บทที่ 323 รวมแก๊ง
บทที่ 323 รวมแก๊ง
“มาเริ่มการประชุมกันเถอะ!”
หลัวจากเดินเข้ามาในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ประกาศขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เมื่อบรรดาหัวหน้าสาขามองเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหัวหน้าตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในทันที
“หัวหน้า…เกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมหัวหน้าถึงเจ็บแบบนี้?”
“ตราบใดที่หัวหน้าบอกมาว่าใครเป็นคนทำให้หัวหน้าอยู่ในสภาพแบบนี้ พวกเราจะรีบไปเด็ดหัวคนผู้นั้นในทันที!”
“…”
เมื่อทุกคนเห็นสภาพเช่นนี้ของหลิ่วอวี้จิง ทุกคนก็ลืมเรื่องที่เพิ่งบ่นไป และรีบเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
หลิ่วอวี้จิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แววตาของเขาดูหวั่นไหว
“ทุกคน…ฉันซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่พวกนายเป็นห่วงฉันแบบนี้ แต่ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ฉันได้รับบาดเจ็บโดยอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งตอนนี้มันร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างเต็มตัวแล้ว พวกนายไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้หรอก”
เขาแสร้งทำเป็นสิ้นหวัง
ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนี้ ห้องประชุมทั้งห้องก็เงียบลง พวกเขาต่างรู้สึกหนักใจกับการล้างแค้น
ในขณะนี้ แก๊งฉลามคลั่งไม่ยอมส่งคนมาช่วยเหลือพวกเขา ภายใต้การรุกหนักของแก๊งพยัคฆ์เวหา แก๊งวาฬยักษ์จึงแทบจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ นับประสาอะไรกับการแก้แค้น?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หัวหน้าสาขาคนหนึ่งก็อดไม่ได้!
“แต่! เราจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้! แก๊งวาฬยักษ์ของเราประสบความสูญเสียอย่างหนักไปแล้ว! อย่างน้อย ๆ เราต้องแก้แค้นให้ได้!”
น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและหงุดหงิดอย่างยิ่ง
คนอื่น ๆ ต่างก็ครุ่นคิดถึงปัญหาซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็จำได้ถึงคำถามที่คาใจพวกเขาอยู่ทุกวันนี้
“หัวหน้า! ผมอยากจะถามว่า ทำไมแก๊งฉลามคลั่งที่บอกว่าเป็นพันธมิตรกับเราถึงไม่ส่งคนมาช่วยพวกเราเลย?”
“ไอ้เฒ่ากงซุนซากำลังทำอะไรอยู่? มันบอกว่าเป็นพันธมิตรกับเรา แต่ทำไมการกระทำของมันเหมือนกับพยายามจะทำให้เราอ่อนแอลงเพื่อที่มันจะได้กลืนกินพวกเราซะเองแบบนี้?”
ทุกคนวิจารณ์กันอย่างดุเดือด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลิ่วอวี้จิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับ ๆ เขากำลังจะทำลายกองกำลังของเขาด้วยมือของเขาเอง
“พวกนายเดาผิดแล้ว เมื่อครู่นี้ฉันเพิ่งรู้ข่าวของกงซุนซา เขาเพิ่งไปหาอวี้ฮ่าวหรานคนเดียว แต่กลับได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นกัน ตอนนี้เขาจึงไม่ไว้ใจพันธมิตรที่เปราะบางอย่างเรา และไม่เต็มใจที่จะขัดแย้งกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอีกต่อไป”
บรรดาหัวหน้าสาขาทั้งหลายต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หากเป็นกรณีนี้ แสดงว่าแก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแก๊งฉลามคลั่งแน่นอน!
หากเผชิญหน้ากับแก๊งพยัคฆ์เวหาเพียงลำพังพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานแน่ พวกเขาเสร็จแน่!
แม้ว่าโจวเฟยหู่จะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ในแก๊งพยัคฆ์เวหามีพวกที่มีฝีมือเข้าขั้นปรมาจารย์มากมาย ซึ่งมันทำให้เวลาเปิดศึกใหญ่ใส่กัน แก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจึงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
“แล้ว…หัวหน้า เราควรทำยังไงดี?
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากแก๊งฉลามคลั่ง พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก๊งพยัคฆ์เวหาเลย!”
“ใช่หัวหน้า! เราต้องคิดหาวิธี ไม่งั้นพวกเราจบเห่แน่!”
“…”
ผู้คนในห้องต่างตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาอย่างรวดเร็ว
ถ้าแก๊งฉลามคลั่งไม่ช่วย แก๊งวาฬยักษ์ก็จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง!
