ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 322 คืนตำแหน่ง

บทที่ 322 คืนตำแหน่ง

บทที่ 322 คืนตำแหน่ง
บทที่ 322 คืนตำแหน่ง

“พูดมาเลย ผมรอฟังอยู่”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นเพื่อผลักดันให้อีกฝ่ายพูดต่อไป พลางป้อนอาหารให้ลูกสาวของตัวเองราวกับว่าไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่

หลี่ชงซานพยักหน้าหลังจากได้ยิน

“อันที่จริง ฉันมีความหวังว่าก่อนที่ฉันจะตาย ฉันอยากจะเห็นลูก ๆ ของฉันมีชีวิตที่สุขสบายและมีงานที่มั่นคง ไม่งั้นฉันคงนอนตายตาไม่หลับ”

ในที่สุดเขาก็เผยจุดประสงค์ของการเชิญอวี้ฮ่าวหรานมาในวันนี้

แต่ในทันทีที่หลี่หรงได้ยินคำพูดนี้ เธอกผ้รู้สึกไม่มีความสุขทันที และโต้แย้งอย่างรวดเร็ว

“พ่อ! พ่ออย่าพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม พ่อจะต้องอยู่อีกนาน! ส่วนเรื่องของพี่รอง พ่อก็รู้ว่าพี่เขยเคยให้โอกาสเขามาก่อน ไม่ใช่สิ เคยให้โอกาสเขาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยสำนึกเลยสักครั้ง!”

เธอรู้สึกโกรธอย่างชัดเจนกับประโยคตอนท้าย

เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพี่รองของเธอเป็นเหมือนสุนัขที่ชอบกินอึจนเลิกไม่ได้ หากเขามีอำนาจขึ้นมาสักหน่อย ก็คงไม่วายที่จะสร้างปัญหาขึ้นมาอีกเหมือนเดิม

“พ่อรู้ เรื่องนั้นพ่อรู้! แต่หรงเอ๋อร์ พ่อแค่อยากจะมั่นใจว่าชีวิตของลูก ๆ จะมั่นคงก่อนที่พ่อจะจากไป และครั้งนี้พ่อไม่ได้ขอให้ฮ่าวหรานมอบอำนาจอะไรให้เทียนเอ๋อร์ พ่อขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้เทียนเอ๋อร์ก็แค่นั้น”

หลี่ชงซานแสดงสีหน้ากังวลก่อนจะถอนหายใจให้ลูกสาวของเขา “หรงเอ๋อร์…ที่พี่ชายของลูกเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะพ่อเอง…ดังนั้นพ่อแค่อยากให้พี่ชายของลูกมีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ก็แค่นั้น พ่อไม่ได้ต้องการขออะไรไปมากกว่านั้น”

“เงินเดือนพอเลี้ยงตัวเอง?”

หลี่หรงรู้สึกประหลาดใจกับคำขอนี้ เพราะมันต่ำเกินไป

เธอจำได้ว่าพ่อของเธอมีความคาดหวังสูงมากกับพี่ชายไม่เอาไหนคนนี้

แต่ถึงอย่างนั้น พ่อของเธอก็ไม่ควรมาขอเธอหรือพี่เขยของเธอแบบนี้!

“พ่อคะ! พี่เขยของหนูจะยอมรับกับสิ่งที่พี่รองของหนูทำกับเขาก่อนหน้านี้ได้ยังไง? ไม่สิ แม้แต่พวกผู้บริหารคนอื่นของบริษัทก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน”

“พ่อรู้ พ่อถึงได้ขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้กับเทียนเอ๋อร์เท่านั้นไง เอาแค่ตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจและใคร ๆ ก็สามารถทำได้ก็พอ”

หลี่ชงซานรู้ว่าลูกชายของเขาไม่มีความสามารถ แถมยังเชื่อถือไม่ได้ ในเวลานี้เขารู้สึกอับอายจริง ๆ แต่ก็จำเป็นต้องพูดขอเพื่อให้ลูกชายของเขาได้มีงานที่มั่นคง

“เทียนเอ๋อร์ยังบอกกับพ่อด้วยว่าหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่ลึกซึ้งเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่มีทางกล้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกอีกต่อไป”

หลี่หรงเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของพ่อเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ

ในขณะเดียวกัน หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานป้อนอาหารลูกสาวของเขาเองเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า

“ก็ได้ผมตกลง ต่อจากนี้ผมจะให้หลี่จิงเทียนดำรงตำแหน่งรองประธานของบริษัทตามเดิมที่เขาเคยเป็นตอนอยู่ในบริษัทชงซาน แต่เขาจะไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้นในเครือฮ่าวหราน และตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อบริษัท ตำแหน่งนี้จะเป็นของเขาเสมอ”

ทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาก็กล่าวถึงการตัดสินใจของตัวเอง

การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้หลี่ชงซานตกตะลึง

“น…นี่…ฮ่าวหราน ลูกไม่ต้องให้ตำแหน่งที่ดีขนาดนี้ก็ได้! ก่อนหน้านี้จิงเทียนสร้างเรื่องเอาไว้มากมาย ดังนั้นลูกไม่จำเป็นต้องให้ตำแหน่งที่สูงขนาดนี้หรอก!”

เขาไม่คิดเลยว่าลูกเขยของเขาจะใจกว้างขนาดนี้

“ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้ว”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่หลี่จิงเทียน และเอ่ยยืนยันอย่างสบาย ๆ

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาใจกว้างและสงสารอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของหลี่เม่ยและหลี่หรง

“หลี่จิงเทียน นายควรขอบคุณโชคชะตาของตัวเองสักล้านครั้งที่ได้เกิดมาในตระกูลหลี่”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพลางพ่นลมหายใจ

หากอีกฝ่ายไม่ใช่น้องชายของหลี่เม่ย หรือไม่ใช่ลูกของหลี่ชงซานหรือพี่ชายของหลี่หรง ป่านนี้ร่างของเขาคงเน่าอยู่ใต้ดินในสุสานไปนานแล้ว

คงไม่มีทางที่จะได้นั่งอยู่ที่นี่ พร้อมกับได้รับตำแหน่งรองประธานอย่างแน่นอน

“ค…ครับ พี่เขย! พี่พูดถูก! ผมโชคดีจริง ๆ ครอบครัวของผมดีที่สุด พี่เขยก็ดีที่สุดเหมือนกัน!”

เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินคำยืนยันนี้ เขาก็แทบจะกระโดดจากความสุขที่มันปะทุขึ้นในใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะรู้สึกดีมากที่ได้กลับมาอยู่บ้านและไม่ต้องไปนอนอยู่ในคุก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาที่เคยเป็นรองประธานบริษัทชงซานอันหล่อเหลาแถมมีเงินเดือนสูงปรี๊ด

ในตอนนี้ เงินที่พ่อของเขาให้ใช้จ่ายในแต่ละวันมันไม่พอให้เขาไปเที่ยวในไนท์คลับได้ด้วยซ้ำ…

คนธรรมดาทั่วไปยังได้ไปเที่ยวบ้าง แต่นี่เขาเป็นถึงลูกชายของผู้นำตระกูลหลี่ แต่กลับไม่สามารถออกไปเที่ยวได้เลยเพราะไม่มีเงิน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสุด ๆ สำหรับเขา

“โอเค ตราบใดที่นายไม่สร้างปัญหาอะไรอีก เมื่อกลับไป ฉันจะจ่ายเงินเดือนให้นาย ซึ่งนายก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลตามปกติของนายได้อย่างไร้กังวล”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยกับคำประจบของหลี่จิงเทียน และรู้สึกว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายยังไม่น่ารำคาญเท่านี้

อย่างน้อยถ้าเป็นเมื่อก่อน อวี้ฮ่าวหรานก็สามารถอัดอีกฝ่ายได้หากรู้สึกรำคาญ แต่ตอนนี้พออีกฝ่ายประจบประแจงชายหนุ่มแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถอัดอีกฝ่ายได้อีกต่อไปไม่ว่าจะรู้สึกรำคาญแค่ไหนก็ตาม

หลังอาหาร หลี่จิงเทียนแทบรอไม่ไหวที่จะตามอวี้ฮ่าวหรานกลับไปที่เครือฮ่าวหราน

บางคนที่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังปรากฏตัวในบริษัทของพวกเขาได้?

อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อสายตาของคนอื่น ๆ ในบริษัท และหลังจากพาถวนถวนไปที่สวนสนุกของบริษัท เขาก็พาหลี่จิงเทียนกลับไปที่ออฟฟิศเดิมของหลี่จิงเทียน

“ฉันยังไม่ได้สั่งคนย้ายของ ๆ นายออกไป ดังนั้นนายก็ใช้ห้องนี้ต่อไปตามเดิมก็แล้วกัน”

หลี่จิงเทียนกวาดสายตามองไปทั่วห้องและตาลุกวาวทันที เขารีบวิ่งไปลูบ ๆ คลำ ๆ ข้าวของตัวเองและพูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจสุด ๆ

“พี่เขย…พี่เขย พี่ใจดีกับผมมากจริง ๆ! นับจากนี้ผมขอสาบานว่าจะไม่ทำอะไรให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน!”

