บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
“ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมออกไปแต่โดยดี ดังนั้นพวกเราจึงต้องใช้กำลังเพื่อบังคับให้เขาออกไป”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของเขาเอง หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงไม่กล้าที่จะพูดจาแต่งเติมเรื่องแม้แต่น้อย เขาพูดเฉพาะในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นและได้ยินมา
ในเวลานี้เฉียนเซา เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงแรมออกมาแล้ว เขาก็มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมในทันที
“ใช่ ๆ! ไอ้ยาจกตัวนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ ๆ มันก็ทำร้ายเพื่อนของผมโดยที่พวกผมยังไม่ได้ทันทำอะไรมันก่อนเลย และโดยเฉพาะคำพูดคำจาของมันเย่อหยิ่งมากราวกับไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ท่านประธานควรจะไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้และประกาศห้ามให้เขามาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต!”
สีหน้าของเขาตื่นเต้นมากในขณะที่เขาพูด
คิดจะสู้กับเขางั้นเหรอ?
ในแวดวงชนชั้นสูงมีแต่คนรู้จักเขาเยอะแยะไปหมด คนจน ๆ คนหนึ่งจะมาสู้กับเขาได้ยังไง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลินป๋อเพิกเฉยต่อคำพูดของคนอื่น ๆ และหันไปหาเจ้าของโรงแรม
“ประธานเจ่า ชายหนุ่มคนนี้ไงที่วันนี้ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง เขามีความสามารถอย่างมาก แถมยังสามารถบริหารจัดการบริษัทใหญ่ยักษ์ด้วยตัวของเขาเองแค่คนเดียว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม โดยไม่ได้ใส่ใจกับพวกบอดี้การ์ดของเขาหรือเฉียนเซาเลยแม้แต่น้อย
“อืม ช่างคนเป็นคนหนุ่มอายุน้อยที่น่าประทับใจจริง ๆ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาบ้างก่อนหน้านี้ แต่ไม่นึกเลยว่าตัวจริงจะดูดุดันมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก คนแก่อย่างฉันเทียบไม่ได้เลยจริง ๆ ฮ่า ๆ”
หลังจากพูดจบ ชายชราโบกมือให้บอดี้การ์ดของเขา
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่ารบกวนแขกผู้มีเกียรติของฉัน”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดอึ้งไปในทันที ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“ท…ท่านประธาน แต่ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เริ่มสร้างปัญหาก่อน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านสั่งกับพวกเราหรอกเหรอว่าเราต้องจัดการพวกที่สร้างปัญหาให้กับเราอย่างเด็ดขาด?”
“นายแน่ใจเหรอว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนสร้างปัญหาก่อน? นายเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า? สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้ดูสุภาพที่สุดแล้ว!”
ชายชราผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ประธานเจ่า’ เมื่อได้ยินคำถามของลูกน้องตัวเอง เขาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรอบตัวเขาตกตะลึง
ที่พวกเขาตกตะลึงกันมากเป็นเพราะหนุ่มน้อยที่ประธานเจ่าบอกว่าเป็นคนสุภาพกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ในตอนนี้!
คนสุภาพแบบไหนที่เหยียบหน้าคนอื่นแบบนี้กัน???
ในเวลานี้ หลินป๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอารมณ์ดี
“ฮ่า ๆ น้องอวี้ นายรีบยกเท้าออกก่อนเถอะ นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อครู่นี้ นายก้าวพลาดจนตอนนี้กำลังเหยียบอยู่บนหน้าคนอื่นอยู่?”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูด เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
“โอ้ จริงด้วย โทษทีเมื่อกี้ไม่ทันมอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้คนที่เขากำลังเหยียบหน้าอยู่แล้วค่อยถอนเท้ากลับ
ทุกคนตกตะลึงมากกว่าเดิมกับบทสนทนานี้!
ก้าวพลาดจนเหยียบหน้าคนอื่น? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน!?
