บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว
บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว
“ไม่ว่าเขาจะเลวขนาดไหน แต่คน ๆ นั้นก็ยังเป็นลุงสองของแก! แกกล้าดียังไงถึงไปด่าเขาอย่างรุนแรงขนาดนั้น?”
หลี่ชงซานตำหนิลูกชายตัวเอง
“โธ่พ่อ! คนแบบนั้นเราไม่ควรนับญาติด้วยหรอก พ่อเองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าเมื่อวานนี้เขายังไม่เห็นเราเป็นญาติเลย!”
หลี่จิงเทียนเถียงกลับเสียงแข็งอย่างน่าประหลาดใจ
หลี่อิงไห่กล้าด่าว่าเขาเป็นขยะต่อหน้าเขา ซึ่งถ้าอีกฝ่ายยังคงมีอิทธิพลเหมือนเดิม เขาคงไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้
แต่ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้แล้ว หากเขาไม่เหยียบย่ำอีกฝ่ายจนถึงที่สุด เขาก็คงไม่ใช่หลี่จิงเทียนผู้ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นแน่นอน!
“แก!”
หลี่ชงซานต้องการจะโต้แย้ง แต่เมื่อคิดได้ถึงฉากเมื่อวาน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองใจอ่อนเกินไปจริง ๆ เมื่อวานนี้หลี่อิงไห่ทำตัวราวกับว่าเขาไม่ใช่ญาติจริง ๆ
ในที่สุด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธของเขาก็กลายเป็นความจนใจ
“ช่างเถอะ มันเป็นลุงสองของลูกจริง ๆ ที่ผิด เอาล่ะ มานั่งลงกินข้าวกันต่อ”
“ผมขอออกความเห็นสักหน่อยนะพ่อ! ผมคิดว่าพ่อใจอ่อนเกินไป ถ้าผมเป็นพ่อ ผมจะไล่หลี่อิงไห่ออกจากตระกูลเราในทันที!”
หลี่จิงเทียนพึงพอใจเป็นอย่างมากที่พ่อของเขาเห็นด้วยกับคำพูดของเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงกล้าพูดเสนอความคิดเห็นของตัวเองต่อ
หลี่ชงซานเหลือบมองลูกชายที่ไม่เอาถ่านของตัวเองอย่างเหนื่อยใจ และอดไม่ได้ที่จะตวาดขึ้นอีกรอบ
“ถ้ายังพูดจาไร้สาระต่อไปอีก เดือนนี้ฉันจะไม่ให้เงินแกสักหยวน!”
“ห๊ะ?”
“อ…เอ่อ…ด…ได้พ่อ ผมจะกิน ๆ ผมไม่พูดต่อแล้วก็ได้…”
หลี่จิงเทียนตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารีบนั่งลงและกินข้าวต่อไปทันที
ตอนนี้เขาไม่มีงานทำ และเครือฮ่าวหรานก็ไม่เรียกเขากลับไปทำงาน ดังนั้นถ้าพ่อของเขาไม่ให้เงิน คงต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดเพราะไม่มีเงินแม้แต่จะออกไปกินข้าวนอกบ้าน!
…
อีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานทำงานเสร็จหลังจากสี่โมงเย็นและกลับบ้านพร้อมกับถวนถวน
อย่างไรก็ตาม เมื่อใกล้จะถึงคอนโดและเหยียบเบรกรถ รถเบนซ์สีดำของเขาก็สั่น ราวกับว่าเบรกมีปัญหา
หลังจากลงจากรถ เขามองเข้าไปใกล้ ๆ และพบว่าระบบเบรกผิดปกติจริง ๆ
ปัญหาเล็กนี้อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลัง มันจึงต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ทว่าเมื่ออวี้ฮ่าวหรานมองไปที่สภาพของรถ ซึ่งมีแต่รอยขีดข่วนเต็มไปหมด ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาควรเปลี่ยนรถ
ในฐานะประธานของเครือฮ่าวหราน ซึ่งมีทรัพย์สินระดับพันล้านหยวน การซื้อรถสักคันเป็นเรื่องเล็กราวกับออกไปกินข้าวหน้าบ้าน
หลังจากตัดสินใจได้ เขาก็วางแผนเอาไว้ว่าจะไปซื้อรถใหม่ในวันพรุ่งนี้
อย่างไรก็ตาม ให้ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาได้ยิน หลี่หรงกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้ารังเกียจ
“เออ! ฉันเข้าใจแล้ว แค่นี้แหละและอย่าโทรมาอีก! เดี๋ยวฉันจะพาถวนถวนไปดูเอง!”