หลี่จิงเทียนไม่นึกเลยว่านอกจากที่จะได้รับตำแหน่งรองประธานแล้ว ตัวเองยังได้ห้องกลับคืนมาอีกด้วย ทั้งหมดนี้มันเกินความคาดหมายของตัวเองไปไกลลิบ เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้และหันหลังเดินจากไป แต่เมื่อเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ฉันหวังว่านับจากนี้นายจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ฉันโกรธขึ้นมาอีก ไม่อย่างนั้นต่อให้นายจะเป็นน้องของหลี่เม่ย ฉันก็คงไม่สามารถปล่อยนายไปได้อีกแล้ว!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็จากไปทันที เหลือเพียงหลี่จิงเทียนที่ยืนเงียบในห้อง…

เขากลัวจริง ๆ การเสียชีวิตของหวังเจวีย ทำให้หลี่จิงเทียนกลัวมากพอแล้วเมื่อเห็นพี่เขยคนนี้ แถมด้วยข่าวการล่มสลายของตระกูลอู๋ มันทำให้เขาไม่กล้าต่อต้านอีกต่อไป

ท้ายที่สุด เขาได้รู้แล้วว่าพี่เขยของตัวเองเป็นคนที่โหดเหี้ยมและสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย

ในเวลาเดียวกัน หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การต่อสู้ระหว่างแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งพยัคฆ์เวหา

แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความเสียหายมากกว่าอย่างชัดเจน

หัวหน้าสาขาของแก๊งบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย และสมาชิกระดับทั่วไปของแก๊งก็ตายไปถึงครึ่งหนึ่งแล้วด้วย และสิ่งที่น่าอึดอัดใจมากที่สุดก็คือ หลิ่วอวี้จิงไม่เคยเคลื่อนไหวเลยจวบจนทุกวันนี้ จนสมาชิกของแก๊งต้องอ้างว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถต่อสู้ไหวอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในบ่ายวันนี้ หลิ่วอวี้จิงได้เรียกประชุมฉุกเฉิน!

บ่ายสามโมง สมาชิกระดับเสาหลักของแก๊งส่วนใหญ่ก็มาถึงห้องประชุม

อย่างไรก็ตาม หัวหน้าแก๊งที่เป็นผู้เรียกประชุมกลับยังไม่ปรากฏตัว

“หัวหน้าของเราเป็นอะไรกันแน่? ทำไมเขาถึงไม่ออกมาให้พวกเราเห็นเลย นี่มันก็หลายวันแล้วที่พวกเราเสียเปรียบ!”

“บัดซบ! ไอ้พวกแก๊งฉลามคลั่งก็ไม่โผล่มาช่วยพวกเราเลยทั้ง ๆ ที่พวกมันเพิ่งประกาศเป็นพันธมิตรกับเรา! นี่พวกมันจงใจให้เรารับความเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวใช่ไหม!?”

“…”

บรรยากาศในห้องประชุมไม่ค่อยดีนัก แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความสูญเสียอย่างหนักในทุกวันนี้ ดังนั้น ณ เวลานี้ สีหน้าของหัวหน้าสาขาทุกคนที่มาในวันนี้จึงเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

พวกเขาอยากรู้ว่าหัวหน้าแก๊งของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่!

ในขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียด หลิ่วอวี้จิงก็เดินเข้ามาด้วยการก้าวที่ไม่มั่นคงนัก ใบหน้าของเขาซีดมากราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมา

บทที่ 362 ไล่ล่า

บทที่ 362 ไล่ล่า

วันรุ่งขึ้น ภายในสำนักเมฆาเขียวและสำนักโลกเร้นลับ

“…เรื่องวุ่นวายที่ตระกูลอู๋มีเรื่องกับอวี้ฮ่าวหราน อู๋ลั่นได้เข้าไปกำจัดฝ่ายตรงข้าม”

ภายในโถงกลาง ผู้อาวุโสหลินพูดเกริ่นนำ เวลานี้ศิษย์ในสำนักทั้งขั้นกลางและขั้นสูงรวมตัวกันภายในโถง โดยมีชายวัยกลางคนในชุดเทานั่งอยู่ในที่นั่งสูงสุด

ชายผู้นั้นพยักหน้ารับ

“ดังนั้นทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลอู๋งั้นเหรอ?”

“เจ้าสำนักฉินหลักแหลมสามารถเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง”

ผู้อาวุโสหลินถอนหายใจอย่างโล่งอก ท่าทีของเจ้าสำนักเห็นตรงกับสำนักเมฆาเขียว

“เป็นไปไม่ได้! คนธรรมดาจะอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงได้ยังไง? เข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า?”

ชายชราข้างเขาไม่อาจเชื่อ

“ใช่ ฉันฝึกมาหลายสิบปี แต่ว่าเพิ่งจะบรรลุขอบเขตก่อรากฐาน คนหนุ่มวัยต้น 20 อย่างนั้นจะอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงได้ยังไง?”

“ผู้อาวุโสหลิน อย่าเพิ่งตื่นตูมไปเลย!”

“…”

สิ้นคำเขา หลายคนจึงอดว่าสำทับไม่ได้

สีหน้าผู้อาวุโสหลินฉายแววทะมึนเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่สบอารมณ์ที่ถูกคนอื่นกังขาเช่นนี้

“ฮึ่ม! ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูง พวกนายจะถูกเล่นงานจนไม่มีปัญญาสู้กลับอย่างนี้เหรอ? อู๋ชิงกับอู๋หยวนฮัวก็อยู่ในเหตุการณ์!”

“คือว่า… จริง ๆ แล้วเราสามคนรวมพลังกันสู้กับเขา นอกจากเขาจะทำลายค่ายกลที่สร้างไว้อย่างง่ายดายแล้ว ผู้อาวุโสหลินยังถึงกับถอยเพราะว่าพลังของเขาด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อู่หยวนฮัวลุกขึ้นเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

เจ้าสำนักฉินซึ่งนั่งฟังอยู่พยักหน้ารับ

“อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงจะอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงจริง ๆ ฉันเคยเห็นค่ายกลของผู้อาวุโสหลิน ถ้าฝีมืออยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีทางที่ใครจะทำลายได้”

“ท่านเจ้าสำนัก! ถึงอย่างนั้นเราก็จะปล่อยผ่านไม่ได้นะครับ”

ครั้งนี้เป็นอู๋ชิงที่ลุกขึ้น

เขาคิดค้านหัวชนฝา อู๋ลั่นเป็นเพื่อนแท้ของเขา ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามาก เขาจะยอมง่าย ๆ ได้อย่างไร!

ผู้อาวุโสหลินหน้านิ่วเมื่อได้ฟัง พลันกล่าวตำหนิ

“อู๋ชิง! นายรู้หรือเปล่าว่าพลังของอัจฉริยะเป็นยังไง? เราเป็นแค่สำนักเล็ก ๆ จะไปสู้เขาได้ยังไง?”

เขามาที่นี่ก็เพราะต้องการให้ทางสำนักเลิกคิดแค้นเสียที

ยังไม่ต้องกล่าวถึงพลังอันเหนือชั้นของฝ่ายตรงข้าม ลำพังเพียงพละกำลังภายในที่หลบซ่อนเอาไว้ก็เกรงว่าจะน่ากลัวเหลือทน

หากเพื่อความสงบสุขของสำนักแล้ว ยุติเรื่องนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้คงเป็นการดีที่สุด

ทว่าเทพเจ้าคงไม่เป็นใจนัก

สุ่มเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจดังขึ้นก้องโถง!

“ฮึ่ย! ฉันบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงมานาน เชี่ยวชาญเคล็ดค่ายกล ถ้าฉันไปเองคงฆ่าเจ้าเด็กนั่นได้สบาย ๆ !”

ชายชราใบหน้าเผยริ้วรอยอายุราว 50 ย่าง 60 ปีคนหนึ่งอาจหาญกล่าวขึ้น

ผู้อาวุโสหลินถึงกับปวดหัวเมื่อเห็นคนผู้นี้

“จะใช้พลังของผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้ แต่เพื่อเห็นแก่สำนักแล้ว คุณต้องนึกถึงกำลังของผ่ายตรงข้ามด้วย ไม่ควรบุ่มบ่ามไปนัก”

ชายชราที่เอ่ยออกมาก่อนหน้านี้คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเมฆาเขียว

“ฮ่า ๆ นี่คุณจะบอกว่าฉันบุ่มบ่ามอย่างนั้นเหรอ? หลินคัง! คุณมาสู้กับฉันไหม?”

