บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
อวี้ฮ่าวหรานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ทำอะไรลงไปเลย พร้อมกับเหลือบมองไปที่ชายหัวล้านและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
“อยู่แค่ขอบเขตกำลังภายนอกแท้ ๆ กลับกล้าเสนอส่งเสียงดังต่อหน้าฉัน ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวบ้างเลยจริง ๆ!”
หลังจากที่ต่อยอีกฝ่ายจนปลิวได้ขนาดนี้ ไม่มีใครกล้าดูถูกคำพูดของเขาอีกแล้ว
“แก…แกอย่าได้ใจไปนักนะโว้ย ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มีคนที่แข็งแกร่งกว่าแกอีกมากมาย! ต่อให้แกจะแข็งแกร่งกว่าฉันแต่หลังจากนี้แกไม่รอดแน่!”
แม้ว่าชายหัวล้านจะบาดเจ็บจนอาเจียนเป็นเลือด แต่ก็ยังสามารถตะโกนข่มขู่เสียงดังได้
“แกทำร้ายสมาชิก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ แบบนี้ แกไม่มีทางรอดแน่!”
ในตอนแรกพวกแขกในร้านอาหารรวมไปถึงพนักงานของร้าน เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจได้บ้าง แต่แล้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ สีหน้าของเขาทุกคนก็มืดมนลงอย่างกะทันหันกับความจริงที่โหดร้าย
ในสายตาของคนทั่วไป ปัจจุบันแก๊งพยัคฆ์เวหาคือแก๊งที่มีอิทธิพลที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!
ดังนั้นไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแก๊งที่มีอิทธิพลและกำลังคนเป็นร้อย ๆ คน ไม่ช้าก็เร็วคน ๆ นั้นจะต้องตายอย่างน่าอนาถในท้ายที่สุด!
แต่ในทางกลับกัน เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’อีกครั้ง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันที
“หึหึ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนว่าแก๊งพยัคฆ์เวหาที่แกพูดถึงจะจัดการกับฉันคนนี้ยังไง!”
แปดนาทีผ่านไปตั้งแต่เขาโทรหาโจวเฟยหู่
ในเวลาเดียวกันนี้!
รถ SUV มากกว่าหนึ่งโหลพุ่งเข้ามาเบรกอย่างรุนแรงที่ด้านนอกร้านอาหาร!
ทันใดนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์สวมสูทดำและแว่นกันแดดจำนวนมากก็เปิดประตูลงจากรถ!
โจวเฟยหู่รีบวิ่งเข้ามาในร้านอาหารทันทีที่เขาลงจากรถ และหัวหน้าสาขาอีกแปดคนก็วิ่งตามมาติด ๆ อย่างรวดเร็ว
ชายหัวล้านและจินเส่า เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเบิกบานสุดฤทธิ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักโจวเฟยหู่จริง ๆ!
“ห…หัวหน้าโจว! ขอบคุณมากที่คุณอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเอง! นี่เลย ไอ้ลูกหมานั่นมันดูถูก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มันบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ น่าขยะแขยง! มันดูถูกพวกเราทุกคนเลย!”
จินเส่ารีบวิ่งเข้ามาหาโจวเฟยหู่เป็นคนแรกและปั้นเรื่องใส่ร้ายอวี้ฮ่าวหรานทันที
เขาไม่คิดเลยว่าโจวเฟยหู่จะมาที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้หลังจากที่เขาแค่โทรหาอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว!
วันนี้ไอ้สารเลวคนที่กล้าตบหน้าเขาต้องตายแน่!
แต่ในทางกลับกัน ชายหัวล้านกลับรู้สึกอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ
สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ดีเลย!
อันที่จริงเขานั้นไม่ใช่คนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เขาเป็นแค่รองหัวหน้าแก๊งขนาดเล็กที่ตกลงจะร่วมมือกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ในการต่อกรกับแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่ง
ด้วยความลำพองใจหลังจากเป็นพันธมิตรกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ หลายครั้งเขาจึงแอบอ้างว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เพื่อขู่ให้คนอื่นกลัวเขามากกว่าเดิม
ดังนั้น “แก๊งพยัคฆ์เวหา” ตัวจริงจะคาดโทษเขาแน่นอนหากรู้ว่าตัวเขาชอบอ้างชื่อพยัคฆ์เวหาเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว
แต่จินเส่าไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเต็มที่
“หัวหน้าโจว เอาเลย! จัดการไอ้เวรนั่น…”
พลั่ก!
