม่ปฏิเสธ
ถวนถวนเลือกอาหารทะเลเป็นมื้อเย็น!
ดูท่าจะเป็นของโปรดของเด็กคนนี้
พวกเขาขับรถมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารทะเลที่ใกล้ที่สุดเพื่อเฉลิมฉลองกัน
ในขณะเดียวกันหลังจากศิษย์สำนักเมฆาเขียวสามคนพ่ายแพ้กลับมา พวกเขากลับไปตั้งหลัก
เที่ยงตรงวันรุ่งขึ้นจึงกลับไปบ้านสกุลอู๋
“ไปมีเรื่องกับใครมากัน?”
ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในโถงกลาง อู๋ชิงก็ตะโกนถามลั่น
ผู้อาวุโสตระกูลอู๋ที่ได้ยินคำเขาต่างพากันนิ่งอึ้ง
“ก็แค่…แค่อวี้ฮ่าวหราน ผมจำได้ว่าประมุขตระกูลบอกว่าเขาเป็นเขยขยะของตระกูลหลี่”
“ใช่ เป็นแค่ขยะ”
สมาชิกตระกูลอู๋ข้าง ๆ กล่าวสำทับ
ผู้อาวุโสหลินหลุดขำเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“พวกนายเรียกเขาว่าขยะอย่างนั้นเหรอ?”
อยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูง ไม่แน่อาจแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้!
ทั้งที่อายุเพียงต้นยี่สิบเท่านั้น!
ผู้ที่มีฝืมือเพียงพอให้สวรรค์ริษยาจนสร้างความอับอายขายหน้าแก่สำนักเมฆาเขียว
มนุษย์น่าขันเหล่านี้กลับเรียกอีกฝ่ายว่าขยะอย่างนั้นหรือ?
“พวกนายดีนักเหรอ?”
แม้จะเป็นคนใจเย็น ทว่าครั้งนี้ต้องออกปากต่อว่า เขายิ่งส่งสีหน้าทะมึนอยู่ข้างกายอู๋ชิง
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกนายเป็นคนตระกูลอู๋ ฉันได้ฆ่าตายไปนานแล้ว! ผู้อาวุโสอู๋ลั่นตายเสียเปล่าจริง ๆ ! พวกนายไปสร้างศัตรูตัวฉกาจให้สำนักเมฆาเขียวแล้ว!”
พลังวิญญาณของเขาสั่นไหว คล้ายหมายจะสั่งสอนคนเหล่านี้
หากแต่เหล่าผู้อาวุโสตระกูลอู๋ไม่เข้าใจ ท้วงขึ้นอย่างไม่รู้ความ “ผิดตรงไหน ทุกคนเรียกเขาว่าเขยขยะมาตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว”
“พวกนายมันตาบอดกันไง!”
อู๋ชิงโกรธมาก ครั้งนี้เขาถูกเล่นงานรุนแรง จึงออกอาการเคร่งเครียดไม่น้อย
ทั้งหมดเป็นเพราะคนไร้หัวคิดพวกนี้!
เขารวบรวมพลังวิญญาณไว้ที่มือ ก่อนปลดปล่อยออกไปเต็มแรง!
“เดี๋ยวก่อน!”
ผู้อาวุโสหลินเห็นเช่นนั้นจึงรีบยกมือสยบพลังวิญญาณนั้น
“ตู้ม!”
พลังทั้ง 2 เข้าปะทะกันอย่างจัง โต๊ะเก้าอี้รอบข้างพลันแตกกระจาย!
ผู้อาวุโสตระกูลอู๋ตกอยู่ในอาการสั่นกลัว
พวกเขารีบคุกเข่าลงทันที
“ไว้ชีวิตฉันด้วย! ไว้ชีวิตฉันด้วย! ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฝีมืออู๋หมิ่นที่เป็นผู้นำตระกูลอู๋ก่อนหน้านี้ต่างหาก”
ตอนนี้เขานึกเสียใจขึ้นมา การเป็นผู้นำตระกูลไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ในยามที่เอาชีวิตแทบไม่รอด
“เอาเถอะ ลุกขึ้นซะ”
ผู้อาวุโสหลินยกมือขึ้น ส่งพลังวิญญาณไปประคองอีกฝ่ายขึ้น
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นความผิดของตระกูลอู๋ หากแต่ประมุขก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว การโทษคนอื่นคงไม่สมควรนัก
หลังถูกสกัดกั้นพลัง อู๋ชิงจึงไม่อาจอดกลั้นความไม่พอใจ
“ผู้อาวุโสหลิน ลืมความแค้นตอนที่อู๋ลั่นตายแล้วเหรอ?”