ทันทีที่พูดจบ หลี่หรงก็วางสายอย่างรุนแรง และจากนั้นคิ้วที่ขมวดของเธอก็ค่อย ๆ คลายลง เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ
เมื่อเห็นฉากนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
“ทำไม? ใครทำให้ประธานหลี่ของเราแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวขนาดนี้?”
หลี่หรงหันขวับไปจ้องเขม็งที่อวี้ฮ่าวหรานทันที เมื่อเธอได้ยินคำพูดนั้น
“พี่เดาไม่ออกหรือไงว่ามันคือหลิวเทียนอี้! พี่ไปบล็อกเบอร์โทรของไอ้อ้วนนั่นจนหมด จนตอนนี้ฉันก็เลยเป็นคนซวย เพราะไอ้อ้วนนั่นโทรหาได้แต่ฉัน! ถ้าไม่ใช่เพราะลูก ๆ ของไอ้เจ้าลูกกวาดของเรายังอยู่ที่นั่น ป่านนี้ฉันเองคงบล็อกเขาไปแล้วเหมือนกัน ชิ!”
เมื่อพูดจบ หลี่หรงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและบันทึกเบอร์โทรของหลิวเทียนอี้ด้วยชื่อ ‘คนน่าขยะแขยง’
“ต้องเขียนเอาไว้แบบนี้! คราวหน้าที่เมื่อไหร่มันโทรมาฉันจะได้เตรียมใจได้ถูก!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก หายากมากที่หลี่หรงจะรังเกียจใครได้ขนาดนี้
“เขาโทรมามีอะไรงั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องของลูก ๆ ของเจ้าลูกกวาด ตอนนี้พวกมันโตขึ้นมากแล้ว ดังนั้นไอ้อ้วนนั่นก็เลยโทรมาถามว่าเราจะไปดูพวกมันหรือเปล่า”
ทันทีที่หลี่หรงพูดจบ ก่อนที่อวี้ฮ่าวหรานจะทันได้พูดตอบ ถวนถวนก็ตะโกนถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที
“ลูกของเจ้าลูกกวาดโตแล้วเหรอ ถวนถวนอยากเห็น! ถวนถวนอยากเห็นพวกมัน!!”
เด็กน้อยตะโกนขึ้นอย่างมีความสุข ดวงตากลมโตของถวนถวนเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ยังมีอีกเรื่อง ชายน่ารังเกียจคนนั้นยังถามอีกว่าบริษัทของพี่มีแผนจะซื้อรถเพิ่มเร็วๆ นี้ไหม เขาบอกว่ารถหรูชุดใหม่เพิ่งมาถึงไม่กี่วันมานี้”
หลี่หรงพูดต่ออีกครั้ง
อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วขึ้นทันที ตอนนี้เขากำลังต้องการเปลี่ยนรถจริง ๆ ระบบเบรกรถของเขามันผิดปกติ
“พรุ่งนี้บ่ายพี่จะไปซื้อรถ และหลังจากนั้นพอถวนถวนเลิกเรียน พี่จะพา ถวนถวนไปที่บ้านของหลิวเทียนอี้เพื่อดูลูก ๆ ของเจ้าลูกกวาด”
“พี่เขย ในที่สุดพี่ก็เปลี่ยนรถสักที!”
หลี่หรงแสดงสีหน้ายินดีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ราวกับว่าเธอเคยบ่นเรื่องรถของพี่เขยเธอมาก่อนแล้ว
“เมอร์เซเดสเบนซ์ของพี่มันเละเทะซะขนาดนั้น พี่ควรจะเปลี่ยนมันตั้งนานแล้ว!”
“จริง ๆ แล้วหากตอนนี้ระบบเบรกของมันไม่มีปัญหาพี่คงไม่เปลี่ยนหรอก พี่ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าภายนอกของมันจะเละถึงขนาดไหน”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ เขาไม่ได้ใส่ใจกับพวกรถหรูหรือเครื่องแต่งกายราคาแพงแม้แต่น้อย
เขาได้สัมผัสกับความหรูหราขั้นสุดในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาตอนอยู่ในดินแดนแห่งเทพมาแล้ว ดังนั้นความหรูหราของโลกมนุษย์นั้นจึงไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขา…
…
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ของโลกใต้ดินเมืองฮ่วยอันกำลังวุ่นวายอย่างมาก!