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเมื่อกี้ไอ้หนุ่มนี่มันถีบคนอื่นก่อน แล้วจากนั้นก็เหยียบหน้าอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ!
ข้ออ้างแบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่สนใจการแสดงออกของทุกคนรอบ ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงแสดงทัศนคติที่เป็นมิตรต่ออวี้ฮ่าวหรานต่อไป
“ฮ่า ๆ นายเห็นแล้วหรือยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้องชายของฉันคนนี้หรอกที่สร้างปัญหา แต่เนื่องผู้คนที่นี่แออัดมาก ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการพลาดเหยียบกันขึ้น!”
เขายืนยันและจ้องไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยแววตาบอกเป็นนัยให้คล้อยตาม
หัวหน้าบอดี้การ์ดเห็นสิ่งนี้และเข้าใจในทันที
“อ…เอ่อ…ครับท่านประธาน! เมื่อครู่มันอาจจะเป็นผมเองที่ได้ยินผิดไป น้องชายคนนี้น่าจะไม่ได้สร้างปัญหาจริง ๆ มันน่าจะมีแค่ไอ้สองคนนี้ที่พยายามจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตเพื่อก่อกวนโรงแรมของเรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะโยนตัวปัญหาสองคนนี้ออกไปจากโรมแรมของเราทันทีครับท่าน!”
เขาเปลี่ยนทัศนคติทันที
ขณะพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ อย่างตกตะลึง
เขาพยายามเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?
ต้องรู้ว่าประธานของเขาเป็นคนที่เข้มงวดกับกฏระเบียบมากเสมอ ไม่มีสักครั้งเลยที่ประธานของเขาจะพูดละเว้นใครแบบนี้!
ทางด้านของฝูงชนเมื่อได้ยินคำพูดของประธานเจ่า พวกเขาก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม!
แออัดจนพลาดเหยียบหน้ากันเนี่ยนะ!? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน??
อ้างแบบนี้ก็ได้เหรอ?!
คนปัญญาอ่อนยังรับรู้ได้ว่านี่มันคือการแก้ตัวให้กันอย่างน่าไม่อายชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคำพูดนี้มันถูกเอ่ยออกมาจากปากของเจ้าของโรงแรม พวกเขาจะสามารถโต้แย้งอะไรได้?
หลังจากเห็นสถานการณ์ที่าพลิกผันขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบพลางมองคู่หนุ่มสาวอย่างสงสัย
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมประธานเจ่าถึงพูดช่วยเขาขนาดนี้?”
“นี่มันเป็นการช่วยแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยสักนิด!”
“พระเจ้า ชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ พวกเรารีบไปยืนกันตรงอื่นดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหางเลขเอาได้ เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดช่วยเฉียนเซาไปด้วย!”
“…”
มีการพูดคุยกันมากมายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่หนุ่มสาวซึ่งก็คืออวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋ออีกแล้ว
ล้อเล่นเถอะ ขนาดเจ้าของโรงแรมยังออกโรงพูดช่วยขนาดนี้ ต้องโง่ขนาดไหนถึงยังจะกล้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคู่หนุ่มสาวคู่นี้อีก?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นความบิดเบี้ยวนี้ เฉียนเซาก็โมโหจนแทบหัวระเบิด
“ไม่…นี่มันไม่ถูกต้อง! เมื่อกี้ไอ้เวรนี่มันตีเพื่อนของผมก่อนชัด ๆ! ทำไมคุณกลับพูดจาเข้าข้างมันแบบนี้ ผมไม่ยอม!”
เฉียนเซายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และความโมโหทำให้กระบวนการคิดของตัวเองสับสนไปหมดจนกล้าพูดเถียงคนที่เป็นถึงเจ้าของโรงแรมที่เขากำลังยืนอยู่!
แน่นอนว่าชายสองคนที่นอนอยู่ที่พื้นนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งกว่า
“พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาก่อนสักหน่อย! พวกเราถูกทำร้ายก่อนชัด ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เห็นเต็มสองตา!”