แต่แล้วขณะที่จินเส่าพูดขึ้นยังไม่ทันจบประโยค เขาก็โดนต่อยเข้าเต็มท้องน้อยจนทรุดลงไปนอนตัวงอเหมือนกุ้งทันที
โจวเฟยหู่โกรธสุดขีดจนควันแทบออกหู!
ไม่จำเป็นต้องมีใครอธิบายเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่! ไอ้ลูกหมาพวกนี้กำลังยั่วยุอวี้ฮ่าวหรานภายใต้ชื่อแก๊งของเขา!
“บัดซบ! ขยะอย่างแกกล้าดียังไงมาทำเรื่องชั่วโดยอ้างชื่อ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ของฉัน??”
โจวเฟยหู่กระชากคอเสื้อของจินเส่า และยกตัวอีกฝ่ายขึ้นจากพื้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล!
“วันนี้แกตายแน่! ฉันจะฆ่าแกในข้อหาที่แกกล้าล่วงเกินน้องชายของฉัน!”
จินเส่าที่เพิ่งโดนชกท้องยังไม่หายงุนงง
“ช…ชกผมทำไม? อ…ไอ้ผู้ชายคนนั้นต่างหากที่ทำร้ายคนของคุณ แถมมันยังบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เป็นขยะทั้งหมด!”
เพี้ยะ!!
เมื่อโจวเฟยหูได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตบไปที่หน้าจินเส่าอย่างแรงจนฟันของอีกฝ่ายร่วงแทบจะหมดปาก!
“น้องอวี้ไม่ใช่คนที่แกจะพูดจาหมา ๆ ใส่ได้โว้ย! และถ้าเขาบอกว่าพวกของฉันเป็นขยะ พวกฉันก็คือขยะกันทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น!”
อวี้ฮ่าวหรานคือตัวตนที่สามารถกำหนดความเป็นตายของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ได้อย่างใจนึก ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โจวเฟยหู่ก็ไม่มีทางที่จะกล้าโกรธเคืองหรือล่วงเกินอวี้ฮ่าวหรานไม่ว่าด้วยเหตุผลใด
ตอนนี้จินเส่าเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว! ตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้ล่วงเกินตัวตนที่น่ากลัวสุด ๆ เข้าให้แล้ว!
“ลากไอ้เวรนั่นมาตรงนี้ให้ฉัน!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ตบหน้าจินเส่าไปอย่างแรง เขาก็ชี้ไปที่ชายหัวล้านซึ่งกำลังนั่งทรุดอยู่ตรงกำแพง
หัวหน้าสาขาซึ่งอยู่ในขอบเขตพลังภายในสองคนพุ่งตรงไปหาชายหัวล้านและลากตัวมาให้โจวเฟยหู่อย่างรวดเร็ว
“แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าแกเป็นคนของสาขาไหนในแก๊งพยัคฆ์เวหาของฉัน! ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าแกเลย?”
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้น่าจะแอบอ้างชื่อแก๊งของเขามาสร้างเรื่องชั่ว
“ผม…ผม จริง ๆ แล้วผมอยู่ในแก็งค์มังกรดิน…แก๊งของผมเป็นแก๊งเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนี้…”
“แก๊งมังกรดิน? โอ้ ฉันจำได้แล้ว ดูเหมือนว่าแก๊งของแกจะมาเข้าร่วมประชุมพันธมิตรครั้งล่าสุดด้วยใช่ไหม!”
ถึงแม้ว่าสีหน้าของโจวเฟยหู่จะเย็นชาอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นเขารีบหันศีรษะไปพูดอย่างจริงใจกับอวี้ฮ่าวหรานที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ “น้องอวี้ นายได้ยินแล้วใช่ไหมว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกมันเอาชื่อแก๊งของฉันมาแอบอ้างต่างหาก!”
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับการทำสงครามกับแก๊งฉลามคลั่งเช่นนี้ โจวเฟยหู่ไม่ต้องการให้อวี้ฮ่าวหรานผิดหวังกับแก๊งของเขา ไม่งั้นแก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะพบกับจุดจบ หากไม่มีอวี้ฮ่าวหรานคอยช่วยเหลือ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าเขารับรู้
จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อไป เขาหันกลับไปชิมอาหารที่เฉิงชิวอวี้แนะนำให้เขาลองลิ้มรสอย่างสบาย ๆ ต่อ
อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็นการพยักหน้าเล็กน้อยนี้ มันก็ทำให้โจวเฟยหูรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งรอดจากโทษประหาร!