ภายใต้คำสั่งของโจวเฟยหู่ แก๊งพยัคฆ์เวหา รวมถึงแก๊งเล็ก ๆ ที่จับมือกันทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว
ใช้ประโยชน์จากการไม่ระวังตัว พวกเขาโจมตีกลุ่มวาฬยักษ์อย่างรุนแรง
ช่วงกลางดึก แก๊งวาฬยักษ์ถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว! และสูญเสียพื้นที่สำคัญหลายแห่งไปอย่างรวดเร็ว
คฤหาสน์แก๊งฉลามคลั่งของกงซุนซา
เคร้ง!!
“มันมากเกินไปแล้ว! โจวเฟยหู่ผู้นี้! มันไม่กลัวความตายเลยใช่ไหม?”
หลังจากที่หลิ่วอวี้จิงได้ยินข่าวจากลูกน้อง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล พร้อมกับบีบถ้วยชาในมือจนแตกละเอียด
คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าเริ่มก่อน!
“ฮี่ฮี่ ทำไมน้องหลิ่วต้องกังวลด้วย? นี่มันแค่การดิ้นรนของพวกหมาจนตรอกก็แค่นั้น”
กงซุนซาที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก เขาจิบชาอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม
“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี? พี่กงซุนต้องการจะตอบโต้กลับเลยไหม?”
ที่ผ่านมา หลิ่วอวี้จิงมักจะมีความเห็นต่างจากกงซุนซาตลอด แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว หลิ่วอวี้จิงจึงยินยอมให้อีกฝ่ายเป็นผู้ตัดสินใจแทนตัวเขา
ความปรารถนาในความแข็งแกร่งนั้นทำให้เขายอมได้ทุกอย่าง
กงซุนซาวางถ้วยน้ำชาลงเบา ๆ เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย
“การโต้กลับเป็นเรื่องที่แน่นอน ในเมื่อแก๊งพยัคฆ์เวหาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดังนั้นเราเองก็ต้องเคลื่อนไหวบ้างเช่นกัน!”
ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ แน่นอนว่ากงซุนซามีแผนอยู่แล้วในใจ
“อย่างไรก็ตาม ผู้คนของแก๊งฉลามคลั่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในขณะนี้ น้องหลิ่วก็น่าจะรู้ดีว่าการที่เราจะรวมกลุ่มกันนั้นมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร”
หลิ่วอวี้จิงผงะเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกับการเป็นหัวหน้าแก๊ง เขาก็เข้าใจในความหมายของคำพูดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“พี่กงซุนหมายถึง ให้แก๊งวาฬยักษ์ของฉันออกไปจัดการกับคนพวกนั้นก่อนใช่ไหม?”
“ฮ่า ๆ หัวหน้าแก๊งหลิ่วมีไหวพริบที่เป็นเลิศจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ ที่มีคนฉลาดอย่างน้องหลิ่วอยู่ข้างกาย!”
กงซุนซาหัวเราะคิกคักพลางตอบกลับ
แผนของเขานั้นง่าย ๆ แก๊งวาฬยักษ์จำเป็นต้องแสดงความจริงใจโดยการสร้างผลงานเพื่อเข้าร่วมแก๊งของเขา และอีกอย่างแก๊งวาฬยักษ์จำเป็นต้องถูกบั่นทอนความแข็งแกร่งลงไป ไม่เช่นนั้นหากรวมกันในเวลานี้ คนของแก๊งวาฬยักษ์บางคนอาจจะยังหยิ่งผยองกับความแข็งแกร่งของตัวเองและสร้างปัญหาให้กับการรวมกลุ่มกันระหว่างทั้งสองแก๊ง
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลิ่วอวี้จิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเล
หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงจะเดินจากไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากกงซุนซา!
แก๊งวาฬยักษ์คือความพยายามอันอุตสาหะของเขา เขาจะทนมองดูมันตายอย่างไร้ค่าได้ยังไง?
บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
“โอ้! อรุณสวัสดิ์ครับรองประธานหลี่! ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ทั้งสองนี้ต้องการพบท่านประธานอวี้จของเรา แต่พวกเขาไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าหรือใบรับรองใด ๆ เลย”
เมื่อรปภ. เห็นว่าเป็นหลี่จิงเทียนที่เอ่ยทัก เขาก็แสดงความเคารพในทันที
หลี่จิงเทียนหรี่ตาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และพบว่าเขาไม่รู้จักสองคนนี้เลย
“อยากเจอพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า ล้อเล่นรึเปล่า คนธรรมดาจะเข้าพบพี่เขยของฉันง่าย ๆ ได้ยังไง?”
เขาแสดงสีหน้าดูหมิ่นและคิดว่าสองคนนี้น่าจะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา
อันที่จริง เขาลืมไปเลยว่าเขาเคยเจอสวีรุ่ย และเคยพยายามจะรังแกเธอมาก่อน แต่เนื่องจากมันนานมากแล้วและหลังจากนั้นก็มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับเขามากมายจนเขาลืมเหตุการณ์เล็ก ๆ นั้นไปซะสนิท
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉากนี้สวีเซี่ยงจวินก็รีบเดินเข้ามาหา
“คุณ…คุณเป็นรองประธานหลี่งั้นเหรอครับ? คือว่าเมื่อวานท่านประธานอวี้บอกกับพวกเราว่าให้เรามาพบเขาที่นี่วันนี้ คุณช่วยแจ้งท่านประธานให้พวกเราหน่อยจะได้ไหม?”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่จิงเทียนที่แสดงสีหน้าหยิ่งผยอง ท่าทางของสวีเซี่ยงจวินก็ยิ่งนอบน้อมมากขึ้น
แต่ใครคือหลี่จิงเทียน?
“ฮ่าฮ่า แกนี่ตลกจริง ๆ! แกต้องการพบกับพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? นี่แกฝันอยู่รึไง?”
เขามองสวีเซี่ยงจวินตั้งแต่หัวจรดเท้า คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“แกโชคดีมากเลยนะที่เช้านี้ฉันอารมณ์ดีมาก ไม่งั้นล่ะก็ฉันคงออกจากรถไปตบหน้าของแกแล้ว แกนี่ไม่รู้จักเจียมตัวซะเลย!”
“แต่…แต่ประธานอวี้บอกให้ผมมาจริง ๆ…”
สวีเซี่ยงจวิน ตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายและลังเล
“พ่อคะ พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้วเดี๋ยวหนูขอโทรหาเขาก่อนดีกว่า เมื่อวานเขาบอกว่าให้เราโทรหาเมื่อเรามาถึงบริษัท!”
สวีรุ่ยก้าวออกมาขวางไว้และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรออก
“โอ้! ใช่! ใช่! เรายังไม่ได้โทรเลย!”
สวีเซี่ยงจวินพยักหน้ารัวและพูดขึ้นด้วยความดีใจราวกับว่าเขาเพิ่งหาทางออกจากเขาวงกตที่น่ากลัวได้
“โทรหางั้นเหรอ? เหอะ คนอย่างพวกแกไม่มีทางมีเบอร์โทรของพี่เขยฉันหรอก!”
หลี่จิงเทียนรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในใจ
การโทรเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล คือ…คือว่าเรามาถึงแล้ว”
“หืม? มาแต่เช้าเลยงั้นเหรอ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหาผมล่วงหน้าก่อน ตอนนี้ผมยังไปไม่ถึงบริษัทเลย”
“ค…คือฉันลืมไป แต่ตอนนี้เราเข้าไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกักตัวเราเอาไว้…”
สวีรุ่ยบอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็น เธอก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายจริงๆ ทว่าในเดียวกันนี้ หลี่จิงเทียนกลับขนลุกไปทั่วทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ของสวีรุ่ย
“น…นั่นมันเสียง…เสียงของพี่เขยของฉันจริง ๆ!”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินเสียงของหลี่จิงเทียนลอดมาทางโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที!
“คุณยื่นโทรศัพท์ของคุณให้ไอ้โง่ที่อยู่ไม่ไกลจากคุณที!”