นี่มันบ้าอะไรกัน!
นี่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ากลับขาวเป็นดำใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สายตาของชายชรา หัวหน้าบอดี้การ์ดและลูกน้องกระโจนเข้าหาทั้งสองคนทันที!
“พวกคุณทั้งสองคนยังกล้าสร้างปัญหาในโรงแรมของเราอีกงั้นเหรอ! ได้! ในเมื่อเตือนกันแล้วไม่ฟังแบบนี้ถ้างั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ!”
หลังจากพูดจบ บอดี้การ์ดสี่คนก็รวมตัวกันและลากทั้งสองคนออกไป
“ไม่…ไม่…เราบริสุทธิ์!”
ระหว่างโดนลากชายทั้งสองคนยังคงตะโกนเรียกร้องความบริสุทธิ์ของตัวเองเสียงดังลั่น
นี่พวกเขาพลาดไปยั่วยุตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่? นอกจากพวกเขาจะโดนอัดแบบฟรี ๆ แล้วตอนนี้ยังต้องโดนลากออกจากงานประมูลด้วยเนี่ยนะ?
ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่ได้มองทั้งสองคนที่ถูกลากออกไปเลย แต่เขากลับมองไปที่เฉียนเซาด้วยแววตาจริงจัง
“คุณยังอยากจะพูดอะไรต่อไหมกับการตัดสินใจของฉัน? หรือว่าคุณไม่พอใจอะไรตรงไหนหรือเปล่า?”
คำถามที่เย็นชานี้ทำให้หัวใจของเฉียนเซาเต้นผิดจังหวะ
ฉันจะบอกไปว่าไม่พอใจได้ยังไง?!
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย ทรัพย์สินของชายชราผู้นี้รวยกว่าครอบครัวของเขามาก แม้ว่าพ่อของเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่สามารถเถียงชายชราคนนี้ได้!
หากตัวเองทำให้ชายชราคนนี้โกรธเคือง เมื่อเขากลับไปก็คงจะโดนพ่อถลกหนังเป็นแน่
“ผ…ผมพอใจแล้ว”
เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“ฮ่า ๆ เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่า น้องอวี้ของฉันไม่เคยคิดที่จะสร้างปัญหาให้กับใคร นี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
หลินป๋อหัวเราะเมื่อเรื่องนี้ได้รับการจัดการตามที่เขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะนี้ทำให้เฉียนเซารู้สึกเศร้าใจ
นี่มันเป็นการกลับขาวให้เป็นดำไม่ใช่หรือไง?
เห็นกันชัด ๆ ว่าเพื่อนของเขาถูกทำร้ายก่อน แต่ในท้ายที่สุดเพื่อนของเขากลับถูกลากออกไปซะงั้น
แถมอีกฝ่ายยังบังคับให้เขายอมรับว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดอีกต่างหาก…
บัดซบเอ๊ย!
ในขณะนี้ แม้แต่ซูหว่านเอ๋อที่ตอนแรกตื่นตระหนกก็ยังตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นฉากบังคับให้เข้าใจผิดแบบนี้มาก่อน
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในเวลานี้ ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ นี่แหละคือประโยชน์ของการมีอิทธิพล!”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างสบาย ๆ
ตราบใดที่มีอำนาจมีพลัง เขาก็สามารถบังคับให้ใครก็ได้พูดว่าสีดำเป็นสีขาว และคนพวกนั้นก็จำเป็นต้องเชื่อว่ามันสีขาวอย่างไม่อาจเถียงได้
หลังจากที่เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว หลินป๋อก็เข้ามาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้างน้องอวี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูนายสบายดีนะใช่ไหม?”