อันที่จริง แก๊งวาฬยักษ์ไม่ควรจะเสียเปรียบถึงขนาดนี้ แต่พวกเขาตัดสินใจพลาดในตอนแรกที่เพิกเฉยต่อพวกแก๊งเล็ก ๆ ทั้งหลาย จนในเวลานี้ พวกแก๊งเล็ก ๆ เหล่านั้นร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้สถานการณ์ของแก๊งวาฬยักษ์ย่ำแย่ลงไปอีก
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหวั่นวิตก หลิ่วอวี้จิงก็เอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ฉัน หลิ่วอวี้จิงไม่ได้วางแผนรับมือให้ดี ฉันขอโทษทุกคนจากใจจริง!”
เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยซึ่งมันยิ่งกินใจผู้คนในห้องประชุม
“แก๊งพยัคฆ์เวหาได้สังหารพี่น้องของเราไปมากมาย และอวี้ฮ่าวหรานก็จัดการพี่น้องของเราไปเป็นร้อยคนแล้ว เดิมทีฉันคิดว่าแก๊งฉลามคลั่งจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเราเมื่อเห็นว่าเราลำบาก แต่ฉันไม่คิดเลย…ฉันไม่คิดเลยว่า…สิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นแบบนี้”
ในประโยคเดียวนี้เขาโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังอวี้ฮ่าวหรานและแก๊งพยัคฆ์เวหาเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยิ่งทำให้นับจากนี้เขาจะหว่านล้อมคนของเขาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย
“หัวหน้า! อย่าโทษตัวเองแบบนี้! ที่หัวหน้าทำลงไปทั้งหมดก็เพราะคิดถึงอนาคตของแก๊งเรา และอีกฝ่ายก็หยิ่งผยองขนาดนั้น แม้ว่าเราจะไม่เริ่มก่อน ไม่ช้าก็เร็วพวกมันคงเล่นงานเราเช่นกัน”
“ใช่ เราทุกคนสนับสนุนหัวหน้า!”
“…”
นี่คือสถานการณ์ที่หวังเอาไว้
หากหลิ่วอวี้จิงต้องการรวมแก๊งของตัวเองเข้ากับแก๊งฉลามคลั่งอย่างราบรื่น จะต้องทำให้บรรดาหัวหน้าสาขาของแก๊งรู้สึกสิ้นหวัง ไม่เช่นนั้นพวกเดนตายเหล่านี้ไม่มีทางละทิ้งศักดิ์ศรีไปอยู่ใต้ร่มเงาของแก๊งอื่นแน่นอน
“อันที่จริงฉันมีแผนบางอย่างที่ไม่เพียงแต่เราจะแก้แค้นได้เท่านั้น แต่มันยังจะทำให้เรามีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย!”
หลังจากที่บรรยากาศคุกกรุ่นดีพอแล้ว ในที่สุดหลิ่วอวี้จิงก็พูดเข้าประเด็น
“แผนอะไรงั้นเหรอหัวหน้า?”
“หัวหน้า…พูดมาเลย!”
เมื่อหัวหน้าสาขาเหล่านี้ได้ยินว่าอาจมีแผนที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ พวกเขาก็แทบรอไม่ไหวในทันที ตราบใดที่สามารถแก้แค้นได้ พวกเขาก็ยินดียอมทำตามแผนทุกอย่าง
เมื่อเห็นแววตาที่คาดหวังและคล้อยตามของผู้คนในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะพูด
“เหตุผลที่แก๊งฉลามคลั่งไม่เต็มใจที่จะดำเนินการร่วมมือกับเราต่อ เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกับศัตรูที่ทรงพลังโดยไม่มีเหตุผล”
“แต่เมื่อวานฉันได้คุยกับกงซุนซาแล้ว และเขาบอกว่าถ้าเรายินยอมเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่ง เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยทำลายแก๊งพยัคฆ์เวหา และอวี้ฮ่าวหราน!”
ผู้คนในห้องตกอยู่ในความเงียบงันทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้!
หากเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีสงคราม หากหลิ่วอวี้จิงพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนในห้องคงโต้แย้งอย่างรุนแรงจนยอมตายดีกว่าจะยอมไปเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป แก๊งวาฬยักษ์ได้มาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสิ้นหวังสุด ๆ และการเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งมันอาจถือได้ว่าเป็นโอกาสเดียวในการอยู่รอด
“ผมไม่เห็นด้วย! ผมเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์เพื่อสนับสนุนหัวหน้าให้เป็นชายที่ปกครองโลกใต้ดินทั้งหมด ดังนั้นหากผมจะต้องเปลี่ยนมาเป็นก้มหัวให้กับตาแก่นั่น ผมไม่อาจยอมรับได้!”