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับโทรศัพท์และได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจและผิดหวังของอวี้ฮ่าวหราน เขาตกใจมากจนหัวใจเกือบหยุดเต้น แล้วก็รีบรวมคนและตรงดิ่งมาที่นี่ทันที
ในเวลานี้ เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับว่ามีคนยกภูเขาออกจากอกของเขาไปแล้ว
“น้องอวี้ เชิญนายกินต่อตามสบายได้เลย! ฉันสัญญาว่าหลังจากนี้ ไอ้สองตัวนี้จะไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นอีกตลอดไปแน่นอน!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปกินอาหารต่อ โจวเฟยหู่จึงไม่กังวลอะไรอีกต่อไป เขาหันไปสั่งให้คนของเขาลากทั้งจินเส่าและชายหัวล้านรวมไปถึงนักเลงสิบกว่าคนที่มากับชายหัวล้านออกไปจากร้าน!
บรรดานักเลงที่มากับชายหัวล้านต่างก็เดินตัวสั่นออกไปจากร้านแต่โดยดีโดยไม่ขัดขืนอะไรเลย
ตลกเถอะ!
ต่อหน้าคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา หากพวกเขากล้าขัดขืน พวกเขาคงจะถูกฆ่าตายในทันที!
บทที่ 360 เด็ก 4 ขวบแสนน่าทึ่ง
บทที่ 360 เด็ก 4 ขวบแสนน่าทึ่ง
เมื่อเสี่ยวเสวี่ยนั่งลงเริ่มเล่นเปียโน ทุกคนถึงกับตกตะลึง
“หือ? เด็กคนนี้…ฝีมือดีเลยนะ!”
“ใช่แล้ว เก่งมาก รู้สึกเหมือนมีสไตล์เป็นของตัวเองเลย”
“นี่สิถึงเรียกว่าการแข่งขัน เด็กก่อนหน้านี้เทียบไม่ติดเลย”
“…”
เมื่อท่วงทำนองดังขึ้น ผู้ชมต่างกระซิบกระซาบคุยกัน เพราะการแสดงของเด็กหญิงคนนี้น่าจับตามองมาก
ทั้งยังได้เสียงปรบมือชื่นชมจากเหล่าคุณครูที่นั่งชมอยู่
“ฮ่า ๆ อาจารย์หวัง นึกไม่ถึงว่าศิษย์ของคุณจะเก่งขนาดนี้ น่าทึ่งมาก!”
“เทียบกับเด็กคนนี้ ศิษย์ที่ฉันพามาดูด้อยไปเลยล่ะ”
คุณครูที่อยู่รอบข้างเอ่ยชม สีหน้าอาจารย์หวังฉายแววเปี่ยมความภาคภูมิใจ
“เด็กคนนี้มาแข่งเอารางวัลจริง ๆ ดีกว่าคนที่มาแข่งเอาประสบการณ์มากโข”
อาจารย์รอบข้างพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ แต่ฉันว่าอาจารย์หวังเองก็ตาแหลมถึงได้มองออกว่าเธอเป็นอัจฉริยะ”
“แต่มีบางคนคิดจะเทียบกับคุณอยู่น่ะสิ โถ่เอ๊ย…ลูกวัวเกิดใหม่ไม่คิดกลัวเสือเลย”
“…”
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กัน ด้วยจงใจถากถางหลิวว่านชิงซึ่งอยู่แถวนั้น
ไม่นานการแสดงได้สิ้นสุดลง
“คะแนนรวมของเฉินเสี่ยวเสวี่ยคือ… 8.8 คะแนน!”