เขาไม่คิดผ่อนปรน อู๋ลั่นเป็นเพื่อนคนสนิทของเขา!
“ฉันตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้หรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสหลินก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า
หากมองในภาพรวมเรื่องนี้ควรยุติเสียที…
หากแต่ยังมีญาติมิตรร่วมสำนักของอู๋ลั่นอยู่ พวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้การตายของเขาไร้ค่า
“นี่… กลับไปให้เจ้าสำนักตัดสินใจเถอะ”
เขาบอกปัดใส่คนตระกูลอู๋
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปรายงานแล้ว อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าอู๋ลั่นอยู่ที่ไหน”
พวกเขาทั้งสามคนรีบออกจากบ้านสกุลอู๋
บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้
บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้
อวี้ฮ่าวหรานไม่จำเป็นต้องฆ่าสามคนนี้ เพราะเขาไม่มีความแค้นอะไรกับอีกฝ่าย
“แน่นอน!”
พอผู้อาวุโสหลินได้ยินคำพูดนั้น เขาจึงรีบยืนยันทันที
แค่ล้อเล่นเท่านั้นเองน่า…เขาไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนั้น จะยังคิดลงมือฆ่าได้อีกเหรอ?
“ฮึ่ม กลัวว่าจะมีคนอื่นมาสมทบน่ะสิ!”
ตอนนั้นเอง อวี้ฮ่าวหรานก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชา
ชายหนุ่มรู้ดีว่า แม้แต่จอมยุทธ์ในแต่ละสำนักยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แถมยังมีความแตกต่างมากมาย
“เรื่องนี้…ฉันช่วยไม่ได้จริง ๆ พอเดินกลับไปที่ประตู ฉันทำได้แค่ห้ามพวกเขาไว้แค่นั้น”
การแสดงออกของผู้อาวุโสหลินไม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นแม้แต่น้อย แม้อู๋ลั่นจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมาง แต่ตอนนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว
ในความคิดเห็นของผู้อาวุโสหลิน การต่อสู้กับปรมาจารย์ลึกลับคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดมากนัก โดยเฉพาะตระกูลอู๋ที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์
แต่ยังมีหลายคนในสำนักที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอู๋ลั่น
ถึงยังไงคนพวกนี้ก็ไม่มีทางนิ่งเฉย
พอได้ยินแบบนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็หลับตาลงเพื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
“พวกแกไปได้แล้ว คราวหน้าถ้าอยากมาเยี่ยมเยือนกันอีก ฉันก็ยินดีต้อนรับเสมอ”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่น้อย…
“ยังไงก็เถอะ ถ้าแกกล้าแตะต้องคนในตระกูลฉันอีก ฉันไม่ปล่อยคนของแกไว้แน่! ฉันจะตามฆ่าพวกมันให้หมด!”
พูดจบ จิตสังหารรุนแรงของชายหนุ่มก็ได้แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้นทันที!
ด้วยจิตสังหารอันรุนแรง ดูเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังจะกลายเป็นสีแดงฉาน!
ทั้งสามคนรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที ราวกับชายหนุ่มที่กำลังยืนหันหลังเป็นปีศาจที่จ้องจะกินเลือดเนื้อมนุษย์!
ผู้อาวุโสหลินนั้นรู้สึกหวาดหวั่นกว่าใคร ชายตรงหน้าคนนี้เคยฆ่าคนด้วยจิตสังหารอันรุนแรงแบบนี้ไปแล้วกี่คน?!
แม้แต่การฆ่าล้างเมืองหรือการฆ่าล้างตระกูลก็ยังเทียบไม่ได้กับพลังของอีกฝ่าย!
แต่ผู้อาวุโสหลินกลับไม่รู้เอาเสียเลย ว่าจิตสังหารที่เปี่ยมไปด้วยพลังนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่!
