บทที่ 332 กล้าแต่โง่
บทที่ 332 กล้าแต่โง่
ในที่สุดคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็มาถึง และทันทีที่เห็นว่ามีคนมาช่วยแล้ว เฉียนเซาก็มีแรงใจจนสามารถลุกขึ้นได้และวิ่งไปหากลุ่มคนของแก๊งวาฬยักษ์ที่เพิ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าสาขาสวี!! ในที่สุดคุณก็มา ไอ้เวรนี่ไงที่ผมอยากให้คุณช่วยจัดการให้ มันโคตรหยิ่งผยองเลย ช่วยจัดการมันให้ผมที!!”
เฉียนเซาหันศีรษะและชี้ไปที่อวี้ฮ่าวหราน ซึ่งอยู่ไม่ไกลด้วยความโกรธ
ชายหัวล้านรู้สึกรำคาญใจสุด ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาเป็นหัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ชื่อ สวีเปียว
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียนเซามักจะให้ผลประโยชน์แก่เขา เขาก็คงไม่ใส่ใจกับไอ้ขยะอ้วนนี่หรอก
“เออ! เดี๋ยวฉันช่วยเอง! เด็ก ๆ! ไปสอนไอ้เวรนั่นให้รู้ว่าความแข็งแกร่งคืออะไร!”
เขาตะโกนอย่างสบาย ๆ และปล่อยให้ลูกน้องทั้งหมดที่อยู่ข้างหลังเขาจัดการเรื่องนี้แทน
สวีเปียว เป็นคนที่หยิ่งผยองมาก เขาคือปรมาจารย์พลังภายใน หากเขารู้สึกว่าคู่ต่อสู้ไม่คู่ควรให้เขาลงมือเขาจะไม่มีวันเปลืองแรงลงมือเองเด็ดขาด ซึ่งชายหนุ่มตรงหน้าเขานั้นดูมีอายุยี่สิบต้น ๆ ที่ไม่มีพิษสงอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางลงมือเองให้เปลืองแรง
ส่วนเฉียนเซานั้น เมื่อเห็นสิ่งนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากจนอยากจะกระโดดโลดเต้น
ด้วยจำนวนคนของแก๊งวาฬยักษ์มากขนาดนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งแค่ไหนฝั่งของเขาก็ชนะแน่!
ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในคนที่มาคือหัวหน้าสาขาเชียวนะ!
“ไอ้ลูกหมากล้าสู้กับฉันคนนี้แกตายแน่!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างภาคภูมิใจ
ในขณะเดียวกัน สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ก็ค่อย ๆ ตีวงล้อมเข้าหาอวี้ฮ่าวหราน ด้วยสีหน้าน่ากลัวซึ่งถ้าคนธรรมดาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้คงกลัวจนฉี่ราดแล้วแน่ ๆ
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานที่เผชิญกับเหตุการณ์นี้ การแสดงออกของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย อีกทั้งยังยิ้มเยาะอีกฝ่ายด้วย
“เหอะ ๆ แค่มดแมลงอีกฝูงหนึ่งก็แค่นั้น”
เขาจ้องมองอย่างเยาะเย้ย
“แกพูดถึงใครว่าเป็นมดแมลง!”
“แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
เมื่อเห็นท่าทีหยิ่งผยองของอวี้ฮ่าวหราน พวกแก๊งวาฬยักษ์ต่างก็ตะโกนอย่างหงุดหงิด
แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าขณะนี้หัวหน้าสาขาของพวกเขาที่ได้เห็นหน้าชัด ๆ ของอวี้ฮ่าวหรานแล้ว กำลังหน้าซีดเหมือนเป็นไก่ต้ม!
จากสีหน้าที่เย่อหยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกภายในพริบตา!
หลังจากล้มเหลวในการซุ่มโจมตีหวังเหยียนในคืนนั้น เขาก็ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในผับอย่างละเอียดหลังจากนั้น
แม้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดส่วนใหญ่จะถูกทำลายไปแล้ว แต่มันยังมีบางส่วนที่สามารถกู้คืนมาได้ซึ่งมันเป็นภาพที่เห็นหน้าของคนของผู้ที่ฆ่าคนของแก๊งวาฬยักษ์นับร้อยและหัวหน้าสาขาทั้งสี่อย่างชัดเจน!
คนผู้นั้นฆ่าคนของแก๊งเดียวกันกับเขานับร้อยง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!
“น…นายคืออวี้ฮ่าวหราน!!”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และเม็ดเหงื่อจำนวนมากก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน!
ความกลัวกัดกินใจของเขาถึงขีดสุดในทันที!
คน ๆ นี้มันคือดาวหายนะคนนั้น!
ชิบหายแล้วไง!
นี่เขาพาคนมาที่นี่เพื่ออะไร? นี่ฉันกำลังรนหาที่ตายอยู่ชัด ๆ เลย!
อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าสวีเปียวคิดอะไรอยู่ พวกเขาแค่เห็นสีหน้าของลูกพี่ตัวเองจู่ ๆ ก็แข็งทื่อและจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกอย่างหนัก และจู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้หยุด!
“ลูกพี่? เป็นอะไรไปงั้นเหรอ?”
“ลูกพี่เราควรรีบฆ่าไอ้เวรนี่ก่อนที่จะมีรถผ่านมา ส่วนรถสปอร์ตของมันหากเราเอาไปขายคงได้เงินเยอะแยะเลยทีเดียว แถมไอ้พวกลูกคนรวยพวกนี้บอกว่าในรถสปอร์ตนั่นมีผู้หญิงสวยมาก ๆ อยู่ด้วย หลังจากจบเรื่องนี้พวกเราอาจได้ของเล่นเพิ่มมาอีกชิ้น!”
หนึ่งในลูกน้องของสวีเปียวพยายามจ้องมองเข้าไปในรถของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตั้งใจ แต่ด้วยฟิลม์กระจกที่ดำมืดเขาจึงเห็นแค่ลาง ๆ ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะสวยมาก ๆ นั่งอยู่ในรถ
แน่นอนว่านักเลงพวกนี้ชอบเล่นสนุกกับผู้หญิงสวย ๆ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้พวกเขาจะยอมปล่อยซูหว่านเอ๋อไปง่าย ๆ
อย่างไรก็ตาม สวีเปียวยิ่งแสดงสีหน้าตื่นตระหนกมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินลูกน้องของตัวเองเอ่ยขึ้นว่าจะเล่นสนุกกับผู้หญิงของดาวหายนะตรงหน้าเสียงดัง
“ก…แก!! หุบปากไปเดี๋ยวนี้!!”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกน้องตัวเอง เขาทั้งตกใจและโกรธ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ทางด้านของเฉียนเซาที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไร และยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวีเปียว เขาจึงพูดยุยงอีกรอบ
“หัวหน้าสาขาสวี อีกฝ่ายเป็นแค่คนรวยที่ไร้พิษสง…ด้วยความแข็งแกร่งของคุณ คุณสามารถจัดการกับไอ้เวรนี่ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว แต่ก่อนที่คุณจะฆ่ามันผมขอให้คุณช่วยลากมันมาให้ผมกระทืบก่อนสักรอบเถอะ ผมแค้นมันมาก ผมอยากจะทำให้มันเจ็บที่สุดก่อนที่มันจะตาย!”
“หุบปาก!!”
‘ผลั่ก!’
สวีเปียวไม่สามารถเก็บอารมณ์ของตัวเองได้อีกแล้ว เขาเตะไปที่ท้องของเฉียนเซาอย่างแรงจนกลิ้งหลุน ๆ ไปด้านข้าง!
เมื่อได้ยินเฉียนเซาพูดพล่อย ๆ แบบนี้ เขาจึงโกรธจัดจนระเบิดอารมณ์
“นี่…นี่แกจะฆ่าฉันเหรอไง!?”
ด้วยความเดือดดาลและอับอายหลังจากถูกเตะอย่างแรง เมื่อยันตัวขึ้นลุกนั่งได้ เฉียนเซาก็สบถใส่สวีเปียวเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เขาเรียกมาให้ช่วยตัวเองกลับมาเตะเขาจนกลิ้งแบบนี้!
“ฉันเรียกแกมาให้แกฆ่าไอ้ขยะนั่น แต่ทำไมแกถึงทำกับฉัน…”
“ถ้าแกกล้าพูดอีกประโยคเดียวฉันจะฆ่าแกทิ้ง!!”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดล่าสุดของเฉียนเซา!
ไอ้นี่มันพยายามจะลากฉันลงนรกไปด้วยชัด ๆ!
คนที่แข็งแกร่งขนาดฆ่าคนนับร้อยและหัวหน้าสาขาอีกสี่คนได้ราวกับพลิกฝ่ามือ ฉันจะสู้กับอีกฝ่ายได้ยังไง??
ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้เหนือกว่าพวกหัวหน้าสาขาสี่คนนั่นที่ตายไปด้วยซ้ำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเลยถ้าขืนเขากระโจนเข้าไปหาชายคนนี้!
การที่เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเขาอาศัยแต่ความแข็งแกร่งของตัวเองปะทะกับทุกอย่างในโลกเหมือนพวกกระทิงโง่ แต่เขามักจะใช้ลูกน้องที่ไร้สมองของตัวเองพุ่งเข้าไปหาความตายก่อนจากนั้นเขาถึงค่อยอ้างผลงานทั้งหมดเป็นของตัวเอง หรือถ้าเห็นว่าสู้ไม่ได้จริง ๆ เขาก็แค่ขอยอมแพ้!
ลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้โว้ย!
“พ…พี่ชายไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายหัวล้านร่างกำยำที่มีส่วนสูงเกิน 1.8 เมตร ก็คุกเข่าลงทันที!
‘ผลั่ก!’
ด้วยเสียงคุกเข่าลง บรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ที่เหลือต่างตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ!