“ฉันด้วย! ฉันยอมสู้จนตัวตายดีกว่าปล่อยให้แก๊งวาฬยักษ์ของเราถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนกิน!”
ในขณะที่คนอื่น ๆ เงียบ หัวหน้าสาขาสองคนยืนขึ้นแย้งในทันใด
แต่ในขณะเดียวกัน!
จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากนอกประตู!
“ฮ่า ๆ! ดี! ช่างขัดแย้งอะไรกันเช่นนี้!”
ทันทีที่ประตูถูกผลักเปิดออก ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าของเสียงหัวเราะคือ กงซุนซา หัวหน้าแก๊งฉลามคลั่ง!
ทันทีที่เดินเข้ามาด้านในห้อง กงซุนซาก็โบกมือซัดพลังวิญญาณใส่หนึ่งในหัวหน้าสาขาสองคนที่ยืนขึ้นโต้แย้งในทันที!
บึ้ม!
เสียงร่างของหัวหน้าสาขาที่โดนซัดพลังเข้าใส่จนกระเด็นลอยไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนสะดุ้ง!
แค่โบกมือครั้งเดียวก็ส่งร่างปรมาจารย์พลังภายในกระเด็นไปเจ็ดแปดเมตร!
ความแข็งแกร่งของชายชราคนนี้มากมายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยดสยองในใจ
หลังจากจัดการไปคนหนึ่งแล้ว กงซุนซาจึงเบนสายตามองไปที่อีกคนที่ยังยืนอยู่และเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“ว่าไง? ตอนนี้นายยังไม่เห็นด้วยอยู่อีกไหม?”
เขาถามพลางลูบเคราของตัวเอง
“ผ…ผมเห็นด้วยแล้ว ๆ!”
หัวหน้าสาขามองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครยืนขึ้นกับเขาเลย เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงอย่างสิ้นหวัง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ดี! เมื่อไม่มีใครแย้งอะไรแล้วงั้นฉันขอประกาศว่าแก๊งวาฬยักษ์จะเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งของฉันนับจากวันนี้เป็นต้นไป!”
ในที่สุดแผนการที่ตัวเองวางไว้ก็สำเร็จ ซึ่งมันทำให้กงซุนซาอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าหยิ่งผยอง
“พวกนายทุกคนในห้องไม่ต้องกังวล แม้ว่าชื่อของแก๊งวาฬยักษ์จะหายไป แต่ฉันจะไม่ปฏิบัติต่อพวกนายอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน หัวหน้าหลิ่ว นับจากนี้ฉันขอแต่งตั้งให้นายเป็นรองหัวหน้าแก๊งฉลามคลั่งของฉัน!”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูเป็นการออกคำสั่งซึ่งมันฟังไม่รื่นหูเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
ทันทีที่ประกาศราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนออกมา คนส่วนใหญ่ก็นิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าราคาดังกล่าวสูงกว่าที่คนส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้
ก่อนหน้านี้ โบราณวัตถุที่ขายออกไปแพงที่สุดราคาเพียงสามสิบล้านหยวน ใครจะจินตนาการได้ว่ามันจะมีของที่มีราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนโผล่ออกมาแบบนี้
สมบัติเช่นนี้เศรษฐีทั่ว ๆ ไปไม่มีสิทธิ์ซื้อได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เฉียนเซาก็ยกป้ายของเขาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 56 ล้าน!”
ทันทีที่พิธีกรบนเวทีรายงานราคา เฉียนเซาไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาเยาะเย้ยอวี้ฮ่าวหรานอย่างมีชัย
ในเวลานี้ เขาคาดไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางที่จะมีเงินพอประมูลของชิ้นนี้ร่วมกับเขาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอ่ยราคาขึ้นมาเพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่ายแบบนี้
แน่นอนว่า เฉียนเซาไม่ได้คิดว่าท้ายที่สุดตัวเองจะมีปัญญาพอซื้อพระพุทธรูปหยกนี้ เพราะราคามันคงโดดไปไกลมากกว่าที่ตัวเองจะเอื้อมไหว เขาแค่อยากเอ่ยราคาขึ้นเพื่อหยามหน้าอวี้ฮ่าวหรานก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายของตัวเองขึ้น
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 80 ล้าน!”
พิธีกรรายงานราคา และทุกคนในห้องโถงที่ยังคงลังเลอยู่ต่างกันก็หันศีรษะมองมาไปยังตำแหน่งหมายเลข 31 ด้วยความตกใจ
“พระเจ้า! เขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ? เพิ่มราคามาถึง 80 ล้านดื้อ ๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ?”