ในอดีตแค่แผ่จิตสังหารออกมา สิ่งมีชีวิตนับล้านต่างก็พากันคุกเข่าร้องขอชีวิตต่อชายหนุ่ม ช่างเป็นพลังทำลายล้างที่รุนแรงมหาศาล!
เมื่อต้องเผชิญกับบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ อู๋ชิงรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด เพลิงโทสะที่ลุกโชนถูกดับจนมอดลงในทันที
ความรู้สึกนั้น ทำให้อู๋ชิงตระหนักว่าตัวเองเพิ่งถูกหยามเกียรติ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที
หลังจากการขู่เตือน อวี้ฮ่าวหรานหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังแล้วเดินจากไป
วันนี้เขาปล่อยให้สามคนนั้นยังมีชีวิตรอด ก็เพราะเห็นแก่ครอบครัว
ถึงยังไงมันก็ถือเป็นความลับของสำนักโลกเร้นลับ ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของมัน
การฆ่าอู๋ลั่นแค่คนเดียวอาจไม่ได้สร้างความเคียดแค้นมากมาย แต่ถ้าฆ่าทั้งสามคน เขากลัวว่าอาจเป็นการนองเลือดที่ไม่มีวันจบสิ้น
ถ้ายังอยู่ในโลกของเทพเซียนเหมือนกับในอดีต อวี้ฮ่าวหรานก็คงลงมือฆ่าเศษสวะพวกนี้ไปแล้วแน่ ๆ!
—
กว่าจะเดินทางกลับมาถึงบริษัทก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงตรงดิ่งไปที่ห้องซ้อมเปียโนทันที
เวลานี้ถวนถวนคงกำลังฝึกซ้อมอยู่สินะ เสียงเปียโนดังกังวานในห้องฝึกซ้อม
เขานั่งฟังอย่างเงียบ ๆ
ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงจินตนาการไม่ออกแน่ว่าบทเพลงไพเราะนี้ลูกสาวของเขาเป็นคนบรรเลง
พรสวรรค์นี้ทรงพลังไม่น้อย คงทำให้ทุกคนตกตะลึงกันใหญ่
อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดด้วยความภาคภูมิใจ
ในที่สุดก็มาถึงตอนเช้าตรู่ หลี่หรงเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น
วันนี้เธอตั้งใจลางานหนึ่งวันเพื่อไปดูการแข่งขันของถวนถวน
หลังจากผ่านช่วงเช้าอันแสนวุ่นวาย ในที่สุดอาหารเช้าก็ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว
“พี่เขย เมื่อวานพี่เป็นคนพาถวนถวนไปซ้อม ฝีมือหลานเป็นยังไงบ้าง?”
ระหว่างนั่งรับประทานอาหาร หลี่หรงก็ถามด้วยความสงสัย
เธอไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนอย่างจริงจังสักครั้ง ฉะนั้นจึงไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฉันได้ยินมาว่าถึงจะเป็นการแข่งขันสำหรับเด็ก แต่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบที่มีฝีมือก็มีอีกหลายคน ฉันกลัวว่าถวนถวนจะกดดันตัวเองเกินไป”
หญิงสาวกลัวว่าถวนถวนจะถูกรังแก
หลังจากได้ยินลูกสาวบรรเลงเพลงเมื่อวาน สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ไม่ต้องห่วง ไม่รู้ซะแล้วว่าถวนถวนเป็นลูกสาวใคร!
“ฮ่า ๆ! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นสินะ! เก่งมาก!”
สีหน้าของถวนถวนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยความภูมิใจไม่ต่างกัน
หลี่หรงแอบมองสองพ่อลูกอยู่เงียบ ๆ
“ดีมาก! เจ๋งสุด ๆ!”
ไม่นานทั้งสามคนก็รับประทานอาหารกันจนอิ่ม
การแข่งขันเปียโนถูกจัดขึ้นที่โรงยิมใจกลางเมืองในเวลาเก้าโมงเช้า
หลังจากใช้เวลาเดินทางไปกว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่จัดงานในเวลาแปดโมงเช้า
ณ ข้างหลังเวที
“พวกคุณอยู่กันที่นี่เอง ถวนถวนเป็นนักเรียนที่ฉันภาคภูมิใจที่สุดเลยค่ะ!”
ทันทีที่พวกเขามาถึง หลิวว่านฉิงก็ออกมาต้อนรับทันที
“สวัสดีค่ะอาจารย์หลิว!”