ปากของพวกเขาเปิดกว้าง และตาของพวกเขาแทบถลนออกมาเบ้า!
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกพี่ของตัวเองจู่ ๆ ก็คุกเข่าลงอ้อนวอนอีกฝ่ายแบบนี้!
“ล…ลูกพี่…นี่มัน…”
ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังพูดไม่ออก
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกพี่ของเขาถึงคุกเข่าลง?
แต่ด้วยฐานะสมาชิกระดับรากหญ้า เขาจึงไม่มีข้อมูลว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามน่ากลัวขนาดไหน!
“พวกแกทั้งหมดห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด!”
สวีเปียวรู้ดีว่ามันน่าละอายที่คุกเข่าให้กับฝ่ายตรงข้ามต่อหน้าลูกน้องของเขาแบบนี้ แต่อีกฝั่งหนึ่งเป็นใครกันล่ะ?
เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่สามารถฆ่าคนนับร้อยได้ง่าย ๆ ศักดิ์ศรีมันจะมีค่าอะไรอีก?
“พ…พี่อวี้! ครั้งนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นพี่ที่อยู่ที่นี่ ผมขอร้องพี่โปรดช่วยคิดซะว่าผมแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้นจะได้ไหม? และถ้าพี่ไม่ว่าอะไรผมจะพาคนของผมจากไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ บรรดาลูกน้องของสวีเปียวที่อยู่รอบ ๆ ต่างแสดงสีหน้าโง่งม
พวกเขาไม่เคยเห็นลูกพี่ตัวเองทำอะไรที่มันน่าละอายมากขนาดนี้เลย
นี่ลูกพี่ของพวกเขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ ถึงได้คุกเข่าลงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่’ แล้วขอความเมตตาเพื่อที่จะได้จากไปแบบนี้
เมื่อเห็นฉากนี้ หนึ่งในลูกน้องที่ไม่เข้าใจ แถมกลับมีความคิดอยากสร้างผลงานไต่เต้าตำแหน่งในแก๊งจนไม่ดูสถานการณ์ก็ตะโกนขึ้นเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าห้าวหาญ
“ลูกพี่! ไอ้นี่มันแค่ขยะ! คุณคุกเข่าให้มันไปทำไม! ลูกพี่คอยดูผมนะ ผมจะฟันคอไอ้เวรนี่ให้หลุดภายในครั้งเดียวให้ลูกพี่ดู!!”
หลังจากพูดจบเขาก็วิ่งปรี่เข้าไปหาอวี้ฮ่าวหราน พร้อมกับเหวี่ยงมีดในมือ!
ขณะนี้เขาคิดถึงแค่โอกาสที่จะได้สร้างผลงานและรู้สึกว่าลูกพี่ของเขาไม่น่าเคารพอีกต่อไปแล้ว หากเขาฆ่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งในแก๊ง และอีกไม่นานเขาจะได้ก้าวข้ามหัวสวีเปียวที่โง่เขลาและขี้ขลาดขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน!!
“บัดซบแล้วไง!”
เมื่อสวีเปียวเห็นภาพนี้ เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาอยากจะพุ่งตัวไปขวางแต่มันก็สายเกินไปแล้ว!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างขบขันทันทีเมื่อเห็นว่ามีมดแมลงตัวหนึ่งที่อยากจะไต่เต้าตำแหน่งในแก๊งเล็ก ๆ ไร้ค่าพุ่งเข้ามาอย่างโง่เขลาราวกับรนหาที่ตาย
“ฮึ่ม! แกมันก็แค่คนที่กำลังจะตาย แกกล้าดียังไงมาทำหน้าทำตาหยิ่งผยองต่อหน้าฉัน แกตายแน่!!”
เมื่ออะดรีนาลีนหลั่งสุดขีดจากความตื่นเต้นที่จะได้สร้างผลงานและจินตนาการที่จะได้เลื่อนตำแหน่งในแก๊ง ลูกน้องของสวีเปียวก็พุ่งเข้าหา อวี้ฮ่าวหรานอย่างดุร้ายและฟันด้วยมีดอย่างโง่เขลา!
เขาภูมิใจในพฤติกรรมของตัวเองมากในตอนนี้ เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายตาย ชื่อเสียงของเขาในแก๊งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในทันใด!
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมไม่มีใครเลยรีบวิ่งตามเขามา และเขาไม่รู้ว่าทำไมสวีเปียวถึงได้หวาดกลัวนัก แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ทันแล้ว เขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะฆ่าอีกฝ่ายให้ได้เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ของตัวเอง!
บทที่ 337 การกลับมาขององค์กรอสรพิษ
บทที่ 337 การกลับมาขององค์กรอสรพิษ
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายและถามขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง? เดือดร้อนเรื่องอะไรบ้างรึเปล่า?”