ท่าทีของผู้อาวุโสใหญ่เกรี้ยวกราด ว่าเหยียดหยามอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

ความหวังของอู๋ชิงสว่างวาบ “ผู้อาวุโสใหญ่เฉลียวฉลาด ครั้งนี้เราสืบเรื่องของเขามาแล้ว อวี้ฮ่าวหรานไม่มีครอบครัว ไร้สังกัด เมื่อสามปีก่อนเขาอาจเป็นแค่คนธรรมดา ตอนนี้ความสามารถก้าวหน้าไปมาก ฉันว่าต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่”

“คุณ!”

เมื่อผู้อาวุโสหลินได้ยินแบบนี้ สีหน้ายิ่งถมึงทึง อู๋ชิงตั้งใจจะก่อเชื้อไฟแค้น!

“เพื่ออู๋ลั่น! คุณจะเอาความปลอดภัยของทั้งสำนักไปเสี่ยงเหรอ?”

“ฮึ่ม! เขาเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของฉัน! ถ้าไม่แก้แค้นให้เขา คนอื่นจะไม่ดูถูกฉันเหรอ? ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้!”

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่คิดยอมแพ้เช่นกัน

“เอาล่ะ! เรื่องนี้พักเอาไว้ก่อน! คนในสำนักห้ามไปแก้แค้นอวี้ฮ่าวหรานเด็ดขาด”

เจ้าสำนักหน้าบูดบึ้ง ตัดสินใจเป็นการเฉพาะหน้าไปก่อน ด้วยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ใช่แล้ว แค่พักเอาไว้ก่อน หลังศิษย์นอกสำนักสืบรู้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามค่อยตัดสินใจกันอีกที”

สิ้นคำ ความเงียบงันก็โรยตัวทั่วบริเวณ

ในเมื่อเจ้าสำนักตัดสินใจแล้ว แม้ทุกคนจะคัดค้าน หากแต่พวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

……

ไม่กี่วันต่อมา ภายในโรงพยาบาล

ถึงอย่างไรหวังเหยียนก็บรรลุขอบเขตพลังภายในขั้นสูง หลังจากรักษาตัวได้ครึ่งเดือน อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นตัวขึ้นมาก

เหลือเพียงส่วนที่กระดูกแตกหัก ทำให้ยังลุกออกจากเตียงไม่ง่ายนัก

“ถ้าจะให้ผมบอก ตอนนี้เราตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะครับ ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน ผมว่าคงไม่น่าสู้ได้”

“ฮ่า ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ฉันกับหัวหน้าโจวคุยเรื่องการตอบโต้กลับแล้ว”

หวังเหยียนนอนคุยกับลูกน้องบนเตียงโรงพยาบาล

อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากแล้ว ด้วยอานิสงค์ของพลังภายใน สีหน้าเขาจึงกลับมามีเลือดฝาด

ในขณะเดียวกัน รถสีดำหลายคันจอดด้านหน้าโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคน 7 ถึง 8 คนในชุดสูทดำลงมาจากรถ

“ลุยเลย!”

สิ้นคำสั่ง ชายสามคนก็รีบเข้าไปในโรงพยาบาล

“คุณครับ คุณหวังเหยียนอยู่ห้องไหนเหรอครับ?”

“หวังเหยียนเหรอคะ? ฉันดูให้สักครู่นะคะ”

นางพยาบาลที่นั่งประจำการอยู่ถูกยิงคำถามใส่ เธอไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกจึงก้มลงไปเปิดดูบันทึกการลงทะเบียน

“อยู่ห้อง 18 ค่ะ เป็นอะไรกับเขาเหรอคะ?”

ไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เมื่อเงยหน้าขึ้นชายทั้งสามคนก็ได้หายตัวไปแล้ว

ภายในห้อง

“หัวหน้ารอเดี๋ยวนะครับ ผมจะออกไปล้างแอปเปิ้ลให้”

ลูกน้องของเขายิ้มขณะผลักประตูห้องออกไป

ในจังหวะนี้เอง!

“พวกคุณเป็นใคร?”

เสียงโหวกเหวกพลันดังขึ้นหน้าประตู การตะลุมบอนเกิดขึ้นในทันทีหากแต่ดูเหมือนคนที่บุกมาจะแข็งแกร่งมาก!

มีคนเฝ้ายามหน้าประตูอีกสองคน รวมเป็นสามคน แต่เสียงของเขากลับเงียบลงไปภายในไม่กี่วินาที!

ประตูห้องเปิดออกในไม่ช้า!

ชายวัยกลางคนในสูทดำสามคนเดินเข้ามา! น่าเสียดายที่พวกเขาได้เห็นเพียงเตียงเปล่า

“มันหนีไปแล้ว!”

หนึ่งในพวกเขาเดินไปข้างเตียง เอื้อมมือสัมผัสอุณหภูมิบนเตียง

“ไม่! มันเพิ่งหนีไป!”

สายตาคมมองปราดไปทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้

“ตามมันไป!”

ทั้งสามคนตามไล่ล่าอีกฝ่ายตามคำสั่ง

หวังเหยียนหลบหนีออกจากโรงพยาบาล ทันทีที่ได้ยินเสียงโวยวายของลูกน้อง เขารับรู้ได้ถึงอันตราย!

แม้ร่างกายจะยังบาดเจ็บอยู่ แต่เพราะมีพลังภายในช่วยเขาจึงหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว

ที่ด้านนอกโรงพยาบาล

เขาหันไปมอง เห็นประตูทางออกมีรถยนต์หลายคันจอดดักอยู่ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเจตนาร้าย

จังหวะที่เขาพลันนิ่วหน้า สัมผัสได้ว่ามีบางคนวิ่งไล่มาจากอีกฟากของกำแพง

“ตามล่ามาจริง ๆ ด้วย!”

เขาส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์พลางสบถขึ้น รีบวิ่งหนีทั้งที่ยังบาดเจ็บอยู่

หวังเหยียนรู้ตัวว่าครั้งนี้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเข้าแล้ว!

บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ

เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหวังเหยียนแล้ว โจวเฟยหู่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ

“เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโจวเฟยหู่ก็พูดขึ้นอย่างจนใจ

ตอนนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลอุบายใด ๆ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ต่อไป…

หลังจากสูญเสียพี่น้องไปมากมาย ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันได้

ในเวลาเดียวกัน อู๋หมิ่น ผู้นำตระกูลอู๋ ก็ได้ติดต่อกับศิษย์ของสำนักลึกลับแห่งหนึ่งเรียบร้อย…

ในห้องโถงของตระกูลอู๋ อาการบาดเจ็บของอู๋หมิ่นยังไม่หายดี และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาออกมาจากละครย้อนยุค

แต่ด้วยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งทำให้ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยการแต่งกายที่แปลกประหลาดนี้แน่นอน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังนั่งอย่างสบาย ๆ ในตำแหน่งที่นั่งของอู๋หมิ่น!

“เจ้ากำลังบอกว่าชายหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้ตระกูลอู๋วอดวายได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? นี่เจ้าดูแลตระกูลอู๋แบบไหน ทำไมพวกเจ้าถึงตกต่ำได้ขนาดนี้?”

ชายวัยกลางคนทำตัวราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กำลังดุด่าลูกหลานตัวเอง ซึ่งคนที่เขากำลังดุด่าอยู่ก็คือ อู๋หมิ่น

“ช…ชายหนุ่มคนนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดา! ผมได้จ้างปรมาจารย์มาแล้วมากมาย แต่ปรมาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มคนนั้น และลูกชายของผม อู๋เส้าฮัวก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน!”

อู๋หมิ่นดูวิตกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามเถียง

อย่างไรก็ตาม คำพูดเถียงนี้กลับทำให้ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าดูถูกมากยิ่งขึ้น

“ฮ่า ๆ จ้างพวกปรมาจารย์งั้นเหรอ? แล้วไง? ไอ้พวกที่เจ้าจ้างมามันต่างจากคนธรรมดาตรงไหน?”

เขามองหน้าอู๋หมิ่นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน”

“ผม…ผมไม่รู้…”

อู๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่กลิ่นอายความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก

“เฮอะ ช่างมีความรู้ต่ำต้อยอะไรขนาดนี้! ช้าผู้นี้ชื่ออู๋ลั่น เพื่อเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดเดียวกัน ข้าจะบอกเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ว่าเหนือว่าขั้นพลังภายในที่เจ้าเคยรู้จัก ยังมีระดับที่เรียกขอบเขตก่อรากฐาน!”

“ก่อรากฐาน?”

อู๋หมิ่นพึมพำราวกับเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง

“ถูกต้อง ขอบเขตก่อรากฐานคือการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นผู้อมตะ ซึ่งความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบเทียมได้ และข้าเองคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อรากฐาน!”

ชายวัยกลางคนชื่ออู๋ลั่นพูดช้าๆ

ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มอบเงินให้กับสำนักของเขาเป็นจำนวนมหาศาล เขาคงไม่มีทางเสียเวลาคุยกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน

อู๋หมิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตพลังภายในมาก่อนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกตกตะลึงและงุนงงในเวลาเดียวกัน

“ถ…ถ้างั้นก็หมายความว่า…ท่านทรงพลังมากเลยใช่ไหม?”