เมื่อถวนถวนเห็นอาจารย์ เธอรีบทักทายด้วยความเคารพ หลิวว่านฉิงโผเข้ากอดเด็กน้อยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
“ถวนถวนเก่งมาก วันนี้อาจารย์จะเป็นกำลังใจให้หนูเอง”
เธอเป็นครูสอนพิเศษที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปีนี้
“หืม? คนด้อยประสบการณ์อย่างเธอกล้าสอนคนอื่นด้วยเหรอ?”
ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เดินผ่านหน้าครูสาวไปด้วยความรังเกียจ
“เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของเธอเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นรู้จักกับหลิวว่านฉิง
“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“อืม…ไม่มีอะไรหรอก อันดับการแข่งขันของลูกศิษย์เธอต่ำลงทุกปี ฉันเลยกลัวว่าเด็กคนนี้จะจำโน๊ตเพลงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
อาจารย์หญิงวัยกลางคนจงใจดูถูกพลางถอนหายใจ จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเด็กหญิงอายุราวเจ็ดหรือแปดขวบที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “เอาล่ะ เสี่ยวเสวี่ย หนูซัดคู่แข่งให้หมอบไปเลยนะจ๊ะ”
เด็กหญิงคนนั้นหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แต่พอเธอมองมาที่ถวนถวน สายตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเหยียดหยาม
“ได้เลยค่ะอาจารย์หวัง!”
จากนั้นเด็กหญิงจึงนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนเพื่อฝึกซ้อมต่อไป เธอเลือกเพลงตามใจชอบก่อนบรรเลงตามตัวโน้ต!
ไม่นานเสียงเปียโนอันไพเราะเพราะพริ้งก็ดังขึ้น
เด็กหญิงคนนี้มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบ แต่ฝีมือในการเล่นเปียโนกลับเก่งกาจไม่น้อย พวกเขาจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีรังเกียจถวนถวน
“โอ้…ใครเป็นคนบรรเลงเพลงไพเราะเพลงนี้กัน?”
ท่วงทำนองอันแสนไพเราะดึงดูดความสนใจผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงทันควัน
“ใช่ ๆ ชั้นเรียนของเรามีคนที่ฝีมือขนาดนี้ด้วยเหรอ? น่าเสียดายที่พวกเราเข้าร่วมชมการแข่งขันจัดอันดับครั้งนี้ไม่ได้”
“โอ้โห อัศจรรย์มาก… เด็กน้อยคนนี้บรรเลงถูกต้องทุกตัวโน้ตเลย”
“…”
หลังจากหยุดฟังไปสักพัก หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะออกปากชื่นชม ใบหน้าของอาจารย์หวังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“นี่สิถึงจะเรียกว่าเหมาะสมกับการแข่งขัน ลูกศิษย์ของเธอฝีมือด้อยเกินไป อย่าเสียเวลาเลย”
ตอนนี้หญิงวัยกลางคนถือว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าหลิวว่านฉิง ดังนั้นเธอจึงเหยียดหยามอีกฝ่ายไม่หยุดปาก
หลี่หรงรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย เนื่องจากเด็กหญิงตรงหน้ามีฝีมือในการเล่นเปียโนที่เก่งเกินไป
หญิงสาวไม่ได้ฝึกมือเล่นเปียโนมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้จะได้รับอนุญาตให้เข้าแข่งขัน แต่ฝีมือของเธอยังเทียบกับเด็กหญิงอีกคนไม่ได้
“พี่ฮ่าวหราน พวกเราพาถวนถวนเข้าไปข้างในกันเถอะ อย่ามัวเสียเวลาเลย…”
เรื่องการส่งเสริมให้ถวนถวนเรียนเปียโน เป็นความคิดและความคาดหวังของเธอทั้งหมด หลี่หรงจึงกลัวว่าหลานสาวจะถูกโจมตีจนเสียความมั่นใจ และเกลียดการเล่นเปียโนไปตลอดชีวิต
ถึงอย่างนั้น สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานและหลิวว่านฉิงก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทั้งสองรู้ระดับความสามารถของถวนถวนดีที่สุด
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ อาจารย์หวังจึงรู้สึกเบื่อหน่าย
“โธ่เอ๊ย ครูรุ่นใหม่จะฝึกสอนใครให้เก่งได้ ผู้ปกครองต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้ว”
พอได้ยินแบบนั้น หลิวว่านฉิงอดกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ไม่ได้ สีหน้ามืดมนลงกว่าเดิม
บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
หกโมงเย็น
เมื่อหลี่หรงพาถวนถวนกลับมาถึงคอนโด ห้องของอวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงล็อกแน่น
ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับการบ่มเพาะ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
อันที่จริง ต่อให้ประตูจะไม่ได้ล็อก แต่ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณด้านใน หากคนธรรมดาจะเปิดประตูเข้าไปก็คงไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี
หลังจากดูดซับโบราณวัตถุทีละชิ้นจนหมด พลังวิญญาณในร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หนาแน่นจนเข้าสู่จุดปะทุ!