“ไม่…ไม่มีอะไรอีกแล้ว เรื่องเดียวที่ฉันไม่สบายใจคือการเห็นพ่อของฉันนั่งกังวลอยู่ที่บ้านทุกวันแค่นั้น ฉันขอบคุณคุณมากจริง ๆ”
สวีรุ่ยเอ่ยขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าเขารวย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อเห็นความใหญ่โตของบริษัทของอีกฝ่าย
ที่นี่น่าจะมีคนทำงานเป็นพันคน ซึ่งเมื่อเทียบกับโรงเรียนอนุบาลเธอที่มีคนทำงานยังไม่ถึงยี่สิบคน มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ไม่เป็นไร สำหรับผมเรื่องนี้มันเล็กน้อยมาก ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณที่บ้านเอง พ่อของคุณจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับงานจนถึงช่วงเย็น คุณรอเขาไม่ไหวหรอก”
เมื่อเห็นการขอบคุณที่จริงใจของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยและเริ่มพูด
“ฉ…ฉันกลับเองดีกว่า”
ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธ แต่สีหน้าของเธอกลับดูมีความสุข
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เช้า ๆ แบบนี้ผมไม่มีงานอยู่แล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานไม่พูดอะไรต่ออีก เขาก็เดินไปเปิดประตูออฟฟิศของตัวเองแล้วผายมือเชิญอีกฝ่ายให้ออกไปกับเขา ซึ่งทำให้สวีรุ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินตามออกไป
อวี้ฮ่าวหรานให้อีกฝ่ายไปรอเขาที่หน้าประตูตึกสำนักงาน ส่วนตัวเขานั้นลงไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อขับรถขึ้นมารับ
สวีรุ่ยรออยู่ที่บริเวณแถวหน้าประตูทางเข้าตึก แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแมวร้อง
“หืม? เสียงแมวนี่นา”
จากนั้นจู่ ๆ แมวสีขาวตัวน้อยก็โผล่ออกมาจากกอหญ้าในสวนหน้าตึก
ทันทีที่เธอเห็นแมวน้อยน่ารักตัวนี้ สวีรุ่ยก็ย่อตัวลงไปลูบไล้มัน
แมวสีขาวตัวนี้ไม่กลัวคนเลย หางของมันปัดป่ายไปมาและมันเอาหัวของมันถูมือของสวีรุ่ยอย่างเป็นมิตร
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมาจอดที่หน้าประตูตึก
จากระยะไกล เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สวีรุ่ยกำลังลูบแมวขาวด้วยสีหน้ามีความสุข เขาจึงลงจากรถและเดินเข้าไปถาม
“คุณชอบแมวงั้นเหรอ?”
“ใช่ ฉันอยากเลี้ยงมันมาก่อน แต่พ่อของฉันไม่เคยหางานที่มั่นคงทำได้เลย ดังนั้นฉันเลยไม่กล้าเลี้ยงเพราะกลัวว่ามันจะอดอยาก…”
สวีรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองอวี้ฮ่าวหราน แม้ว่าในใจของเธอจะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่เธอก็พร้อมที่จะจากไป
“ถ้าชอบก็เก็บไว้ แมวตัวนี้มันคือแมวจรจัดที่ชอบแอบเข้ามาในบริษัท”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ
“หืม? ฉัน…ฉันเลี้ยงมันได้งั้นเหรอ?”
สวีรุ่ยไม่แน่ใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“แน่นอน ตอนนี้พ่อของคุณมีงานที่มั่นคงทำแล้ว ดังนั้นอนาคตของคุณมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แค่เลี้ยงแมวตัวเดียวไม่มีปัญหาหรอก!”
หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานพูดให้ความมั่นใจ สวีรุ่ยก็ก้มลงอุ้มแมวขึ้นมาด้วยสีหน้าเบิกบาน
จากนั้นทั้งสองก็ออกจากบริษัทไป
…
อีกด้านหนึ่ง ภายในบริษัทชิวเฮิง
บรรยากาศในชั้นบนสุดของบริษัทเวลานี้มีบางอย่างผิดปกติ!
ทั้งชั้นเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ!
อย่างไรก็ตาม หากมองดี ๆ พนักงานทุกคนในชั้นนี้ต่างผล็อยหลับกันทุกคนโดยไม่ทราบสาเหตุ!
ภายในห้องประธานบริษัท
“พ…พวกนายกล้าบุกเข้ามาที่นี่ได้ยังไง!?”
เฉิงกัวอันมองดูสามคนข้างหน้าเขาด้วยความโกรธ
“น่าตลกสิ้นดี! แกคิดว่าแกเป็นใคร? ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนั้นปกป้องแก สาขาของเราในเมืองนี้ก็สามารถลบแกออกไปจากโลกได้อย่างง่ายดาย!”
ชายร่างผอมราวกับกิ่งไม้เอ่ยขึ้นอย่างถากถาง
ชายใส่สูทดำทั้งสามคนยืนขวางอยู่ที่ประตูห้อง กลิ่นอายที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นพิษ
“อสรพิษเงิน! ฉันรู้ว่าแกไม่พอใจกับการที่ฉันถอนตัวออกมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ฉันเองก็ทำลายจุดตันเถียนของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ทำไมแกถึงยังตามล่าฉันอยู่อีก!?”
เฉิงกัวอันจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างดุเดือด
ชายที่ถูกเรียกว่า ‘อสรพิษเงิน’ หัวเราะเบา ๆ
“หึหึ ทำไมฉันถึงต้องตามล่าแกงั้นเหรอ? การที่แกถอนตัวออกจากองค์กรของเราไปแบบนั้น มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสมาชิกขององค์กรคนอื่น ๆ ยังไงล่ะ! หากสมาชิกทุกคนต้องการทำแบบแกบ้าง พวกเราจะเป็นยังไง? องค์กรอันทรงเกียรติของเรามันจะเละเทะขนาดไหนหากมีคนทำแบบแกสักสิบหรือยี่สิบคน?”
ขณะนี้สายตาของอสรพิษเงินเย็นชาเป็นอย่างมาก
“วันนี้ฉันตั้งใจว่าจะยังไม่ฆ่าแกกับลูกสาวที่นี่ และถ้าหากแกให้ความร่วมมือและนำตัวอวี้ฮ่าวหรานมาให้ฉัน บางทีฉันอาจจะปล่อยพวกแกพ่อลูกไปก็ได้!”
“แก! ทำไมแกถึงยังตามจองเวรฉันแบบนี้! ฉันลาออกมาตั้งนานแล้ว! แถมฉันก็ยอมทำลายความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อให้ได้ออกมา!”
เฉิงกัวอันตะโกนอย่างเศร้าโศกและโกรธเคือง
เขาเคยเป็นหัวหน้าสาขาขององค์กรอสรพิษ ดังนั้นเขาจึงรู้จักชายตรงหน้าเขาเป็นอย่างดี
ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของชายผู้นี้ ผู้คนต่างเรียกเพียงชื่อเล่นเท่านั้นซึ่งก็คือ อสรพิษเงิน เขาคือหนึ่งในปรมาจารย์ของตำหนักคุมกฎภายในองค์กรอสรพิษ
เขาคือปรมาจารย์ที่อยู่ในขั้นจุดสูงสุดของพลังภายใน!
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ เฉิงกัวอันจะไม่ทำลายจุดตันเถียนของตัวเอง เขาก็ยังไม่สามารถเป็นศัตรูกับชายคนนี้ได้อยู่ดี
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! มากับพวกฉันแต่โดยดี! ไม่งั้นฉันจะกรอกยาพิษใส่ปากลูกสาวของแก!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินยอมที่จะร่วมมือด้วย อสรพิษเงินจึงข่มขู่อย่างเย็นชา
ในเวลานี้ เฉิงชิวอวี้กำลังนอนสลบไสลอยู่บนโซฟา โดยไม่สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเฉิงกัวอันเห็นเช่นนี้ เขาก็ตื่นตระหนกอย่างมาก เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวของตัวเองต้องมารับเคราะห์จากอดีตอันมืดมนของเขา!
“ได้! ฉันจะไปกับแก!”
เขาตกลงอย่างรวดเร็ว
“แต่แกต้องสาบานว่าแกจะไม่ทำร้ายลูกสาวของฉัน แล้วฉัน…แล้วฉันจะเต็มใจทำทุกอย่างตามที่แกสั่ง”
เมื่อเห็นฉากนี้ อสรพิษเงินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“ตกลงง่าย ๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ทำไมต้องให้ฉันขู่แกอยู่เรื่อยเลย?”
เขาเหลือบมองเฉิงชิวอวี้ซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เขาบนโซฟา
“แต่… ลูกสาวของแกนี่ช่างร้อนแรงจริง ๆ! จิ๊ จิ๊ ฉันล่ะไม่อยากจะปล่อยไปเลย”
“แกกำลังจะทำบ้าอะไร!!”
เฉิงกัวอันตะโกนสุดเสียงด้วยความโกรธเมื่อเห็นแววตาหื่นกระหายของอีกฝ่าย!
เขาอุตส่าห์ยอมตกลงด้วยแล้ว อีกฝ่ายยังจ้องจะเล่นงานลูกสาวของเขาแบบนี้ได้ไง!
“เออ ๆ ฉันยังไม่ทำอะไรลูกสาวของแกหรอก ตราบใดที่แกว่านอนสอนง่าย! แต่หลังจากนี้เมื่อไหร่ที่ฉันบอกให้แกเรียกไอ้อวี้ฮ่าวหรานมา แกต้องทำตามแต่โดยดี ไม่งั้นแล้วล่ะก็…หึหึ”
อสรพิษเงินมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม ชะตากรรมของคู่พ่อลูกนี้ถูกกำหนดไว้นานแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เมื่อไหร่ที่อวี้ฮ่าวหรานถูกฆ่าเรียบร้อย พ่อลูกคู่นี้ก็จะถูกตัดสินโทษให้ตายอย่างอนาถเช่นกัน!