เขาไม่อยากเชื่อเลย ถ้าหากตระกูลของเขามีปัญญาสร้างคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงถูกทิ้งให้ดูแลตระกูลอู๋อยู่ที่นี่มาตลอด? ทำไมเขาถึงไม่ได้มีโอกาสบ่มเพาะบ้าง?

ถ้าเขาสามารถเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานได้ เขาก็จะสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่หรือตระกูลไหน ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดาย จนสามารถทำให้ตระกูลอู๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ทำไมตระกูลของเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้?

อู๋ลั่นรู้ทันความคิดของอู๋หมิ่นเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยโดยไม่ลังเลเลย…

“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ อย่าคิดเพ้อเจ้อให้เสียเวลา การบ่มเพาะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าก็จะไม่มีวันทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตก่อรากฐานได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเทียบได้กับข้าผู้นี้งั้นเหรอ?”

หลังจากนั้น อู๋ลั่นก็รู้สึกไม่อยากจะคุยไร้สาระอะไรอีกต่อไป เขาถามถึงรายละเอียดของภารกิจโดยตรง

อู๋หมิ่นไม่ลังเลเมื่อถูกถามถึงเรื่องภารกิจ เขาพูดทุกอย่างที่เขารู้ทันที

หลังจากนั้นไม่นาน อู๋ลั่นก็พยักหน้าเล็กน้อย

“เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่ามา ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด เขาถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้า เรื่องนี้จึงไม่สามารถตำหนิเจ้าได้ในการที่เจ้าจัดการกับเขาไม่สำเร็จ”

หลังจากพอจะเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ อู๋ลั่นจึงสรุปเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง

“ใช่ ตระกูลอู๋ของผมไม่มีพลังที่จะต่อกรจริง ๆ ได้โปรดช่วยผมกำจัดชายหนุ่มคนนั้นให้ผมที!”

อู๋หมิ่นอ้อนวอนอีกครั้ง

เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ลั่นเองก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้าตกลงอย่างไร้กังวล

สองวันต่อมา

“พ่อจ๋า ๆ หนูอยากไปเล่นที่บริษัทของพ่อวันนี้! หนูคิดถึงเพื่อน ๆ ของหนูที่นั่น!”

วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กน้อยจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษ ดังนั้นเธอจึงตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ห้องของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตื่นเต้นและตะโกน

“โอเค พ่อตกลง!”

เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่โตของลูกสาว และเห็นว่าเด็กน้อยคาดหวังมาก อวี้ฮ่าวหรานก็ตกลงในทันที

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็ออกไป

ถวนถวนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตคันใหม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดูตื่นเต้นอย่างมาก

รถสปอร์ตวิ่งออกไปจากเขตที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงย่านไร้ผู้คน ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเหยียบคันเร่งเพิ่ม ร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางถนน!

ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาหลุดมาจากยุคโบราณ

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเหยียบเบรกอย่างรุนแรงทันที!

อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่อสูรที่ไร้หัวจิตหัวใจ เขาไม่สามารถขับรถชนคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่าไม่ได้

หลังจากเบรกอย่างเร่งรีบ รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็หยุดนิ่งกลางถนน!

รถสปอร์ตคันนี้คู่ควรกับเงินเกือบสิบล้านเป็นอย่างมาก ระบบเบรกของมันยอดเยี่ยมกว่ารถคันเก่าของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้

หากเป็นรถคันเก่า ระยะห่างสั้น ๆ แบบนี้รถไม่มีทางหยุดทันแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลย เขามองดูอวี้ฮ่าวหรานอย่างเฉยเมยพร้อมกับเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งนี้…นี่มันผิดปกติ

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงจากรถไปถาม ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวก็ตะโกนถามขึ้นก่อน

“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?!”

น้ำเสียงของชายเสื้อคลุมเขียวหยิ่งผยองมาก

“เพื่อเห็นแก่ที่เจ้ามีไหวพริบดีไม่ขับรถพุ่งเข้าชนข้าเหมือนคนโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าโดยจะปล่อยให้ศพของเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์!” เขาเยาะเย้ย

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่มาขวางทางเขาคือศัตรู ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงลงจากรถ

“แกเป็นใคร แกรู้จักฉันได้ยังไง?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าผู้นี้เป็นใคร เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องตายวันนี้”

ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกราวกับว่าเขากำลังพูดกับมดแมลง

“แต่ก็เอาเถอะ ข้าบอกให้เจ้ารู้สักนิดหน่อยก็ได้ว่าข้าเป็นคนที่ตระกูลอู๋ส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า อย่างน้อย ๆ หลังจากรู้เรื่องนี้เจ้าจะได้ไม่ตายอย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าใครฆ่าเจ้า!”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าจะฆ่าฉันได้?”

เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งหลังจากที่มองดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย…

บทที่ 320 หมดโอกาสแก้ตัว
บทที่ 320 หมดโอกาสแก้ตัว

“ฉันจะให้นายทุกอย่างที่นายต้องการ! แต่ได้โปรดไว้ชีวิตฉันกับภรรยาด้วย! นายต้องเข้าใจว่าเราสูญเสียลูกชายไป เราเลยทำทุกอย่างลงไปด้วยความขาดสติ!”

ถึงแม้จะคิดว่ามันไร้ผล แต่อู๋หมิ่นก็ยังต้องขอลองพูดโน้มน้าวอีกสักรอบ

“ไว้ชีวิตพวกแกงั้นเหรอ? ฮ่า ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างขบขัน

“ถ้าแกแข็งแกร่งกว่าฉัน แกจะไว้ชีวิตฉันไหม? หรือถ้าฉันตายไปแล้ว แกจะไว้ชีวิตลูกสาวของฉันหรือเปล่า?”

“ฉัน…แน่นอนฉันจะ…”

เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด อู๋หมิ่นตอบกลับอย่างรวดเร็วทันที ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบที่เขาเอ่ยออกมามันไม่ได้เป็นความจริงเลยสักนิด

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็หายตัวไปราวกับปีศาจ และปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้าอู๋หมิ่นพร้อมกับกุมคออีกฝ่าย!

“แกคิดว่าฉันอายุ 3 ขวบงั้นเหรอ?”

น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้อู๋หมิ่นรู้สึกราวกับมีใครเอาน้ำเย็นมาสาดใส่

“ด…เดี๋ยว…นายใจเย็น ๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หากคราวนี้นายปล่อยพวกเราไป ฉันสาบานว่าจะไม่รังควานนายอีกแล้ว!”

ในเวลานี้เขารู้สึกกลัวสุดขีด เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าลูกชายของเขาไปกินอะไรมา ถึงกล้ายั่วยุสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวขนาดนี้!

ดวงตาของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชา เขาจ้องมองอู๋หมิ่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจ

“เฮ้อ…เสียใจด้วย…โอกาสของแกมันหมดไปแล้ว”

กร๊อบ!!

เสียงหักของกระดูกดังลั่นชัดเจน คอของอู๋หมิ่นถูกหักอย่างสมบูรณ์!

ดวงตาของอู๋หมิ่นเบิกกว้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความไม่เต็มใจ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ค่อย ๆ สิ้นลมหายใจ

พลั่ก

อวี้ฮ่าวหรานโยนร่างของอู๋หมิ่นออกไปข้าง ๆ ราวกับโยนขยะทิ้ง

หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ เพิ่งได้สติ เมื่อได้ยินเสียงร่างของสามีตัวเองหล่นกระทบพื้น

“กรี๊ดดดด!!! ไอ้ระยำ! ไอ้สารเลว! ไอ้ชั่ว! แกฆ่าผู้ชายของฉัน!! ฉันขอสาปแช่งแกให้แกกับโคตรเหง้าของแกตายโหงทั้งครอบครัว! ฉันสาบานว่าฉันจะฉีกลูกแกเป็นชิ้น ๆ ด้วยมือของฉัน แกตาย!!! กรี๊ดดดด!!”

เมื่อเห็นสามีของตัวเองถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา เธอก็กลายเป็นคนเสียสติอย่างสมบูรณ์ เธอกระโจนเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่กลัวตายอีกแล้ว!

บรึ้ม!!!

อวี้ฮ่าวหรานหันไปมองหญิงวัยกลางคนด้วยสีหน้าเยาะเย้ยก่อนที่เขาจะโคจรพลังวิญญาณและโบกมือปล่อยคลื่นกระแทกเขเข้าใส่อย่างไม่แยแส!

ต้องรู้ว่าคลื่นพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหราน ทรงพลังมากจนแม้แต่ผู้บ่มเพาะก็ยังบาดเจ็บหากโดนเข้า ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงเท่าไหร่อย่างหญิงวัยกลางคนจะทนได้ยังไง?

ทันทีที่โดนคลื่นกระแทก ร่างของหญิงวัยกลางคนก็ลอยละลิ่วกระเด็นไปไกลหลายเมตรก่อนที่จะร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างไม่เต็มใจ และเธอก็ค่อย ๆ หมดลมหายใจไปในที่สุด

ตอนนี้ คนสำคัญของตระกูลอู๋ตายไปแล้วสาม!