“เพิ่มราคามาขนาดนี้ได้ยังไง?? นี่เขาบ้าหรือเขาโง่กันแน่? แล้วแบบนี้ฉันจะสู้ราคาได้ยังไงต่อ!”
“…”
ทุกคนตกตะลึงแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หลังจากเงียบไปหลายวินาที ก็เกิดเสียงวิจารณ์ดังทั่วห้อง
ทางด้านของเฉียนเซา ตอนนี้เขากำลังตกตะลึงจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า!
เขาแค่ส่งสายตาเยาะเย้ยอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสู้ราคาจริง ๆ!
แถมราคาที่อีกฝ่ายสู้มามันมากกว่าราคาของทั้งหมดที่เขาซื้อ ๆ ไปในวันนี้ทั้งหมด!
สิ่งนี้มันทำให้เฉียนเซาดูเหมือนเป็นตัวตลกไปเลย
“จะบ้าเหรอ! แกมีเงินมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง!?”
เขาตะโกนร้องออกมาอย่างไม่เชื่อ
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย
“ทำไม? แกไม่คิดจะสู้ราคากับฉันแล้วงั้นเหรอ? ฉันแค่ขึ้นราคานิดหน่อย แค่นี้แกก็กลัวแล้วงั้นเหรอ?”
“แก!”
เฉียนเซาไม่รู้จะเถียงยังไงต่อ ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเฉียนเซา เห็นชัด ๆ ว่าไอ้เวรนั่นมันแค่แกล้งคุณเล่น มันจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง? ตราบใดที่คุณไม่เสนอราคาสู้กับมันและปล่อยให้มันชนะการประมูลไป ท้ายที่สุดมันเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายเดือดร้อน!”
ในเวลานี้ ชายหนุ่มลูกหลานตระกูลเศรษฐีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉียนเซาให้คำแนะนำราวกับเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้
“หุบปาก! แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอไง?”
เฉียนเซาหันหน้าไปตวาดใส่ชายหนุ่มข้าง ๆ ทันที ใบหน้าของเขามืดมนเต็มที่
เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่โดนคนที่ตัวเองคิดว่าอยู่ต่ำกว่าสร้างความลำบากให้กับเขาได้ขนาดนี้
ในวงสังคม เขาสามารถเสียทุกอย่างได้ แต่จะเสียหน้าไม่ได้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 81 ล้านหยวน!”
ไม่นานนักพิธีกรก็รายงานราคาใหม่
ในเวลานี้ เฉียนเซานั่งลงและมองดูอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเคียดแค้น จู่ ๆ เขาต้องเสียเงินมากกว่า 80 ล้านในครั้งนี้ เขาจะจดจำความแค้นนี้อย่างแน่นอน!
แต่อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างดูถูกและยกป้ายขึ้นอีกครั้ง!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 100 ล้านหยวน!”
“บ้าอะไรวะน่ะ?!!!”
เฉียนเซาที่เพิ่งนั่งลงกระเด้งตัวลุกขึ้นมายืนทันที เขาทั้งตกใจและโกรธ
“นี่แกโง่หรือบ้ากันแน่!! ฉันอุตส่าห์เมตตาแกให้ทางถอยกับแกแล้ว แต่แกกลับเสนอราคาต่อแบบนี้ทำบ้าอะไร!?”
ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อพระพุทธรูปหยกนี่ด้วยซ้ำเพราะรู้ว่ามันจะต้องแพงมาก แต่ถัดมาเขาก็ถูกบีบให้รักษาหน้าของตัวเองโดยการต้องยอมตัดใจเพิ่มราคาเกทับอวี้ฮ่าวหรานมาเป็น 81 ล้านซึ่งเขาคิดว่าตัวเขาคงจะต้องได้ซื้อมันจริง ๆ แน่ โดยที่ไม่ได้อยากจะเสียเงินมากขนาดนี้เลย แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับขึ้นราคามาอีกเกือบยี่สิบล้านหยวน!
นี่มันมากเกินไปแล้ว!
แม้ว่าจะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเฉียนก็ตาม แต่ราคาหนึ่งร้อยล้านก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย!
เฉียนเซาไม่สามารถเสี่ยงดวงขานราคาเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากได้ซื้อมันจริง ๆ ในราคามากกว่าร้อยล้านหยวน มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเขา…
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับทำเพียงแค่เหลือบมองกลับไปและเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก
“นั่นมันเรื่องของแก ฉันแค่ต้องการซื้อของนี่ไปประดับห้องนั่งเล่นของฉันก็แค่นั่น”
เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกตะลึง
คำพูดนี้มันเย่อหยิ่งเกินไป ซื้อสมบัติหายากมูลค่า 100 ล้านหยวน เพื่อเอาไปตกแต่งห้องนั่งเล่นแค่นั้นเนี่ยนะ?