ผลคะแนนที่ออกมาชวนให้ผู้ชมฮือฮา อย่างไรเสียที่ผ่านคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ถึง 6 คะแนนเท่านั้น ได้คะแนนเท่านี้นับว่าสูงมาก
จบการแสดง สีหน้าเสี่ยวเสวี่ยดูเหมือนจะคาดหวังในใจ เธอโค้งให้คณะกรรมการก่อนลงจากเวทีไป
ภายในห้องรับรอง
“ที่เหลือขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้ว ฉันได้ 8.8 คะแนน” เธออดจะโอ้อวดคะแนนตนเองไม่ได้เมื่อเดินผ่านห้อง
เวลานี้มีเด็กเป็นสิบคนภายในห้อง พวกเขาต่างอยู่ในอาการตื่นเต้น หากแต่เมื่อได้ยินเช่นนี้กลับนิ่งเงียบกันหมด
พวกเขาไม่หลงเหลือความมั่นใจอีกต่อไป
“ฮึ่ย! ถวนถวนต้องทำได้ดีกว่าแน่!”
ถวนถวนอดโพล่งขึ้นไม่ได้ ตอนนี้เธอนึกหวั่นไหวอยู่บ้าง
อย่างไรเสียเด็กหลายคนก็ได้คะแนนเพียง 5 ถึง 6 คะแนนเท่านั้น ตัวเธอจะมีฝีมือมากกว่าสักเท่าใดกัน?
การแสดงต่อไปเริ่มขึ้นในไม่ช้า
บางคนแสดงได้อย่างน่าประทับใจ มีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สุดท้ายได้คะแนนไป 6.9 คะแนน
หากขึ้นแสดงก่อนหน้านี้ คงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจ แต่ตอนนี้ทุกคนได้ชมการแสดงของเสี่ยวเสวี่ยแล้ว จึงไม่มีท่าทีแปลกใจ
“ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปคืออวี้ซินถวน!”
ถวนถวนเดินขึ้นมาบนเวทีเมื่อพิธีกรประกาศชื่อ
ดวงตาฉ่ำจ้องมองผู้ชมเบื้องหน้า เธอไม่ตื่นเวทีแม้แต่น้อย
เด็กหญิงสวมชุดกระโปรงสีขาวเข้ารูป ผมยาวดำขลับ แก้มใสพองเผยแววตื่นเต้น ยิ่งทำให้ดูน่ารักน่าชัง
“เด็กคนนี้น่ารักดีนะ เสียดายที่มาแข่งตอนยังเด็กอยู่ อาจจะยังฝีมือไม่ถึง”
“น่ารักจริง ๆ แหละ กล้ามาแข่งทั้งที่ยังอายุน้อยขนาดนี้”
“อื้ม ไม่ได้แค่น่ารักนะ แต่ว่ายังดูมั่นใจมากด้วย เห็นไหมว่าไม่ตื่นเวทีเลย”
“…”
ทุกคนต่างทึ่งในความน่ารักของเด็กหญิง แต่ไม่มีใครคิดว่าเธอมีความสามารถ
ถึงอย่างไรเด็กที่อายุมากกว่าเธอครึ่งปีก็ยังไม่สามารถเล่นเปียโนเพลงเดียวได้จบ
ด้านที่นั่งของคุณครู อาจารย์หวังก็เอ่ยขึ้นอย่างนึกดูถูก
“เด็กคนนี้เป็นศิษย์อาจารย์หลิว ฉันว่าอย่างน้อยก็คงเก่งพอจะเล่นจนจบเพลงนะ”
ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อายุแค่นี้เอง ให้มาแข่งตั้งแต่เด็กแบบนี้ทำไมล่ะ?”
“ใช่แล้ว อาจารย์หลิว คุณยังด้อยประสบการณ์ ถ้าเสียชื่อหลังการแข่งครั้งนี้จะไม่แย่เอาเหรอ?”
“ฉันว่าอาจารย์หลิวประมาทเกินไปแล้วนะคะ อายุ 5 ขวบเองนี่? เด็กคนนี้อาจดูโน้ตเพลงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำก็ได้ค่ะ”
“…”
ทุกคนต่างวิจารณ์กัน หลิวว่านชิงเม้มปาก นิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
ความจริงเธอกลัวว่าถวนถวนจะตื่นเวที ถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชมมากมาย
บนเวที
หลังโค้งทักทายให้คณะกรรมการ ถวนถวนนั่งลงหน้าเปียโน ท่าทีของเธอดูสงบนิ่งท่ามกลางแสงไฟที่ฉายส่องมาหา
ไร้ซึ่งความขัดเขิน ไร้ซึ่งอาการตื่นเวที ตอนนี้เด็กน้อยดูมั่นใจเต็มที่ เพราะเธอเห็นพ่อกับน้าของเธอแล้ว
มือเล็กบรรจงวางลงบนแป้นเปียโน! ท่าทางคล่องแคล่วไม่สมวัยเริ่มบรรเลงดนตรี!