จากนั้นบรรดาบอดี้การ์ดที่จงรักภักดีต่ออู๋หมิ่น บางคนก็กรูกันเข้าหาอวี้ฮ่าวหราน!

ฆ่า!

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ คนที่กล้ากระโจนเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานทั้งหมดก็กลายเป็นศพ เหลือแต่พวกคนที่ฉลาดรีบหนีไปซ่อนตัว ซึ่งอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้ทำอะไรพวกนั้นและออกจากบ้านหลักตระกูลอู๋ไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานจากไปแล้ว บ้านหลักตระกูลอู๋ก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที!

เมื่อครอบครัวของผู้นำตระกูลและบรรดาคนสนิทตายทั้งหมด พวกคนตระกูลอู๋ที่ยังเหลือรอด นอกจากจะโกรธแค้นแล้ว ความโลภในใจของพวกเขาก็ถูกกระตุ้นขึ้น

ต้องรู้ว่าทรัพย์สินของตระกูลอู๋ ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยอู๋หมิ่นมาตลอด ดังนั้นเมื่อเจ้าตัวตายไปแล้วตอนนี้ พวกผู้คนที่หวังในทรัพย์สมบัติต่างก็เริ่มแย่งชิงกันในทันที

ในการแย่งชิงทรัพย์สมบัติจึงมีผู้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นอีกมากมาย!

อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจกับเรื่องราวในตระกูลอู่ที่จะเกิดขึ้นต่อ เป้าหมายการมาที่ตระกูลอู๋ของเขาวันนี้มีแค่อย่างเดียวคือ ฆ่าคนที่ตามจองล้างครอบครัวของเขาเท่านั้น!

5 ทุ่มเศษ อวี้ฮ่าวหรานก็กลับถึงคอนโด

ในห้องนั่งเล่น หลี่หรงยังนอนอยู่บนโซฟาและยังไม่ได้หลับไป เธอรีบหันมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู

“พี่เขย พี่กลับมาแล้วเหรอ? มีอาหารอยู่ในครัว พี่รีบเข้าไปกินสิ ตอนนี้มันดึกแล้ว หลังจากกินเสร็จก็รีบไปอาบน้ำและเข้านอน”

“หืม? ทำไมยังไม่นอนอีก?”

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่น้องภรรยาของเขาที่ดูง่วงนอน เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในใจ เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขากลับดึก อีกฝ่ายก็มักจะคอยดูแลเขาเสมอโดยการเก็บกับข้าวรอให้เขากลับมากิน

“หืม? พี่เขยยืนงงอะไรอยู่? รีบไปกินซะสิ”

เมื่อเห็นว่าพี่เขยของเธอมองหน้าเธอจนไม่ยอมเดินไปในครัว หลี่หรงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง…

“ช่างเถอะ ๆ เดี๋ยวฉันไปอุ่นให้ก่อนก็ได้ พี่คงเหนื่อยจนขี้เกียจจะไปอุ่นเองใช่ไหมล่ะ”

หลังจากพูดจบเธอก็เดินเข้าไปในครัวเพียงลำพัง และหลังจากหลายนาทีผ่านไป หลี่หรงก็นำอาหารสองสามจานมาวางที่โต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“วันนี้ตระกูลอู๋ลงมือกับพี่และถวนถวน”

เมื่อเห็นความใส่ใจของหลี่หรงที่มีต่อเขา อวี้ฮ่าวหรานจึงอดไม่ได้ที่จะบอกความจริงต่ออีกฝ่าย เขารู้สึกไม่สบายใจที่ปิดบังเรื่องหลายอย่างต่อคนที่จริงใจกับเขาเช่นนี้

“เอ๊ะ?”

หลี่หรงอึ้งไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้ฮ่าวหราน แต่เมื่อเธอเห็นว่าถวนถวนและอวี้ฮ่าวหรานกลับมาโดยไร้ขีดข่วน เธอก็ผ่อนคลายลง

“แล้ว…ถ้างั้น…นับจากนี้เราต้องทำยังไงดี ถ้าพวกเขากลับมาอีก…”

“วันนี้พี่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อครู่ที่พี่ออกไป พี่ออกไปจัดการกับตระกูลอู๋ พวกเขาไม่มีโอกาสจะมารังควานเราได้อีกแล้ว”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและพูดสรุปทุกอย่าง หลี่หรงเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเธอก็ได้สติ

“พี่เขย ไม่เป็นไร ฉันสนับสนุนในสิ่งที่พี่ทำลงไปทุกอย่าง!”

คำพูดนี้ของเธอเต็มไปด้วยความจริงใจ

ตอนเที่ยงวันถัดมา ที่เครือฮ่าวหราน อวี้ฮ่าวหรานก็ได้รับโทรศัพท์จากหลี่ชงซาน

“ฮ่าวหราน วันนี้พ่ออยากชวนลูกกับหรงเอ๋อร์มากินข้าวกับพ่อที่บ้านหลัก อันที่จริงพ่อมีเรื่องอยากจะคุยด้วยนิดหน่อย ลูกว่างไหม?”

“ได้ ผมจะไป”

อวี้ฮ่าวหรานตอบอย่างไม่ลังเลเลย จากนั้นชายหนุ่มก็พาถวนถวนขึ้นรถและขับไปที่บ้านหลักตระกูลหลี่ทันที

ในอีกด้านหนึ่ง หลี่หรงก็รีบออกจากบริษัทและขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านหลักตระกูลหลี่เช่นกัน

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ที่บ้านหลักตระกูลหลี่

“น้องสาวของพี่สวยวันสวยคืนดีจริง ๆ!”

ทันทีที่ก้านพ้นประตูเข้าไปในบ้าน เสียงของหลี่จิงเทียนก็ดังขึ้นทันที

เพียงแต่ว่าเสียงนี้ต่างจากเมื่อก่อนมาก คราวนี้หลี่จิงเทียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ประจบประแจงสุดฤทธิ์

ทางด้านของหลี่หรง เมื่อได้ยินพี่ชายของเธอชมอย่างประจบประแจง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เธอไม่อยากจะเจอหน้าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

หญิงสาวต่างจากหลี่เม่ย เธอไม่ได้ชอบหลี่จิงเทียนมากถึงขนาดให้อภัยได้ทุกอย่าง!

“ฮ่าวหราน มานี่สิ มานั่งใกล้ ๆ พ่อนี่มา วันนี้พ่อสั่งให้พ่อครัวทำอาหารดี ๆ เอาไว้เยอะแยะเลย!”

ทันทีที่หลี่ชงซานเห็นอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามา ก็ทักทายอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางเป็นกันเองราวกับอวี้ฮ่าวหรานเป็นลูกแท้ ๆ ของเขา

“อ…เอ่อ…พี่เขย ช่วงนี้พี่หล่อขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะครับพี่!”

สิ่งที่น่าแปลกใจคือหลี่จิงเทียนก็หันหน้ามายกยออวี้ฮ่าวหรานพยายามเอาอกเอาใจอีกคน

บทที่ 319 บุกถึงประตู
บทที่ 319 บุกถึงประตู

เมื่อได้ยินคำถามที่เป็นกังวลของหลี่หรง อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะขบขัน

“อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก”

อู๋ลั่นถูกเขาจัดการไปแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ต้องการให้หลี่หรงกังวล เขาจึงพูดตัดบทไป

แต่หลังจากที่พาถวนถวนล้างมือเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ตัดสินใจบางเรื่องอย่างเด็ดขาด

“เธอกับถวนถวนกินข้าวกันไปก่อนเลย พี่มีเรื่องต้องจัดการอีกเรื่อง แล้วเดี๋ยวดึก ๆ พี่จะกลับมา”

“หืม? มีเรื่องอะไรอีกงั้นเหรอพี่เขย? ทำไมพี่ไม่กินข้าวก่อนล่ะ?”

หลี่หรงรู้สึกงงงวยกับคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน

ความขุ่นเคืองจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

“เรื่องนี้พี่ต้องจัดการในทันที ไม่อย่างนั้นพี่คงรู้สึกไม่สบายใจ”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบโดยตรงว่ามันคืออะไร แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจริงจังมาก หลี่หรงจึงทำได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น และตัดสินใจที่จะไม่หยุดอีกฝ่ายอีกต่อไป

“อืม…ถ้างั้นพี่ก็รีบไปเถอะ เอาไว้เดี๋ยวฉันจะแบ่งกับข้าวส่วนของพี่เก็บเอาไว้ให้”

“อืม”

หลังจากตกลงกันได้อย่างรวบรัดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หันหลังและจากไป

แต่ทันทีที่เขาปิดประตูออกจากห้อง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที!

เรื่องของอู๋ลั่นวันนี้ทำให้เขากังวลมาก

ชายวัยกลางคนนั่นบอกว่าถูกตระกูลอู๋เชิญตัวมา!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือตระกูลอู๋!