นรกเถอะ!
บ้านของแกมีมูลค่าถึงร้อยล้านแล้วหรือไง!
กล้าเอาของมูลค่าร้อยล้านไปประดับห้องนั่งเล่นเนี่ยนะ!
เฉียนเซามองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างโกรธจัด ก่อนที่จะตวาดขึ้นดังลั่น
“ฉันเข้าใจแกผิดไป! แกไม่ใช่คนยากจน แต่แกมันเป็นไอ้โง่! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีปัญญาจ่าย!”
“แล้วถ้าฉันสามารถจ่ายได้ล่ะ?” อวี้ฮ่าวหราน ถามกลับทันควัน
“ฮึ่ม! ถ้าแกสามารถจ่ายได้ ฉันจะยอมเรียกแกว่าพ่อเลย!”
เฉียนเซาปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีเงินทุนขนาดนั้น ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนรวยจริง ๆ จะใส่ชุดราคาถูกแบบนั้นทำไม? มันคงไม่มีคนรวยคนไหนที่ไม่ดูแลการแต่งกายของตัวเองหรอกจริงไหม?
“เหอะ ๆ อย่าเลย ฉันไม่อยากมีลูกชายแบบแก ถ้ามี ฉันเกรงว่าฉันคงฆ่าแกทันทีที่แกลืมตาดูโลก”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเยาะ
“แก!”
เฉียนเซาโกรธจนเกือบควันออกหู
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก! แกมันก็ดีแต่ปาก!”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน การเสนอราคาในงานประมูลก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 13 เสนอราคา 110 ล้าน!”
“สุภาพบุรุษหมายเลข 19 เสนอราคา 115 ล้าน!”
ราคามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่พูดไม่ออกอย่างรวดเร็ว
คุณค่าของพระพุทธรูปหยกองค์นี้มีค่าคู่ควรกับเงินจำนวนนี้ และคุณภาพของหยกเช่นนี้นั้นหายากมากในโลกปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อยู่แล้ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 150 ล้านหยวน!”
เพิ่มราคา 35 ล้านด้วยการขานครั้งเดียว!
ทุกคนสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง!
พวกเขาพบว่าชายหนุ่มหมายเลข 31 กำลังใช้เงินราวกับว่ามันเป็นแค่เศษกระดาษ!
ต้องรู้ว่าเงิน 150 ล้านนั้นเพียงพอที่จะซื้อบริษัทขนาดเล็กได้หลายบริษัท!
ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่หยุดประมูล แต่ก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งที่ยังไม่เต็มใจจะยอมแพ้อยู่ และขานราคาสู้อย่างอีกครั้ง
“สุภาพบุรุษหมายเลข 14 เสนอราคา 155 ล้าน!”
ทุกคนไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้มันเป็นการแข่งขันของมหาเศรษฐีตัวจริง!
บางคนที่เพิกเฉยต่ออวี้ฮ่าวหรานก่อนหน้านี้ ตอนนี้รู้สึกเสียดายโอกาสของตัวเองเป็นอย่างมาก ทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีโอกาสพวกเขาถึงโง่ไม่ยอมผูกมิตรกับมหาเศรษฐีอายุน้อยคนนี้??
คนที่สามารถใช้เงินซื้อของประดับบ้านมูลค่า 150 ล้านได้นั้น พวกเขาเทียบไม่ได้เลย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นว่ายังมีคนพยายามจะสู้ราคาอยู่ เขาก็ยกยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายสู้ราคาอีกรอบ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะได้พระพุทธรูปหยกองค์นี้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 200 ล้าน!”
ราคานี้แม้แต่พิธีกรบนเวทียังตกใจ!
พระเจ้า!
เขาไม่เคยเห็นการขานราคาสู้ที่บ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!
ตามปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะซื้อราคากันทีละล้านสองล้าน แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเพิ่มราคาขึ้นมาทีเดียวถึง 45 ล้าน!
เศรษฐีผู้ที่เคยคิดจะสู้ราคากับอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินราคานี้เขาถอนหายใจก่อนที่จะโบกมือยอมแพ้ราคาไปในที่สุด
ในขณะนี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องประมูลต่างมองไปที่ชายหนุ่มหมายเลข 31 โดยพยายามเดากันว่าชายหนุ่มคนนี้มีที่มายังไง ทำไมถึงได้กล้าใช้เงินมากขนาดนี้?