ทันใดนั้น!
การไหลเข้าของพลังวิญญาณจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ทะเลวิญญาณในตันเถียนของอวี้ฮ่าวหรานระเบิดออกครั้งใหญ่คล้ายกับเหตุการณ์บิ๊กแบง จากนั้นมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฟุ้งกระจายในจุดตันเถียนก็ค่อย ๆ ควบแน่นกันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายดวงดาว
“เฮ้อ…ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จ”
อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว
ในเวลานี้ ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน และเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งคิดถึงหลี่เม่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่กลับมายังโลกมนุษย์ และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของตัวเองเลย และในแง่ของความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน มันยังเร็วเกินไปที่จะสามารถท่องโลกนี้ไปทั่วได้อย่างปลอดภัย
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง
ในห้องนั่งเล่นมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หลี่หรงได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยไว้บนโต๊ะแล้ว
“พี่เขยในที่สุดพี่ก็ออกมาสักที มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว”
เมื่อพี่เขยของเธอออกมาจากห้องเธอก็เอ่ยทักเขาทันที
“โทษทีที่วันนี้ต้องให้เธอลำบากไปรับถวนถวน ทั้ง ๆ ที่เธอต้องกลับมาทำอาหารต่ออีกแบบนี้”
อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขอโทษ แต่การทะลวงระดับเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งกลางคันและออกไปรับถวนถวนได้อย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน
อย่างไรก็ตาม หลี่หรงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เธอจึงไม่รบกวนเขาเลยในระหว่างที่ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง
“ไม่เป็นไรพี่เขย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ที่พี่มาช่วยจัดการปัญหาในบริษัทให้ฉัน บริษัทของฉันก็เลยสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมจนฉันไม่ต้องปวดหัวอีกเลย”
หลี่หรงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร กลับกันเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ได้แบ่งเบาภาระให้อวี้ฮ่าวหราน
“พ่อจ๋า!”
ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนก็วิ่งออกจากห้องของตัวเองมาพร้อมกับมือที่ถือขนม และตามมาด้วยสุนัขสองตัวที่คล้ายคลึงกัน
“พ่อจ๋า ถวนถวนอยากบอกข่าวดีกับพ่อ!”
เด็กน้อยในเวลานี้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานบังเกิดความสนใจ หลี่หรงก็ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้
“พี่เขย นั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเดี๋ยวฉันอธิบายเอง” เธอส่งชามข้าวให้ชายหนุ่มก่อน แล้วพูดต่อว่า “ครูสอนเปียโนเห็นว่าถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น เธอจึงอยากให้ถวนถวนเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับเยาวชนที่กำลังจะจัดขึ้นในเมือง”
“การแข่งขันเปียโน?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองลูกสาวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“เอาสิ! ในเมื่อถวนถวนมีความสามารถจนครูเห็นแววขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปแข่งกันเลย!”
ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องเรียนเปียโนของถวนถวน ชายหนุ่มแค่ให้ถวนถวนไปเรียนเพราะไม่อยากขัดใจหลี่หรงก็แค่นั้น ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของเขาจะเก่งจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แบบนี้?