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจตัวเองได้อีกต่อไป

ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่อีกฝ่ายกลับระรานครอบครัวของชายหนุ่มไม่หยุด คราวนี้เขาจึงต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลังจากลงลิฟท์และขึ้นรถไป เขาก็เหยียบคันเร่งจนมิดทันที!

เวลาราว 1 ทุ่ม ท้องฟ้ามืดสนิท อู๋หมิ่นและภรรยาของเขากำลังกินอาหารเย็นอยู่ในบ้านหลักของตระกูล

“ฮึ่ม! การแก้แค้นครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่! ไม่ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าอู๋ลั่นได้!”

อู๋หมิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสะใจ

“เฮอะ! ไอ้หมาเน่าตัวนั้นน่าจะตายไปนานแล้ว! มันกล้าดียังไงมาฆ่าลูกชายของฉัน! ฉันขอให้มันตายในสภาพศพไม่สมบูรณ์!”

หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแสดงสีหน้าเคียดแค้นในขณะพูด

“จากนี้มันยังไม่จบหรอก! แค่ฆ่ามันคนเดียวฉันยังไม่สะใจพอ! มันยังมีลูกสาวอีกคน ลูกสาวของมันต้องตายตามพ่อของมันไปด้วย!”

อู๋หมิ่นเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอาฆาต

“ใช่! ฆ่านังเด็กนั่น! แต่เราต้องฆ่านังเด็กนั่นอย่างช้า ๆ ให้สาสมกับที่พ่อของมันฆ่าลูกของเรา!

เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดของสามีตัวเอง เธอก็แสดงความร้ายกาจออกมาพลางคิดจินตนาการว่าจะใช้วิธีไหนดีเพื่อทรมานเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่เธอรังเกียจ

“จริงสิ ผู้หญิงของมันอีกล่ะ? เราจะปล่อยผู้หญิงของมันไปไม่ได้ น้องเมียของมันคุณต้องจับมาด้วย! ฉันจะกำจัดตัวเมียทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมันทั้งหมด! ลูกชายของฉันตายเพราะนังนั่น!”

“แน่นอน! ถึงเธอไม่พูด ฉันก็จะทำแน่! ลูกชายของอู๋หมิ่นจะตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ยังไง!”

การแสดงออกของอู๋หมิ่นเย็นชายิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“ดี! ดีมาก! ครอบครัวของมันทั้งหมดต้องตายตามลูกชายของเราไป พวกมันต้องกลายเป็นวิญญาณรับใช้ลูกของเราในยมโลก!”

หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ทั้งโหดเหี้ยมและขมขื่น

แต่ในขณะนั้น ประตูรั้วคฤหาสน์กลับกระเด็นล้มลงทั้งบาน!

โครม!

บอดี้การ์ดสองสามคนที่ยืนอยู่หลังประตูถูกทับจนเละ!

“เร็ว…วิ่ง…”

บรรดาบอดี้การ์ดต่างแตกตื่นโกลาหล พวกเขาต่างร้องตะโกนพลางวิ่งถอยกลับเข้ามาที่ตัวคฤหาสน์

ในเวลานี้ ร่างผอมบางปรากฏขึ้นที่ประตู!

อู๋หมิ่นตกใจ เขาลุกขึ้นและรีบเดินออกไปดูสถานการณ์ทันที แต่ฝุ่นที่ฟุ้งปกคลุมบริเวณประตู ทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครเป็นผู้มาเยือน

“ไม่ทราบว่าท่านผู้แข็งแกร่งเป็นใครงั้นหรือ? ทำไมท่านถึงบุกเข้ามาในบ้านของผู้น้อยเช่นนี้?”

หลังจากที่เจอกับอู๋ลั่นมาไม่นาน มุมมองต่อโลกใบนี้ของอู๋หมิ่นก็เปลี่ยนไป เขาเข้าใจมากขึ้นว่าต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่ง เขาควรจะนอบน้อมให้มากที่สุด เพราะไม่งั้นคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองจะตายตอนไหน

อย่างไรก็ตาม ชายที่เพิ่งถล่มประตูก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาช้า ๆ และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เมื่อกี้แกไม่ได้เพิ่งพูดเหรอว่าจะส่งดวงวิญญาณของฉันผู้นี้ไปเป็นข้ารับใช้ลูกชายของแกในยมโลก? วันนี้ที่ฉันมามีเพียงจุดประสงค์เดียวคือส่งพวกแกทุกคนลงไปอยู่กับไอ้ขยะอู๋เส้าฮัว!”

หลังจากฝุ่นจางไป หัวใจของอู๋หมิ่นแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกเป็นใคร!

“แก! ทำไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่! แกไม่ควร! แกไม่ควร! ทำไมแกถึงยังไม่ตาย!?”

ดวงตาของอู๋หมิ่นเบิกกว้างจนแทบจะถลนในเวลานี้ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่

คนที่บุกเข้ามาคืออวี้ฮ่าวหราน!

ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็เพิกเฉยต่อคำถามของอีกฝ่าย เขายังคงเดินต่อไปอย่างช้า ๆ และเมื่อเหลือบมองเข้าไปด้านในคฤหาสน์และเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดวางอยู่กลางห้องโถง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก

“ฮิฮิ ดีจังเลยนะ กำลังกินข้าวมื้อสุดท้ายกันอยู่ซะด้วย”

ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ อู๋หมิ่นแสดงท่าทางขาดสติทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือฆาตกรฆ่าลูกชายของเธอ เธอตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

“ไอ้สารเลว! แกฆ่าลูกชายของฉัน! แกตายแน่! ไม่สิ ครอบครัวของแกทั้งหมดจะต้องตาย! ฉันจะทรมานแก ลูกของแก ผู้หญิงของแกทุกคนด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะ…”

“หุบปาก!!”

อู๋หมิ่นไม่รอให้ภรรยาพูดจบและรีบตวาดให้หยุดเสียงดัง

เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมภรรยาของเขาถึงโง่เง่าอะไรได้ขนาดนี้ ไม่รู้ตัวหรือไงว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน!?

อีกฝ่ายหนึ่งบุกเข้ามาโดยไร้รอยขีดข่วน ส่วนอู๋ลั่นก็หายไปโดยไม่ส่งข่าวคราวกลับมาเลย สถานการณ์เช่นนี้มันหมายความได้อย่างเดียวซึ่งก็คือ อู๋ลั่นถูกจัดการไปแล้ว และพวกเขากำลังโดนจะโดนเก็บกวาด!

“อวี้ฮ่าวหราน ตระกูลอู๋ของฉันยินดียอมรับเงื่อนไขทุกอย่างที่นายต้องการ แลกกับการที่นายจะยอมปล่อยให้เราสองคนมีชีวิตรอด”

แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องจำใจต้องยอมรับความจริงที่ว่า อู๋ลั่นอาจจะตายไปแล้ว!

มิฉะนั้น อวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางมาปรากฏกายที่นี่ได้

ตอนนี้แผนการของเขาที่คิดออกคือพยายามเจรจาให้อวี้ฮ่าวหราน กลับไปก่อน และจากนั้นเขาจะแจ้งเรื่องนี้แก่สำนักเมฆาเขียวเพื่อที่สำนักจะได้ส่งคนมาอีกครั้ง

ถึงตอนนั้นไอ้เวรนี่จะต้องตายแน่นอน!

แต่ในขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็จ้องมองอู๋หมิ่นด้วยสายตาเย้ยหยัน

“ฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันบอกเอาไว้เลยว่าแกไม่มีทางอยู่รอดเกินคืนนี้แน่”

น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาสุดขั้ว

แน่นอนว่าคำพูดนี้ทำให้อู๋หมิ่นหมดหวัง

เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของอวี้ฮ่าวหราน อู๋หมิ่นก็ปลงใจแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเขาก็ไม่รอดแน่นอน และเขาไม่สามารถซ่อนความคิดของตัวเองจากอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย

บทที่ 318 ล้ำเส้น
บทที่ 318 ล้ำเส้น

อู๋ลั่นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาจึงตั้งใจจะหนี

อย่างไรก็ตามด้วยความแค้นจากการล้มเหลว ก่อนจะจากไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนข่มขู่ขึ้น

“ไอ้หนุ่ม แกอย่าได้ใจไปนัก ถึงแม้ว่าคราวนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้ แต่คราวหน้าฉันมั่นใจว่าฉันฆ่าแกกับลูกของแกได้แน่!”

หลังจากพูดจบเขาพุ่งตัวจากไปโดยไม่เหลียวหลังมอง

แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้!

เขาไล่ตามอีกฝ่ายทันราวกับเล่นกล!

‘ผัวะ!!’

หมัดลุ่น ๆ กระแทกเข้าที่ใบหน้าของอู๋ลั่นอย่างจัง!

หมัดนี้แฝงด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นอู๋ลั่นจึงกระเด็นไปไกลห้าเมตรทันที!

อู๋ลั่นกระแทกไปที่พื้นอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“แกกล้าดียังไงมาต่อยหน้าฉันแบบนี้!!!”