คนที่ถอนตัวจากองค์กรอสรพิษได้มีแต่คนตายเท่านั้น!
“พาพวกมันออกไป!”
หลังจากหยอกล้อเสร็จแล้ว เขาก็สั่งหัวหน้าสาขาอีกสองคนที่มาด้วยกันนำตัวคู่พ่อลูกตระกูลเฉิงออกไป
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานส่งสวีรุ่ยกลับบ้านเรียบร้อย เขาก็หยุดแวะดูโกดังที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่
เขาไม่ได้อยากจะให้ความสำคัญกับสวีเซี่ยงจวินมากนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงชีวิตในอนาคตของสวีรุ่ย เขาจึงจำเป็นต้องให้ความสนใจสักหน่อย
ในไม่ช้ารถสปอร์ตก็หยุดลงใกล้ ๆ กับโกดัง
“งานก็จะมีประมาณนี้ เวลาตอนกลางวันนายต้องคอยเดินตรวจตราทุกระยะ…ตระเวนไปให้ทั่ว…”
ทันทีที่เขามาถึงประตูโกดัง เสียงของผู้จัดการหวังก็ดังขึ้นจากด้านใน
เมื่อผลักประตูเข้าไป อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นว่าสวีเซี่ยงจวินกำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของคน ๆ นี้ยังพอใช้ได้อยู่
ทางด้านของผู้จัดการหวังเมื่อเห็นประธานของตัวเองเข้ามา เขาก็รีบเอ่ยทักขึ้นทันที
“ท่านประธาน สวีเซี่ยงจวินเรียนรู้งานได้รวดเร็วพอสมควร ผมคิดว่าเขามีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับงานที่นี่”
“ผมให้สัญญาว่าผมจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้ท่านประธานผิดหวังแน่นอน!”
สวีเซี่ยงจวินรีบโค้งตัวรับรองทันที มันไม่ง่ายเลยที่จะได้งานดี ๆ แบบนี้
อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่เสแสร้ง สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะราบรื่นกว่าที่เขาคิด
บทที่ 334 มอบตำแหน่งงาน
บทที่ 334 มอบตำแหน่งงาน
“พ่อไม่ต้องกังวลไป…หนูเชื่อว่าอีกไม่นานพ่อก็หางานได้”
“มันเป็นความผิดของพ่อเอง ล่าสุดถ้าพ่อไม่เผลอเดินกะเผลก พ่อก็คงจะได้งานทำที่ไซต์ก่อสร้าง… เฮ้อ…คนขาไม่ดีอย่างพ่อนี่หางานทำยากจริง ๆ”
บนม้านั่ง เสียงของทั้งสองคุยกันอย่างแผ่วเบา
อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูและลงจากรถ
‘ปัง!’
เสียงปิดประตูดึงดูดความสนใจของคู่พ่อลูกในทันที
“เอ๊ะ? อวี้ฮ่าวหราน! คุณ…ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?”
สวีรุ่ยเงยหน้าขึ้นและเมื่อเห็นว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย เธอก็รู้สึกแปลกใจในทันที
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะประหลาดใจ แต่เธอก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากอีกด้วยที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่าย
“ผมแค่ขับรถผ่านมาเห็นพอดีเลยเดินลงมาทักทาย ว่าแต่ทำไมพวกคุณถึงมานั่งขมวดคิ้วที่นี่?” อวี้ฮ่าวหรานถามกลับ
“ป…เปล่าหรอก…ไม่มีอะไร ตอนนี้ฉันแค่พยายามช่วยพ่อของฉันหางานทำ เขาถูกไล่ออกจากบริษัทเดิมหลังจากที่เขากลับมาเมื่อเดือนที่แล้ว”
สวีรุ่ยตอบกลับด้วยสีหน้าจนใจ เธออยากจะช่วยพ่อของเธอ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เธอทำได้เลยนอกจากคอยปลอบประโลม
สวีเซี่ยงจวินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของลูกสาวเขาเอง
“มันเป็นความผิดของผมเอง! หลังจากเหตุการณ์ที่แล้ว ขาของผมก็ไม่สามารถเดินได้เหมือนเดิมจนทำให้ผมหางานไม่ได้”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ขาของอีกฝ่ายและพบว่ามีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่จริง ๆ
“อืม ครั้งล่าสุดที่เจอกันฉันเองก็ลืมสังเกตเลยว่านายบาดเจ็บตรงไหนบ้าง การหางานทำทั้ง ๆ ที่ขาบาดเจ็บแบบนี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
เขาเพิ่งตระหนักถึงความประมาทเลินเล่อของตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาเพียงขอให้หวังเหยียนคอยตามดูไม่ให้อีกฝ่ายเล่นการพนันอีกก็แค่นั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครรายงานว่า สวีเซี่ยงจวินมีอาการบาดเจ็บที่ขากับเขา
และในขณะเดียวกัน สวีรุ่ยก็เป็นเพียงแค่ครูเด็กอนุบาลที่เพิ่งทำงานได้ไม่นาน ดังนั้นเงินเดือนของเธอจึงไม่ได้มาก แม้แต่ตัวของเธอเองก็เกือบใช้เงินเดือนชนเดือน และยิ่งตอนนี้เมื่อมีพ่อของเธอเข้ามาอยู่ด้วยอีกคนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นคุณภาพชีวิตของพวกเขาตอนนี้จึงอยู่ในสภาพที่ร่อแร่เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงได้ตัดสินใจ
“พรุ่งนี้เช้า คุณพาพ่อของคุณไปที่บริษัทของผมที่ชื่อเครือฮ่าวหราน เมื่อคุณไปถึงแล้วให้โทรหาผมแล้วเดี๋ยวผมจะจัดการแก้ไขปัญหานี้ให้เอง”
เขาค่อนข้างสงสารหญิงสาวสุดกตัญญูคนนี้และชอบความใจดีของเธอที่มีต่อถวนถวน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้
แต่ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นของอีกฝ่าย หากเขาให้เงินเธอไปเลยตรง ๆ เธอคงไม่ยอมรับมันอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงมีความคิดมอบงานทำที่ดีให้พ่อของอีกฝ่ายแทน
“จริงเหรอ?”