ในขณะนี้ สีหน้าของหลินป๋อดูปกติอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการบังคับและอ้างเหตุผลว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ
บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก
บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก
ราคาสามสิบล้านมันเกินมูลค่าของกระถางธูปหยกนี้มากเกินไปจนผู้คนไม่กล้าประมูลต่ออีก
ในไม่ช้า รายการประมูลนี้ก็สรุปผล
“หว่านเอ๋อร์ เดี๋ยวหลานเอาของชิ้นนี้กลับไปเก็บในห้องเก็บสมบัติของหลานได้เลย คิดซะว่าลุงมอบให้เป็นของขวัญในฐานะที่หลานทำตัวเป็นเด็กดีมาโดยตลอด”
หลังจากรับกระถางธูปมาแล้ว หลินป๋อก็หันศีรษะไปพูดกับซูหว่านเอ๋อ อย่างอ่อนโยน
“แต่…แต่…”
ซูหว่านเอ๋อลังเลมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอต้องการปฏิเสธ แต่เธอก็อยากได้กระถางธูปนี้มากจริง ๆ
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุงหลินบอกให้หลานรับไว้ก็รับเอาไว้เถอะ ก่อนหน้านี้ที่พ่อของหลานบังคับให้หลานแต่งงาน ลุงก็มัวแต่ติดธุระที่ต่างประเทศไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรจนไม่ได้ช่วยหลาน ไม่งั้นพ่อของหลานคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นแน่ เอาเป็นว่านี่ถือว่าเป็นการขอไถ่โทษจากลุงก็แล้วกัน”
หลินป๋อหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเธอแสดงสีหน้าชวนน่าเอ็นดู
เขาเอ็นดูซูหว่านเอ๋อมาตลอด ตอนนี้อายุเขาก็ปาเข้าไปถึงเลขสี่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีบุตรหลาน ดังนั้นเขาจึงมองซูหว่านเอ๋อเป็นเหมือนกับบุตรหลานแท้ ๆ ของเขาเอง
ก่อนหน้านี้เมื่อเขากลับมาจากการเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศและได้รู้ว่าตระกูลซูทำอะไรลงไป เขาก็รีบตรงดิ่งไปที่บ้านตระกูลซูเพื่อตำหนิ ซูกว่างไห่อย่างรุนแรงภายในคืนที่กลับมาทันที
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ซูกว่างไห่ตกตะลึงมากที่ลูกสาวของเขารู้จักคนที่มีอำนาจขนาดนี้
และเมื่อรวมกับการกระทำก่อนหน้านี้ของอวี้ฮ่าวหราน ตระกูลซูก็ยิ่งไม่กล้าโต้แย้งอะไรเลย
หลังจากการประมูลของชิ้นแรกจบไป ของชิ้นที่สองก็ถูกนำขึ้นมาประมูลอย่างรวดเร็ว มันเป็นแจกันลายคราม แต่ไม่ใช่แบบที่ซูหว่านเอ๋อชอบ
อวี้ฮ่าวหราน ใช้เนตรเทวะตรวจสอบตามปกติ ซึ่งมันก็เช่นเดิมกับชิ้นที่แล้ว เขาไม่เห็นพลังวิญญาณใด ๆ แฝงอยู่ในแจกันที่นำขึ้นมาประมูลเป็นชิ้นที่สอง
เขารู้สึกผิดหวังในใจนิดหน่อย
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งด่วน ชายวัยกลางคนที่เขาฆ่าตายไปเมื่อล่าสุดเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานแถมยังแต่งตัวแปลก ๆ และมีสำเนียงพูดที่แปลก ๆ ราวกับหลุดมาจากยุคเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งจากองค์ประกอบทั้งหมดมันมีความเป็นไปได้สูงมากที่อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักบ่มเพาะที่แอบซ่อนอยู่ในโลกนี้ และนั่นหมายความว่าหลังจากนี้เขาจะต้องรับมือกับพวกผู้บ่มเพาะของจริง ไม่ใช่พวกนักเลงธรรมดา ๆ กระจอก ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ในไม่ช้าการประมูลโบราณวัตถุชิ้นที่สองก็จบลงและถูกยกออกไป โบราณวัตถุชิ้นที่สองถูกเฉียนเซาซื้อไปด้วยราคากว่าสิบสามล้าน