เขาจับแก้มซ้ายของตัวเองซึ่งเป็นด้านที่โดนต่อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำร้ายเขาขนาดนี้

อวี้ฮ่าวหรานจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา

“มดแมลงอย่างแกกล้าขู่ลูกของฉันผู้นี้งั้นเหรอ รนหาที่ตาย!”

การที่อีกฝ่ายขู่ฆ่าลูกสาวของเขาเช่นนี้มันคือการล้ำเส้นของเขาอย่างรุนแรง คน ๆ นี้ต้องตาย!

แน่นอนว่าประโยคนี้ของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้อู๋ลั่นใจสั่น เขาไม่รีรออะไรอีกแล้ว และรีบใช้วิธีการลับบางอย่างทันที ซึ่งส่งผลให้ทั้งตัวของเขากลายเป็นกลุ่มควันก่อนจะหายตัวไปจากที่เดิม

เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรแล้ว!

อวี้ฮ่าวหรานหันขวับมองตามทันทีด้วยความประหลาดใจ

เขาไม่นึกเลยว่าโลกมนุษย์จะมีวิธีเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันเช่นนี้ แน่นอนว่าชายหนุ่มเห็นทุกขั้นตอนว่าอู๋ลั่นหนีไปยังไง สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนจากสายตาของเขาได้

“ฮ่า ๆ! เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ง่าย ๆ หรอกโว้ย! รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับมาอีกแน่และวันไหนที่ข้ากลับมา มันจะหมายถึงวันตายของเจ้ากับลูก…”

เมื่อเข้าใจว่าตัวเองหนีรอดแน่ ๆ แล้ว อู๋ลั่นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และหันหลังหนีไปในทันที

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อู๋ลั่นกำลังได้ใจคิดว่าตัวเองหนีรอดแล้วและพุ่งหนีต่อไปได้ราวห้าสิบเมตร จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาขึ้นข้าง ๆ หู

“แกคิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?”

‘ปัง!!’

ยังไม่ทันที่จะได้ขนลุก อู๋ลั่นก็เจ็บแปลบที่ชายโครงอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็ลอยละลิ่วไปตกที่ในป่าทึบข้างทางห่างออกไปห้าสิบเมตรด้วยพลังเตะของอวี้ฮ่าวหราน!

โครม! อั่ก!!

หลังจากหล่นลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง พลังวิญญาณในร่างของอู๋ลั่นก็ปั่นป่วนจนไม่อาจโคจรเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ เขาจึงพยายามที่จะยันกายลุกขึ้นเพื่อหนีต่อ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจนทำได้แค่พยายามคลานอย่างน่าสังเวช

“ป…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”

อู๋ลั่นไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะตามเขาทันได้ในพริบตาแบบนั้น ความเร็วที่อีกฝ่ายมีมันแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงระดับ…

“เป็นไปได้ยังไง?? คนอายุอย่างมันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดได้ยังไง!?”

“มดแมลงอย่างแกจะมาเข้าใจเทพอย่างฉันผู้นี้ได้ยังไง?”

โดยไม่ทันรู้ตัว อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ปรากฏขึ้นยืนค้ำหัวของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว

เขามองลงไปที่อู๋ลั่นด้วยแววตาเย็นชาและดูถูก…

“บทลงโทษสถานเดียวกับคนที่กล้าบังอาจหมายชีวิตลูกสาวของฉันคือตาย!”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองรอบ ๆ ก่อนชั่วอึดใจ และเมื่อมั่นใจว่าตรงจุดนี้รกทึบมากจนถวนถวนมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดแน่ เขาจึงโคจรพลังวิญญาณจนถึงขีดสุดและกระทืบเท้าลงไปที่หัวของอู๋ลั่นอย่างเต็มแรงโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูดอะไร!

บรึ้ม!!

ด้วยการกระทืบอย่างรุนแรง พื้นดินบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนเล็กน้อย

เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ สภาพแวดล้อมโดยรอบที่มีแต่ต้นไม้รกทึบก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

“ถุย!”

ด้วยความโมโห อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ศพของอู๋ลั่น

อันที่จริงหากอีกฝ่ายไม่ขู่ลามไปถึงลูกของเขา ชายหนุ่มก็คงจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไป เพราะตัวของเขาเองก็ยังไม่อยากฆ่าคนที่แข็งแกร่งแบบนี้หากไม่จำเป็น

เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้น่าจะมาจากสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ ซึ่งคนผู้นี้คงไม่ใช่คนที่เก่งสุดในสำนัก การที่เขาฆ่าคนเช่นนี้ไปก็หมายถึงว่าในอนาคตเขาคงจะถูกล้างแค้นโดยผู้บ่มเพาะที่อาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ได้ก้าวล้ำเส้นของเขาไปมาก ดังนั้นจึงต้องฆ่าทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก!

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เตะโด่งศพของอู๋ลั่นให้กระเด็นเข้าในป่าลึกกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะใช้พลังวิญญาณทำความสะอาดเลือดของอีกฝ่ายออกจากเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปที่รถ

“พ่อจ๋า คนเลวหายไปไหนแล้ว เมื่อกี้พ่อเข้าไปทำอะไรในป่ากับคนเลว?”

หลังจากขึ้นรถ ถวนถวนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยอย่างไร้เดียงสา

“ไม่มีอะไรแล้ว พ่อจัดการกับคนเลวไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่มากวนเราอีก”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางลูบหัวลูกสาวของเขาด้วยความเอ็นดู

“ฮ่าฮ่า พ่อจ๋าสุดยอดที่สุด! พ่อจ๋าไล่คนเลวไปอีกแล้ว ถวนถวนก็ไม่ต้องกลัวคนเลวคนไหนทั้งนั้น!”

เด็กน้อยเมื่อได้ยินคำปลอบของพ่อตัวเอง เธอก็อารมณ์ดีมากกว่าเดิม ด้วยความเป็นเด็กและไร้เดียงสา เธอจึงไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พ่อของเธอเพิ่งลงมือสังหารโหดโดยการเหยียบหัวของศัตรูจนเละไปหมาด ๆ

หลังจากนั้นคู่พ่อลูกก็พากันไปที่เครือฮ่าวหราน และเมื่อเวลาล่วงเลยถึงห้าโมงเย็น อวี้ฮ่าวหรานก็รีบพาถวนถวนที่ยังติดใจอยากจะอยู่เล่นต่อกลับคอนโด

หลังจากกลับไปถึงห้อง หลี่หรงก็บ่นขึ้นทันที

“พี่เขย ทำไมวันนี้พี่กลับซะเย็นแบบนี้! นี่ฉันอุ่นข้าวไปตั้งหลายรอบเพื่อรอพี่กลับมา! เร็ว ๆ เลย รีบพาถวนถวนไปล้างมือล้างเท้าแล้วมากินข้าวกันเดี๋ยวนี้เลย!”

“แหะ ๆ แม่หรงจ๋า วันนี้พ่อจ๋าอัดคนเลวด้วยแหละ!”

ในระหว่างที่กำลังถูกอวี้ฮ่าวหรานพาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือ เด็กน้อยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าสนุกสนาน

“อัดคนเลว? พี่เขย พี่มีเรื่องอีกแล้วงั้นเหรอวันนี้?”

หลี่หรงเบนสายไปถามอวี้ฮ่าวหรานทันที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยใจกับพี่เขยของตัวเองที่มีเรื่องค่อนข้างบ่อย

บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ
บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายให้เปลืองน้ำลายโดยไม่จำเป็น เพราะเขาตั้งใจจะกวาดล้างองค์กรนักฆ่านี้ให้หมดไปจากโลกเพื่อยุติปัญหาที่อาจจะเกิดอีกในอนาคต!

องค์กรอสรพิษสร้างความรำคาญให้เขาหลายครั้งแล้ว เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้องค์กรนี้ลอยนวลต่อไปได้อีก!

‘กร๊อบ!’

อวี้ฮ่าวหรานกระทืบไปที่แขนของอสรพิษเงินอีกครั้ง จนมีเสียงกระดูกแหลกดังลั่น!

อสรพิษเงินที่กำลังเสียสติอยู่นั้น เมื่อถูกกระทืบอีกครั้งเขาก็ได้สติจากความเจ็บปวดที่สั่งสมรุนแรง และตอบสนองทันที

“อ๊ากกก แขนฉัน! อ๊ากกก! ไอ้สารเลว!”

ความเจ็บปวดรุนแรงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยผ่านการฝึกทนการถูกทรมานมาก่อน ดังนั้นตอนนี้ใบหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด

สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง

“ฉันถามแกหน่อย สาขาใหญ่ขององค์กรอสรพิษของแกอยู่ที่ไหน?”

“ส…สาขาใหญ่?”

อสรพิษเงินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายต้องการจะไปที่สาขาใหญ่ของพวกเขา!

‘กร๊อบ!’