สวีเซี่ยงจวินไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าของบริษัทแล้วทั้ง ๆ ที่อายุแค่นี้!
ในตอนแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกคนรวยที่มีน้ำใจกับลูกสาวของเขาเท่านั้นเอง
“ฉัน…ฉันขอบคุณคุณจริง ๆ แทนพ่อของฉัน! ต…แต่อันที่จริง…คุณไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้ก็ได้…”
ใบหน้าของสวีรุ่ยแดงเล็กน้อยและเธอก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเกรงใจ
“ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ผมยินดีช่วย”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมืออย่างสบาย ๆ
จากนั้นเขาก็บอกรายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับที่อยู่ของบริษัทเขา และเมื่อเห็นว่ามันเกือบจะถึงเวลาที่ถวนถวนเลิกเรียนแล้วเขาจึงรีบลาอีกฝ่ายและขับรถจากไป
จนกระทั่งรถสปอร์ตสุดหรูหายไปจากวิสัยทัศน์ คู่พ่อลูกก็หันมามองหน้ากัน
“วู้ว! ช่างเป็นชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบอะไรขนาดนี้! รุ่ยเอ๋อร์ ลูกนี่สุดยอดจริง ๆ ที่รู้จักคนใหญ่คนโตขนาดนี้ได้ ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนี้ชอบลูกใช่ไหมเขาถึงได้ทำดีกับลูกขนาดนี้?”
สวีเซี่ยงจวินรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่สมบูรณ์พร้อมแบบนี้ถึงมาช่วยลูกสาวของเขารั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่หวังผลอะไรตอบแทนเลย
“ม…ไม่หรอกพ่อ…ข…เขา…ก็แค่เห็นว่าหนูดูแลถวนถวนเป็นอย่างดี เขาก็เลยตอบแทน…”
สวีรุ่ยรีบเอามือป้องใบหน้าของเธอที่แดงก่ำหลังจากได้ยินคำพูดพ่อของเธอ
“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม รุ่ยเอ๋อร์ พ่อก็ดูออกนะว่าลูกน่ะชอบเขา!”
เมื่อการหางานได้รับการแก้ไข สวีเซี่ยงจวินจึงอารมณ์ดีขึ้นจนสามารถพูดติดตลกได้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ไปกันดีกว่าพ่อ พวกเรารีบกลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวหนูจะรีบทำอาหารเย็นให้ และหลังจากกินเสร็จพ่อก็รีบเข้านอน พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้า”
เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ดังนั้นสวีรุ่ยจึงมีเวลาว่างมากพอที่จะไปกับพ่อของเธอได้ทุกที่
“อืม! พวกเรากลับไปกินข้าวกัน! ในที่สุดพ่อก็ได้งานสักที!”
เมื่อหมดปัญหาการหางานไม่ได้ ทั้งสองคนก็ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ในคืนเดียวกัน
หลังจากอาบน้ำเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็หยิบพระพุทธรูปหยกที่ซื้อมาจากงานประมูลออกมา
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าด้านในพระพุทธรูปนั้นมีพลังวิญญาณแฝงอยู่อย่างหนาแน่นมาก
พระพุทธรูปหยกองค์นี้นับได้ว่าเป็นวัตถุโบราณที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้
จากนั้นเขาค่อย ๆ วางพระพุทธรูปหยกไว้ข้างหน้าเขา และเริ่มดูดซับพลังวิญญาณออกจากมันอย่างช้า ๆ
เมื่อกระแสพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่หนาแน่นผสานเข้ากับจุดตันเถียนของเขา ทะเลจิตวิญญาณในร่างกายของอวี้ฮ่าวหรานก็ขยายออกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
จนกระทั่งถึงตีหนึ่ง เขาถึงดูดซับพลังวิญญาณออกจากพระพุทธรูปหยกหมด
การบ่มเพาะโดยการดูดซับพลังวิญญาณจากโบราณวัตถุนั้นเร็วกว่าการบ่มเพาะแบบปกติมากกว่าร้อยเท่า!
หลังจากดูดซับเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาก้าวหน้าขึ้นอีกครั้งแล้ว!
ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงแล้ว และหลังจากปรับรากฐานให้มั่นคงอีกสักหน่อย เขาก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากจุดสูงสุดของขอบเขตรากฐาน!
หลังจากดูดซับพลังวิญญาณจากพระพุทธรูปหยกเสร็จสิ้น ดวงตาของเขาค่อย ๆ เปิดขึ้นและแสงในดวงตาของเขาก็สว่างวาบ
เวลานี้เป็นเวลาหนึ่งนาฬิกา บรรยากาศรอบ ๆ ชุมชนที่เขาอยู่ต่างก็เงียบสงัด เขามองไปที่ดวงจันทร์สีเงินผ่านทางหน้าต่างห้องนอนพลางรำพึงในใจ
“หลี่เม่ย รอผมอีกหน่อยนะ! ผมจะไปหาคุณในไม่ช้า!”
ในที่สุดความเพียรหลายหมื่นปีก็ใกล้บรรลุผลเข้ามาทุกที!
…
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น สวีเซี่ยงจวินและลูกสาวของเขามาที่เครือฮ่าวหราน
“ขออภัยด้วย ไม่ทราบว่าคุณสองคนเป็นใคร?”
รปภ. ที่ยืนเฝ้าประตูเห็นจึงเดินเข้ามาถาม
แม้ว่าทั้งสองคนจะแต่งตัวดูธรรมดา แต่ภายใต้ข้อบังคับของเครือฮ่าวหราน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนของบริษัทต้องมีทัศนคติที่ดีต่อทุกคน
“เรา…เรามาที่นี่เพื่อพบกับอวี้ฮ่าวหราน”
เมื่อเผชิญหน้ากับรปภ.ตัวสูงที่อยู่ข้างหน้าเขา สวีเซี่ยงจวินจึงขาดความมั่นใจเล็กน้อย
“หืม? พวกคุณต้องการเข้าพบประธานอวี้?”
เมื่อรปภ.ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ขมวดคิ้วทันทีและจู่ ๆ ทัศนคติของเขาก็กลายเป็นดูติดลบเล็กน้อย
“คุณนัดเอาไว้แล้วรึยังหรือพวกคุณสองคนมีบัตรผ่านหรือเปล่า?”
การกระทำที่เปลี่ยนไปเป็นแข็งกระด้างของเขาไม่ใช่ว่าเขาเพิกเฉยต่อข้อบังคับของบริษัท แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้คนส่วนใหญ่ที่บอกว่าต้องการขอเข้าพบประธานของเขาแบบนี้ล้วนแล้วแต่มาสร้างความวุ่นวายกันทั้งนั้น
และยิ่งไปกว่านั้น ประธานอวี้ของพวกเขาก็คือคนชนชั้นสูง
คนธรรมดาแบบนี้จะสามารถเข้าพบได้โดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าก่อนหรือไม่มีบัตรผ่านได้ยังไง?
“น…นัดล่วงหน้างั้นเหรอ?”
เห็นได้ชัดว่า สวีเซี่ยงจวินไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอปัญหานี้ เขาแสดงสีหน้าตื่นตระหนกทันที
“ร…เราแต่เมื่อเขาเป็นคนบอกให้เรามาวันนี้…”
“เอาดี ๆ ใครบอกให้คุณมากันแน่?”
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงระเบียบของบริษัท รปภ. จึงถามอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
“ผ…ผมพูดจริง ๆ นะ ประธานอวี้ของคุณ เขาบอกให้ผมมาที่นี่แล้วจากนั้นเขาจะหางานให้ผมทำ…”
“ประธานอวี้? ประธานอวี้ของเรา?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รปภ. ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองขึ้นมองลงอีกรอบ
แม้ว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายจะดูสะอาดสะอ้านดี แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นของราคาถูกมาก และเขาสามารถเห็นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ดูไม่เอาไหนเพียงชำเลืองมอง
สำหรับคนแบบนี้ ตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำงานในบริษัทของเขาได้คงเป็นพนักงานทำความสะอาดก็แค่นั้น
เป็นไปได้อย่างไรที่ประธานอวี้จะจัดหางานให้กับคน ๆ นี้ด้วยตัวเอง?
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรต่อ หลี่จิงเทียนก็ขับรถ BMW มาจอดที่ประตูบริษัท
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นว่ามีคู่ชายหญิงยนอยู่ด้านข้างประตูและกำลังถูกรปภ. ซักถาม เขาจึงลดกระจกลงและยื่นหน้าออกมาอย่างเกียจคร้านแล้วถามขึ้น