แน่นอนว่าหลังจากได้ของมา เฉียนเซาก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาดูถูก อวี้ฮ่าวหรานราวกับว่าเขาเป็นเศรษฐีที่อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่ามาที่นี่เพื่ออะไร
หลังจากนั้นไม่นาน ของประมูลชิ้นที่สามก็ถูกนำมาวาง ซึ่งก็คือภาพวาดโบราณ
สำหรับของชิ้นนี้ อวี้ฮ่าวหรานไม่มีความจำเป็นต้องใช้เนตรเทวะมองดูมันด้วยซ้ำ ภาพวาดบนผืนกระดาษแบบนี้ตามปกติแล้วมันไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานมากนัก ดังนั้นภาพที่ยังดูสมบูรณ์ขนาดนี้อย่างมากที่สุดก็มีอายุแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น
ของที่มีอายุแค่หลักร้อยปีตามปกติแล้วมันย่อมไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่แน่นอน
และรายการประมูลนี้ก็ยังไปอยู่ในมือของเฉียนเซาเช่นเดิม
เขาภูมิใจมากกับการซื้อของอวดชาวบ้านแบบนี้
“หึหึ ต่อให้มันรู้จักกับประธานเจ่าแล้วยังไง? ท้ายที่สุดคนที่รวยกว่าอย่างฉันก็ได้เปรียบ!”
เสียงของเขาดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก
“ใช่ คนจน ๆ แบบนั้นจะมีคุณสมบัติที่จะเทียบกับคุณได้อย่างไร”
“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะบอดี้การ์ดที่นี่เข้มงวดมาก ผมคงสั่งให้คนของผมเข้ามาลากไอ้เวรนั่นออกไปกระทืบให้คุณเฉียนไปแล้ว!”
ที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งของเฉียนเซามีนายน้อยรุ่นที่สองจากตระกูลร่ำรวยหลายคนนั่งขนาบด้วยสีหน้าประจบแจง
เมื่อไหร่ที่พวกเขารวมตัวกัน พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดเสมอ
“ฮึ่ม! ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปล่อยมันไปแน่ หลังจากที่มันออกจากโรงแรมนี้ไป!”
ใบหน้าของเฉียนเซาเต็มไปด้วยความอาฆาต เขามองไปที่อวี้ฮ่าวหราน เป็นระยะ ๆ พลางกัดฟันกรอด
“…”
หลังจากนั้นไม่นานนักของชิ้นที่สี่ก็ถูกนำมาตั้งบนเวที มันคือโต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์สมัยราชวงศ์หมิงที่มีกระจกทองเหลืองบานใหญ่ถูกติดตั้งอยู่ด้านบน สภาพของมันสมบูรณ์เป็นอย่างมากจนทำให้ความวิจิตรงดงามของมันไม่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาเลย
ราคาเริ่มต้นของรายการประมูลนี้คือห้าล้าน!
เมื่อเห็นรายการนี้ ดวงตาของซูหว่านเอ๋อก็เปล่งประกายอีกครั้ง และเธอก็เสนอราคาทันที
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 8 ล้าน!”
เธอขึ้นราคาสามล้านเต็มในครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจแน่วแน่มากที่จะได้มันมา
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสีหน้าและท่าทางของซูหว่านเอ๋อในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอดูจริงจังแน่วแน่ไม่ยอมใคร ไม่เหมือนกับตามปกติที่แทบไม่กล้าเอ่ยปากปฏิเสธคนทั้งโลก
ผู้หญิงคนนี้ชอบพวกของโบราณมากจริง ๆ
ในไม่ช้าราคาก็พุ่งขึ้นไปถึงสิบสามล้าน แต่ซูหว่านเอ๋อก็ยังไม่ลดละง่าย ๆ
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 16 ล้าน!”