“คุณครูหลิวบอกว่าถวนถวนน่าทึ่งมาก หลังจากที่เรียนได้แค่เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็เก่งกว่าเด็กคนอื่นที่เรียนมาเป็นปีซะอีก”
ถวนถวนเข้ามาใกล้ในขณะนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตา ก็แสดงสีหน้าอย่างมีชัย
“ฮ่า ๆ! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกสาวของอวี้ฮ่าวหรานย่อมเหนือกว่าคนอื่น ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานปรบมือ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
หลังอาหารเย็น อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงก็พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโนต่ออีกสักพัก และหลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็กลับเข้าห้องเพื่อบ่มเพาะอีกรอบ
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งทะลวงระดับมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน เขาจึงจำเป็นต้องปรับรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองให้มั่นคง
—
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนไปเรียนเปียโนเช่นเคย แต่เมื่อเขาเห็นหลิวว่านฉิง เขาก็ถามเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโน
ในห้องพักครู
“ใช่ ถวนถวน มีพรสวรรค์จริง ๆ มือของเธอคล่องแคล่วมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน”
หลิวว่านฉิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมความสามารถของถวนถวนในเวลานี้
“เธอเป็นเด็กหัวไวที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยทีเดียว”
“เอาละ ขอบคุณที่ครูหลิวส่งเสริมลูกของผมเสมอมา ว่าแต่การแข่งจะเริ่มเมื่อไหร่”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ลูกสาวของเทพฮ่าวหรานนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนธรรมดา
“การแข่งขันจะเริ่มวันมะรืนนี้ และเมื่อการแข่งขันนี้จบลงมันก็จะเป็นช่วงเดียวกับที่คลาสเปียโนภาคฤดูร้อนของเราสิ้นสุดลง”
หลิวว่านชิงตอบกลับ
“ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดีที่สุด หากผู้ปกครองจริงจังกับเรื่องนี้มากสักหน่อย พรุ่งนี้ชั้นเรียนเปียโนจะหยุดหนึ่งวัน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คุณควรพาถวนถวนไปฝึกซ้อมต่อด้วย เพื่อช่วยให้ถวนถวนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในวันแข่งขัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำอำลาและจากไป
หลังจากส่งลูกสาวของตัวเองเรียบร้อย เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของตัวเอง
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้
ในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเรื่องของถวนถวนและเปียโน
การฝึกซ้อมที่คอนโดอาจมีเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านร้องเรียนได้ แถมสถานที่มันก็เล็กไปสักหน่อยกับการนำเปียโนตัวใหญ่ไปวาง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกผู้จัดการหวังให้เข้ามาหา
“ผมต้องการให้บริษัทของเรามีห้องเปียโน ผมต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้”
“หา?”
ผู้จัดการหวังตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนี้
พวกเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกล การมีห้องเปียโนในบริษัทมันจึงดูแปลกสุดกู่!
“ท…ท่านประธาน นี่คุณพูดจริงงั้นเหรอ?”
เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ผมจริงจัง! ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องการให้ห้องเปียโนสมบูรณ์แบบที่สุด เอาแบบที่มืออาชีพใช้งาน!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเขาแน่วแน่มาก
“ลูกสาวของผม ถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโน ดังนั้นในอนาคตผมอาจจะให้ลูกสาวมาซ้อมที่นี่”
เนื่องจากการซื้อเปียโนไปไว้ที่คอนโดไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างห้องเปียโนในบริษัทมันซะเลย
ผู้จัดการหวังพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
ประธานของเขาตามใจลูกมากเกินไปหน่อยไหม? พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองชอบไปเล่นที่สวนสนุก ประธานของเขาก็สร้างสวนสนุกในบริษัทขึ้นมา และมาตอนนี้พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนมาแล้วดันเก่ง ประธานของเขาก็สั่งให้สร้างห้องเปียโน…
“รับทราบครับท่านประธาน! ไม่มีปัญหา บริษัทมีห้องเก็บเสียงที่สร้างเสร็จเอาไว้อยู่แล้ว เราแค่ต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย วันนี้วันเดียวก็น่าจะเสร็จ”
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้กิจการบริษัทกำลังไปได้สวยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย
ในตอนเย็น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปรับถวนถวน เขาก็บอกข่าวดีกับลูกสาวของตัวเอง
“จริงเหรอ พ่อจ๋า! หนูจะมีเปียโนเป็นของตัวเองงั้นเหรอ!”
เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากเรียนเปียโนมาได้เป็นเดือน เธอก็ตกหลุมรักเปียโนเข้าเต็มเปา
“แน่นอน!”
อวี้ฮ่าวหรานยืนยัน