เสียงเปียโนนุ่มนวลอ่อนหวาน บ้างคล้ายสายน้ำไหลเอื่อย บ้างคล้ายนกน้อยขับร้องแผ่วเบา
ไร้ซึ่งที่ติ…ท่วงทำนองเสนาะหูดังก้องทั่วโถง!
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่พลันเงียบลง
พวกเขาจับจ้องมือเล็กที่ขยับไหวไปมากลางแสงไฟด้วยความอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อสายตนเองว่าต้นเสียงนี้จะมาจากเด็กหญิง!
ผู้ชมตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงเปียโนแสนไพเราะก้องกังวาล!
กระทั่งทุกคนได้สติรู้สึกตัว!
“พระเจ้าช่วย! เด็กอายุเท่านี้เอง!”
“เก่งมาก! เก่งจริง ๆ! เธอเล่นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
“ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ได้ยินกับหู ใครจะไปเชื่อ!”
“…”
ทุกคนเอ่ยชมกับยกใหญ่
หากเป็นการแข่งขันระดับผู้ใหญ่คงไม่น่าแปลกใจอย่างแน่นอน หากแต่เป็นฝีมือของเด็กอายุไม่ถึง 5 ขวบดีด้วยซ้ำ!
เป็นธรรมดาที่เหล่าผู้ชมจะทึ่งจนถึงขั้นพูดไม่ออก!
เทียบกับเด็กคนก่อนหน้านี้ที่สามารถเล่นได้จนจบเพลงเท่านั้น ถือว่าต่างกับราวฟ้ากับเหว!
หลี่หรงมองถวนถวนเปล่งประกายกลางแสงไฟราวหงส์ขาว ทำเอาไม่อาจเชื่อว่าหลานสาวเป็นคนเล่นเพลงนี้
“ฮ่าวหราน…ฉัน…ฉันฝันไปหรือเปล่า?”
หญิงสาวพึมพำพลางหันมองหน้าพี่เขยซึ่งนั่งข้าง ๆ อวี้ฮ่าวหรานยื่นมือไปหยิกแก้มเธอ
ชายหนุ่มปลาบปลื้มใจเช่นกัน แม้เขาจะเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การแสดงของถวนถวนวันนี้ก็ยังคงชวนให้เขาอึ้ง
“โอ๊ย! พี่เขย หยิกฉันจริงเลยเหรอ!” หลี่หรงเจ็บแก้มเล็กน้อยโวยขึ้นทันที ยกมือขึ้นจะทุบอีกฝ่าย
หากแต่สายตากลับอดหันไปมองบนเวทีไม่ได้
“เก่งมาก! ถวนถวนของเราเป็นอัจฉริยะชัด ๆ! เก่งพอ ๆ กับตอนฉันอายุ 20 เลย”
เธอเอ่ยชมไม่ขาดปาก แววภาคภูมิใจฉายชัดบนสีหน้า ฝีมือหลานสาวดีกว่าเธอมาก!
ตอนนั้นเธอตั้งใจฝึกซ้อมทุกวัน มีอาจารย์คอยสอนให้ แต่สุดท้ายเธอกลับไม่เอาอ่าวในเรื่องนี้
สวี่รุ่ยถึงกับตกตะลึง เธอไม่รู้ว่าถวนถวนจะเล่นเปียโนเก่งถึงเพียงนี้
ต่อให้เธอเล่นเปียโนไม่เป็น แต่ยังฟังออกว่าไพเราะขนาดไหน
“นี่…นี่มัน…”
เธอตกใจเสียจนพูดไม่ออก อาจารย์หวังซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหน้าเปลี่ยนสีทันที!
ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าฉายแววเหลือเชื่อ
“มัน…เป็นไปได้ยังไง…เด็กตัวเท่านี้เอง!”
เธอเป็นครูสอนเปียโน ย่อมฟังท่วงทำนองออกว่ามีฝีมือเก่งกาจ อีกทั้งเวลานี้เหล่าคุณครูที่อยู่ข้างเธออึ้งไปเช่นกัน…
ความสามารถของเด็กคนนี้คนละชั้นกับเด็กคนอื่น!
มันเทียบเท่ากับเด็กชั้นมัธยมปลาย ทั้งยังเหนือกว่าเด็กชั้นประถม!