การเพิ่มราคาขึ้นอีกสามล้านครั้งนี้ ทำให้ทุกคนในห้องประมูลตกตะลึงเล็กน้อย และทุกคนก็มองมายังหญิงสาวที่กำลังแสดงแน่วแน่มากในขณะนี้
สุดท้ายก็ไม่มีใครสู้ราคาต่ออีก เพราะในความคิดของทุกคน มูลค่าของโบราณวัตถุชิ้นนี้คงไม่เกินสิบหกล้านแน่นอน
ดังนั้นซูหว่านเอ๋อจึงได้โบราณวัตถุชิ้นนี้ไปตามที่เธอปรารถนา ดวงตาสีดำของเธอโค้งเป็นเสี้ยว เธอดูมีความสุขมากจริง ๆ
จากนั้นภาพวาดโบราณอีกชิ้นถูกซื้ออีกครั้งโดยเฉียนเซาด้วยราคายี่สิบสามล้าน
ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานยังไม่เคลื่อนไหว
“ดูสิ คุณเฉียนเซา ไอ้คนจนคนนั้นมันไม่กล้าซื้ออะไรสักอย่างเลย น่าสมเพชจริง ๆ คนจนอย่างมันมาทำที่นี่เพื่อมาทำให้ตัวเองขายขี้หน้ารึไง?”
“ใช่แล้ว ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวตัวเองบ้างเลย สถานที่แบบนี้คนจน ๆ อย่างมันเหมาะที่จะมาเหยียบที่ไหนกัน?”
“…”
ในเวลานี้ เฉียนเซาเหลือบมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาดูถูกสุดขีด
“ไอ้คนจน ๆ แบบนี้จะมาเทียบบิดาผู้นี้ได้ยังไง!”
ในสายตาของเขา แม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะรู้จักกับคนใหญ่คนโต เขาก็ยังอยู่สูงกว่าเพราะเขาคือคนที่มีเงินมากกว่า!
ของชิ้นถัดมาถูกนำขึ้นมาวางอย่างรวดเร็วเช่นเดิม แต่คราวนี้แววตาของ อวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
มันคือพระพุทธรูปหยกโบราณที่ดูเก่าแก่มาก พระพุทธรูปหยกนี้มีความสูงประมาณยี่สิบเซนติเมตร และรูปร่างขององค์พระพุทธรูปก็บอบบางมาก!
แค่เพียงหลือบมองแวบเดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ต่างออกไปจากโบราณวัตถุก่อนหน้านี้ที่ถูกนำขึ้นมาประมูล!
ด้วยทักษะเนตรเทวะ อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นได้อย่างชัดเจน!
พระพุทธรูปองค์นี้มีพลังวิญญาณแฝงอยู่อย่างหนาแน่น!
ความหนาแน่นของพลังวิญญาณนั้นมีมากกว่าสองเท่าของจี้หยกที่เขาได้รับมาก่อนด้วยซ้ำ!
มันเป็นของโบราณที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมา!
“พระพุทธรูปหยกองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง และการแกะสลักพื้นผิวของตัวองค์พระพุทธรูปก็ละเอียดละออมาก แม้แต่เทคโนโลยีการแกะสลักในปัจจุบันนี้ก็ยังบรรลุถึงระดับนี้ได้ยาก และที่น่ายกย่องที่สุดคือคุณภาพของหยกที่ใช้ในการแกะสลัก หยกนี้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง! พระพุทธรูปหยกองค์นี้จึงนับได้ว่าเป็นสมบัติที่…”
หลังจากการแนะนำอย่างยิ่งใหญ่จากพิธีกร หลายคนในห้องประมูลก็มองไปที่พระพุทธรูปด้วยดวงตาเป็นประกาย
อย่างไรก็ตาม ราคาเริ่มต้นของพระพุทธรูปหยกองค์นี้ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ถึงกับผงะ
“พระพุทธรูปหยกสมัยราชวงศ์ถังองค์นี้ ราคาเปิดประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 55 ล้าน!”