หลี่จิงเทียนเป็นคนที่มีนิสัยชอบรังแกคนอื่นและมองคนธรรมดาทั่วไปต่ำกว่าตัวเองเสมอมา ดังนั้นอวี้ฮ่าวหรานจึงคาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจากน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกของหลี่จิงเทียน
สวีรุ่ยตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน และเธอก็เดาได้ว่า ‘ไอ้โง่’ ที่อวี้ฮ่าวหรานหมายถึงนั้นคือใคร
“เอ่อ…รองประธานหลี่ พี่เขยของคุณขอให้คุณคุยกับเขา”
เธอยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน อันที่จริงเธอจำได้ว่าหลี่จิงเทียนเป็นคนที่เคยพยายามรังแกเธอมาก่อน
ทางด้านของหลี่จิงเทียน เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าคู่พ่อลูกนี้รู้จักกับพี่เขยของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่หลงเหลือความหยิ่งผยองอีกต่อไป
“พ…พี่เขย…อรุณสวัสดิ์พี่เขย”
“หลี่จิงเทียน!”
เสียงตะคอกจากปลายสายดังขึ้นอย่างชัดเจนจนทำให้มือของหลี่จิงเทียนสั่นริก ๆ จนแทบจะจับโทรศัพท์ไม่อยู่…
“พ…พี่เขย…พี่อย่าเพิ่งโกรธผมสิ…”
เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินเสียงที่ดูไม่พอใจอย่างรุนแรงของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาก็ขมขื่น!
“แกยังมีหน้ามาบอกให้ฉันไม่โกรธอีกงั้นเหรอ! สองคนนั้นเป็นเพื่อนของฉัน เมื่อกี้แกทำตัวหยาบคายอีกแล้วใช่ไหม!”
แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อวี้ฮ่าวหรานรู้ดีว่าสันดานของ หลี่จิงเทียนเป็นอย่างไร
เขาไม่ต้องการให้สวีรุ่ยไม่สบายใจด้วยเหตุนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองส่วนหนึ่งกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น
ระบบความปลอดภัยของเครือฮ่าวหรานถูกปรับปรุงให้เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวผู้บริหารที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะเข้าไปในบริษัทได้โดยไม่มีใบรับรองหรือการนัดหมายล่วงหน้า
เมื่อวานมันฉุกละหุกเกินไปหน่อยจนเขาลืมแจ้งเรื่องนี้กับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทตัวเอง
“ผม…ผมผิดไปแล้ว…พี่เขย…”
หลี่จิงเทียนมีสีหน้าขมขื่นเมื่อเขาโดนตะคอกด่า และเขาก็ไม่กล้าโต้เถียงเลย ดังนั้นเขาจึงรีบขอโทษ
รปภ. ที่ดูฉากนี้ถึงกับอึ้ง แน่นอนว่า ประธานอวี้คงเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้รองประธานหลี่ที่แสนจะหยาบคายหงอถึงขนาดนี้ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคู่ของพ่อและลูกสาวที่แต่งตัวธรรมดาด้วยความตกใจ เขาลอบถอนหายใจอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เขาระมัดระวังพอไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายไปก่อนหน้านี้…
ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เขาอาจจะถูกเลิกจ้างก็เป็นได้
“แกฟังฉันให้ดี ๆ นะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปถึงบริษัท ดังนั้นในระหว่างนี้แกต้องต้อนรับเพื่อนของฉันทั้งสองให้ดี ๆ ดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่แกจะทำได้เข้าใจไหม!”
“ครับ ครับพี่เขย! ผมสัญญาว่าจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี!”
หลังจากได้รับคำสั่งจากปลายสายของโทรศัพท์แล้ว หลี่จิงเทียนก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอีกฝ่ายวางสาย เขาจึงตระหนักได้ว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจำนวนมาก
พี่เขยของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!
“เอ่อ…ตอนนี้เราเข้าไปได้แล้วใช่ไหม?”
เมื่อเห็นหลี่จิงเทียนกำลังหน้าซีด สวีรุ่ยก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
จากนั้นหลี่จิงเทียนก็ตอบสนองและเขาก็รีบเปิดประตูลงจากรถและรีบเดินเข้ามาประจบประแจงคู่พ่อลูกอย่างนอบน้อม
“น…แน่นอนเลย! อีกเดี๋ยวพี่เขยของผมจะมาถึง เพราะงั้นในระหว่างนี้เดี๋ยวผมจะดูแลพวกคุณเอง มาเถอะ ๆ ทำตัวตามตามสบายเหมือนที่นี่เป็นบ้านของพวกคุณเองได้เลย!”
ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาทันที ราวกับว่าเขาได้เห็นญาติที่เขาไม่ได้พบหน้ากันมานาน
“มาเถอะ! มาขึ้นรถของผมได้เลย! หน้าประตูนี้มันอยู่ห่างจากตึกสำนักงานพอสมควร เดินเข้าไปไม่ไหวหรอกเหนื่อยแย่เลย มา ๆ เดี๋ยวผมขับรถพาพวกคุณเข้าไปเอง!”
เมื่อพูดจบ เขาก็รีบเปิดประตูรถให้คนทั้งสองอย่างรวดเร็วและชักชวนให้ขึ้นรถ
รปภ. ที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกละอายใจมาก ๆ
ดูจากความเร็วที่พวกคนชั้นสูงสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ มันไม่แปลกเลยที่คนอย่างเขาจะเป็นได้แค่รปภ. ไปตลอดชีวิต
…
สวีเซี่ยงจวิน ยังคงมึนงงและกว่าที่เขาจะตอบสนองได้ก็คือตอนที่เขาถูกอีกฝ่ายลากเข้าไปนั่งในรถ BMW แล้ว
ทั้งสองขึ้นรถ และคราวนี้ไม่มีรปภ. คนไหนกล้าหยุดพวกเขาอีกต่อไป
“โธ่ เมื่อกี้พวกคุณก็ไม่ยอมบอกก่อนว่าพวกคุณเป็นเพื่อนของพี่เขยของผม เอาล่ะ เดี๋ยวในระหว่างตอนที่พี่เขยของผมยังไม่มา พวกคุณเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของผมก่อน ข้างในออฟฟิศของผมสะดวกสบายที่สุดในบริษัทแล้ว!”
หลี่จิงเทียนพยายามเอาอกเอาใจจนสวีรุ่ยและพ่อของเธอเริ่มรู้สึกอึดอัด
แน่นอนว่าสาเหตุที่หลี่จิงเทียนยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้เป็นเพราะเขากลัวพี่เขยของเขา
“อืม…จริง ๆ แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้”
สวีรุ่ยชักจะทนไม่ไหว เธอไม่คุ้นชินกับการได้รับการปฏิบัติแบบนี้
“โธ่ ๆ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก! ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินของพี่เขยผมทั้งหมด และคุณก็เป็นเพื่อนกับเขา ดังนั้นคุณสามารถทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”
หลี่จิงเทียนยิ้มร่าและค่อย ๆ ขับรถเข้าไปในลานจอดรถ
จากนั้นเขาก็พาคู่พ่อลูกขึ้นไปที่ออฟฟิศของเขาเอง
สวีรุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นออฟฟิศส่วนตัวของอีกฝ่าย
“นี่…นี่มันห้องทำงานของคุณเหรอ รองประธานหลี่? นี่มันใช่ห้องทำงานจริง ๆ งั้นเหรอ…”
เธอไม่รู้จะอธิบายยังไง นี่มันออฟฟิศแบบไหนกัน?
โต๊ะพูล โปรเจคเตอร์ กอล์ฟในร่ม…
เธอเห็นเครื่องเล่นเกมอีกหลายเครื่องตรงมุมห้องด้วย!
ที่นี่มีวิธีความบันเทิงขั้นพื้นฐานทั้งหมด!
“เป็นไงล่ะ สุดยอดเลยใช่ม้า? กว่าที่ผมจะแต่งห้องได้ขนาดนี้เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่แน่ะ! เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ อยากเล่นอะไรพวกคุณเล่นได้เลย ทำตัวเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”
หลี่จิงเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากเขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำอะไรในบริษัทอยู่แล้วและพี่เขยรวมไปถึงพ่อของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าการที่เขาแต่งห้องแบบนี้มันผิดตรงไหน
แต่แน่นอนว่า สวีรุ่ยกับพ่อของเธอไม่กล้าทำตัวตามสบายเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ ในห้องนี้ตามที่หลี่จิงเทียนอนุญาต พวกเขาทั้งคู่จึงเอาแต่นั่งรอที่โซฟาอย่างเงียบ ๆ
พวกเขารู้สึกทึ่งกับขนาดของบริษัทนี้ และในทางกลับกัน พวกเขาก็พูดไม่ออกเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของหลี่จิงเทียนที่ย่ำแย่เมื่อเจอคนที่ดูต่ำกว่า และสามารถเปลี่ยนบุคลิกได้อย่างทันควันเมื่อพบว่าพวกเขาเป็นคนรู้จักของอวี้ฮ่าวหราน