อวี้ฮ่าวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่าย เขายกเท้าขึ้นและกระทืบลงไปที่แขนอีกข้างของอสรพิษเงินอีกครั้ง!

กระดูกแขนอีกข้างของอสรพิษเงินแหลกในทันที!

“อ๊าก!! ฉันพูด! ฉันพูดแล้ว!!!”

อสรพิษเงินทนความเจ็บปวดไม่ไหว ใบหน้าของเขาซีดมาก และหน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก

“ต…แต่ฉันไม่รู้จักที่ตั้งของสาขาใหญ่จริง ๆ ฉันรู้แค่สถานที่ตั้งของตำหนักคุมกฎซึ่งมันอยู่แถวเมืองจงซิง ที่อยู่คือ…”

เขารีบบอกทุกอย่างที่เขารู้

หลังจากฟังคำอธิบายโดยละเอียดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็เหลือบมองอีกฝ่าย และหลังจากยืนยันว่าข้อมูลที่ได้รับมาเป็นของจริง เขาก็กระทืบไปที่หน้าอกทำลายหัวใจของอสรพิษเงินจนแหลกเละ

คนที่มีจิตใจชั่วช้าบิดเบี้ยวแบบนี้ไม่คู่ควรอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป!

“ฮ่าวหราน…คุณ…”

ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับการช่วยเหลือ แต่เฉิงชิวอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นไหวเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของคนที่เธอรักเหนือล้ำขนาดนี้

มีใครในโลกนี้ที่เทียบกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอได้รึเปล่า?

“ไปกันเถอะ!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย ตอนนี้เขาแค่อยากจะจัดการปัญหาองค์กรอสรพิษให้มันจบลงโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยในตอนนี้ ตำหนักคุมกฎอะไรนั่นจะต้องถูกทำลาย!

ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงโผล่หน้ามาก่อกวนเขาอีกแน่ในเวลาไม่นาน

หลังจากปลดเชือกของเฉิงกัวอัน อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณของเขาเข้าไปสลายพิษในร่างของอีกฝ่ายและปลุกให้ตื่น

“ย…อย่านะ! แกอย่าทำลูกของฉัน…”

ทันทีที่เฉิงกัวอันตื่นขึ้น เขาก็อุทานทันที ราวกับว่าเขายังคงจมอยู่ในเหตการณ์ก่อนที่เขาจะสลบไป

แต่เมื่อเขาเห็นลูกสาวของเขาและอวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่ข้างหน้าเขา เขาก็ได้สติ

“ฮ่าวหราน…นายช่วยฉันอีกแล้วเหรอ?”

ดวงตาของเขาดูงุนงงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รู้ว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว

“พ่อ! ใช่แล้ว! ฮ่าวหราน ช่วยชีวิตเราไว้อีกครั้งแล้ว!”

เฉิงชิวอวี้ช่วยพยุงพ่อของเธออย่างรวดเร็ว

“แล้ว… แล้วอสรพิษเงินขององค์กรอสรพิษล่ะ?”

แต่แล้วเมื่อเขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นศพของอสรพิษเงิน เขาก็เบนสายตากลับมามองที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ เขาตกตะลึงเกินบรรยาย

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มที่เขาเคยคิดแค่จ้างเอาไว้ชั่วคราวให้ปกป้องลูกสาวของเขาจะไร้เทียมทานถึงขนาดฆ่าอสรพิษเงินได้แบบนี้!

“นั่นมัน…มันคืออสรพิษเงิน!”

เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตั้งแต่ในอดีต อสรพิษเงินคนนี้เป็นตัวตนที่เขากลัวมาตลอด เขาเคยแม้กระทั่งฝันร้ายว่าถูกชายคนนี้จับตัวไปทรมานด้วยซ้ำ!

แต่เวลานี้…

“ตาย! ในที่สุดมันก็ตาย!”

เฉิงกัวอันมีน้ำตา เขามองไปที่ศพที่น่าสังเวช หัวใจของเขาตื่นเต้นอย่างท่วมท้น!

หลายปีแห่งความหวาดกลัวในใจฉัน หายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเก็บความขมขื่นอีกต่อไป

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะในความคิดของเขาปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดนั้นไม่ต่างอะไรกับมดที่เขาจะบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้หากโผล่มาขวางทางเขา

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาต่อไปสำคัญกว่า

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงมองไปที่คู่พ่อลูกที่อยู่ข้างหน้าเขา

“พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ผมมีเรื่องต้องจัดการ”

เฉิงกัวอันพอจะเดาได้ทันทีว่า อวี้ฮ่าวหรานต้องการทำอะไรต่อ

“เรื่องที่นายกำลังจะไปจัดการ…มันเกี่ยวกับองค์กรอสรพิษใช่ไหม?”

“ถูกต้อง ผมจะไปตัดรากถอนโคนพวกมัน!”

“แต่…แต่ผู้นำองค์กรอสรพิษนั้นแข็งแกร่งเหนือล้ำจนไม่มีใครหยั่งถึงได้ ว่ากันว่าต่อให้ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดรุมเขานับสิบ เขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ฉันเกรงว่า…”

“แล้วไง?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลแทนตัวเขา แต่เขามีความมั่นใจมากเกินพอ ดังนั้นเขาจึงพูดขัดจังหวะขึ้นและเดินนำลงไปข้างล่างทันที

หลังจากลงไปข้างล่าง เฉิงกัวอันก็ไม่ได้พยายามพูดโน้มน้าวให้หยุดอวี้ฮ่าวหรานอีกต่อไป

เขาเห็นความแน่วแน่และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในแววตาของอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดห้ามอะไรอีกเพราะมันคงไม่มีประโยชน์

“งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกันนะ”

วันนี้เขาเพิ่งเข้าใจได้ถึงสิ่งหนึ่ง การที่คนอย่างเขาเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและคิดแทนคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นอวี้ฮ่าวหราน มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นเขากลับขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ที่อยู่ที่อสรพิษเงินให้มานั้นมันอยู่ในเมืองใกล้เคียง ซึ่งเขาต้องขับรถอย่างน้อยสองชั่วโมง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากล่าช้าไปแม้เพียงครึ่งนาที

เฉิงกัวอันมองตามหลังอวี้ฮ่าวหราน จนรถสปอร์ตสีเหลืองหายไปจากสายตาแล้วจากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาว

“เฮ้อ…คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้”

แต่ในขณะเดียวกันนี้ เฉิงชิวอวี้ก็กระตุกแขนเสื้อพ่อของเธอและแถมขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“พ่อ! ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่เกิดขึ้น อีกนานไหมกว่าพ่อจะบอกหนูเกี่ยวกับความลับของพ่อ?”

เธอเพิ่งรู้วันนี้ว่าพ่อของเธอที่ใจดีกับเธอมาตลอด มีอดีตที่น่าระทึกใจเช่นนั้น

“พ่อ…เฮ้อ…”

เมื่อเฉิงกัวอันได้ยินเช่นนี้ เขาก็คิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของตัวเองและตัดสินใจว่าวันนี้เขาควรบอกเรื่องทั้งหมดให้กับลูกสาวตัวเองได้รู้

“ที่พ่อไม่ได้บอกลูกเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปและพ่อเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบถึงลูก”

“คนพวกนี้แข็งแกร่งที่ไหนกัน? หนูไม่เห็นว่าฮ่าวหรานจะจัดการคนพวกนั้นลำบากตรงไหนเลย?”

เฉิงชิวอวี้งุนงงเนื่องจากเธอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพลังวิญญาณหรือพลังภายใน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าพวกองค์กรอสรพิษนั้นไร้น้ำยา

“ลูกไม่เข้าใจหรอกว่าองค์กรอสรพิษทรงพลังแค่ไหน! พวกเขาเป็นองค์กรนักฆ่าที่ชั่วร้ายซึ่งมีสาขากระจายอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของประเทศจีน!”

“แล้วไง หนูเป็นลูกสาวของพ่อ! หนูเคยแสดงความขี้ขลาดให้พ่อเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็ได้! พ่อจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดเมื่อเรากลับถึงบ้าน!”

เฉิงกัวอันรู้สึกท้อแท้ เขารู้ว่าวันนี้เขาคงไม่สามารถปกปิดอะไรได้อีกแล้ว

ทั้งสองจึงขึ้นแท็กซี่กลับบ้านทันที

อีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบคันเร่งจนมิด!

ประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมทำให้เขาสามารถรับมือกับความเร็วของรถได้แบบสบาย ๆ

สองชั่วโมงต่อมา เขาก็ขับไปถึงเขตชานเมืองของเมืองถัดไปตามที่อยู่ที่อสรพิษเงินบอกมา

มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่หลายหลังที่นี่

แม้ว่าคฤหาสน์พวกนี้ดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นโดยคนรวยบางคน แต่ที่จริงแล้ว นี่คือฐานที่มั่นของตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษ!

แต่แล้วทันทีที่เขาหยุดรถ บรรดารปภ. ที่เฝ้าอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์ก็สังเกตเห็นเขาทันที!

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท