บทที่ 346 ชักใยเบื้องหลัง
บทที่ 346 ชักใยเบื้องหลัง
“จบแล้ว มันจบแล้ว! ประธานอวี้มีแฟนแล้ว!! พวกเราจะทำยังไงดี?”
“โธ่ อย่าฝันกลางวันน่า! ต่อให้ประธานอวี้จะไม่มีแฟน และหล่อนจะเด็กกว่านี้ ประธานอวี้ก็ไม่มีทางมองหล่อนหรอก!”
“สวยจริง ๆ หากมีเทพธิดาที่สวยขนาดนี้มาคล้องแขนของฉัน ต่อให้ฉันจะตายฉันก็คงตายตาหลับ!”
ถึงแม้ว่าเสียงของการกระซิบกระซาบทั้งหมดนี้จะเบามาก แต่เฉิงชิวอวี้ ก็ได้ยินพวกมันบ้างสองสามประโยค ซึ่งมันยิ่งทำให้รอยยิ้มของเธอยิ่งกว้างขึ้นมากกว่าเดิม
อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกฝ่ายจงใจอยากได้ผลลัพธ์แบบนี้ชัด ๆ เลย!
แม้แต่หลี่หรงก็ไม่เคยกล้าคิดริเริ่มที่จะคล้องแขนเขาในที่สาธารณะแบบนี้!
หลังจากที่ทั้งสองลงไปถึงข้างล่างแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดประตูรถให้อีกฝ่ายขึ้นรถของตัวเอง
รถซุปเปอร์คาร์สีเหลืองสดใสค่อย ๆ ขับออกจากประตูบริษัท
ภายในรถ
“ร้านที่ฉันอยากกินอยู่ไม่ไกลจากบริษัทของคุณเท่าไหร่หรอก!”
หลังจากขับรถไปสิบนาที เฉิงชิวอวี้ก็ชี้ไปทางหนึ่ง
แต่นาทีนี้! จู่ ๆ ร่างผอมบางก็ปรากฏขึ้นที่หน้ารถ!
โชคดีที่ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ขับเร็วสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเบรกทัน!
“บัดซบเอ๊ย! แกอยากจะฆ่ากันหรือไง? แกลืมตาอยู่หรือเปล่าตอนแกขับรถ!”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอวี้ฮ่าวหรานเบรกทันซึ่งมันผิดแผนของชายร่างผอมไปหน่อย ชายร่างผอมจึงกระโดดเข้าไปหารถอวี้ฮ่าวหราน และแสร้งทำเป็นถูกชนพลางตะโกนร้องลั่น
แต่บริเวณโดยรอบนี้ไม่ใช่เขตชุมชน ดังนั้นจึงมีแค่พวกอวี้ฮ่าวหราน และอีกฝ่ายเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณนี้
“นี่…นี่มันพวกสิบแปดมงกุฎหรือเปล่า?”
เฉิงชิวอวี้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
เธอไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ แต่เธอก็เคยเห็นข่าวเกี่ยวกับพวกแกล้งถูกชนและเรียกร้องขอค่าเสียหายมาก่อน
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเองก็ไม่คาดคิดเหมือนว่าจะเจอกับอะไรแบบนี้
ปัง!
หลังจากลงจากรถและปิดประตู เขามองดูชายหนุ่มร่างผอมที่แกล้งนอนสลบอยู่
ในขณะนี้ ชายหนุ่มร่างผอมเงยหน้าขึ้นและมองดูอวี้ฮ่าวหราน พอเห็นว่าชายหนุ่มลงจากรถแล้ว เขาก็ตะโกนร้องดังกว่าเดิม
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเย้ยอีกฝ่ายอยู่ในใจ แต่เมื่อชายหนุ่มกำลังจะเตะอีกฝ่ายออกไปให้พ้นทาง เขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ในตรอกเล็ก ๆ ข้าง ๆ นั้น พวกอันธพาลหลายคนกรูกันออกมา!
“บ้าเอ๊ย! แกขับรถชนน้องชายของฉันแบบนี้ได้ไงวะ? แกอยากตายมากใช่ไหม!”
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ เขาตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าโกรธจัด
“พี่ใหญ่…พี่ใหญ่…ไอ้ผู้ชายคนนี้มันกำลังจะเตะฉันด้วยเมื่อกี้!”
ชายหนุ่มร่างผอมเหมือนลิงตะโกนร้องขึ้นเสียงดังพยายามแสร้งว่าตัวเองน่าสงสารจนเกินจริง
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าไอ้พวกนี้จะไม่ใช่สิบแปดมงกุฎธรรมดา!
“บัดซบ! นี่แกชนน้องฉันแล้ว ยังจะกล้าเตะน้องชายฉันอีกงั้นเหรอวะ? แกไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม!”
ชายวัยกลางคนดูเหมือนว่าจะเคยฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาก่อน เนื่องจากเขาวิ่งเข้ามาใกล้อวี้ฮ่าวหรานได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คนธรรมดา ๆ จะทำได้
หลังจากนั้น พวกนักเลงมากกว่าหนึ่งโหลก็วิ่งกรูกันเข้ามาล้อมอย่างรวดเร็ว
“พวกแกเป็นใคร?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ชายวัยกลางคนอย่างสงสัย
“ไอ้ลูกหมา! แกขับรถชนน้องชายของฉันแต่กลับมาถามว่าฉันเป็นใครเนี่ยนะ? แกอยากตายหรือไง?!”
ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าโกรธทันที
แต่แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นการแสดง
“แกต้องการเงิน?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่คนเหล่านี้ และไม่ค่อยแน่ใจในเจตนาของอีกฝ่ายในเวลานี้
“เงิน? แกดูถูกบิดาคนนี้งั้นเหรอถึงถามอะไรหมา ๆ แบบนี้!?”
ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าโกรธมากกว่าเดิม ราวกับว่าเขาเพิ่งถูกทำให้ขายหน้า
“ทุกคนเอามัน! เอามันให้พิการ!!”
หลังจากได้ยินคำสั่งจากชายวัยกลางคน นักเลงมากกว่าหนึ่งโหลก็ชักมีดและพุ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหราน
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉิงชิวอวี้ที่อยู่ในรถก็ตกใจทันที เธอไม่เข้าใจเลยสถานการณ์มันเลยเถิดมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง
“ฮ่าวหราน ระวัง!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนเตือน
แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้กลัวมีดนับสิบเล่มที่ฟันเข้ามาแม้แต่น้อย เขาปล่อยให้อีกฝ่ายฟันมีดมาที่เขาอย่างไม่แยแส!
หมับ!
วินาทีถัดมา ชายวัยกลางคนถึงกับหน้าเปลี่ยนสีกับภาพที่ได้เห็น!
อวี้ฮ่าวหรานจับมีดของลูกน้องเขาง่าย ๆ ด้วยมือเปล่า!
“น…นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน!”
“เฮอะ! เป็นแค่มดแมลง กล้ามากวนประสาทฉัน!”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายอย่างดูถูกก่อนที่จะบีบใบมีดจนแหลกคามือ จากนั้นเขาก็ระเบิดคลื่นพลังวิญญาณกระจายออกไปยังทิศทางที่พวกนักเลงกำลังวิ่งเข้ามาหา!
พวกนักเลงที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร เมื่อโดนคลื่นพลังวิญญาณปะทะเข้าเต็ม ๆ ร่างของพวกเขาก็ปลิวกระเด็นกลับไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้และร่วงลงกระแทกกับพื้น!
แค่เสี้ยววินาที สถานการณ์ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ บรรดากระเด็นกระดอนและบาดเจ็บสาหัสไปถึงเจ็ดหรือแปดคน
ทางด้านของชายวัยกลางคน ถึงแม้ว่าจะรอดพ้นจากคลื่นพลังวิญญาณ แต่ในตอนนี้เขาไม่มีความคิดที่อยากจะหาเรื่องอวี้ฮ่าวหรานอีกต่อไปแล้ว
ตลกเถอะ!
ลูกน้องของเขาสิบกว่าคนเพิ่งกระเด็นปลิวราวกับถูกรถไฟชนจากอะไรก็ไม่รู้ ถ้าขืนเขายังหาเรื่องชายคนนี้ต่อไปมันไม่เท่ากับว่าเขากำลังรนหาที่ตายงั้นเหรอ?
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ลงมือต่ออีก เนื่องจากเขายังต้องหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
คนพวกนี้เขาไม่คุ้นหน้าเลย ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาหาเรื่องตัวเองแบบไร้เหตุผลเช่นนี้
เขาเดินไปหาชายวัยกลางที่กำลังยืนอึ้งอยู่และกำคอของอีกฝ่าย
“พวกแกหยุดรถฉันทำไม?”
“ก…ก็…คุณชนน้องชาย…”
ชายวัยกลางคนอยากจะเล่นลิ้น แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นยะเยือกของอวี้ฮ่าวหราน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกกลัวความตาย!
ดวงตาคู่นี้มันน่ากลัวจนทำให้เขาแทบฉี่ราด!
“ผ…ผมขอโทษ! ก…ก่อนหน้านี้มีคนให้เงินเรา…”
ขณะที่สั่นกลัว เขาก็เล่าความจริงอย่างตะกุกตะกัก
แต่แล้วในขณะเดียวกันนี้! อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังแอบมองเขาอยู่!
เขาเบนสายตามองขึ้นไปยังชั้นบนสุดของตึกที่อยู่ไม่ไกล!
ภายในอาคาร
“ไอ้เด็กนี่ไม่เลวเลย ประสาทสัมผัสของมันเฉียบแหลมจริง ๆ!”
เมื่อเห็นว่า อวี้ฮ่าวหรานรู้ตัวแล้วว่าถูกเขากำลังจับตาดูอยู่ ชายชราที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ถอนสายตากลับมาและมองไปที่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ฮึ่ม ถ้าผมเป็นพี่ ผมคงลงไปฆ่ามันแล้ว! ผมไม่มีทางรอให้ไอ้พวกแก๊งพยัคฆ์เวหามีเวลาหายใจหายคอได้แบบนี้!”
อีกคนที่นั่งบนโซฟาแสดงสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย
คนสองคนนี้คือกงซุนซาและหลิ่วอวี้จิง เนื่องจากพวกเขาประกาศแล้วว่าแก๊งของพวกเขารวมเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นหลิ่วอวี้จิงจึงนั่งอยู่ที่นี่ในฐานะรองหัวหน้าแก๊งฉลามคลั่ง
บทที่ 334 มอบตำแหน่งงาน
บทที่ 334 มอบตำแหน่งงาน
“พ่อไม่ต้องกังวลไป…หนูเชื่อว่าอีกไม่นานพ่อก็หางานได้”
“มันเป็นความผิดของพ่อเอง ล่าสุดถ้าพ่อไม่เผลอเดินกะเผลก พ่อก็คงจะได้งานทำที่ไซต์ก่อสร้าง… เฮ้อ…คนขาไม่ดีอย่างพ่อนี่หางานทำยากจริง ๆ”
บนม้านั่ง เสียงของทั้งสองคุยกันอย่างแผ่วเบา
อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูและลงจากรถ
‘ปัง!’
เสียงปิดประตูดึงดูดความสนใจของคู่พ่อลูกในทันที
“เอ๊ะ? อวี้ฮ่าวหราน! คุณ…ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?”
สวีรุ่ยเงยหน้าขึ้นและเมื่อเห็นว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย เธอก็รู้สึกแปลกใจในทันที
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะประหลาดใจ แต่เธอก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากอีกด้วยที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่าย
“ผมแค่ขับรถผ่านมาเห็นพอดีเลยเดินลงมาทักทาย ว่าแต่ทำไมพวกคุณถึงมานั่งขมวดคิ้วที่นี่?” อวี้ฮ่าวหรานถามกลับ
“ป…เปล่าหรอก…ไม่มีอะไร ตอนนี้ฉันแค่พยายามช่วยพ่อของฉันหางานทำ เขาถูกไล่ออกจากบริษัทเดิมหลังจากที่เขากลับมาเมื่อเดือนที่แล้ว”
สวีรุ่ยตอบกลับด้วยสีหน้าจนใจ เธออยากจะช่วยพ่อของเธอ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เธอทำได้เลยนอกจากคอยปลอบประโลม
สวีเซี่ยงจวินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของลูกสาวเขาเอง
“มันเป็นความผิดของผมเอง! หลังจากเหตุการณ์ที่แล้ว ขาของผมก็ไม่สามารถเดินได้เหมือนเดิมจนทำให้ผมหางานไม่ได้”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ขาของอีกฝ่ายและพบว่ามีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่จริง ๆ
“อืม ครั้งล่าสุดที่เจอกันฉันเองก็ลืมสังเกตเลยว่านายบาดเจ็บตรงไหนบ้าง การหางานทำทั้ง ๆ ที่ขาบาดเจ็บแบบนี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
เขาเพิ่งตระหนักถึงความประมาทเลินเล่อของตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาเพียงขอให้หวังเหยียนคอยตามดูไม่ให้อีกฝ่ายเล่นการพนันอีกก็แค่นั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครรายงานว่า สวีเซี่ยงจวินมีอาการบาดเจ็บที่ขากับเขา
และในขณะเดียวกัน สวีรุ่ยก็เป็นเพียงแค่ครูเด็กอนุบาลที่เพิ่งทำงานได้ไม่นาน ดังนั้นเงินเดือนของเธอจึงไม่ได้มาก แม้แต่ตัวของเธอเองก็เกือบใช้เงินเดือนชนเดือน และยิ่งตอนนี้เมื่อมีพ่อของเธอเข้ามาอยู่ด้วยอีกคนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นคุณภาพชีวิตของพวกเขาตอนนี้จึงอยู่ในสภาพที่ร่อแร่เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงได้ตัดสินใจ
“พรุ่งนี้เช้า คุณพาพ่อของคุณไปที่บริษัทของผมที่ชื่อเครือฮ่าวหราน เมื่อคุณไปถึงแล้วให้โทรหาผมแล้วเดี๋ยวผมจะจัดการแก้ไขปัญหานี้ให้เอง”
เขาค่อนข้างสงสารหญิงสาวสุดกตัญญูคนนี้และชอบความใจดีของเธอที่มีต่อถวนถวน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้
แต่ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นของอีกฝ่าย หากเขาให้เงินเธอไปเลยตรง ๆ เธอคงไม่ยอมรับมันอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงมีความคิดมอบงานทำที่ดีให้พ่อของอีกฝ่ายแทน
“จริงเหรอ?”
สวีเซี่ยงจวินไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าของบริษัทแล้วทั้ง ๆ ที่อายุแค่นี้!
ในตอนแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกคนรวยที่มีน้ำใจกับลูกสาวของเขาเท่านั้นเอง
“ฉัน…ฉันขอบคุณคุณจริง ๆ แทนพ่อของฉัน! ต…แต่อันที่จริง…คุณไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้ก็ได้…”
ใบหน้าของสวีรุ่ยแดงเล็กน้อยและเธอก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเกรงใจ
“ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ผมยินดีช่วย”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมืออย่างสบาย ๆ
จากนั้นเขาก็บอกรายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับที่อยู่ของบริษัทเขา และเมื่อเห็นว่ามันเกือบจะถึงเวลาที่ถวนถวนเลิกเรียนแล้วเขาจึงรีบลาอีกฝ่ายและขับรถจากไป
จนกระทั่งรถสปอร์ตสุดหรูหายไปจากวิสัยทัศน์ คู่พ่อลูกก็หันมามองหน้ากัน
“วู้ว! ช่างเป็นชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบอะไรขนาดนี้! รุ่ยเอ๋อร์ ลูกนี่สุดยอดจริง ๆ ที่รู้จักคนใหญ่คนโตขนาดนี้ได้ ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนี้ชอบลูกใช่ไหมเขาถึงได้ทำดีกับลูกขนาดนี้?”
สวีเซี่ยงจวินรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่สมบูรณ์พร้อมแบบนี้ถึงมาช่วยลูกสาวของเขารั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่หวังผลอะไรตอบแทนเลย
“ม…ไม่หรอกพ่อ…ข…เขา…ก็แค่เห็นว่าหนูดูแลถวนถวนเป็นอย่างดี เขาก็เลยตอบแทน…”
สวีรุ่ยรีบเอามือป้องใบหน้าของเธอที่แดงก่ำหลังจากได้ยินคำพูดพ่อของเธอ
“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม รุ่ยเอ๋อร์ พ่อก็ดูออกนะว่าลูกน่ะชอบเขา!”
เมื่อการหางานได้รับการแก้ไข สวีเซี่ยงจวินจึงอารมณ์ดีขึ้นจนสามารถพูดติดตลกได้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ไปกันดีกว่าพ่อ พวกเรารีบกลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวหนูจะรีบทำอาหารเย็นให้ และหลังจากกินเสร็จพ่อก็รีบเข้านอน พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้า”
เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ดังนั้นสวีรุ่ยจึงมีเวลาว่างมากพอที่จะไปกับพ่อของเธอได้ทุกที่
“อืม! พวกเรากลับไปกินข้าวกัน! ในที่สุดพ่อก็ได้งานสักที!”
เมื่อหมดปัญหาการหางานไม่ได้ ทั้งสองคนก็ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ในคืนเดียวกัน
หลังจากอาบน้ำเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็หยิบพระพุทธรูปหยกที่ซื้อมาจากงานประมูลออกมา
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าด้านในพระพุทธรูปนั้นมีพลังวิญญาณแฝงอยู่อย่างหนาแน่นมาก
พระพุทธรูปหยกองค์นี้นับได้ว่าเป็นวัตถุโบราณที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้
จากนั้นเขาค่อย ๆ วางพระพุทธรูปหยกไว้ข้างหน้าเขา และเริ่มดูดซับพลังวิญญาณออกจากมันอย่างช้า ๆ
เมื่อกระแสพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่หนาแน่นผสานเข้ากับจุดตันเถียนของเขา ทะเลจิตวิญญาณในร่างกายของอวี้ฮ่าวหรานก็ขยายออกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
จนกระทั่งถึงตีหนึ่ง เขาถึงดูดซับพลังวิญญาณออกจากพระพุทธรูปหยกหมด
การบ่มเพาะโดยการดูดซับพลังวิญญาณจากโบราณวัตถุนั้นเร็วกว่าการบ่มเพาะแบบปกติมากกว่าร้อยเท่า!
หลังจากดูดซับเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาก้าวหน้าขึ้นอีกครั้งแล้ว!
ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงแล้ว และหลังจากปรับรากฐานให้มั่นคงอีกสักหน่อย เขาก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากจุดสูงสุดของขอบเขตรากฐาน!
หลังจากดูดซับพลังวิญญาณจากพระพุทธรูปหยกเสร็จสิ้น ดวงตาของเขาค่อย ๆ เปิดขึ้นและแสงในดวงตาของเขาก็สว่างวาบ
เวลานี้เป็นเวลาหนึ่งนาฬิกา บรรยากาศรอบ ๆ ชุมชนที่เขาอยู่ต่างก็เงียบสงัด เขามองไปที่ดวงจันทร์สีเงินผ่านทางหน้าต่างห้องนอนพลางรำพึงในใจ
“หลี่เม่ย รอผมอีกหน่อยนะ! ผมจะไปหาคุณในไม่ช้า!”
ในที่สุดความเพียรหลายหมื่นปีก็ใกล้บรรลุผลเข้ามาทุกที!
…
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น สวีเซี่ยงจวินและลูกสาวของเขามาที่เครือฮ่าวหราน
“ขออภัยด้วย ไม่ทราบว่าคุณสองคนเป็นใคร?”
รปภ. ที่ยืนเฝ้าประตูเห็นจึงเดินเข้ามาถาม
แม้ว่าทั้งสองคนจะแต่งตัวดูธรรมดา แต่ภายใต้ข้อบังคับของเครือฮ่าวหราน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนของบริษัทต้องมีทัศนคติที่ดีต่อทุกคน
“เรา…เรามาที่นี่เพื่อพบกับอวี้ฮ่าวหราน”
เมื่อเผชิญหน้ากับรปภ.ตัวสูงที่อยู่ข้างหน้าเขา สวีเซี่ยงจวินจึงขาดความมั่นใจเล็กน้อย
“หืม? พวกคุณต้องการเข้าพบประธานอวี้?”
เมื่อรปภ.ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ขมวดคิ้วทันทีและจู่ ๆ ทัศนคติของเขาก็กลายเป็นดูติดลบเล็กน้อย
“คุณนัดเอาไว้แล้วรึยังหรือพวกคุณสองคนมีบัตรผ่านหรือเปล่า?”
การกระทำที่เปลี่ยนไปเป็นแข็งกระด้างของเขาไม่ใช่ว่าเขาเพิกเฉยต่อข้อบังคับของบริษัท แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้คนส่วนใหญ่ที่บอกว่าต้องการขอเข้าพบประธานของเขาแบบนี้ล้วนแล้วแต่มาสร้างความวุ่นวายกันทั้งนั้น
และยิ่งไปกว่านั้น ประธานอวี้ของพวกเขาก็คือคนชนชั้นสูง
คนธรรมดาแบบนี้จะสามารถเข้าพบได้โดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าก่อนหรือไม่มีบัตรผ่านได้ยังไง?
“น…นัดล่วงหน้างั้นเหรอ?”
เห็นได้ชัดว่า สวีเซี่ยงจวินไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอปัญหานี้ เขาแสดงสีหน้าตื่นตระหนกทันที
“ร…เราแต่เมื่อเขาเป็นคนบอกให้เรามาวันนี้…”
“เอาดี ๆ ใครบอกให้คุณมากันแน่?”
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงระเบียบของบริษัท รปภ. จึงถามอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
“ผ…ผมพูดจริง ๆ นะ ประธานอวี้ของคุณ เขาบอกให้ผมมาที่นี่แล้วจากนั้นเขาจะหางานให้ผมทำ…”
“ประธานอวี้? ประธานอวี้ของเรา?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รปภ. ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองขึ้นมองลงอีกรอบ
แม้ว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายจะดูสะอาดสะอ้านดี แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นของราคาถูกมาก และเขาสามารถเห็นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ดูไม่เอาไหนเพียงชำเลืองมอง
สำหรับคนแบบนี้ ตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำงานในบริษัทของเขาได้คงเป็นพนักงานทำความสะอาดก็แค่นั้น
เป็นไปได้อย่างไรที่ประธานอวี้จะจัดหางานให้กับคน ๆ นี้ด้วยตัวเอง?
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรต่อ หลี่จิงเทียนก็ขับรถ BMW มาจอดที่ประตูบริษัท
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นว่ามีคู่ชายหญิงยนอยู่ด้านข้างประตูและกำลังถูกรปภ. ซักถาม เขาจึงลดกระจกลงและยื่นหน้าออกมาอย่างเกียจคร้านแล้วถามขึ้น
บทที่ 347 คาดเดา
บทที่ 347 คาดเดา
“หึหึ แต่บังเอิญว่านายไม่มีความแข็งแกร่งเท่าฉันคนนี้ไง นายก็เลยต้องวางแผนและดำเนินการอย่างระมัดระวังในทุกขั้นตอนเหมือนอย่างที่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปทำกัน”
กงซุนซาสั่งให้คนของตัวเองปิดม่านและพูดขึ้นพลางหัวเราะ
เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากเสมอ และบ่อยครั้งที่ศัตรูของเขาตายโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือภัยคุกคามที่อยู่เบื้องหลัง
ทุกครั้งที่ตัวเองลงมือคือการลงมืออย่างเฉียบขาดและหวังผลถึงตาย!
“แล้วสรุปคราวนี้พี่กงซุนเห็นอะไรบ้าง?”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วอวี้จิงรู้สึกจนใจ ตอนนี้เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่คล้อยตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
“จากเมื่อครู่ที่ฉันสังเกตไอ้เด็กคนนี้ดูเหมือนว่ามันจะอยู่ในจุดสุดยอดของขอบเขตพลังภายใน และถ้าหากเทียบกับนาย ไอ้เด็กนี่มันแข็งแกร่งกว่านายมาก”
“ตรงนี้แหละที่ผมไม่เข้าใจ! ผมเองก็อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน แต่ทำไมผมกลับแข็งแกร่งไม่เท่ามัน ผมไม่เข้าใจเลย!”
หลิ่วอวี้จิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสับสน ครั้งล่าสุดที่เขาสู้กับอวี้ฮ่าวหราน เขาใช้กำลังเต็มสิบส่วนแล้วแต่เขาก็เทียบไม่ได้กับอีกฝ่ายเลย
“การที่มันเป็นแบบนั้นก็มีคำอธิบายเดียวก็คือ ไอ้เด็กนี่เคยได้รับการชี้แนะจากตัวตนลึกลับที่น่ากลัว ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่คนอย่างนายซึ่งฝึกฝนด้วยตัวเองจะสู้มันไม่ได้ คนที่ได้รับการชี้แนะมาเป็นอย่างดีย่อมแข็งแกร่งกว่าคนที่ฝึกมาอย่างไม่ถูกหลักที่แท้จริง การที่มันแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ฉันไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีตัวตนลึกลับหนุนอยู่เบื้องหลัง”
“นี่…แต่ผมตรวจสอบประวัติมันแล้ว มันเป็นแค่ลูกเขยของตระกูลหลี่ เท่านั้นเองนี่นา ส่วนญาติพี่น้องของมันก็ไม่มีเลย…”
หลิ่วอวี้จิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำอธิบายนี้ คำอธิบายของกงซุนซามันขัดแย้งกับข้อมูลที่เขามี
แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มไร้ญาติจะสามารถฝึกฝนได้จนแข็งแกร่งขนาดนี้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว
อย่างไรก็ตาม อันที่จริงเขาเคยได้รับคำแนะนำจากผู้บ่มเพาะมาก่อน แต่คนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะหากเทียบกับเขาในตอนนี้ ซึ่งด้วยความรู้ที่เขาได้รับการถ่ายทอดต่อมาไม่มากนัก เขาจึงต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างหนักนานกว่า 20 ปีเพื่อให้ถึงจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน
“ดูเหมือนว่านายไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดจริง ๆ ไม่งั้นนายต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้วไอ้เด็กนี่มันหายตัวไปสามปีเต็มและมันเพิ่งโผล่มาได้เกือบปี ซึ่งหลังจากกลับมา ตัวของมันเปลี่ยนไปในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ในการทำธุรกิจ หรือแม้แต่ความแข็งแกร่งที่น่าประหลาดของมันเอง”
กงซุนซาค่อย ๆ บอกข่าวที่เขาสืบมาเอง
“มันหายตัวไปงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ หลิ่วอวี้จิงก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น ความสนใจของเขาเพิ่มขึ้นในทันใด
หากเป็นกรณีนี้ มันเป็นไปได้ที่ในระหว่างอีกฝ่ายหายตัวไปอาจจะได้ไปเจอกับปรมาจารย์ลึกลับและได้รับการถ่ายทอดวิธีการบ่มเพาะที่เหนือล้ำมาจนกลายเป็นคนละคนจากคนเดิม
อย่างไรก็ตาม ทั้งเขาและกงซุนซาต่างนึกไม่ถึงว่าจริง ๆ แล้ว อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้หายไปแค่สามปี แต่อวี้ฮ่าวหรานไปใช้เวลาอยู่ที่ดินแดนแห่งเทพมากกว่าสามหมื่นปี!
ชื่อเสียงของจักรพรรดิเทพฮ่าวหรานได้ดังก้องไปทั่วชั้นฟ้าและปฐพี!
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกได้ว่าเขาไม่ถูกจ้องมองอีกแล้ว เขาก็หันกลับมาที่ชายวัยกลางคนและโยนร่างของอีกฝ่ายออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง
“ไสหัวไปให้พ้น!”
ชายวัยกลางคนกระอักเลือดออกมาคำโต แขนของเขาก็หักจากการกระแทกกับกำแพง แต่ก็ไม่บ่นแม้แต่น้อย
เขาจะกล้าบ่นคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ยังไง!
“ไปเร็วพวกเรา! รีบไปให้พ้นหน้าพี่ชายคนนี้เร็ว!”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน! มาช่วยกันอุ้มลูกพี่ด้วยสิวะ ลูกพี่เจ็บจนยืนไม่ได้แล้ว!”
ด้วยความตื่นตระหนก พวกนักเลงต่างพยายามฝืนเจ็บลุกขึ้นและพยุงพวกของตัวเองหนีจากไปอย่างทุลักทุเล
“ฮ่าวหราน คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ เลย!”
ทันทีที่เขากลับขึ้นรถ เฉิงชิวอวี้ก็ชมเขาอย่างตื่นเต้น…
ยอดเขาแฝดที่นุ่มนิ่มเบียดติดแขนเขาทันที!
“เอ่อ…เดี๋ยวผมต้องขับรถ”
เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจจะเกิดขึ้น อวี้ฮ่าวหราน ค่อย ๆ แกะมือของเฉิงชิวอวี้อย่างมีมารยาท ก่อนที่จะสตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งออกไป
เฉิงชิวอวี้ไม่โกรธเคืองสักนิด
ทุกครั้งที่เธออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ เธอมักจะรู้สึกว่าความงามและฐานะของเธอไม่มีผลอะไรเลยกับอีกฝ่าย อีกฝ่ายมองเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ เท่านั้น
ถ้าหากผู้ชายแบบนี้รักเธอเขาแล้วล่ะก็ เขาจะรักเธอโดยไม่มีข้อแม้ไปจนวันตายแน่นอน!
ไม่นานรถซุปเปอร์คาร์สีเหลืองสดใสก็จอดที่ด้านนอกร้านอาหาร
“ที่นี่แหละ! ครั้งล่าสุดที่ฉันมากินกับเพื่อน ร้านนี้มันอร่อยมาก ๆ เลย!”
เฉิงชิวอวี้ลงจากรถทันที และลมก็พัดมาทำให้ผมของเธอพลิ้วไหว ซึ่งเธอรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยเหตุผลบางอย่าง
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สังเกตเห็นอาการผิดแปลกของอีกฝ่าย และเดินนำเข้าไปในร้านอาหาร
หากมองจากด้านนอกร้านนี้ไม่ได้หรูหรามากนัก แต่เมื่อเข้าไปด้านใน เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าร้านนี้หรูหรามากจากการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากมาย
“คุณสุภาพบุรุษและคุณสุภาพสตรีมาแค่สองคนใช่ไหมคะ?”
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในร้าน พนักงานเสิร์ฟก็รีบเดินมาต้อนรับทันทีอย่างสุภาพ
จากนั้นทั้งสองคนก็เลือกโต๊ะริมหน้าต่างและนั่งลง
“ฮ่าวหราน คาเวียร์ของที่นี่อร่อยมากเลยล่ะ!”
ทันทีที่พวกเขานั่งลง เฉิงชิวอวี้ก็เริ่มสั่งอาหาร
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและทำท่าทางสบาย ๆ
แต่ในขณะที่เฉิงชิวอวี้กำลังสั่งอาหารอย่างมีความสุข อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินบทสนทนาที่บริเวณหน้าร้านซึ่งดึงดูดความสนใจของเขา
“หาที่นั่งที่ดีที่สุดให้ฉัน! ฉันต้องการที่นั่งริมหน้าต่าง!”
“โอ้ นายน้อยจิน! ยินดีต้อนรับสู่ร้านของเราอีกครั้ง!”
“ฮ่า ๆ ตาแก่ นายนี่เหมือนสุนัขจริง ๆ ทันทีที่ฉันมา นายก็วิ่งมาหาฉันทันทีเลย! ฮ่า ๆ”
ที่ประตู ชายหนุ่มผู้มีใบหน้ายียวนเอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างหยิ่งผยอง
ส่วนคนที่ทักทายเขาดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการของร้านนี้
ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกเปรียบเทียบกับสุนัข แต่เขากลับไม่โกรธเลย
สีหน้าของเขากลับดูประจบสอพลอซะมากกว่า
“โธ่ นายน้อยจิน คุณอุตส่าห์มาเยือนร้านผม ผมจะไม่ออกมาต้อนรับได้ยังไง?”
ผู้จัดการร่างท้วมวัยสี่สิบปลายกำลังยิ้มกว้างอยู่อย่างเสแสร้งในเวลานี้
เมื่อเห็นฉากนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในเวลานี้ลูกค้าที่กำลังทานอาหารบางคนก็ขมวดคิ้วและพูดคุยกัน
“ระวังให้ดี นั่นคือนายน้อยจินผู้โด่งดังของละแวกนี้! เขาเป็นคนนิสัยเลวทราม! อย่าทำให้เขาขุ่นเคือง”
“คราวที่แล้วฉันจำได้ว่าเขาเคยมีเรื่องกับผู้ชายคนหนึ่งตรงถนนใกล้ ๆ และท้ายที่สุดเขาสั่งให้ลูกน้องของตัวเองหักขาผู้ชายคนนั้นทั้งสองข้างอย่างโหดเหี้ยม…”
“เราไม่ควรยุ่งกับคนคนนี้ ฉันได้ยินมาว่าครอบครัวของเขาไม่เพียงแต่มีเงินเท่านั้น แต่ครอบครัวของเขายังเกี่ยวดองกับพวกแก๊งใต้ดินอีกด้วย”
“…”
ฝูงชนกระซิบและพูดคุยกันเสียงเบาด้วยความกลัวว่าจะมีคนได้ยิน
บทที่ 341 กวาดล้าง
บทที่ 341 กวาดล้าง
“ท่านครับ นี่เป็นเขตคฤหาสน์ส่วนตัว โปรดกลับรถถอยไปด้วย”
เมื่อเห็นรถซูเปอร์คาร์สุดหรูสีเหลือง รปภ. สองคนก็เดินเข้ามาคุยกับอวี้ฮ่าวหรานอย่างสุภาพทันที
แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ เขาใช้เนตรเทวะสำรวจร่างกายรปภ. สองคนนี้ทันที และเขาก็ได้พบรอยสักรูปองค์กรอสรพิษที่แขนของคนทั้งสองซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อ
เห็นได้ชัดว่าอสรพิษเงินไม่ได้โกหกเขา
“คุณครับ?”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ในรถไม่ตอบสนอง รปภ. ทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างสับสนและถามอีกครั้ง
พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยการมีอยู่ขององค์กรอย่างง่ายดายแน่นอน
แต่หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็ไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนสองคนนี้อีก เขาเปิดประตูลงจากรถ
“ฉันมาฆ่าเจ้าตำหนักของพวกแก! ถ้ายังไม่อยากตายก็ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”
เขาพูดอย่างดูถูกและเย็นชา
ยังไงอีกฝ่ายก็ต้องตาย!
ตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษนี้อยู่ใกล้กับเมืองฮ่วยอันมากเกินไป หากเขายังปล่อยให้มีภัยคุกคามนี้ดำรงอยู่ อีกไม่นานเขาคงถูกโจมตีอีกรอบ!
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของรปภ. ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน!
อย่างไรก็ตาม หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็แสร้งทำเป็นสงบ “ท่านครับ รบกวนออกไปเดี๋ยวนี้ เราไม่รู้ว่าองค์กรอสรพิษที่ท่านพูดถึงคืออะไร!”
อวี้ฮ่าวหราน ไม่แปลกใจกับการโต้แย้งนี้ ตามปกติแล้วพวกองค์กรนักฆ่าย่อมถูกหมายหัวโดยญาติของผู้ที่เคยเป็นเหยื่อมากมาย หากต้องการอยู่อย่างปลอดภัย องค์กรพวกนี้จะต้องซ่อนตัวเองให้แนบเนียนที่สุด
แต่การซ่อนตัวทุกรูปแบบไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา!
“ในเมื่อไม่หลีกก็ตายไปซะ!”
ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหมัดเข้าใส่หนึ่งในรปภ. อย่างรุนแรงทันที!
‘ปัง!’
ด้วยการชก รปภ.ผู้โชคร้ายร่างละลิ่วพร้อมกับวิญญาณก็หลุดออกจากร่างอย่างไม่มีใครช่วยได้
“ก…แกกล้าดียังไงมายุ่งกับพวกเรา! หาที่ตาย!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกล้าลงมือก่อน รปภ. ก็แสดงสีหน้าเย็นชาทันที!
“ฮึ่ม! มดแมลงกล้าอวดดีต่อหน้าข้าผู้นี้งั้นเหรอ!!”
อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจ แต่เพียงแค่ชั่วอึดใจเขาก็เห็นว่ามีรปภ. อีกหลายสิบคนที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์วิ่งกรูเข้ามาหาเขา!
ต่างจากรปภ. ทั่วไป คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะที่เกือบจะทะลวงขึ้นมาเป็นปรมาจารย์พลังภายใน ในเวลานี้ พวกเขาก็พุ่งเข้ามาด้วยมีดในมือ ซึ่งน่ากลัวกว่าคนธรรมดาถือปืนมาก!
ภายในไม่กี่วินาที อวี้ฮ่าวหรานก็ถูกล้อมจากทุกด้าน
“แกรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่คือองค์กรอสรพิษ!?”
คนที่เป็นผู้นำกลุ่มรปภ. เป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นต้น และสีหน้าของเขาก็ดูดุดันมากในขณะนี้
เขาไม่อาจยอมให้คนนอกรู้ได้ว่าที่นี่คือสถานที่ที่พวกเขากำลังซุ่มซ่อนอยู่
หากคนนอกคนใดที่รู้ความลับนี้ เขาจำเป็นต้องกำจัดในทันที!
“เหอะ ๆ ฉันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?”
แม้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับนักฆ่ามืออาชีพมากกว่าสามสิบคนที่ปลอมตัวเป็นรปภ. อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
“แน่นอนว่ามันเป็นเพราะไอ้คนที่เรียกตัวเองว่าอสรพิษเงินอะไรนั่น มันบอกฉันมาก่อนที่จะฉันจะกระทืบมันจนตาย! เอ๊ะ ว่าแต่พวกแกรู้รึเปล่าว่ามันเพิ่งถูกส่งออกไปทำภารกิจอะไร?”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหยอกล้อกับอีกฝ่าย
“รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินตายแล้ว?? นี่มัน…”
ปรมาจารย์พลังภายในที่เป็นผู้นำสีหน้าเปลี่ยนในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! รองเจ้าตำแหนักเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดของพลังภายใน คนอย่างแกไม่มีทางฆ่ารองเจ้าตำหนักได้สำเร็จแน่นอน!”
“แกเข้าใจผิดแล้ว ไอ้อสรพิษเงินอะไรนั่นมันตายอย่างน่าอนาถมากเลยเชียวละ!”
อวี้ฮ่าวหราน กล่าวอย่างเยาะเย้ยพลางมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม!
“แต่ถ้าแกไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรเพราะอีกเดี๋ยวแกก็จะได้รู้ความจริงอยู่ดีหลังจากลงไปอยู่ในนรกกับมัน!”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานระเบิดกลิ่นอายสังหารหนาแน่นออกมา!
เหล่านักฆ่ารู้สึกใจสั่นรุนแรงอย่างกะทันหัน มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระเจ้าที่ไม่อาจต้านทานได้!
“น…นี่มันเวทมนตร์หรือบ้าอะไรเนี่ย! แต่แกคิดว่าคำพูดไร้สาระสองสามคำของแกจะสามารถรบกวนจิตใจของเราได้เหรอ…”
หลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง บรรดานักฆ่าก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีจิตใจที่มั่นคงแค่ไหน แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ หนึ่งในพวกนักฆ่าก็ถูกอวี้ฮ่าวหรานกุมคอเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาโผล่มากลางวงแบบนี้ได้ยังไง!
“ฉันเบื่อที่จะพูดกับพวกแกแล้ว ในเมื่อพวกแกไม่หลีกไป ถ้างั้นก็ลงไปอยู่ในนรกกับไอ้อสรพิษเงินนั่นซะ!”
“กร๊อบ!”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็หักคออีกฝ่ายทันทีและโยนทิ้งราวกับโยนขยะ ก่อนที่จะหันไปกวาดสายตามองนักฆ่าอีกสามสิบกว่าคนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยแววตาเย็นชา!
“วันนี้! พวกแกทั้งหมดต้องตาย!”
เหล่านักฆ่าที่เคยภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังวิญญาณอันทรงพลังของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับมดที่รอการถูกบดขยี้เลย!
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีบรรยากาศรอบ ๆ ก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง!
และในขณะเดียวกันนี้ ประตูรั้วกำแพงก็ถูกเปิดออก และร่างสีดำจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน!
คนเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังภายในอย่างแท้จริง!
เมื่อถูกล้อมอีกรอบด้วยคนมากกว่าหนึ่งโหล อวี้ฮ่าวหรานก็ประหลาดใจเล็กน้อยกับความแข็งแกร่งของตำหนักคุมกฎแห่งนี้
เขาปะทะกับองค์กรอสรพิษนี้มาหลายครั้งแล้ว และฆ่าเจ้าตำหนักของอีกฝ่ายไปหลายคน ดังนั้นเขาจึงพอเดาโครงสร้างขององค์กรนี้ได้แบบคร่าว ๆ ว่าคนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในนั้นมีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าตำหนักได้ แต่ในทางกลับกัน ตำหนักคุมกฎนี้กลับมีเหล่าผู้คนที่มีคุณสมบัติพอจะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าตำหนักได้แบบสบาย ๆ อยู่ในสังกัดมากกว่าสิบคน เห็นได้ชัดว่าตำหนักคุมกฎนี้น่าจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากคนที่เป็นผู้นำองค์กรนี้
“รนหาที่ตาย!”
ทันทีที่พวกคนขององค์กรอสรพิษเห็นสภาพที่เละเทะด้านนอก พวกเขาต่างก็โกรธจัด!
ทันใดนั้นโดยไม่ทราบว่าใช้วิธีใด งูพิษจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีสีสันแตกต่างกันก็ปรากฏขึ้นจากกอหญ้าที่อยู่รอบ ๆ!
หากเป็นคนธรรมดาเมื่อถูกงูนับพันตัวล้อมไว้แบบนี้ คนผู้นั้นก็คงกลัวจนทรุดตัวลงไปที่พื้นทันที
“ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่แกจะเสียใจ! ไอ้หนู โทษที่แกต้องรับจากการมาสร้างปัญหาให้องค์กรอสรพิษของเราคือตายสถานเดียว!”
นักฆ่าที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา!
อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายตามองไปที่งูพิษรอบตัวเขาอย่างไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเดรัจฉานพวกนี้ได้รับการฝึกและเลี้ยงดูมาเป็นพิเศษ พวกมันจึงมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษและมีสีที่ดูสว่างกว่างูทั่วไป
คนธรรมดาคงจะตายในไม่กี่วินาทีหากถูกงูพิษพวกนี้กัด!
แต่น่าเสียดายที่งูน้อยพวกนี้กำลังเผชิญอยู่กับอวี้ฮ่าวหราน!
อวี้ฮ่าวหรานโคจรพลังวิญญาณอย่างรุนแรง จากนั้นเขาจึงสะบัดมือปล่อยคลื่นพลังวิญญาณแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคลื่นที่มองไม่เห็นและกวาดไปรอบ ๆ!
‘บรึม!!’
ภายใต้ความรุนแรงของคลื่นพลังวิญญาณ ทั้งต้นหญ้าและงูที่อยู่รอบ ๆ รัศมีสามสิบเมตรก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที!
พวกปรมาจารย์พลังภายในที่กำลังจะลงมือเช่นกัน ต่างก็ตัวแข็งค้างเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้!
แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงก็ไม่อาจทำอะไรแบบนี้ได้!
“แกเป็นใครกันแน่!? ทำไมแกถึงมาสร้างปัญหาให้เราแบบนี้!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดไว้ หนึ่งในปรมาจารย์พลังภายในจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกแกและเจ้าตำหนักของพวกแก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก
บทที่ 343 ฆ่าเจ้าตำหนัก
บทที่ 343 ฆ่าเจ้าตำหนัก
หลังจากพูดจบประโยค!
วินาทีต่อมา แค่การโบกสะบัดมือส่งคลื่นพลังวิญญาณอีกรอบ โลหิตสด ๆ ก็ย้อมไปทั่วทั้งห้องโถงคฤหาสน์ทันที!
นักฆ่าชุดดำมากกว่าหนึ่งโหลตายโดยไม่ทันร้องโหยหวนด้วยซ้ำ!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ ลูกศรหน้าไม้ลูกหนากว่าเดิมก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง!
แต่คราวนี้ลูกศรพวกนี้ดูเหมือนว่าจะพุ่งออกมาจากกลไกกับดักที่ซ่อนไว้ในห้อง!
ฟิ้ว ฟิ้ว…
ลูกศรหน้าไม้เหล่านี้มีความหนาเท่าแขนของเด็กทารก!
ภายใต้แรงดีดจากกลไก ความเร็วของลูกศรพวกนี้จึงเร็วกว่าลูกศรที่ออกจากหน้าไม้ที่ใช้คนยิงเป็นอย่างมาก! มันเร็วจนมีเสียงหวีดหวิวในขณะที่พุ่งผ่านอากาศ!
แต่ในทางกลับกัน เมื่อเผชิญหน้ากับลูกศรขนาดยักษ์เหล่านี้ อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่ได้เคลื่อนไหวเลย! เขายืนนิ่งอยู่เฉย ๆ ราวกับว่าต้องการจะรับการโจมตีนี้ตรง ๆ!
ท่ามกลางเสียงคำรามของลูกศรขนาดยักษ์ จู่ ๆ เสียงแตกระเบิดของลูกศรก็ดังลั่นห้อง ลูกศรแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทันทีหลังจากที่สัมผัสกับม่านพลังวิญญาณที่คุ้มกายอวี้ฮ่าวหราน!
ผลลัพธ์จากแรงปะทะส่งผลให้มีคลื่นกระแสลมแรงระเบิดออกทุกทิศทาง พังโต๊ะ เก้าอี้ และแจกันที่อยู่รอบ ๆ กระจุยกระจายยับเยิน!
อย่างไรก็ตามภายใต้ผลกระทบนี้ อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย และยังคงสาวเท้าเดินช้า ๆ เข้าไปด้านในคฤหาสน์ต่อไป!
ระหว่างทางเดิน มีกับดักและนักฆ่าที่ซุ่มโจมตีตลอดทาง แต่กลับไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้เลย
ในทางเดินที่นำไปสู่ห้องใต้ดินขนาดใหญ่มีกับดักหนาแน่นมากกว่าด้านบนมาก มีแม้กระทั่งกับระเบิดที่ใช้ในทางทหารถูกฝังเอาไว้บางจุดก็มี!
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่ออวี้ฮ่าวหรานเลย!
และในที่สุดเขาก็ได้พบกับเจ้าตำหนักคุมกฎ!
อีกฝ่ายยังคงนั่งหลับตาบ่มเพาะมาจนถึงขณะนี้
อีกฝ่ายเป็นชายชราชุดดำในวัยห้าสิบ ซึ่งแค่ดูจากภายนอกก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา และยิ่งไปกว่านั้นในห้องลับใต้ดินแห่งนี้ก็มีวัตถุโบราณหลายชิ้นที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณ!
“แก…แกบุกเข้ามาเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?!!!”
เขาถูกปลุกให้ตื่นจากการฝึกเพราะเสียงย่ำเท้าของอวี้ฮ่าวหราน และมองดูชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ ไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์พลังภายในหลายสิบคนและกับดักนับไม่ถ้วนจะไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้เลยแบบนี้!
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่ออาการตื่นตระหนกของอีกฝ่าย เขาใช้เนตรเทวะตรวจสอบอีกฝ่ายทันที แล้วก็ได้พบว่าอีกฝ่ายใกล้ที่จะทะลวงระดับการบ่มเพาะขึ้นมาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานเต็มที!
ไม่แปลกเลยที่ในห้องนี้มีวัตถุโบราณที่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่มากมาย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายใช้พวกมันเพื่อช่วยในการทะลวงระดับ
แน่นอนว่าเมื่อเห็นวัตถุโบราณพวกนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ใจเต้นแรงทันที ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าการมาที่นี่ในครั้งนี้ เขาจะได้รับประโยชน์แบบนี้กลับไปด้วย!
แต่อันดับแรกเขาต้องเหยียบมดที่อยู่ข้างหน้าให้ตายก่อน
“แกเป็นเจ้าตำหนักคุมกฎใช่ไหม?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถาม
“หึหึ ไอ้หนู! แกอย่าได้ใจไปนัก ถึงแม้ว่าแกจะฆ่าลูกน้องของฉันได้หมด แต่ฉันไม่ได้อ่อนแอเหมือนลูกน้องของฉัน ต่อหน้าฉัน แกมันก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่รอให้ฉันเชือด!”
ชายชราผู้นี้เป็นคนที่มีสันดานโหดเหี้ยมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเขาโดนอวี้ฮ่าวหรานขัดจังหวะการทะลวงระดับของเขา ก็ยิ่งตั้งใจแน่วแน่ว่าจะฆ่าอวี้ฮ่าวหรานให้ได้!
ในเวลานี้ แม้ว่าตัวเองจะสูญเสียโอกาสในการเข้าทะลวงสู่ขอบเขตก่อรากฐาน แต่ภายใต้พลังวิญญาณที่ท่วมท้นซึ่งหลงเหลือจากการเตรียมทะลวงระดับแล้วไม่ได้ใช้ เขาจึงได้รับความแข็งแกร่งของขอบเขตก่อรากฐานระดับแรกมาชั่วคราว!
“ไอ้หนู! วันนี้แกตายแน่!”
เจ้าตำหนักคุมกฎค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยรัศมีพลังอันน่าสะพรึงกลัว!
ถึงแม้ว่าขณะนี้ในร่างกายของเขาจะพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยพลังมหาศาล แต่ใบหน้าของเขากลับซีดเซียวอย่างมาก
เนื่องจากล้มเหลวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับ นับจากนี้เจ้าตำหนักคงจะต้องรอไปอีกอย่างน้อยสองหรือสามปีกว่าจะฟื้นตัว และเริ่มขั้นตอนทะลวงระดับได้อีกครั้ง แถมโอกาสสำเร็จที่จะทะลวงระดับในครั้งต่อไปก็มีน้อยลงไปอีก
และทั้งหมดนี้เป็นเพราะชายหนุ่มตรงหน้า!
“ฉันจะตัดแขนขาของแกออก จากนั้นจะเอาร่างของแกไปแช่ในน้ำเกลือ และลอกหนังของแกทั้งเป็น!!”
เขาตวาดอย่างดุเดือด
“แกจะต้องโหยหวนทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดอ้อนวอนขอความตายจากฉันผู้นี้!”
ในทางกลับกัน เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
“แกคิดว่าจะเอาชนะฉันได้จริง ๆ เหรอ?”
“ฮ่า ๆ มั่นใจไหมงั้นเหรอ? แกคิดว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของแกที่ยังอยู่แค่จุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายในจะสามารถต่อกรกับฉันผู้นี้ที่ก้าวขาเข้ามาครึ่งก้าวในขอบเขตที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่อาจก้าวผ่านได้งั้นเหรอ?”
ชายชราเยาะเย้ย การที่ตอนนี้เขามีพลังของขอบเขตก่อรากฐานชั่วคราวทำให้เขามั่นใจอย่างยิ่ง
เท่าที่เดา อีกฝ่ายน่าจะอยู่ในระดับจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายในเป็นอย่างมากที่สุด ดังนั้นเขาควรจะเอาชนะได้อย่างสบาย ๆ จริงไหม?
“ขอบเขตที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่อาจก้าวผ่านได้งั้นเหรอ ฮ่า ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างประชดประชันเมื่อเห็นความมั่นใจที่มากล้นของอีกฝ่าย
คนที่มีพลังแค่ขั้นแรกของขอบเขตก่อรากฐานแถมยังเป็นแบบชั่วคราวกลับแสดงความมั่นใจต่อหน้าเขา?
นี่มันไร้สาระสิ้นดี!
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ไม่ใช่แค่ฉันจะฆ่าแก แต่ครอบครัวของแกทั้งหมดจะถูกฉันถลกหนังทั้งเป็นด้วย!!”
เมื่อได้ยินการเสียดสีของอีกฝ่าย ชายชราก็ยิ่งโกรธและอยากแก้แค้นให้สุดโต่งมากขึ้น แต่ในทันทีที่หลังจากที่เขาพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน!
ร่างของอวี้ฮ่าวหรานเคลื่อนที่เร็วราวกับสายฟ้าฟาด เขาพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ในชั่วพริบตาแล้วชกหมัดออกไปอย่างรุนแรง!
ปัง!
การปะทะกันระหว่างพลังวิญญาณและพลังวิญญาณทำให้เกิดคลื่นระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งกวาดไปทั่วทั้งห้องใต้ดินทันที!
ยกเว้นแต่พวกวัตถุโบราณที่ถูกเก็บรักษาในตู้กระจกนิรภัยอย่างดี พวกโต๊ะและเก้าอี้ในห้องลับต่างก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ!
ชายชราตอบโต้กลับสุดกำลังของเขา แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายน่ากลัวกว่าที่เขาคิดมาก!
อั่ก!
ด้วยหมัดอันรุนแรงของอวี้ฮ่าวหราน ชายชราจึงถูกผลักออกไปไกลถึงเจ็ดแปดเมตร!
“มีความแข็งแกร่งเท่าหางอึ่ง แต่กลับกล้าโอ้อวดต่อหน้าฉันผู้นี้งั้นเหรอ! แกนี่มันไม่ต่างอะไรกบในกะลาเอาซะเลย! ”
แววตาของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชามากกว่าเดิมในเวลานี้ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ แต่อีกฝ่ายกลับข่มขู่สมาชิกในครอบครัวของเขา ดังนั้นเขาจึงจู่โจมอย่างกะทันหันด้วยความโกรธ!
โชคดีที่ชายชรามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับขอบเขตก่อรากฐานขั้นที่หนึ่ง ไม่เช่นนั้น หากเป็นก่อนหน้านี้ที่เขามีความแข็งแกร่งแค่จุดสูงสุดของพลังภายในก็อาจถูกชกตายในทันที!
“แกไม่ควรคุกคามครอบครัวของฉัน แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดก็ตาม!”
อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาและเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างช้า ๆ
ชายชราตกใจและหวาดกลัว!
ตามความคิดและความเข้าใจของเขา เข้าใจว่าในตอนนี้เขามีพลังเทียบเท่ากับผู้ที่หลุดพ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขากลับไม่สามารถเอาชนะชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาได้!?
แถมอีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งกว่าเขามาก!
แค่หมัดเดียวก็ทำให้ตัวเองเจ็บปวดอย่างมาก ราวกับว่าร่างกายเขากำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“แก…แกเป็นมนุษย์หรือเป็นปีศาจกันแน่?!!”
เขามองดูชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อ ความกลัวและความตื่นตระหนกในใจของเขาถึงขีดสุด!
“เป็นไปไม่ได้เลยที่แกจะมีพลังขนาดนี้ในวัยเท่านี้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!!”
เส้นผมขาว ๆ ของชายชราเริ่มร่วงหล่น เขาสูญเสียความมั่นใจเดิมไปอย่างรุนแรง และตะโกนขึ้นด้วยความไม่เชื่อ
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่าย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“สมแล้วที่แกอยู่ในองค์กรที่เรียกตัวเองว่าเป็นงู! สัตว์เลื้อยคลานตาบอดอย่างแกไม่มีทางมองเห็นความกว้างใหญ่ของท้องฟ้าได้ต่อให้แกจะพยายามแค่ไหนก็ตาม!”
โลกนี้มักจะคาดเดาความแข็งแกร่งจากอายุของผู้บ่มเพาะ
แต่ในดินแดนแห่งเทพ โอรสสวรรค์บางคนแค่เพียงตอนเพิ่งเกิด พวกเขาก็มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวจนสามารถบดขยี้มนุษย์ธรรมดาให้ตายได้ด้วยเพียงการเหลือบมอง!
“ตาย!”
ดวงตาของชายชรายังคงเหม่อลอย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้เข้ามา เขาก็ได้สติและใบหน้าของตัวเองก็เคร่งเครียดในทันใด มีดสีดำทมิฬที่คมกริบก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของเขาอย่างฉับพลัน!
ภายใต้แรงกระตุ้นของพลังวิญญาณ ความเร็วของมีดนั้นเหนือกว่ากระสุนใด ๆ จนการมองด้วยตาเปล่าไม่มีทางมองตามทันได้เลย!
และหลังจากนั้นชายชราก็พุ่งพรวดตามมีดที่ถูกซัดออกไปอย่างดุร้าย!
ด้วยระยะทางไม่กี่เมตรเช่นนี้ การโจมตีอย่างกะทันหันแบบนี้มันคือการลอบจู่โจมที่สมบูรณ์แบบ!
ชายชราอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในใจ
ฮ่า ๆ แข็งแกร่งกว่าฉันแล้วมันยังไง? คนหนุ่มอย่างแกไม่มีทางมีประสบการณ์เหนือกว่าฉันไปได้แน่นอน!
แต่เขาไม่รู้เลยว่า อวี้ฮ่าวหรานไม่เคยประมาทเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู!
อวี้ฮ่าวหรานเห็นทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
‘ปั่บ!’
ทันใดนั้นเสียงที่คมชัดก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องใต้ดิน!
ฉากที่เห็นทำให้ชายชรากลัวจนแทบหยุดหายใจปรากฏขึ้น!
ชายหนุ่มตรงหน้าจับมีดบินได้อย่างง่าย ๆ ด้วยมือเปล่าเพียงข้างเดียว!!
บทที่ 345 เลี้ยงข้าวขอบคุณ
บทที่ 345 เลี้ยงข้าวขอบคุณ
อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจหลังจากได้ยินการเสนอแนะเรื่องนี้จากปากของอีกฝ่าย อันที่จริงมีเพียงอีกฝ่ายเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด
ความเข้าใจของคนนอกอย่างเขาเกี่ยวกับบริษัทอิงเหมานั้นไม่มีทางดีเท่ากับคนที่สร้างบริษัทอิงเหมาขึ้นมากับมืออย่างหลี่อิงไห่แน่นอน
“เอาละ ถ้าไม่มีอะไรอีกแล้ว นายกลับไปก่อน เอาไว้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมฉันจะให้ผู้จัดการหวังติดต่อไป”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชายหนุ่มจะพึงพอใจในการทำงานของอีกฝ่าย เขาก็ยังไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงอยากให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหน้าโดยเร็วที่สุด
“ค…คืออันที่จริงผมมีอีกเรื่องอยากจะถาม…”
หลี่อิงไห่รีบพูดเมื่อเห็นว่าตัวกำลังโดนไล่
“พูด!” อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว
“คือเลขาของผม หลังจากที่ผมสูญเสียอำนาจในบริษัทไป เธอก็ถูกไล่ออกเพราะเธอเป็นคนใกล้ชิดของผมในอดีต”
หลี่อิงไห่ค่อย ๆ พูดเรื่องที่คาใจ
“ผมไม่มีบุตร และการที่ผมมักจะพาเด็กสาวคนนั้นไปไหนต่อไหนด้วย ผมก็เลยผูกพันกับเธอจนแทบจะมองเธอเป็นลูกสาว เด็กสาวคนนั้นจำเป็นต้องหารายได้จุนเจือครอบครัวของเธอ แต่ตอนนี้เธอถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว เธอจะสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลของแม่ได้อย่างไร?”
“นายหมายถึงผู้หญิงที่เผชิญหน้ากับฉันในวันนั้นใช่ไหม?”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับแสดงสีหน้าสนใจ
“วันนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจจะโต้แย้งกับคุณ เด็กคนนั้นแค่อารมณ์ร้อนไปหน่อย เธอก็เลยทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด ประธานอวี้โปรดให้อภัยเธอสักครั้งได้ไหม?”
ในเวลานี้ หลี่อิงไห่วิงวอนอย่างถึงที่สุด ท่าทางของเขาอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง
“ได้โปรดช่วยผมเรื่องนี้สักหน่อยได้ไหม อย่างน้อย ๆ ผมก็เป็นคนตระกูลหลี่เช่นกัน”
เมื่อฟังถึงประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชา
“นายจำสิ่งที่นายทำในบ้านตระกูลหลี่ก่อนหน้านี้ได้ไหม?”
“ในตอนนั้น นายทำให้ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนว่านายเป็นคนที่คิดแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น นายไม่ปรานีใครเลยแม้กระทั่งคนตระกูลเดียวกันเองเมื่อพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ เอาล่ะ ทีนี้บอกฉันที ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าคนที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์อย่างนายจะเป็นคนที่มีจิตคิดห่วงใยผู้หญิงที่ไม่ใช่ญาติและไม่มีเหตุผลที่มากพอแบบนี้?”
“ผม…”
หลี่อิงไห่พูดไม่ออก เขาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ที่ผ่านมาตัวเขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตระกูลหลี่ ไม่สิ ของตัวเขาเองมากกว่า…
บรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อความเงียบค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหดหู่ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ก็ได้ หลังจากนี้ฉันจะไปครุ่นคิดดูว่าฉันจะสามารถให้อำนาจการตัดสินใจอะไรนายได้บ้าง เพื่อให้นายสามารถทัดทานการตัดสินใจของพวกผู้บริหารเก่าของนายได้ แต่อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่หดหู่อย่างรุนแรง อวี้ฮ่าวหรานจึงมีความคิดอยากให้โอกาสอีกฝ่ายอีกครั้ง
“หืม? คุณ…คุณตกลงงั้นเหรอ?”
หลี่อิงไห่รู้สึกเหลือเชื่อเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่
“ใช่ นายออกไปได้แล้ว!”
ถึงแม้ว่าจะยอมให้โอกาส แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเหมือนเดิม
“ขอบคุณ! ขอบคุณ! ประธานอวี้!”
หลังจากที่หลี่อิงไห่ได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ ตัวของเขาก็สั่นเทิ้มด้วยความดีใจ เขาขอบคุณอย่างซาบซึ้งและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ประตูห้องปิดลง อวี้ฮ่าวหรานก็นั่งครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ
เขารู้มานานแล้วว่าหลายคนในโลกนี้หรือไม่ว่าโลกไหนก็ไม่สามารถถูกสรุปได้ว่าเลวโดยสมบูรณ์หรือดีหมดจด
ถ้าเขาไม่เห็นความบริสุทธิ์ในแววตาของเลขาสาวคนนั้นที่พยายามจะช่วยเจ้านายของตัวเอง ป่านนี้หลี่อิงไห่ก็คงเริ่มไปนั่งขอทานตามถนนแล้วในเวลานี้
ตระกูลหลี่ไม่มีวันยอมปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่อย่างสุขสบาย
อันที่จริง หลี่อิงไห่ไม่ควรจะขอบคุณเขา แต่ควรจะไปขอบคุณเลขาหญิงคนนั้นที่ช่วยพูดให้มากกว่า
หลังจากจัดการเรื่องหลี่อิงไห่เรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ของบริษัทต่อไป
“ท่านประธาน มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอพบท่านครับ”
ก่อนเที่ยง ผู้จัดการหวังเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้จัดการหวังจะพูดอะไรมากกว่านี้ หญิงสาวที่เดินตามมาก็เดินแทรกเข้ามาในห้องแล้ว
“ฮ่าวหราน!”
คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น เธอคือเฉิงชิวอวี้ที่เพิ่งพบกันเมื่อวานนี้
“หืม? คุณมาได้ยังไง?”
อวี้ฮ่าวหรานผงะเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายจะมาพบเขาในวันนี้
หลังจากมองขึ้นมองลง วันนี้อีกฝ่ายสวมกระโปรงสั้นสีฟ้าอ่อน ซึ่งทำให้เธอดูเซ็กซี่มากกว่าปกติ
ชุดนี้สามารถทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ตาถลนได้ง่าย ๆ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองรู้จักกัน ผู้จัดการหวังจึงเดินออกจากห้องไปและปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา
จนกระทั่งประตูปิด เฉิงชิวอวี้ก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามโต๊ะของอวี้ฮ่าวหราน
“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ? ฉันมาที่นี่เพื่อมาขอบคุณคุณที่ช่วยฉันอีกครั้งเมื่อวานนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ พ่อกับฉันคงตายไปแล้ว”
เธอจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าเธออย่างฉงน มองดูเขานั่งอยู่บนเก้าอี้สำนักงานและกำลังตรวจสอบเอกสาร มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะจับคู่ฉากสังหารโหดของอีกฝ่ายเมื่อวานนี้กับภาพลักษณ์ช่วงเวลานี้
“ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงพวกมันมาที่นี่เพราะผมตั้งแต่แรก”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างสบาย ๆ เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องที่เขาช่วยอีกฝ่ายเมื่อวานเป็นเรื่องใหญ่
“ไม่ ฉันได้ยินมาว่าอสรพิษเงินรู้จักพ่อของฉันมาก่อน อสรพิษเงินจึงพุ่งเป้ามาที่พ่อของฉันโดยตรง และไม่ว่าจะยังไง คราวนี้ที่ฉันรอดมาได้มันเป็นเพราะคุณในท้ายที่สุด!”
เมื่อเฉิงชิวอวี้ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เธอส่ายหัวเบา ๆ และลุกขึ้นยืนเปลี่ยนไปนั่งบนโต๊ะทำงานของอวี้ฮ่าวหรานแทน และโน้มตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเย้ายวน
“ไม่รู้แหละ วันนี้คุณต้องให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณ!”
หลังจากนั้น เธอก็กึ่งนั่งกึ่งนอนราบไปบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสาร และทำหน้าวิงวอน
ในความคิดของเธอตอนนี้ ถ้ามีคนนอกเปิดประตูมาเห็นภาพนี้ คงไม่รู้ว่าเธอจะอธิบายอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
อวี้ฮ่าวหรานปวดหัวกับเรื่องนี้
“ถ้าเป็นการนัดกินข้าวแค่คุณโทรมาผมก็ตกลงแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้ก็ได้นี่นา”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เฉิงชิวอวี้ก็ทำหน้ามุ่ยทันที
“ไม่มีทางแน่นอน! ถ้าฉันแค่โทรหา คุณไม่มีทางตกลงไปกินข้าวกับฉันแน่ ๆ ฉันรู้จักนิสัยของคุณดี!”
ก่อนหน้านี้เธอถูกปฏิเสธมาแล้วสองถึงสามครั้ง!
“วันนี้พ่อของฉันให้ฉันหยุดพิเศษหนึ่งวัน โอกาสที่ฉันจะว่างแบบนี้หาได้ยาก ดังนั้นคุณต้องตอบตกลงอย่างเดียว!”
ดวงตาที่งดงามของเธอจับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามราวกับว่าเธออยากจะมองเขาให้มากที่สุดไม่อยากขยับหนีไปไหนเลย
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ และพบว่ามันใกล้เที่ยง เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงลอบถอนหายใจก่อนที่จะวางเอกสารในมือลงที่โต๊ะและเอ่ยขึ้น
“อืม นี่ก็เที่ยงแล้วพอดี ถ้างั้นพวกเราไปหาอะไรกินกัน มาดูกันว่าคุณหนูเฉิงจะพาผมไปกินอะไร”
เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและตอบรับคำเชิญ
“คุณสัญญาแล้วนะว่าจะไป!”
เฉิงชิวอวี้ยิ้ม
“แน่นอนสิ นี่ไง ผมกำลังจะไปกับคุณแล้ว ตอนนี้มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? แต่คุณเป็นคนเลือกนะว่าจะกินอะไร”
“ได้เลย พวกเราไปกันเลย!”
จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินออกจากห้อง
แต่ระหว่างที่พวกเขาเดินในบริษัท เฉิงชิวอวี้ก็รวบรวมความกล้าและคล้องแขนของอวี้ฮ่าวหรานโดยไม่ถามก่อนเลย
ฉากนี้ทำให้พนักงานในบริษัทกระซิบกระซาบกันอย่างเมามัน
บทที่ 336 ตำแหน่งงานเฉพาะ
อวี้ฮ่าวหรานรีบส่งถวนถวนและขับรถไปที่เครือฮ่าวหราน
เมื่อวานเขาลืมบอกอีกฝ่ายว่าปกติเขาไม่ได้เข้าบริษัทเร็วเหมือนคนอื่น
ปกติกว่าเขาจะเข้าบริษัทก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าเพราะต้องส่งถวนถวน ก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่เขามาถึงบริษัท อวี้ฮ่าวหรานก็ตรงไปที่ออฟฟิศของหลี่จิงเทียน ทันที
เดิมทีเขากังวลว่า หลี่จิงเทียนจะทำให้ทั้งสองพ่อลูกอึดอัดใจ แต่ไม่นึกเลยว่าพอเขาไปถึง เขากลับเห็นว่าหลี่จิงเทียนกำลังพูดคุยกับสองพ่อลูกเป็นอย่างดีและดูสนิทสนม…
“…พี่เขยของฉันมีโด่งดังและเก่งสุด ๆ ก่อนหน้านี้ตระกูลหลี่ของเรา…”
ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงคุยโวของหลี่จิงเทียน
“หลี่จิงเทียน!”
“พ…พี่เขย…”
เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของอวี้ฮ่าวหราน หลี่จิงเทียนก็หยุดชะงักในทันที
หลังจากเห็นว่านอกเหนือจากการคุยโวแล้ว หลี่จิงเทียนก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย อวี้ฮ่าวหรานจึงรู้สึกโล่งใจ
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เข้าคุกไป หลี่จิงเทียนก็เปลี่ยนไปมากพอสมควร
อย่างน้อยทุกครั้งที่เจอหน้ากัน หลี่จิงเทียนก็ทำตัวเรียบร้อยขึ้นมาก
“อวี้ฮ่าวหราน คุณ…ในที่สุดคุณก็มา”
สวีรุ่ย ยืนขึ้นทันทีที่เธอเห็นอีกฝ่ายมาถึง
“อืม เมื่อวานผมรีบไปหน่อยเลยไม่ได้แจ้งกับคนในบริษัทเอาไว้ก่อนว่าพวกคุณจะมาหาผม”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า เขารู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ
“ม…ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะหยุดเรา แต่เขาก็สุภาพกับเรามาก เช่นเดียวกับรองประธานหลี่ เขากำลังเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับบริษัทเมื่อสักครู่นี้”
สวีรุ่ยพยักหน้าและไม่ได้พูดถึงตอนที่หลี่จิงเทียนทำตัวหยาบคายกับเธอและพ่อเมื่อตอนที่อยู่หน้าประตูแรก ๆ
“ช…ใช่! ผมดูแลแขกของพี่เขยอย่างดีที่สุด ทันทีที่ผมเจอแขกของพี่เขยที่ประตู…ผม…ผมก็ต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีจริง ๆ นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จิงเทียนก็รีบเอ่ยเสริมปกปิดช่วงที่เขาทำพลาดไป
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองคนอื่นอย่างไม่เป็นมิตร
“ฮึ่ม นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายเป็นคนยังไง!”
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าน้องภรรยาตัวแสบของเขาคนนี้ไม่ได้พูดจริงทั้งหมด และพยายามพูดเอาดีเข้าตัวแบบเต็ม ๆ
หากหลี่จิงเทียนปฏิบัติตัวดีอย่างที่พูดทั้งหมด สวีรุ่ยก็คงไม่น่าจะโทรหาเขาในตอนนั้น เพื่อให้เขาช่วยอธิบายเรื่องการมาของเธอและพ่อ
อย่างไรก็ตาม หลี่งจิงเทียนก็พัฒนาตัวเองได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน พอรู้ว่าตัวเองกำลังทำผิดก็รีบแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองทันที ซึ่งดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่คิดอยากเอาเรื่องน้องภรรยาของเขาคนนี้อีก
“พวกคุณมากับผม เดี๋ยวผมจะพาไปหาผู้จัดการหวัง ให้เขาดูว่างานประเภทไหนที่เหมาะสมกับคุณ”
หลังจากทักทายกันเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็พาทั้งสองออกจากออฟฟิศของ หลี่จิงเทียน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานพาคู่พ่อลูกจากไป หลี่จิงเทียนก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขากลัวจริง ๆ ว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาจะทำให้พี่เขยไม่พอใจ จนเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกรอบ
หลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาก็ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตของเขาดีแค่ไหน
เขาไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ มีแต่คนยกยอเขา แถมเงินเดือนของเขาก็สูงปรี้ดและโอนเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติเมื่อครบเดือน โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเหมือนตอนที่เขาอยู่บ้านกับพ่อตัวเอง
มันช่างเป็นชีวิตที่ไร้กังวลอะไรแบบนี้!
และที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับการอยู่ในคุก ความแตกต่างนี้มันเปรียบได้กับสวรรค์และขุมนรก!
“เฮ้อ…ก่อนหน้านี้ฉันคิดบ้าอะไรของฉันกันหว่า? ไหงฉันถึงทำตัวหาเรื่องเดือนร้อนแบบนั้นไปได้?”
เขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาพลางพึมพำและถอนหายใจ
ในอีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็พาคู่พ่อลูกเข้าไปในออฟฟิศของเขา
“นั่งลงก่อน เมื่อครู่ผมเรียกให้คนที่จะคอยดูว่าพ่อของคุณเหมาะกับตำแหน่งงานไหนให้มาที่ห้องของผมแล้ว”
เขาผายมือให้ทั้งสองคนนั่งลง และสวีเซี่ยงจวินก็ขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ ประธานอวี้! ผมขอสาบานว่าหลังจากนี้ผมจะตั้งใจทำงาน ผมจะหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อให้รุ่ยเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!”
เขายังไม่ได้นั่งลงตามที่อวี้ฮ่าวหรานเพิ่งบอก แต่เขาโค้งตัวขอบคุณอย่างจริงจังเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างแท้จริง
“อืม ไม่เป็นไร”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง เรื่องนี้สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายทำตัวมากพิธีกับเขานัก
สักพัก ผู้จัดการหวังก็เดินเข้ามาในห้อง
“ประธานอวี้ ท่านกำลังตามหาผมอยู่หรือเปล่า?”
เขาเห็นคนอีกสองคนที่นั่งอยู่ในออฟฟิศได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงดูสับสนเล็กน้อย
“เอาล่ะ มีบางอย่างที่ผมอยากจะให้คุณช่วยจัดการให้สักหน่อย คุณช่วยดูให้ทีว่าชายคนนี้เหมาะกับงานประเภทไหนในบริษัทของเราที่สุด”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและส่งสัญญาณให้ผู้จัดการหวังให้ความสนใจกับสวีเซี่ยงจวิน
“ให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ดีมากกว่าพนักงานทั่วไปสักหน่อยก็แล้วกัน”
“ม…ไม่ อย่าดีกว่าครับประธานอวี้! ความสามารถของผมมีจำกัด แค่ให้ตำแหน่งงานปกติกับผมก็พอ”
สวีเซี่ยงจวินโบกมืออย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ในทางกลับกัน เมื่อผู้จัดการหวังได้ยินคำสั่งนี้ เขาก็มองคู่พ่อลูกคู่นี้ด้วยความสงสัย มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำให้ประธานของเขาเอ่ยปากพูดเป็นการส่วนตัวให้แบบนี้
คำสั่งนี้เขาจำเป็นต้องจัดการให้ถี่ถ้วน!
โชคดีที่เขารู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัท ซึ่งในไม่ช้าเขาก็มีทางเลือกหลายทางในใจ
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ เขาต้องถามคุณสมบัติของอีกฝ่ายก่อน
ถึงแม้ว่าประธานของเขาจะต้องการมอบตำแหน่งดี ๆ ให้กับคน ๆ นี้ แต่คนผู้นี้ก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งงานนั้น ๆ ได้เหมาะสมเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของประธานของเขาเสียหายได้
“ผมขอถามคุณสักหน่อย ปัจจุบันคุณจบการศึกษาถึงระดับไหน?”
“การศึกษา? เอ่อ…ผมแค่…ผมเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษา แต่ผมอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี และผมสามารถเป็นคนขนของในสายการผลิตทั่วไปได้!”
สวีเซี่ยงจวินตอบกลับอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำถาม
ผู้จัดการหวังไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย คนรุ่นก่อน ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็จบระดับการศึกษาแค่ชั้นประถมเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“เราพอจะมีตำแหน่งที่เหมาะสมกับเขาไหม?”
“แน่นอนว่ามีครับท่านประธาน บริษัทของเราเพิ่งขยายฝ่ายการผลิตเพิ่มเกือบสองเท่าจากเดิม ดังนั้นเราจึงยังขาดอีกหลายตำแหน่งที่ต้องการจ้างเพิ่ม ในเมื่อท่านต้องการจ้างชายคนนี้ผมจึงขอแนะนำให้เขารับตำแหน่งพนักงานดูแลความเรียบร้อยโกดังสินค้าใหม่ของเราที่เพิ่งสร้างเสร็จ”
ผู้จัดการหวังวางตำแหน่งให้สวีเซี่ยงจวินได้อย่างรวดเร็ว
“งานนี้ไม่ยากเย็นอะไร เนื้องานเป็นแค่การตรวจสอบรถที่เข้าออกโกดัง และตรวจดูคนขับรถว่ามีบัตรผ่านรึเปล่าก็แค่นั้น หรือบางครั้งอาจจะมีคำสั่งพิเศษให้ทำบ้างประปราย และชั่วโมงการทำงานก็แค่แปดชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ เงินเดือนที่เขาจะได้รับยังสูงกว่าพนักงานในสายการผลิตทั่วไปถึง 50%”
ผู้จัดการหวังมองดูสีหน้าของเจ้านายตัวเองตลอดเวลาในระหว่างที่เขาอธิบายเงินเดือนและข้อกำหนดของตำแหน่งนี้โดยละเอียด
งานนี้เรียกได้ว่าดีมากเลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้ว เวลาผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ มอบตำแหน่งงานให้ญาติพี่น้องของตัวเอง พวกเขามักจะมอบตำแหน่งประมาณนี้ให้
หลังจากฟังจบ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขารู้สึกว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ไม่สูงเกินไปไม่ต่ำเกินไป และมองไปที่สวีเซี่ยงจวินที่อยู่ด้านข้าง
“ฉันคิดว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ว่าแต่นายว่ายังไง?”
“แน่นอน! มันดีมาก ๆ เลย! ผมยินดีทำอย่างแน่นอน!”
สวีเซี่ยงจวินรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้งานตำแหน่งดีขนาดนี้!
นี่ดีกว่างานก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่เขาเคยทำมา!
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้ หลังจากนี้ผมขอรบกวนคุณด้วยก็แล้วกันผู้จัดการหวัง”
อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้า บทสรุปนี้ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อสวีเซี่ยงจวินมีรายได้ ชีวิตของสวีรุ่ยก็จะดียิ่งขึ้น
หลังจากได้ยินคำสั่ง ผู้จัดการหวังก็ส่งสัญญาณให้สวีเซี่ยงจวินเดินตามเขาออกไป
“ตามผมมา โกดังอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวผมจะพาไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ทำงานและรายละเอียดของหน้าที่ที่คุณจำเป็นต้องรู้”
อวี้ฮ่าวหรานมองดูทั้งสองคนออกไป และหลังจากที่ประตูออฟฟิศปิดลง เขาจึงมองไปที่สวีรุ่ย
บทที่ 337 การกลับมาขององค์กรอสรพิษ
บทที่ 337 การกลับมาขององค์กรอสรพิษ
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายและถามขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง? เดือดร้อนเรื่องอะไรบ้างรึเปล่า?”
“ไม่…ไม่มีอะไรอีกแล้ว เรื่องเดียวที่ฉันไม่สบายใจคือการเห็นพ่อของฉันนั่งกังวลอยู่ที่บ้านทุกวันแค่นั้น ฉันขอบคุณคุณมากจริง ๆ”
สวีรุ่ยเอ่ยขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าเขารวย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อเห็นความใหญ่โตของบริษัทของอีกฝ่าย
ที่นี่น่าจะมีคนทำงานเป็นพันคน ซึ่งเมื่อเทียบกับโรงเรียนอนุบาลเธอที่มีคนทำงานยังไม่ถึงยี่สิบคน มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ไม่เป็นไร สำหรับผมเรื่องนี้มันเล็กน้อยมาก ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณที่บ้านเอง พ่อของคุณจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับงานจนถึงช่วงเย็น คุณรอเขาไม่ไหวหรอก”
เมื่อเห็นการขอบคุณที่จริงใจของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยและเริ่มพูด
“ฉ…ฉันกลับเองดีกว่า”
ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธ แต่สีหน้าของเธอกลับดูมีความสุข
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เช้า ๆ แบบนี้ผมไม่มีงานอยู่แล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานไม่พูดอะไรต่ออีก เขาก็เดินไปเปิดประตูออฟฟิศของตัวเองแล้วผายมือเชิญอีกฝ่ายให้ออกไปกับเขา ซึ่งทำให้สวีรุ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินตามออกไป
อวี้ฮ่าวหรานให้อีกฝ่ายไปรอเขาที่หน้าประตูตึกสำนักงาน ส่วนตัวเขานั้นลงไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อขับรถขึ้นมารับ
สวีรุ่ยรออยู่ที่บริเวณแถวหน้าประตูทางเข้าตึก แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแมวร้อง
“หืม? เสียงแมวนี่นา”
จากนั้นจู่ ๆ แมวสีขาวตัวน้อยก็โผล่ออกมาจากกอหญ้าในสวนหน้าตึก
ทันทีที่เธอเห็นแมวน้อยน่ารักตัวนี้ สวีรุ่ยก็ย่อตัวลงไปลูบไล้มัน
แมวสีขาวตัวนี้ไม่กลัวคนเลย หางของมันปัดป่ายไปมาและมันเอาหัวของมันถูมือของสวีรุ่ยอย่างเป็นมิตร
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมาจอดที่หน้าประตูตึก
จากระยะไกล เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สวีรุ่ยกำลังลูบแมวขาวด้วยสีหน้ามีความสุข เขาจึงลงจากรถและเดินเข้าไปถาม
“คุณชอบแมวงั้นเหรอ?”
“ใช่ ฉันอยากเลี้ยงมันมาก่อน แต่พ่อของฉันไม่เคยหางานที่มั่นคงทำได้เลย ดังนั้นฉันเลยไม่กล้าเลี้ยงเพราะกลัวว่ามันจะอดอยาก…”
สวีรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองอวี้ฮ่าวหราน แม้ว่าในใจของเธอจะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่เธอก็พร้อมที่จะจากไป
“ถ้าชอบก็เก็บไว้ แมวตัวนี้มันคือแมวจรจัดที่ชอบแอบเข้ามาในบริษัท”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ
“หืม? ฉัน…ฉันเลี้ยงมันได้งั้นเหรอ?”
สวีรุ่ยไม่แน่ใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“แน่นอน ตอนนี้พ่อของคุณมีงานที่มั่นคงทำแล้ว ดังนั้นอนาคตของคุณมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แค่เลี้ยงแมวตัวเดียวไม่มีปัญหาหรอก!”
หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานพูดให้ความมั่นใจ สวีรุ่ยก็ก้มลงอุ้มแมวขึ้นมาด้วยสีหน้าเบิกบาน
จากนั้นทั้งสองก็ออกจากบริษัทไป
…
อีกด้านหนึ่ง ภายในบริษัทชิวเฮิง
บรรยากาศในชั้นบนสุดของบริษัทเวลานี้มีบางอย่างผิดปกติ!
ทั้งชั้นเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ!
อย่างไรก็ตาม หากมองดี ๆ พนักงานทุกคนในชั้นนี้ต่างผล็อยหลับกันทุกคนโดยไม่ทราบสาเหตุ!
ภายในห้องประธานบริษัท
“พ…พวกนายกล้าบุกเข้ามาที่นี่ได้ยังไง!?”
เฉิงกัวอันมองดูสามคนข้างหน้าเขาด้วยความโกรธ
“น่าตลกสิ้นดี! แกคิดว่าแกเป็นใคร? ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนั้นปกป้องแก สาขาของเราในเมืองนี้ก็สามารถลบแกออกไปจากโลกได้อย่างง่ายดาย!”
ชายร่างผอมราวกับกิ่งไม้เอ่ยขึ้นอย่างถากถาง
ชายใส่สูทดำทั้งสามคนยืนขวางอยู่ที่ประตูห้อง กลิ่นอายที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นพิษ
“อสรพิษเงิน! ฉันรู้ว่าแกไม่พอใจกับการที่ฉันถอนตัวออกมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ฉันเองก็ทำลายจุดตันเถียนของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ทำไมแกถึงยังตามล่าฉันอยู่อีก!?”
เฉิงกัวอันจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างดุเดือด
ชายที่ถูกเรียกว่า ‘อสรพิษเงิน’ หัวเราะเบา ๆ
“หึหึ ทำไมฉันถึงต้องตามล่าแกงั้นเหรอ? การที่แกถอนตัวออกจากองค์กรของเราไปแบบนั้น มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสมาชิกขององค์กรคนอื่น ๆ ยังไงล่ะ! หากสมาชิกทุกคนต้องการทำแบบแกบ้าง พวกเราจะเป็นยังไง? องค์กรอันทรงเกียรติของเรามันจะเละเทะขนาดไหนหากมีคนทำแบบแกสักสิบหรือยี่สิบคน?”
ขณะนี้สายตาของอสรพิษเงินเย็นชาเป็นอย่างมาก
“วันนี้ฉันตั้งใจว่าจะยังไม่ฆ่าแกกับลูกสาวที่นี่ และถ้าหากแกให้ความร่วมมือและนำตัวอวี้ฮ่าวหรานมาให้ฉัน บางทีฉันอาจจะปล่อยพวกแกพ่อลูกไปก็ได้!”
“แก! ทำไมแกถึงยังตามจองเวรฉันแบบนี้! ฉันลาออกมาตั้งนานแล้ว! แถมฉันก็ยอมทำลายความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อให้ได้ออกมา!”
เฉิงกัวอันตะโกนอย่างเศร้าโศกและโกรธเคือง
เขาเคยเป็นหัวหน้าสาขาขององค์กรอสรพิษ ดังนั้นเขาจึงรู้จักชายตรงหน้าเขาเป็นอย่างดี
ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของชายผู้นี้ ผู้คนต่างเรียกเพียงชื่อเล่นเท่านั้นซึ่งก็คือ อสรพิษเงิน เขาคือหนึ่งในปรมาจารย์ของตำหนักคุมกฎภายในองค์กรอสรพิษ
เขาคือปรมาจารย์ที่อยู่ในขั้นจุดสูงสุดของพลังภายใน!
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ เฉิงกัวอันจะไม่ทำลายจุดตันเถียนของตัวเอง เขาก็ยังไม่สามารถเป็นศัตรูกับชายคนนี้ได้อยู่ดี
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! มากับพวกฉันแต่โดยดี! ไม่งั้นฉันจะกรอกยาพิษใส่ปากลูกสาวของแก!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินยอมที่จะร่วมมือด้วย อสรพิษเงินจึงข่มขู่อย่างเย็นชา
ในเวลานี้ เฉิงชิวอวี้กำลังนอนสลบไสลอยู่บนโซฟา โดยไม่สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเฉิงกัวอันเห็นเช่นนี้ เขาก็ตื่นตระหนกอย่างมาก เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวของตัวเองต้องมารับเคราะห์จากอดีตอันมืดมนของเขา!
“ได้! ฉันจะไปกับแก!”
เขาตกลงอย่างรวดเร็ว
“แต่แกต้องสาบานว่าแกจะไม่ทำร้ายลูกสาวของฉัน แล้วฉัน…แล้วฉันจะเต็มใจทำทุกอย่างตามที่แกสั่ง”
เมื่อเห็นฉากนี้ อสรพิษเงินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“ตกลงง่าย ๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ทำไมต้องให้ฉันขู่แกอยู่เรื่อยเลย?”
เขาเหลือบมองเฉิงชิวอวี้ซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เขาบนโซฟา
“แต่… ลูกสาวของแกนี่ช่างร้อนแรงจริง ๆ! จิ๊ จิ๊ ฉันล่ะไม่อยากจะปล่อยไปเลย”
“แกกำลังจะทำบ้าอะไร!!”
เฉิงกัวอันตะโกนสุดเสียงด้วยความโกรธเมื่อเห็นแววตาหื่นกระหายของอีกฝ่าย!
เขาอุตส่าห์ยอมตกลงด้วยแล้ว อีกฝ่ายยังจ้องจะเล่นงานลูกสาวของเขาแบบนี้ได้ไง!
“เออ ๆ ฉันยังไม่ทำอะไรลูกสาวของแกหรอก ตราบใดที่แกว่านอนสอนง่าย! แต่หลังจากนี้เมื่อไหร่ที่ฉันบอกให้แกเรียกไอ้อวี้ฮ่าวหรานมา แกต้องทำตามแต่โดยดี ไม่งั้นแล้วล่ะก็…หึหึ”
อสรพิษเงินมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม ชะตากรรมของคู่พ่อลูกนี้ถูกกำหนดไว้นานแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เมื่อไหร่ที่อวี้ฮ่าวหรานถูกฆ่าเรียบร้อย พ่อลูกคู่นี้ก็จะถูกตัดสินโทษให้ตายอย่างอนาถเช่นกัน!
คนที่ถอนตัวจากองค์กรอสรพิษได้มีแต่คนตายเท่านั้น!
“พาพวกมันออกไป!”
หลังจากหยอกล้อเสร็จแล้ว เขาก็สั่งหัวหน้าสาขาอีกสองคนที่มาด้วยกันนำตัวคู่พ่อลูกตระกูลเฉิงออกไป
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานส่งสวีรุ่ยกลับบ้านเรียบร้อย เขาก็หยุดแวะดูโกดังที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่
เขาไม่ได้อยากจะให้ความสำคัญกับสวีเซี่ยงจวินมากนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงชีวิตในอนาคตของสวีรุ่ย เขาจึงจำเป็นต้องให้ความสนใจสักหน่อย
ในไม่ช้ารถสปอร์ตก็หยุดลงใกล้ ๆ กับโกดัง
“งานก็จะมีประมาณนี้ เวลาตอนกลางวันนายต้องคอยเดินตรวจตราทุกระยะ…ตระเวนไปให้ทั่ว…”
ทันทีที่เขามาถึงประตูโกดัง เสียงของผู้จัดการหวังก็ดังขึ้นจากด้านใน
เมื่อผลักประตูเข้าไป อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นว่าสวีเซี่ยงจวินกำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของคน ๆ นี้ยังพอใช้ได้อยู่
ทางด้านของผู้จัดการหวังเมื่อเห็นประธานของตัวเองเข้ามา เขาก็รีบเอ่ยทักขึ้นทันที
“ท่านประธาน สวีเซี่ยงจวินเรียนรู้งานได้รวดเร็วพอสมควร ผมคิดว่าเขามีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับงานที่นี่”
“ผมให้สัญญาว่าผมจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้ท่านประธานผิดหวังแน่นอน!”
สวีเซี่ยงจวินรีบโค้งตัวรับรองทันที มันไม่ง่ายเลยที่จะได้งานดี ๆ แบบนี้
อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่เสแสร้ง สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะราบรื่นกว่าที่เขาคิด
บทที่ 332 กล้าแต่โง่
บทที่ 332 กล้าแต่โง่
ในที่สุดคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็มาถึง และทันทีที่เห็นว่ามีคนมาช่วยแล้ว เฉียนเซาก็มีแรงใจจนสามารถลุกขึ้นได้และวิ่งไปหากลุ่มคนของแก๊งวาฬยักษ์ที่เพิ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าสาขาสวี!! ในที่สุดคุณก็มา ไอ้เวรนี่ไงที่ผมอยากให้คุณช่วยจัดการให้ มันโคตรหยิ่งผยองเลย ช่วยจัดการมันให้ผมที!!”
เฉียนเซาหันศีรษะและชี้ไปที่อวี้ฮ่าวหราน ซึ่งอยู่ไม่ไกลด้วยความโกรธ
ชายหัวล้านรู้สึกรำคาญใจสุด ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาเป็นหัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ชื่อ สวีเปียว
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียนเซามักจะให้ผลประโยชน์แก่เขา เขาก็คงไม่ใส่ใจกับไอ้ขยะอ้วนนี่หรอก
“เออ! เดี๋ยวฉันช่วยเอง! เด็ก ๆ! ไปสอนไอ้เวรนั่นให้รู้ว่าความแข็งแกร่งคืออะไร!”
เขาตะโกนอย่างสบาย ๆ และปล่อยให้ลูกน้องทั้งหมดที่อยู่ข้างหลังเขาจัดการเรื่องนี้แทน
สวีเปียว เป็นคนที่หยิ่งผยองมาก เขาคือปรมาจารย์พลังภายใน หากเขารู้สึกว่าคู่ต่อสู้ไม่คู่ควรให้เขาลงมือเขาจะไม่มีวันเปลืองแรงลงมือเองเด็ดขาด ซึ่งชายหนุ่มตรงหน้าเขานั้นดูมีอายุยี่สิบต้น ๆ ที่ไม่มีพิษสงอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางลงมือเองให้เปลืองแรง
ส่วนเฉียนเซานั้น เมื่อเห็นสิ่งนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากจนอยากจะกระโดดโลดเต้น
ด้วยจำนวนคนของแก๊งวาฬยักษ์มากขนาดนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งแค่ไหนฝั่งของเขาก็ชนะแน่!
ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในคนที่มาคือหัวหน้าสาขาเชียวนะ!
“ไอ้ลูกหมากล้าสู้กับฉันคนนี้แกตายแน่!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างภาคภูมิใจ
ในขณะเดียวกัน สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ก็ค่อย ๆ ตีวงล้อมเข้าหาอวี้ฮ่าวหราน ด้วยสีหน้าน่ากลัวซึ่งถ้าคนธรรมดาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้คงกลัวจนฉี่ราดแล้วแน่ ๆ
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานที่เผชิญกับเหตุการณ์นี้ การแสดงออกของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย อีกทั้งยังยิ้มเยาะอีกฝ่ายด้วย
“เหอะ ๆ แค่มดแมลงอีกฝูงหนึ่งก็แค่นั้น”
เขาจ้องมองอย่างเยาะเย้ย
“แกพูดถึงใครว่าเป็นมดแมลง!”
“แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
เมื่อเห็นท่าทีหยิ่งผยองของอวี้ฮ่าวหราน พวกแก๊งวาฬยักษ์ต่างก็ตะโกนอย่างหงุดหงิด
แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าขณะนี้หัวหน้าสาขาของพวกเขาที่ได้เห็นหน้าชัด ๆ ของอวี้ฮ่าวหรานแล้ว กำลังหน้าซีดเหมือนเป็นไก่ต้ม!
จากสีหน้าที่เย่อหยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกภายในพริบตา!
หลังจากล้มเหลวในการซุ่มโจมตีหวังเหยียนในคืนนั้น เขาก็ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในผับอย่างละเอียดหลังจากนั้น
แม้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดส่วนใหญ่จะถูกทำลายไปแล้ว แต่มันยังมีบางส่วนที่สามารถกู้คืนมาได้ซึ่งมันเป็นภาพที่เห็นหน้าของคนของผู้ที่ฆ่าคนของแก๊งวาฬยักษ์นับร้อยและหัวหน้าสาขาทั้งสี่อย่างชัดเจน!
คนผู้นั้นฆ่าคนของแก๊งเดียวกันกับเขานับร้อยง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!
“น…นายคืออวี้ฮ่าวหราน!!”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และเม็ดเหงื่อจำนวนมากก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน!
ความกลัวกัดกินใจของเขาถึงขีดสุดในทันที!
คน ๆ นี้มันคือดาวหายนะคนนั้น!
ชิบหายแล้วไง!
นี่เขาพาคนมาที่นี่เพื่ออะไร? นี่ฉันกำลังรนหาที่ตายอยู่ชัด ๆ เลย!
อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าสวีเปียวคิดอะไรอยู่ พวกเขาแค่เห็นสีหน้าของลูกพี่ตัวเองจู่ ๆ ก็แข็งทื่อและจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกอย่างหนัก และจู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้หยุด!
“ลูกพี่? เป็นอะไรไปงั้นเหรอ?”
“ลูกพี่เราควรรีบฆ่าไอ้เวรนี่ก่อนที่จะมีรถผ่านมา ส่วนรถสปอร์ตของมันหากเราเอาไปขายคงได้เงินเยอะแยะเลยทีเดียว แถมไอ้พวกลูกคนรวยพวกนี้บอกว่าในรถสปอร์ตนั่นมีผู้หญิงสวยมาก ๆ อยู่ด้วย หลังจากจบเรื่องนี้พวกเราอาจได้ของเล่นเพิ่มมาอีกชิ้น!”
หนึ่งในลูกน้องของสวีเปียวพยายามจ้องมองเข้าไปในรถของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตั้งใจ แต่ด้วยฟิลม์กระจกที่ดำมืดเขาจึงเห็นแค่ลาง ๆ ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะสวยมาก ๆ นั่งอยู่ในรถ
แน่นอนว่านักเลงพวกนี้ชอบเล่นสนุกกับผู้หญิงสวย ๆ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้พวกเขาจะยอมปล่อยซูหว่านเอ๋อไปง่าย ๆ
อย่างไรก็ตาม สวีเปียวยิ่งแสดงสีหน้าตื่นตระหนกมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินลูกน้องของตัวเองเอ่ยขึ้นว่าจะเล่นสนุกกับผู้หญิงของดาวหายนะตรงหน้าเสียงดัง
“ก…แก!! หุบปากไปเดี๋ยวนี้!!”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกน้องตัวเอง เขาทั้งตกใจและโกรธ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ทางด้านของเฉียนเซาที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไร และยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวีเปียว เขาจึงพูดยุยงอีกรอบ
“หัวหน้าสาขาสวี อีกฝ่ายเป็นแค่คนรวยที่ไร้พิษสง…ด้วยความแข็งแกร่งของคุณ คุณสามารถจัดการกับไอ้เวรนี่ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว แต่ก่อนที่คุณจะฆ่ามันผมขอให้คุณช่วยลากมันมาให้ผมกระทืบก่อนสักรอบเถอะ ผมแค้นมันมาก ผมอยากจะทำให้มันเจ็บที่สุดก่อนที่มันจะตาย!”
“หุบปาก!!”
‘ผลั่ก!’
สวีเปียวไม่สามารถเก็บอารมณ์ของตัวเองได้อีกแล้ว เขาเตะไปที่ท้องของเฉียนเซาอย่างแรงจนกลิ้งหลุน ๆ ไปด้านข้าง!
เมื่อได้ยินเฉียนเซาพูดพล่อย ๆ แบบนี้ เขาจึงโกรธจัดจนระเบิดอารมณ์
“นี่…นี่แกจะฆ่าฉันเหรอไง!?”
ด้วยความเดือดดาลและอับอายหลังจากถูกเตะอย่างแรง เมื่อยันตัวขึ้นลุกนั่งได้ เฉียนเซาก็สบถใส่สวีเปียวเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เขาเรียกมาให้ช่วยตัวเองกลับมาเตะเขาจนกลิ้งแบบนี้!
“ฉันเรียกแกมาให้แกฆ่าไอ้ขยะนั่น แต่ทำไมแกถึงทำกับฉัน…”
“ถ้าแกกล้าพูดอีกประโยคเดียวฉันจะฆ่าแกทิ้ง!!”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดล่าสุดของเฉียนเซา!
ไอ้นี่มันพยายามจะลากฉันลงนรกไปด้วยชัด ๆ!
คนที่แข็งแกร่งขนาดฆ่าคนนับร้อยและหัวหน้าสาขาอีกสี่คนได้ราวกับพลิกฝ่ามือ ฉันจะสู้กับอีกฝ่ายได้ยังไง??
ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้เหนือกว่าพวกหัวหน้าสาขาสี่คนนั่นที่ตายไปด้วยซ้ำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเลยถ้าขืนเขากระโจนเข้าไปหาชายคนนี้!
การที่เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเขาอาศัยแต่ความแข็งแกร่งของตัวเองปะทะกับทุกอย่างในโลกเหมือนพวกกระทิงโง่ แต่เขามักจะใช้ลูกน้องที่ไร้สมองของตัวเองพุ่งเข้าไปหาความตายก่อนจากนั้นเขาถึงค่อยอ้างผลงานทั้งหมดเป็นของตัวเอง หรือถ้าเห็นว่าสู้ไม่ได้จริง ๆ เขาก็แค่ขอยอมแพ้!
ลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้โว้ย!
“พ…พี่ชายไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายหัวล้านร่างกำยำที่มีส่วนสูงเกิน 1.8 เมตร ก็คุกเข่าลงทันที!
‘ผลั่ก!’
ด้วยเสียงคุกเข่าลง บรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ที่เหลือต่างตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ!
ปากของพวกเขาเปิดกว้าง และตาของพวกเขาแทบถลนออกมาเบ้า!
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกพี่ของตัวเองจู่ ๆ ก็คุกเข่าลงอ้อนวอนอีกฝ่ายแบบนี้!
“ล…ลูกพี่…นี่มัน…”
ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังพูดไม่ออก
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกพี่ของเขาถึงคุกเข่าลง?
แต่ด้วยฐานะสมาชิกระดับรากหญ้า เขาจึงไม่มีข้อมูลว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามน่ากลัวขนาดไหน!
“พวกแกทั้งหมดห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด!”
สวีเปียวรู้ดีว่ามันน่าละอายที่คุกเข่าให้กับฝ่ายตรงข้ามต่อหน้าลูกน้องของเขาแบบนี้ แต่อีกฝั่งหนึ่งเป็นใครกันล่ะ?
เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่สามารถฆ่าคนนับร้อยได้ง่าย ๆ ศักดิ์ศรีมันจะมีค่าอะไรอีก?
“พ…พี่อวี้! ครั้งนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นพี่ที่อยู่ที่นี่ ผมขอร้องพี่โปรดช่วยคิดซะว่าผมแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้นจะได้ไหม? และถ้าพี่ไม่ว่าอะไรผมจะพาคนของผมจากไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ บรรดาลูกน้องของสวีเปียวที่อยู่รอบ ๆ ต่างแสดงสีหน้าโง่งม
พวกเขาไม่เคยเห็นลูกพี่ตัวเองทำอะไรที่มันน่าละอายมากขนาดนี้เลย
นี่ลูกพี่ของพวกเขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ ถึงได้คุกเข่าลงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่’ แล้วขอความเมตตาเพื่อที่จะได้จากไปแบบนี้
เมื่อเห็นฉากนี้ หนึ่งในลูกน้องที่ไม่เข้าใจ แถมกลับมีความคิดอยากสร้างผลงานไต่เต้าตำแหน่งในแก๊งจนไม่ดูสถานการณ์ก็ตะโกนขึ้นเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าห้าวหาญ
“ลูกพี่! ไอ้นี่มันแค่ขยะ! คุณคุกเข่าให้มันไปทำไม! ลูกพี่คอยดูผมนะ ผมจะฟันคอไอ้เวรนี่ให้หลุดภายในครั้งเดียวให้ลูกพี่ดู!!”
หลังจากพูดจบเขาก็วิ่งปรี่เข้าไปหาอวี้ฮ่าวหราน พร้อมกับเหวี่ยงมีดในมือ!
ขณะนี้เขาคิดถึงแค่โอกาสที่จะได้สร้างผลงานและรู้สึกว่าลูกพี่ของเขาไม่น่าเคารพอีกต่อไปแล้ว หากเขาฆ่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งในแก๊ง และอีกไม่นานเขาจะได้ก้าวข้ามหัวสวีเปียวที่โง่เขลาและขี้ขลาดขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน!!
“บัดซบแล้วไง!”
เมื่อสวีเปียวเห็นภาพนี้ เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาอยากจะพุ่งตัวไปขวางแต่มันก็สายเกินไปแล้ว!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างขบขันทันทีเมื่อเห็นว่ามีมดแมลงตัวหนึ่งที่อยากจะไต่เต้าตำแหน่งในแก๊งเล็ก ๆ ไร้ค่าพุ่งเข้ามาอย่างโง่เขลาราวกับรนหาที่ตาย
“ฮึ่ม! แกมันก็แค่คนที่กำลังจะตาย แกกล้าดียังไงมาทำหน้าทำตาหยิ่งผยองต่อหน้าฉัน แกตายแน่!!”
เมื่ออะดรีนาลีนหลั่งสุดขีดจากความตื่นเต้นที่จะได้สร้างผลงานและจินตนาการที่จะได้เลื่อนตำแหน่งในแก๊ง ลูกน้องของสวีเปียวก็พุ่งเข้าหา อวี้ฮ่าวหรานอย่างดุร้ายและฟันด้วยมีดอย่างโง่เขลา!
เขาภูมิใจในพฤติกรรมของตัวเองมากในตอนนี้ เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายตาย ชื่อเสียงของเขาในแก๊งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในทันใด!
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมไม่มีใครเลยรีบวิ่งตามเขามา และเขาไม่รู้ว่าทำไมสวีเปียวถึงได้หวาดกลัวนัก แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ทันแล้ว เขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะฆ่าอีกฝ่ายให้ได้เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ของตัวเอง!
บทที่ 348 เสียหน้า
บทที่ 348 เสียหน้า
เมื่อได้ยินบทสนทนารอบ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย
เดี๋ยวจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอีกแน่…
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
เฉิงชิวอวี้ที่กำลังดูเมนูอย่างตั้งใจ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเธออยู่ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาถามกลับด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ เสียงของนายน้อยจินก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ไหนให้ฉันดูโต๊ะหน่อยสิ”
เขามองไปรอบ ๆ และจากนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมถึงมีคนนั่งโต๊ะประจำของฉันแบบนั้น ไอ้แก่! แกยังอยากจะเปิดร้านนี้อีกไหม!”
“หา?”
ผู้จัดการอ้วนหันศีรษะไปมองยังโต๊ะที่นายน้อยจินชี้ทันที ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่ามีคู่หญิงชายกำลังนั่งอยู่
“ข…ขอโทษด้วยจริง ๆ ครับนายน้อยจิน นี่…อาจเป็นเพราะว่าพนักงานคนใหม่ของผมไม่รู้เรื่อง…เราก็เลย…”
เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็อธิบายอย่างกังวลใจ
“บัดซบ! แกไม่ต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟังทั้งนั้น! แกรีบไล่ไอ้สองคนนั้นออกไปจากโต๊ะของฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
“แต่…แต่…”
แม้ว่าผู้จัดการอ้วนจะกลัวนายน้อยจิน แต่เขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
ขณะนี้มีคนอยู่ในร้านจำนวนมาก หากเขาผู้ที่เป็นผู้จัดการร้านจู่ ๆ ไปขับไล่แขกโดยที่ไม่มีเหตุผล ชื่อเสียงของร้านอาหารคงป่นปี้แน่นอน
“ฮึ่ม! วันนี้ถือว่าแกโชคดีที่ฉันกำลังอารมณ์ดีอยู่ ดังนั้นฉันจะไปไล่พวกมันเอง แกอยู่เฉย ๆ ตรงนี้ไป!”
หลังจากพูดจบ นายน้อยจินก็เดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างที่วิวดีที่สุดพร้อมกับอดี้การ์ดร่างกำยำสองคน
แน่นอนว่าโต๊ะนี้คือโต๊ะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังนั่งอยู่
ที่โต๊ะ
“พวกแกทั้งสองคนลุกออกไปซะ นี่มันคือโต๊ะของบิดาผู้นี้โว้ย!”
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะนายน้อยจินตะคอกเสียงดังด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่สนใจอีกฝ่ายเลย
“ผู้จัดการร้าน รีบมารับออเดอร์อาหารเร็ว พวกฉันจะสั่งอาหารแล้ว!”
ราวกับไม่เห็นว่านายน้อยจินมีตัวตน อวี้ฮ่าวหรานจึงตะโกนขึ้นว่าอยากจะสั่งอาหารที่เฉิงชิวอวี้เลือกไว้
ทางด้านของนายน้อยจินก็ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะกล้าเมินเขาแบบนี้!
“ไอ้เวรนี่…”
ทว่าเมื่อเขาเบนสายตามองไปที่เฉิงชิวอวี้ ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อวี้ฮ่าวหราน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที!
“แม่เจ้าโว้ยยยย ผู้หญิงคนนี้สวยโครตเลย!!”
เมื่อเห็นเฉิงชิวอวี้ผู้งดงาม ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกจากเบ้า
“ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว! แม้ว่าแกจะกล้าทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน แต่ฉันจะยอมปล่อยแกไปก็ได้ถ้าแกปล่อยผู้หญิงคนนี้ให้อยู่กับฉันตามลำพัง!”
แขกในร้านทุกคนสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารอวี้ฮ่าวหราน
โดนผู้ชายคนอื่นไล่ต่อหน้าแฟนตัวเองเช่นนี้ นับจากนี้คงไม่สามารถเดินเงยหน้าได้ตลอดชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่านายน้อยจิน หรือชื่อเต็มว่า จินเส่า ผู้นี้มีสันดานเลวทรามขนาดไหน เกรงว่าถ้าหากปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่ตามลำพัง คืนนี้เธอคงจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้ายแน่นอน
พวกเขาเองก็อยากจะช่วยแต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีอำนาจพอจะทำอะไรได้เลย!
ท้ายที่สุด จินเส่าผู้นี้เป็นลูกหลานของตระกูลร่ำรวยที่มีอิทธิพลทั้งบนดินและใต้ดิน ถ้าขืนพวกเขาสอดมือเข้าช่วยมันก็หมายความว่าพวกเขารนหาเรื่องเดือดร้อน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่มองอวี้ฮ่าวหรานอย่างสงสาร
โทษที แต่ถ้าจะโทษใครจริง ๆ ก็คงต้องโทษตัวนายเองที่ขาดความแข็งแกร่งจนไม่สามารถรักษาแฟนที่งดงามเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้อวี้ฮ่าวหรานเพียงชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก และจากนั้นก็เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
“ชิวอวี้ มีอะไรอร่อยอีกบ้างนอกจากคาเวียร์ คราวหน้าผมจะได้พาถวนถวนมาลองกินบ้าง”
เฉิงชิวอวี้อึ้ง
ได้ไงเนี่ย?
ตอนนี้มีคนต้องการจะฉุดฉันไป! แต่คุณกลับคิดแต่เรื่องกินเนี่ยนะ?
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เฉิงชิวอวี้ก็แสดงสีหน้าบูดบึงทันที
จินเส่าที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกสับสนมากกว่าเดิม!
เขาเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนุ่มสาวคู่นี้ถึงกล้าเพิกเฉยต่อเขาขนาดนี้!
บรรดาผู้คนที่แอบมองอยู่ก็ทั้งงุนงงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน พวกเขากลัวว่าหลังจากถูกเมินเฉยแบบนี้ จินเส่าจะต้องทำเรื่องที่น่ากลัวแน่ ๆ!
แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขายังคงมองดูเมนูในมืออย่างตั้งใจ
ร้านอาหารนี้อยู่ไม่ไกลจากบริษัทของอวี้ฮ่าวหราน และปกติชายหนุ่มจะพาถวนถวนไปเล่นที่บริษัทบ่อย ๆ ดังนั้นจึงสงสัยว่าร้านนี้จะดีพอจะให้เขาพาลูกมานั่งไหม
เมื่อเผชิญกับการถูกเพิกเฉยขนาดนี้ ในที่สุดจินเส่าก็ทนไม่ไหวแล้ว!
“แม่งเอ๊ย! ทิ้งแฟนแกแล้วออกไปจากที่นี่ซะ ไม่งั้นฉันจะทำให้แกพิการตรงนี้!”
เขาตะโกนอย่างเดือดดาลจนหน้าสั่น เมื่อไหร่กันที่จะมีใครกล้าเพิกเฉยต่อคำพูดของเขามากขนาดนี้?
ไอ้เวรนี่กำลังรนหาเรื่องตาย!
“หนวกหู!!”
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ปล่อยจิตสังหารออกมา!
ดวงตาดำทมิฬลึกล้ำจ้องเขม็งไปที่จินเส่า
จินเส่ารู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูกและหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่หนาวเหน็บ!
เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว!
แต่ถ้ามองจากมุมมองคนนอกมันเหมือนกับว่าแค่ถูกอีกฝ่ายตวาดใส่เขาก็กลัวจนหัวหดแล้ว
“ก…ก…แก!”
หลังจากที่จินเส่าได้สติและพบว่าทุกคนรอบตัวเขากำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน ก็รู้สึกว่าศักดิ์ศรีที่เขาเคยมีถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง!
ความโกรธปะทุขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง!
“แก! แกกำลังหาเรื่องตาย! แกทำให้ฉันขายหน้าแบบนี้ ฉันไม่ปล่อยแกไปอีกแล้ว! วันนี้ฉันจะหักแขนขาแกต่อหน้าแฟนของแก แล้วจากนั้นคืนนี้ฉันจะให้แกดูหนังสดที่ฉันจะเล่นกับแฟนของแก!”
เขาคำรามอย่างเดือดดาล
อย่างไรก็ตาม หลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกเจ็บหน้าอย่างแรงและลงไปนั่งกองที่พื้นทันที!
เพี้ยะ!
ไม่มีใครเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เห็นว่าจินเส่าผู้หยิ่งผยองจู่ ๆ ก็ลงไปนั่งกองที่พื้นหลังจากมีเสียงเหมือนถูกตบ!
ฟันของจินเส่าหลุดออกไปสองสามซี่ทันที!
“ถ้าแกกล้าพูดไร้สาระอีกแค่คำเดียว ฉันจะฆ่าแกแน่!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็อดไม่ไหวเมื่ออีกฝ่ายพูดจาล่วงเกินเพื่อนของเขาอีกแล้ว!
บทที่ 344 คำขอ
บทที่ 344 คำขอ
ม…มันเป็นไปได้ยังไงกัน!?
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานจับมีดด้วยมือเปล่า ชายชราจึงรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกไปทั้งร่าง!
ความกลัวกัดกินหัวใจเขาอย่างรุนแรง เขาต้องการหันหลังหนีจากคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ตัวชายชราก็พุ่งเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเกินไปแล้วในเวลานี้!
ฉึก!
วินาทีถัดมา อวี้ฮ่าวหรานแทงมีดที่เขาเพิ่งจับได้เข้าไปที่อกของชายชราอย่างไม่แยแส
“แก…!”
ชายชรารู้สึกสิ้นหวังเมื่อเห็นมีดปักเข้ามาในอกของตัวเอง และก่อนที่จะทันได้พูดจบ ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็วและสิ้นลมหายใจไปอย่างน่าอนาถ!
เส้นเลือดและเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างเต็มไปด้วยพิษสีเทาดำ
“พิษชนิดนี้รุนแรงมากทีเดียว”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นสิ่งนี้ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย อีกฝ่ายหนึ่งมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับผู้ที่เข้าสู่ขั้นเริ่มต้นของขอบเขตก่อรากฐานแล้ว แต่พิษนี้กลับสังหารอีกฝ่ายได้ภายในไม่ถึงสองวินาที
สามารถบอกได้ว่าองค์กรอสรพิษนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างยาพิษจริง ๆ
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายตายเร็วไปหน่อย เขาเลยไม่มีโอกาสสอบถามเกี่ยวกับที่ตั้งสาขาใหญ่ขององค์กรอสรพิษ
การจัดการองค์กรนักฆ่านี้คงต้องรอหาโอกาสต่อไปในอนาคตเท่านั้น
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็กวาดสายตามองไปที่โบราณวัตถุหลายชิ้นที่อยู่ในตู้กระจกนิรภัยรอบห้อง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของตัวเองเล็กน้อย
วัตถุโบราณเหล่านี้เป็นของที่พลังวิญญาณแฝงทั้งหมด ยกเว้นอันที่ถูกดูดซับไปแล้ว ยังมีอีกสามชิ้นที่หลงเหลือพลังวิญญาณอยู่หนาแน่น
แม้จะไม่ได้ดีเท่าพระพุทธรูปหยกอันล่าสุดที่เขาได้มา แต่มันก็ถือว่าเป็นกำไรงามอย่างแน่นอน…
หลังจากนำของเก่าทั้งหมดมา อวี้ฮ่าวหรานก็รีบกลับไปที่รถ
จุดประสงค์การมาครั้งนี้สำเร็จอย่างสวยงาม
ตำหนักคุมกฎองค์กรอสรพิษถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ เจ้าตำหนัก รองเจ้าตำหนัก และนักฆ่าทั้งหมดถูกชายหนุ่มฆ่าเรียบไม่มีเหลือ!
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็กลับไปถึงคอนโดราวหกโมงเย็น
“พี่เขย! เร็วเข้า! มากินข้าว วันนี้ฉันนึ่งปูขน มันเป็นปูราคาแพงที่อร่อยสุด ๆ ไปเลย”
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง หลี่หรงก็ทักทายเขาทันที
“พ่อจ๋า! ปูตัวใหญ่อร่อย! ถวนถวนอยากกินทุกวันเลย!”
เด็กน้อยตะโกนด้วยความตื่นเต้นพร้อมจับขาปูขึ้นชู
ฉากนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานผู้เพิ่งสังหารโหดคนมาเป็นร้อยแสดงรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาได้ในทันที
“เหรอ? พ่อชักอยากกินบ้างแล้วสิ พ่อขอกินอันที่อยู่ในมือลูกได้ไหม?”
ขณะพูด เขาก็เดินไปหาลูกสาวและโน้มไปทำท่าจะงับขาปูที่อยู่ในมือเด็กน้อย
“เอ๊ะ? ไม่เอา! พ่อจ๋าแกะเองสิ อันนี้ของถวนถวน แม่หรงแกะให้หนูกิน!”
เด็กน้อยรีบยัดขาปูใส่ปากทันทีจนแก้มป่องซึ่งดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก ส่วนแขนอีกข้างก็พยายามผลักหน้าพ่อของตัวเองออกไป
“พี่เขยเลิกเล่นได้แล้ว รีบ ๆ ไปล้างมือแล้วมากินข้าวด้วยกันเร็วเข้า!”
หลี่หรงยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นฉากนี้
…
เช้าตรู่ของวันถัดมา ยังไม่ทันที่อวี้ฮ่าวหรานจะไปถึงบริษัท เฉิงกัวอันก็โทรมา
“ฮ่าวหราน เรื่องเมื่อวานหลังจากที่นายไป…นาย…ปลอดภัยดีไหม?”
จังหวะพูดของเขามีความลังเล เขาไม่คิดว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งถึงขนาดสังหารหมู่ตำหนักคุมกฎได้ทั้งตำหนัก
ไม่ว่ายังไง องค์กรอสรพิษนั้นก็ไม่ใช่องค์กรนักฆ่าธรรมดา เพราะมีตัวตนที่ลึกลับและแข็งแกร่งมากมายแฝงตัวอยู่ในองค์กร แถมสถานที่ตั้งของแต่ละตำหนักก็เป็นความลับ มันจึงเป็นไปได้มากว่า อวี้ฮ่าวหรานไม่น่าจะหาที่ตั้งที่ถูกต้องเจอด้วยซ้ำ…
“ตอนนี้องค์กรอสรพิษไม่มีตำหนักคุมกฎอีกแล้ว”
เมื่อเผชิญกับข้อสงสัยของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ตอบกลับอย่างใจเย็น
“หา?”
เฉิงกัวอันอ้าปากหวอ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาถามกลับอีกรอบด้วยความไม่แน่ใจ
“นาย…นายหมายถึง นายทำลายตำหนักคุมกฎไปหมดแล้วงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง ผมจะบอกรายละเอียดให้คุณทราบภายหลังเมื่อมีโอกาส”
น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานนั้นสงบมาก เพราะสำหรับเขาแล้วการทำลายตำหนักคุมกฎไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
“ดี ๆ! ฮ่าวหราน นายนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ…”
เฉิงกัวอันรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำยืนยันนี้
หลังจากทั้งสองคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายไป
ราวสิบนาทีถัดมาเขาก็ขับรถถึงเครือฮ่าวหราน
หลี่อิงไห่กำลังนั่งตัวลีบรอเขาอยู่ในออฟฟิศ
“มีอะไร?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หลี่อิงไห่ที่พยายามทำตัวนอบน้อม แต่ถึงอีกฝ่ายจะพยายามทำตัวเปลี่ยนไป อวี้ฮ่าวหรานก็ยังรู้สึกไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี เพราะชายชราคนนี้สร้างปัญหาให้เขาหลายครั้งแล้ว
“ฮ…ฮ่าวหราน”
หลี่อิงไห่ลังเลแต่ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าและเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน
“เรียกฉันว่าประธานอวี้ คราวนี้นายมีอะไรถึงมาที่นี่?”
อวี้ฮ่าวหรานถามกลับอย่างไร้อารมณ์ ชายหนุ่มไม่อยากพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายให้เสียเวลา
ชายแก่คนนี้สร้างความรำคาญให้ชายหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าอีกฝ่ายยังมีมนุษยธรรมอยู่ในใจในเรื่องการดูแลเลขาสาวน้อยนั่นเป็นอย่างดี ป่านนี้ก็คงไล่อีกฝ่ายออกไปจากบริษัทอิงเหมาไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ป…ประธานอวี้ คือที่ผมมาที่นี่ครั้งนี้เป็นเพราะผมอยากจะคุยเรื่องการปรับกลยุทธ์การผลิต บริษัทอิงเหมาจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิต แต่คุณภาพของสินค้ายังต้องคงเดิม”
สีหน้าของหลี่อิงไห่เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะยังคงเคืองเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อเข้าเรื่องงานทันที
“คือนายเจอปัญหาหรือว่าอะไร?”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาปล่อยให้ผู้จัดการหวังจัดการเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้รายละเอียดปัญหาเชิงลึกมากนัก
“มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับท่านประธาน แต่ถ้าเราต้องการเพิ่มกำลังการผลิต ผมขอแนะนำให้เปลี่ยนเครื่องจักรเก่าบางรุ่น เพราะคุณภาพของสินค้าที่ผลิตโดยเครื่องจักรเก่าเหล่านี้มันไม่เสถียรและมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหา”
“ทำไมนายไม่จัดการกับปัญหานี้ก่อนหน้านี้?”
“เมื่อก่อน บริษัทอิงเหมาทำการค้าแต่กับลูกค้ารายเล็กซึ่งได้ส่วนต่างกำไรเพียงเล็กน้อยแต่หมุนเวียนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นปัญหานี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่หลังจากเข้าร่วมเข้ากับเครือฮ่าวหรานเราจึงมีลูกค้ารายใหญ่จำนวนมากเข้ามาส่งคำสั่งซื้อกับเรา”
หลังจากพูดถึงจุดนี้ หลี่อิงไห่ก็เหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้าเขาก่อน จากนั้นเขาก็พูดต่อไปหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการฮึดฮัดใด ๆ
“บริษัทใหญ่ ๆ ที่ส่งคำสั่งซื้อเข้ามาไม่มีข้อกำหนดใด ๆ สำหรับระดับคุณภาพที่ต้องสูงขึ้น แต่คุณภาพของสินค้าโดยรวมต้องได้มาตรฐานอยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเราใช้เครื่องจักรเก่าเหล่านั้นผลิตสินค้าออกมา ผมเกรงว่าสินค้าที่เราผลิตมันจะไม่ตรงตามข้อกำหนดของพวกบริษัทใหญ่”
“ตกลง คำขอของนายมีเหตุผลดี เดี๋ยวฉันจะให้ผู้จัดการหวังตรวจสอบเรื่องนี้อีกทีและร่างแผนการจัดซื้อเครื่องจักรใหม่ส่งมาที่ฉัน”
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
หมับ!
นักเลงลูกน้องของสวีเปียว ฟันมีดอย่างสุดกำลังที่ตัวเองมีหวังจะฟันคอของอวี้ฮ่าวหรานให้ขาดภายในครั้งเดียว สีหน้าของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตัวเองกำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อพบว่ามีดที่เขาฟันไปมันกลับถูกอีกฝ่ายใช้มือเปล่า ๆ จับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!
นี่…มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเลงก็พยายามดึงมีดออกอย่างสุดแรง
แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานใช้กำลังเล็กน้อยบดขยี้ใบมีดที่ตัวเองจับอยู่จนแหลกละเอียด พร้อมกับปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าใส่นักเลงผู้น่าสงสาร!
บรึ้ม!
อ๊ากกกก
นักเลงที่โดนคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าเต็ม ๆ กระอักเลือดเป็นสายและลอยละลิ่วหายเข้าป่าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย!
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย
“หึหึ เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องแต่น่าเสียดายที่ใช้มันผิดที่!”
หลังจากเยาะเย้ยนักเลงที่โชคร้ายคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองพวกนักเลงที่เหลือ
“พวกแกอยากลองด้วยไหม?”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับทันทีด้วยอาการสั่นกลัว
“พี่อวี้ พี่อวี้! ผ…ผมไม่โทษพี่แน่นอนต่อให้ไอ้นั่นมันตาย! ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ร…เร็วเข้า! พวกแกทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถเร็ว!”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของสวีเปียวหวาดกลัวสุดขีด เขารีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีให้เตรียมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้โบกมือหยุดเขาเอาไว้!
“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าฉันจะปล่อยแกไป?”
สวีเปียวแข็งค้างเป็นรูปปั้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และเขาก็รีบหันไปอธิบายด้วยสีหน้าวิงวอน
“พี่อวี้ ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินพี่จริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อการร้องขอความเมตตาของอีกฝ่าย เขาจึงถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันได้ยินมาว่าแก๊งวาฬยักษ์ของแกสั่งให้สมาชิกทั้งหมดถอยร่นจากแนวหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกแกมีแผนชั่วใหม่ ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”
เนื่องจากชายหนุ่มเคยเจอกับพวกแก๊งวาฬยักษ์หลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่าคนเหล่านี้สวมชุดของแก๊งวาฬยักษ์
“ฉัน…ไม่…คือเราแค่ขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ได้…”
“ถ้าแกโกหก แกตาย!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลไม่กล้าพูดบางประโยคออกมา อวี้ฮ่าวหรานจึงข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเอาจริง!
สวีเปียวเลิกลังเลและไม่กล้าโกหกในทันที
เขามองอีกฝ่ายด้วยความสยดสยองเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความตายที่จะมาถึงแน่หากตัวเองโกหกต่อไปอีกแค่ครึ่งคำ!
น่ากลัวโคตร ๆ เลย!
“พวกเรา…แก๊งวาฬยักษ์ของเราได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง ดังนั้นการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นคำสั่งของกงซุนซา!”
ในที่สุดเขาก็จะพูดความจริง…
ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย
“อืม เข้าใจแล้ว แกไสหัวไปได้แล้ว”
จากการเพ่งมองจังหวะการเต้นของหัวใจและภาษากายต่าง ๆ เขาจึงสามารถตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน
หลังจากได้รับอนุญาต สวีเปียวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถด้วยความตื่นตระหนกและจากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดของเขา
ย่านรกร้างแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยกเว้นเสียงร้องโอดโอยที่เจ็บปวดของเฉียนเซา เพราะโดนเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่กลุ่มของเฉียนเซาอย่างดูถูก แต่เมื่อคิดได้ว่าขณะนี้มีซูหว่านเอ๋อเฝ้ามองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะสร้างฉากโหดร้ายขึ้นมาให้อีกฝ่ายฝันร้าย ดังนั้นจึงเดินกลับไปที่รถและเร่งเครื่องจากไป
ภายในรถ
ไม่นานหลังจากที่ขับออกมา ซูหว่านเอ๋อที่ตื่นตระหนกก็เริ่มทำใจได้บ้างเล็กน้อย
การปรากฏตัวของพวกนักเลงเมื่อครู่นี้ทำให้เธอตกใจมาก
โชคดีที่คนที่เธอชอบแข็งแกร่งกว่า!
“ฮ่าวหราน…คุณ…คุณสุดยอดมากเลย…”
ซูหว่านเอ๋อยิ่งรู้สึกเชิดชูเขามากกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะพูดชมเบา ๆ
เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายผู้นี้จะมีอำนาจมากจนคำพูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่าขอความเมตตาได้
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ด้วยไม่มีใครทำร้ายคุณได้หรอก”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ให้ความมั่นใจกับเธอ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ได้ทำให้หัวใจของซูหว่านเอ๋อหวั่นไหวมากเพียงใด
…
อีกด้านหนึ่ง
โจวเฟยหู่มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเช้าผลไม้
“คราวนี้สถานการณ์ยิ่งแปลกมากขึ้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกแก๊งวาฬยักษ์ถึงถอยร่นทิ้งพื้นที่แนวหน้าให้เรายึดไปฟรี ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราและพวกมันต่างก็สูญเสียในจำนวนพอ ๆ กัน?”
ทันทีที่โจวเฟยหู่นั่งลง เขาก็พูดเรื่องนี้กับหวังเหยียน
หวังเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“การที่พวกมันทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นภายในแก๊งของพวกมัน”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนก็ได้รับข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเขา
‘แก๊งวาฬยักษ์ถูกยุบและสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งแล้ว’
ข้อความสั้น ๆ นี้ทำให้เขาตกใจจนขนลุก
“เกิดอะไรขึ้น!”
โจวเฟยหู่รู้สึกไม่ดีอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังเหยียน เขาไม่เคยเห็นหวังเหยียนแสดงสีหน้าแบบนี้เลยนอกจากว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย
“แก๊งวาฬยักษ์ตกเป็นของกงซุนซาแล้ว! ทั้งสองแก๊งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!”
หวังเหยียนบอกข้อความที่เขาเพิ่งอ่านผ่านโทรศัพท์ เขาเชื่อมั่นในข่าวนี้หมดใจ เพราะอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งต่อข่าวนี้!
เขาเชื่อว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางส่งข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันมาหาเขาแน่นอน
“นี่มัน…!”
โจวเฟยหู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพรวดทันที
“นายเพิ่งพูดว่าแก๊งวาฬยักษ์ถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนไปแล้วงั้นเหรอ!? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!!”
โจวเฟยหู่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอุทานเสียงดัง
เขารู้ดีว่าหลิ่วอวี้จิงเป็นคนยังไง คนประเภทนี้เต็มใจที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอื่นแถมยอมยุบแก๊งตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?
“นี่…ข่าวนี้จริงเหรอ?”
“ผมมั่นใจที่สุด เพราะข่าวนี้อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งมาให้ผม มันไม่มีทางที่จะเป็นข่าวลวงแน่นอน และนี่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเร็ว ๆ นี้แก๊งวาฬยักษ์ถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ”
น้ำเสียงของหวังเหยียนหนักแน่นมากในขณะนี้ และข่าวนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสั่งให้คนของเราถอยร่นมาเช่นกันเพื่อที่เราจะได้รวมกลุ่มกันรับมือกับการถูกโจมตีได้เร็วมากกว่าเดิม!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ได้รับคำตอบยืนยัน เขาเริ่มคิดหาแผนรับมือในหัวมากมาย
…
ในเวลาเดียวกัน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาจึงไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ส่วนตัวของชายหนุ่มนั้นก็ขับรถกลับไปที่บริษัทต่อเพื่อดูเอกสารต่าง ๆ ที่ตัวเองจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติให้เสร็จสิ้น
หลังบ่ายสามโมง เขาก็ขับรถออกจากบริษัทเพื่อไปรับถวนถวน
ทว่า ในระหว่างที่เขาขับผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็เห็นสวีรุ่ยและพ่อของเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน
แต่เมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อลูกคู่นี้ในเวลานี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเมื่อดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเพิ่งจะสามโมงกว่า ชายหนุ่มจึงหยุดรถสปอร์ตที่ข้างถนนอย่างช้า ๆ
“…จะทำยังไงดีนะเฮ้อ…หางานไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว…”
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คนของแก๊งวาฬยักษ์ทั้งหมดก็รวมตัวกัน และเปลี่ยนชื่อเป็นแก๊งทะเลฉลาม
อีกด้านหนึ่ง…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทแต่เช้าและนั่งบนเก้าอี้ราคาแพงอันแสนสบายของตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบานสุดขีด
หลี่อิงไห่ถูกโค่น หวังเจวียตายแล้ว อู๋เส้าฮัวก็ตายเช่นกัน แม้แต่เผิงอิงอิงที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาก่อนหน้านี้ก็ต้องไปนอนในคุก แต่ตอนนี้เขากลับยังสามารถนั่งสบายอยู่ที่นี่ได้
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาฉลาดกว่าคนพวกนั้นหรอกเหรอ?
หลี่จิงเทียนคิดอย่างภาคภูมิใจ
“ฮึ คนเหล่านั้นมันก็แค่พวกโง่เง่า พวกมันคิดว่าพวกมันฉลาดมาก แต่ฉันต่างหากที่ฉลาดมากกว่าพวกมัน!”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่ามากกว่าเดิม
แต่แน่นอนว่าถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังละทิ้งนิสัยหลงตัวเองไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวอยู่เหนือกว่าพี่เขยของตัวเองอีกแล้ว เขาเข้าใจดีว่าจากทัศนคติของพี่เขย นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้รับการให้อภัย หลังจากนี้หากเขาสร้างเรื่องอีก เขาอาจจะได้ไปนอนตัวเย็นอยู่ใต้ต้นไม้แถบชานเมืองแทน
ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงาน
“วันนี้หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทหรือเปล่า?”
หลังจากฟังรายงานตามปกติแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ถามด้วยความสนใจ
“เขามาครับท่านประธาน แต่หลังจากที่เขาเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง เขาก็ไม่ออกมาเลย”
ผู้จัดการหวังจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลี่จิงเทียนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ดีแล้วที่มันไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน ถึงแม้ว่าผมจะให้ตำแหน่งรองประธานกับเขา แต่เขาจะไม่มีสิทธิไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งนั้นในบริษัท เอาไว้เดี๋ยวผมจะจัดการประชุมกับผู้บริหารทุกคนเพื่ออธิบายเรื่องนี้กับทุกคนให้รู้เอาไว้ด้วย”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและอธิบายแผนของเขาอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมากกับการให้เงินเดือนหลี่จิงเทียนแบบเปล่า ๆ แต่สิ่งที่กังวลก็คือ เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่มย่ามกับกิจการในบริษัท
หลี่จิงเทียนนั้นค่อนข้างโง่ และเป็นพวกไร้สมอง คนแบบนี้ต่อให้ไม่คิดร้ายต่อบริษัท แต่หากเข้ามามีอำนาจตัดสินใจในบริษัทมากเกินไปมันก็รังแต่จะทำให้บริษัทวุ่นวาย
ผู้จัดการหวังไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้ายที่สุด นี่คือเรื่องในครอบครัวของเจ้านายของเขา ดังนั้นจึงไม่ควรออกความเห็นมากเกินไป
แต่ในขณะเดียวกันนี้ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้น
“คุณออกไปก่อน”
เมื่อเห็นมีสายเข้า อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้ผู้จัดการหวังออกไปและรับโทรศัพท์
“ฮ่า ๆๆ! น้องอวี้ ช่วงนี้นายเป็นไงบ้างสบายดีไหม? ไม่เห็นนายติดต่อมาบ้างเลย หรือว่าเดี๋ยวนี้นายไม่สนใจพวกวัตถุโบราณแล้ว?”
น้ำเสียงที่ร่าเริงของหลินป๋อดังมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“อืม ก่อนหน้านี้ผมยุ่งนิดหน่อย แต่วันนี้ผมว่างอยู่”
“ฮ่า ๆ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย! วันนี้ฉันจะไปงานประมูลระดับสูง ในงานมีโบราณวัตถุล้ำค่ามากมายที่จะถูกนำขึ้นประมูลแยกกัน และงานประมูลนี้ก็เชิญแขกไม่มาก อีกทั้งคนนอกไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม แต่ถ้านายว่างวันนี้ตอนเที่ยงนายมาหาฉันได้เลย!”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของอวี้ฮ่าวหรานเต้นรัวทันที
“โอเค บอกสถานที่มาได้เลย ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาตกลงโดยไม่ลังเล
ถึงเวลาที่เขาควรจะเร่งเพิ่มระดับการบ่มเพาะ
การปรากฏตัวของผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานทำให้เขาตระหนักว่านับจากนี้เขาจะต้องเจอกับพวกผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในโลกนี้แล้ว ซึ่งถ้าหากต้องการใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นต่อไป ชายหนุ่มก็จำเป็นต้องบ่มเพาะให้เร็วขึ้นเท่านั้น
“ตกลง! สถานที่จัดงานประมูลคือห้องจัดเลี้ยงที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเคมปินสกี้ ตอนนี้ฉันเองก็อยู่ในระหว่างเดินทางไป เอาไว้เราเจอกันที่นั่นก็แล้วกันนะน้องอวี้!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วก็วางสาย
ช่วงก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ซื้อโบราณวัตถุมาพักใหญ่ ๆ แล้ว
หลังจากกลับจากการทริปไปเที่ยว มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ชายหนุ่มยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการจัดการเอกสารตอนเช้า และขับรถตรงไปยังโรงแรมเคมปินสกี้
หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็มาถึงล็อบบี้ของโรงแรม และแจ้งชื่อของตัวเองกับพนักงานโรงแรม
ดูเหมือนว่าหลินป๋อจัดการทุกอย่างให้เขาหมดแล้ว พวกพนักงานโรงแรมจึงนำทางเขาตรงไปยังลิฟท์อย่างนอบน้อม
ระหว่างทางนั้นมีพวกบอดี้การ์ดชุดดำจำนวนมากยืนประจำจุดตามรายทางทุก ๆ สิบเมตร ที่เอวของบอดี้การ์ดเหล่านี้โปนเล็กน้อยซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าคนเหล่านี้ล้วนติดอาวุธกันทุกคน
เห็นได้ชัดว่าการประมูลครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ในไม่ช้า ภายใต้การนำของพนักงาน เขาก็เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงชั้นบนสุด
ห้องจัดเลี้ยงแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหลังของห้องเต็มไปด้วยอาหารและของขบเคี้ยวต่าง ๆ เหมือนงานเลี้ยงทั่วไป
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมีโต๊ะที่ดูหรูหราวางอยู่บนเวที และที่ด้านล่างเวทีก็มีเก้าอี้ที่แต่ละตัวดูราคาแพงจำนวนมากวางเรียวแถวอยู่หลายสิบตัว เห็นได้ชัดว่าส่วนนี้ใช้สำหรับจัดงานประมูล
ในเวลานี้ห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยพวกผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ในเมืองฮ่วยอันมากมาย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงของซูหว่านเอ๋อ
“ฉัน…ฉัน…ไปได้แล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของซูหว่านเอ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก ซึ่งมันทำให้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเดินผ่านผู้คน
อวี้ฮ่าวหรานเห็นกลุ่มชายสามคนยืนล้อมรอบซูหว่านเอ๋ออยู่ตรงกลาง
“โธ่ จะรีบไปไหนกันล่ะหว่านเอ๋อ? รู้ไหมว่าผมชอบคุณมานานแล้ว ตอนนี้สัญญาการแต่งงานของคุณก็ถูกยกเลิก คุณแต่งงานกับผมได้ไหม? คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ได้ด้อยกว่าหลี่จิงเทียนมากเท่าไหร่หรอก”
“หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกันนะ! ถ้าเป็นเรื่องเงิน ผมเองก็มีเงินเหมือนกับหลี่จิงเทียน!”
“อย่าไปฟังไอ้สองคนนี้ หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกัน ถ้าคุณตกลงกับผม ผมจะให้พ่อผมไปคุยกับพ่อคุณทันทีวันนี้เลย!”
ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานได้ยินทุกคำพูดของชายทั้งสามคนจากประสาทการฟังอันเหนือมนุษย์
ซูหว่านเอ๋อดูสับสนในเวลานี้ และเนื่องจากเธอพูดไม่เก่ง จึงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ แม้กระทั่งหลังจากเหตุการณ์นั้น สาวน้อยคนนี้ก็ยังพูดกับคนอื่นไม่เก่งอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นเฉิงชิวอวี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ป่านนี้ไอ้สามหนุ่มนั่นคงโดนตบไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็รีบเดินออกไป ในฐานะที่เขาและเธอเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นตามปกติแล้วจึงไม่สามารถมองดูอีกฝ่ายถูกรังแกได้
“แต่… ฉันไม่ต้องการ…ฉันไม่ต้องการที่จะแต่งงาน…”
ซูหว่านเอ๋อเริ่มตื่นตระหนกและสับสนจากการถูกชายทั้งสามคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอไม่สามารถพูดโต้แย้งได้อย่างเหมาะสมเพราะความหัวอ่อนของเธอ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ชายทั้งสามได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นเรา งั้นเรายังไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ พวกเรามาทดลองอยู่ด้วยกันก่อน แต่ฉันมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่ฉันทำให้เธอขึ้นสวร…”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ่ม! พวกแกไม่เห็นหรือไงว่าผู้หญิงกำลังไม่พอใจ?”
อวี้ฮ่าวหรานเดินมาหยุดที่ด้านหลังและมองดูชายทั้งสามคนอย่างดูถูก
ทั้งสามคนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่พวกเขาก็หัวเราะทันทีเมื่อเห็นว่าผู้พูดเป็นแค่ชายที่สวมเสื้อผ้าธรรมดามาก
“ฮ่า ๆ ฉันก็นึกว่าเป็นใครใหญ่โตที่ไหนมาพูดจาอวดเบ่ง นี่คนจน ๆ อย่างแกเข้ามาในงานนี้ได้ไงเนี่ย? ไปเลย รีบไสหัวไปให้ไกล ๆ อย่ามารบกวนเวลาของฉันกับหว่านเอ๋อ ไม่งั้นฉันจะเรียกยามให้มาลากแกออกไป!”
ผู้พูดขณะนี้คือชายหนุ่มร่างอ้วนที่แต่งตัวดี แต่สีหน้าของเขาแสดงอาการดูถูกอย่างชัดเจน
“ฮ…ฮ่าวหราน!”
ซูหว่านเอ๋อไม่คิดเลยว่าเธอจะได้พบกับอวี้ฮ่าวหรานที่นี่ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ใบหน้าซีดเผือดของเธอจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด
ชายร่างอ้วนประหลาดใจกับอาการแสดงออกของซูหว่านเอ๋อ เขามองทั้งสองอย่างสับสน
“บัดซบ! นี่มันบ้าอะไรกัน? ซูหว่านเอ๋อ ฉันไม่คิดเลยนะว่าผู้หญิงที่อยู่ในสังคมชั้นเดียวกับเราจะลดตัวลงไปคบกับคนจน ๆ แบบนี้ด้วย!”
เขาอดไม่ได้ที่จะติเตียนด้วยความอิจฉาในใจ
บทที่ 327 กระถางธูป
บทที่ 327 กระถางธูป
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วมองไปที่ชายชราที่ทุกคนเรียกว่าประธานเจ่า ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อย จึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอะไรสักเท่าไหร่ ผมขอเสียมารยาทถามได้ไหมว่าคุณคือ?”
“ฮ่าฮ่า ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ นอกจากนี้ ฉันยังมีโรงแรมอยู่ในเครืออีกหลายแห่งกระจายอยู่ในเมืองฮ่วยอัน และมีธุรกิจต่าง ๆ อีกนิดหน่อย น้องชาย นายรู้ไหมว่าฉันอยากจะเจอนายมาตั้งนานแล้ว!”
ประธานเจ่าหัวเราะเสียงดัง เมื่อได้ยินคำถามของอวี้ฮ่าวหราน จากนั้นเขาก็ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
ด้วยทัศนคติเชิงบวกขนาดนี้ ผู้คนรอบ ๆ ที่มองดูอย่างสนใจอยู่ก็รู้สึกไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไม ประธานเจ่าถึงช่วยพูดให้กับชายหนุ่มคนนี้ กลายเป็นว่าทั้งสองรู้จักกันจริง ๆ
“อ้อ ที่แท้คุณคือประธานเจ่าผู้โด่งดังนี่เอง”
เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าอย่างสุภาพ
ผู้คนรอบ ๆ เมื่อคลายสงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอวี้ฮ่าวหราน และประธานเจ่าแล้ว พวกเขาก็พากันแยกย้ายไปในทุกทิศทาง
ในขณะนี้ เฉียนเซายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าว่างเปล่า สีหน้าของเขาซีดขาว และในใจก็รู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่งยวด!
“แม่งเอ๊ย! ที่แท้ไอ้เวรนั่นมันรู้จักกับประธานเจ่านี่เอง! ฮึ่ม! แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ ฉันต้องแก้แค้นแกให้ได้!”
เขาพึมพำด้วยความอาฆาตแค้น
หากเขาไม่สามารถล้างแค้นเรื่องวันนี้ได้ มันจะเป็นแผลในใจที่เขาไม่อาจรักษาได้ตลอดชีวิต!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนอื่นรังแก ตามปกติแล้วเขาต้องเป็นคนรังแกคนอื่นสิวะ!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ เดินห่างออกไปไกลแล้ว และไม่มีใครเห็นหัวของเขาเลยสักคน
“ฮ่าฮ่า จริงด้วย! จริงด้วย! น้องชายนี่เก่งในเรื่องดูโบราณวัตถุอย่างที่น้องหลินพูดจริง ๆ ด้วย!”
ยิ่งสนทนามากขึ้นเท่าไหร่ ประธานเจ่าก็ยิ่งรู้สึกถูกใจอวี้ฮ่าวหรานมากขึ้นเท่านั้น จนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมีความสุขมาก
เขาเป็นคนที่ชอบสะสมโบราณวัตถุอยู่แล้ว ดังนั้นการได้มาเจอกับอวี้ฮ่าวหรานที่มีความรู้เรื่องโบราณวัตถุมากมาย จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิม
“จริง ๆ แล้วการดูโบราณวัตถุก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่เราจำเป็นต้องศึกษาอ่านประวัติศาสตร์ให้มาก ๆ เท่านี้โอกาสที่จะดูของพลาดก็ลดลงแล้ว” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยกลับ
แต่แล้วจู่ ๆ ในขณะเดียวกันนี้ เลขาหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของประธานเจ่า
“อืม ๆ เข้าใจแล้วเธอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป”
หลังจากฟังคำพูดของเลขาตัวเองจบ ประธานเจ่าก็โบกมือให้อีกฝ่ายออกไปก่อน แล้วจากนั้นเขาจึงหันมาหาอวี้ฮ่าวหราน ซูหว่านเอ๋อ และหลินป๋อ ด้วยท่าทางขออภัย
“เอาละ เดี๋ยวฉันคงต้องขอตัวไปเตรียมเริ่มงานประมูลก่อน ส่วนพวกนายทั้งหมดก็นั่งรอกันตรงนี้แหละ อีกสักเดี๋ยวการประมูลก็จะเริ่มแล้ว”
“ได้เลยครับ ประธานเจ่า เชิญตามสบายเลย!”
หลินป๋อตอบกลับอย่างสุภาพในทันที
เมื่อประธานเจ่าจากไปได้แค่เพียงไม่นานการประมูลก็เริ่มขึ้น!
บรรดาเศรษฐีที่มาเข้าร่วมการประมูลต่างก็มานั่งลงทีละคนที่เก้าอี้ซึ่งถูกจัดวางเป็นแถวเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนอวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ ก็นั่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอการประมูลที่กำลังจะเริ่ม
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย! การประมูลของชิ้นแรกของวันนี้ ผมขอภูมิใจนำเสนอ! กระถางธูปหยกเคลือบทองคำสมัยราชวงศ์หมิง! ต่อให้จะไม่นับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เอาแค่นับมูลค่าด้านฝีมือและวัสดุเพียงอย่างเดียว กระถางใบนี้ก็มีมูลค่าอย่างน้อยหลายล้านหยวน!”
พิธีกรจัดการประมูลบนเวทีแนะนำโบราณวัตถุชิ้นแรกของการประมูลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากนั้นแค่เพียงอึดใจเดียว กระถางธูปหยกที่ลงลวดลายด้วยทองคำอย่างวิจิตรงดงามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่บนเวทีอย่างรวดเร็ว อวี้ฮ่าวหรานเปิดใช้เนตรเทวะของเขาด้วยความสนใจอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ของชิ้นนี้ไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่เลย
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สนใจมันในทันที
ในทางกลับกัน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ กลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าขาว ๆ ของเธอในตอนนี้เปลี่ยนเป็นแดงเล็กน้อย
“นี่…มัน…มันสวยมาก ๆ เลย!”
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอนนี้ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริง ๆ มีน้อยมากที่คนอายุน้อยแบบนี้จะชอบสะสมของเก่า
และยิ่งไปกว่านั้น เธอถึงขนาดมีห้องเก็บโบราณวัตถุอยู่ในบ้านอีกต่างหาก!
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าใครเป็นคนปลูกฝังความสนใจนี้ให้กับสาวน้อยคนนี้?
แต่ในขณะเดียวกันนี้ การประมูลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
“กระถางธูปหยกที่ถูกเคลือบด้วยทองจากสมัยหมิงไท่จูของราชวงศ์หมิง นี่นับได้ว่าเป็นของหายาก…”
หลังจากที่การบรรยายแนะนำกระถางธูปจบลง บรรยากาศในห้องประมูลก็ดุเดือดขึ้นมาทันใด
“ราคาเปิดประมูลของกระถางธูปนี้คือ 10 ล้าน! แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญประมูลกันตามปรารถนาได้เลย!”
ทันทีที่พิธีกรประกาศจบ บรรดาเศรษฐีทั้งหลายต่างก็เริ่มเสนอราคาอย่างรวดเร็ว
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 11 ล้าน!”
คนที่ยื่นข้อเสนอครั้งแรกคือซูหว่านเอ๋อซึ่งถูกใจกับกระถางนี้เป็นอย่างมาก
เธอเพิ่มราคาขึ้นมาหนึ่งล้านทันที
สิ่งนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าที่บ้านของอีกฝ่ายจะเอ็นดูลูกสาวของตัวเองขนาดนี้จนให้เงินมาใช้ซื้อของเก่าราคาเป็นสิบล้านได้โดยไม่คิดอะไรมาก
“ฉัน… ฉัน…ที่ฉันมีเงินเยอะมันเป็นเพราะ…ที่ผ่านมาพอฉันโชคดีได้ซื้อของแท้มาในราคาถูก ๆ บางทีฉันก็เอาไปขายทำกำไรต่อ ดังนั้นฉันก็เลยพอจะมีเงินเก็บบ้าง…”
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เหล่มองดูเธออย่างสงสัย ซู่หว่านเอ๋อก็รีบอธิบายอย่างร้อนรนทันที
หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พูดติดตลก
“น้องอวี้ นายรู้รึเปล่าว่า ถึงแม้หว่านเอ๋อร์จะอายุแค่นี้ แต่ในแง่ของความรู้ในการดูพวกโบราณวัตถุนั้นสาวน้อยคนนี้แก่กล้ากว่าฉันอีก ฮ่าฮ่า”
“ไม่จริงสักหน่อย…ลุงหลินเก่งกว่าหนูตั้งเยอะ!”
“ฮ่าฮ่า อย่าถ่อมตัวไปเลย อันที่จริงแล้วบางทีลุงก็เคยคิดเล่น ๆ เหมือนกันว่าถ้าหากผู้ชายคนไหนได้แต่งงานกับหว่านเอ๋อร์ ผู้ชายคนนั้นคงโชคดีสุด ๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเขาจะได้โบราณวัตถุในบ้านตระกูลซูไปครอบครอง และเขาก็คงรวยเละเลยละ ถ้าหากกอบโกยพวกมันไปขายทั้งหมด! ฮ่าฮ่า”
“ลุงหลิน!!”
ซูหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเขินอายเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แก้มของเธอแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ฮึ่ม! หนูไม่พูดกับลุงหลินแล้ว!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินป๋อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
ในตอนนี้ราคาของกระถางธูปหยกได้พุ่งขึ้นมาเป็น 18 ล้านแล้ว
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 19 ล้าน!”
ซูหว่านเอ๋อหันศีรษะกลับมาดูการประมูลอีกครั้ง และยกป้ายขึ้นทันทีด้วยความคาดหวังว่าเธอจะได้มันมาครอบครองในราคาที่ไม่แรงเกินไปนัก
“คงจะดีถ้าไม่มีใครแข่งมันกับฉัน”
เธอมองดูกระถางธูปหยกสีทองอันวิจิตรงดงามบนเวทีด้วยสายตาโหยหา และอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ
“สุภาพบุรุษหมายเลข 22 เสนอราคา 21 ล้านหยวน!”
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ความหวังของเธอพังทลายอย่างรวดเร็ว เมื่อมีคนยกป้ายแข่งราคากับเธอ
ต่อมาไม่นานนักราคาก็พุ่งไปถึง 24 ล้าน ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีกรอบ
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 25 ล้าน!”
เมื่อราคาสูงขึ้นไปถึงยี่สิบล้าน เสียงของผู้เข้าร่วมสู้ราคาก็เริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยี่สิบห้าล้านนั้นก็ยังไม่ใช่ขีดจำกัดในใจของใครหลาย ๆ คน
ในไม่ช้าก็มีคนยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีก
“หมายเลข 18 เสนอราคา 26 ล้าน!”
ทันทีที่ราคานี้ถูกขาน ซูหว่านเอ๋อก็แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน
เธอก้มศีรษะลง และพลิกดูโบรชัวร์การประมูลในมือ ดวงตาของเธอที่ดำราวกับไข่มุกดำมองดูที่รายชื่อสิ่งของการประมูลอันต่อไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้ว่าราคาของกระถางธูปนี้มันเกินขีดจำกัดความอดทนของซูหว่านเอ๋อแล้ว ดังนั้นต่อให้เขาช่วยเธอไป เธอก็คงจะไม่ดีใจสักเท่าไหร่
แต่ในเวลานี้ หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขากลับพูดขึ้นเป็นคนแรก
“หว่านเอ๋อร์ หนูอยากได้กระถางนี้มาก ๆ เลยใช่ไหม? มา ๆ เดี๋ยวลุงซื้อให้เอง!”
เขามองหน้าสาวน้อยที่เขารักเหมือนหลานแท้ ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม
“หืม? ม…ไม่…ลุงหลิน อย่าเลยหนู…”
ซูหว่านเอ๋อ ตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย และเธอก็รีบปฏิเสธ
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ปฏิเสธจบ หลินป๋อก็ได้เสนอราคาไปแล้ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 33 เสนอราคา 30 ล้าน!”
แน่นอนว่าเมื่อราคาดีดไปเป็นสามสิบล้าน ทุกคนในห้องก็เงียบเสียงไปทันที!
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
ทันทีที่ประกาศราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนออกมา คนส่วนใหญ่ก็นิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าราคาดังกล่าวสูงกว่าที่คนส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้
ก่อนหน้านี้ โบราณวัตถุที่ขายออกไปแพงที่สุดราคาเพียงสามสิบล้านหยวน ใครจะจินตนาการได้ว่ามันจะมีของที่มีราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนโผล่ออกมาแบบนี้
สมบัติเช่นนี้เศรษฐีทั่ว ๆ ไปไม่มีสิทธิ์ซื้อได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เฉียนเซาก็ยกป้ายของเขาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 56 ล้าน!”
ทันทีที่พิธีกรบนเวทีรายงานราคา เฉียนเซาไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาเยาะเย้ยอวี้ฮ่าวหรานอย่างมีชัย
ในเวลานี้ เขาคาดไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางที่จะมีเงินพอประมูลของชิ้นนี้ร่วมกับเขาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอ่ยราคาขึ้นมาเพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่ายแบบนี้
แน่นอนว่า เฉียนเซาไม่ได้คิดว่าท้ายที่สุดตัวเองจะมีปัญญาพอซื้อพระพุทธรูปหยกนี้ เพราะราคามันคงโดดไปไกลมากกว่าที่ตัวเองจะเอื้อมไหว เขาแค่อยากเอ่ยราคาขึ้นเพื่อหยามหน้าอวี้ฮ่าวหรานก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายของตัวเองขึ้น
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 80 ล้าน!”
พิธีกรรายงานราคา และทุกคนในห้องโถงที่ยังคงลังเลอยู่ต่างกันก็หันศีรษะมองมาไปยังตำแหน่งหมายเลข 31 ด้วยความตกใจ
“พระเจ้า! เขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ? เพิ่มราคามาถึง 80 ล้านดื้อ ๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ?”
“เพิ่มราคามาขนาดนี้ได้ยังไง?? นี่เขาบ้าหรือเขาโง่กันแน่? แล้วแบบนี้ฉันจะสู้ราคาได้ยังไงต่อ!”
“…”
ทุกคนตกตะลึงแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หลังจากเงียบไปหลายวินาที ก็เกิดเสียงวิจารณ์ดังทั่วห้อง
ทางด้านของเฉียนเซา ตอนนี้เขากำลังตกตะลึงจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า!
เขาแค่ส่งสายตาเยาะเย้ยอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสู้ราคาจริง ๆ!
แถมราคาที่อีกฝ่ายสู้มามันมากกว่าราคาของทั้งหมดที่เขาซื้อ ๆ ไปในวันนี้ทั้งหมด!
สิ่งนี้มันทำให้เฉียนเซาดูเหมือนเป็นตัวตลกไปเลย
“จะบ้าเหรอ! แกมีเงินมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง!?”
เขาตะโกนร้องออกมาอย่างไม่เชื่อ
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย
“ทำไม? แกไม่คิดจะสู้ราคากับฉันแล้วงั้นเหรอ? ฉันแค่ขึ้นราคานิดหน่อย แค่นี้แกก็กลัวแล้วงั้นเหรอ?”
“แก!”
เฉียนเซาไม่รู้จะเถียงยังไงต่อ ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเฉียนเซา เห็นชัด ๆ ว่าไอ้เวรนั่นมันแค่แกล้งคุณเล่น มันจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง? ตราบใดที่คุณไม่เสนอราคาสู้กับมันและปล่อยให้มันชนะการประมูลไป ท้ายที่สุดมันเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายเดือดร้อน!”
ในเวลานี้ ชายหนุ่มลูกหลานตระกูลเศรษฐีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉียนเซาให้คำแนะนำราวกับเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้
“หุบปาก! แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอไง?”
เฉียนเซาหันหน้าไปตวาดใส่ชายหนุ่มข้าง ๆ ทันที ใบหน้าของเขามืดมนเต็มที่
เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่โดนคนที่ตัวเองคิดว่าอยู่ต่ำกว่าสร้างความลำบากให้กับเขาได้ขนาดนี้
ในวงสังคม เขาสามารถเสียทุกอย่างได้ แต่จะเสียหน้าไม่ได้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 81 ล้านหยวน!”
ไม่นานนักพิธีกรก็รายงานราคาใหม่
ในเวลานี้ เฉียนเซานั่งลงและมองดูอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเคียดแค้น จู่ ๆ เขาต้องเสียเงินมากกว่า 80 ล้านในครั้งนี้ เขาจะจดจำความแค้นนี้อย่างแน่นอน!
แต่อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างดูถูกและยกป้ายขึ้นอีกครั้ง!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 100 ล้านหยวน!”
“บ้าอะไรวะน่ะ?!!!”
เฉียนเซาที่เพิ่งนั่งลงกระเด้งตัวลุกขึ้นมายืนทันที เขาทั้งตกใจและโกรธ
“นี่แกโง่หรือบ้ากันแน่!! ฉันอุตส่าห์เมตตาแกให้ทางถอยกับแกแล้ว แต่แกกลับเสนอราคาต่อแบบนี้ทำบ้าอะไร!?”
ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อพระพุทธรูปหยกนี่ด้วยซ้ำเพราะรู้ว่ามันจะต้องแพงมาก แต่ถัดมาเขาก็ถูกบีบให้รักษาหน้าของตัวเองโดยการต้องยอมตัดใจเพิ่มราคาเกทับอวี้ฮ่าวหรานมาเป็น 81 ล้านซึ่งเขาคิดว่าตัวเขาคงจะต้องได้ซื้อมันจริง ๆ แน่ โดยที่ไม่ได้อยากจะเสียเงินมากขนาดนี้เลย แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับขึ้นราคามาอีกเกือบยี่สิบล้านหยวน!
นี่มันมากเกินไปแล้ว!
แม้ว่าจะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเฉียนก็ตาม แต่ราคาหนึ่งร้อยล้านก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย!
เฉียนเซาไม่สามารถเสี่ยงดวงขานราคาเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากได้ซื้อมันจริง ๆ ในราคามากกว่าร้อยล้านหยวน มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเขา…
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับทำเพียงแค่เหลือบมองกลับไปและเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก
“นั่นมันเรื่องของแก ฉันแค่ต้องการซื้อของนี่ไปประดับห้องนั่งเล่นของฉันก็แค่นั่น”
เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกตะลึง
คำพูดนี้มันเย่อหยิ่งเกินไป ซื้อสมบัติหายากมูลค่า 100 ล้านหยวน เพื่อเอาไปตกแต่งห้องนั่งเล่นแค่นั้นเนี่ยนะ?
นรกเถอะ!
บ้านของแกมีมูลค่าถึงร้อยล้านแล้วหรือไง!
กล้าเอาของมูลค่าร้อยล้านไปประดับห้องนั่งเล่นเนี่ยนะ!
เฉียนเซามองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างโกรธจัด ก่อนที่จะตวาดขึ้นดังลั่น
“ฉันเข้าใจแกผิดไป! แกไม่ใช่คนยากจน แต่แกมันเป็นไอ้โง่! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีปัญญาจ่าย!”
“แล้วถ้าฉันสามารถจ่ายได้ล่ะ?” อวี้ฮ่าวหราน ถามกลับทันควัน
“ฮึ่ม! ถ้าแกสามารถจ่ายได้ ฉันจะยอมเรียกแกว่าพ่อเลย!”
เฉียนเซาปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีเงินทุนขนาดนั้น ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนรวยจริง ๆ จะใส่ชุดราคาถูกแบบนั้นทำไม? มันคงไม่มีคนรวยคนไหนที่ไม่ดูแลการแต่งกายของตัวเองหรอกจริงไหม?
“เหอะ ๆ อย่าเลย ฉันไม่อยากมีลูกชายแบบแก ถ้ามี ฉันเกรงว่าฉันคงฆ่าแกทันทีที่แกลืมตาดูโลก”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเยาะ
“แก!”
เฉียนเซาโกรธจนเกือบควันออกหู
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก! แกมันก็ดีแต่ปาก!”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน การเสนอราคาในงานประมูลก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 13 เสนอราคา 110 ล้าน!”
“สุภาพบุรุษหมายเลข 19 เสนอราคา 115 ล้าน!”
ราคามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่พูดไม่ออกอย่างรวดเร็ว
คุณค่าของพระพุทธรูปหยกองค์นี้มีค่าคู่ควรกับเงินจำนวนนี้ และคุณภาพของหยกเช่นนี้นั้นหายากมากในโลกปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อยู่แล้ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 150 ล้านหยวน!”
เพิ่มราคา 35 ล้านด้วยการขานครั้งเดียว!
ทุกคนสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง!
พวกเขาพบว่าชายหนุ่มหมายเลข 31 กำลังใช้เงินราวกับว่ามันเป็นแค่เศษกระดาษ!
ต้องรู้ว่าเงิน 150 ล้านนั้นเพียงพอที่จะซื้อบริษัทขนาดเล็กได้หลายบริษัท!
ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่หยุดประมูล แต่ก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งที่ยังไม่เต็มใจจะยอมแพ้อยู่ และขานราคาสู้อย่างอีกครั้ง
“สุภาพบุรุษหมายเลข 14 เสนอราคา 155 ล้าน!”
ทุกคนไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้มันเป็นการแข่งขันของมหาเศรษฐีตัวจริง!
บางคนที่เพิกเฉยต่ออวี้ฮ่าวหรานก่อนหน้านี้ ตอนนี้รู้สึกเสียดายโอกาสของตัวเองเป็นอย่างมาก ทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีโอกาสพวกเขาถึงโง่ไม่ยอมผูกมิตรกับมหาเศรษฐีอายุน้อยคนนี้??
คนที่สามารถใช้เงินซื้อของประดับบ้านมูลค่า 150 ล้านได้นั้น พวกเขาเทียบไม่ได้เลย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นว่ายังมีคนพยายามจะสู้ราคาอยู่ เขาก็ยกยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายสู้ราคาอีกรอบ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะได้พระพุทธรูปหยกองค์นี้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 200 ล้าน!”
ราคานี้แม้แต่พิธีกรบนเวทียังตกใจ!
พระเจ้า!
เขาไม่เคยเห็นการขานราคาสู้ที่บ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!
ตามปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะซื้อราคากันทีละล้านสองล้าน แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเพิ่มราคาขึ้นมาทีเดียวถึง 45 ล้าน!
เศรษฐีผู้ที่เคยคิดจะสู้ราคากับอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินราคานี้เขาถอนหายใจก่อนที่จะโบกมือยอมแพ้ราคาไปในที่สุด
ในขณะนี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องประมูลต่างมองไปที่ชายหนุ่มหมายเลข 31 โดยพยายามเดากันว่าชายหนุ่มคนนี้มีที่มายังไง ทำไมถึงได้กล้าใช้เงินมากขนาดนี้?
บทที่ 330 แก้แค้น
บทที่ 330 แก้แค้น
หลังจากได้ยินราคาสูงเสียดฟ้านี้ ทุกคนก็พยายามคาดเดา
มีชนชั้นสูงเพียงไม่กี่คนในเมืองฮ่วยอันที่สามารถควักเงินสองร้อยล้านออกมาได้อย่างง่ายดาย
แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่ค่อยเข้าร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักเขาเลย
ในเวลานี้ เฉียนเซาตกตะลึง!
ถ้าอีกฝ่ายหยุดลงตอนที่ขานราคาหนึ่งร้อยล้าน เขาก็คงคิดแค่ว่ามันเป็นแค่การขู่ขวัญ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับขานราคาขึ้นมาเป็นสองร้อยล้าน ดังนั้นมันก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายต้องการจะซื้อของชิ้นนี้จริง ๆ
นี่อีกฝ่ายรวยขนาดนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?
จากนั้น ภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของเขา เมื่อเฉียนเซาเห็นคนของโรงแรมได้นำหีบห่อที่บรรจุพระพุทธรูปหยกมาให้อีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ยื่นบัตรเครดิตสีทองสะดุดตารูดจ่ายออกไป!
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที พนักงานของโรงแรมก็คืนบัตรเครดิตสีทองคืนด้วยท่าทางเคารพ
แน่นอน…จ่ายไปแล้ว!
“นี่มัน…”
หลังจากตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เฉียนเซาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ดวงตาของเขาเบิกกว้างและมองไปที่หน้าของบรรดาคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเหลือเชื่อ
พวกลูกหลานรุ่นที่สองของตระกูลร่ำรวยต่างก็พูดไม่ออกอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาไม่นึกเลยว่า คนที่พวกเขาคิดดูถูกมาตลอดจะกลายเป็นมหาเศรษฐีตัวจริง!
หลังจากได้รับของที่ต้องการมา อวี้ฮ่าวหรานก็ลุกขึ้นทันทีเตรียมที่จะจากไป แต่ก่อนที่จะเดินออกไปนั้น ชายหนุ่มเหลือบมองเฉียนเซาอย่างดูถูกและเอ่ยขึ้น
“ฉันจำได้ว่าแกอยากจะเรียกฉันว่า ‘พ่อ’ ใช่ไหม? อย่าฝันไปหน่อยเลย! ฉันไม่ต้องการจะมีลูกโง่ ๆ อย่างแกหรอก!”
เมื่อสมบัติอยู่ในมือแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี และต้องการเยาะเย้ยอีกฝ่ายเล็กน้อย
อุ๊บ…!
ซูหว่านเอ๋อเมื่อได้ยินประโยคนี้ เธอเกือบจะหลุดขำออกมา
เมื่อเฉียนเซาได้ยินประโยคนี้ เขาแทบอยากจะกระอักเลือดออกมาเพราะความโกรธ!
เจ็บใจ! เจ็บใจจริง ๆ!!
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งดูถูกอีกฝ่ายว่าเป็นคนจน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันย้อนคำพูดของเขาเข้ามาหาตัวเองเต็ม ๆ!
นี่ไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้าในที่สาธารณะ!
ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้!
“แก! แกรอฉันก่อนเถอะ!!”
หงุดหงิด โกรธ เถียงไม่ได้ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงต่อและบวกกับความอับอายสุดขีด เฉียนเซาจึงลุกและเดินหนีไปอย่างรวดเร็วทันที
ลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่คอยสนับสนุนเฉียนเซาอยู่ตลอด เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาก็รีบลุกตามไปในทันที
อวี้ฮ่าวหรานไม่มีเวลาที่จะติดตามและให้ความสนใจ ในขณะนี้การประมูลสิ้นสุดลงและการโอนต้องออกไป
“ฮ…ฮ่าวหราน คือว่า…”
“หืม?”
ขณะที่เขากำลังจะจากไป จู่ ๆ ซูหว่านเอ๋อก็คว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้
“ฉ…ฉัน…ฉันอยากชวนคุณไปทานอาหาร…”
เธอทำใจอยู่นาน และในที่สุดเธอก็สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้
ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำคู่นั้นมองที่อวี้ฮ่าวหรานอย่างคาดหวัง
“กินข้าว?”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อคิดว่าตัวเองก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเช่นกัน ดังนั้นจึงพยักหน้า
“อืมไปกันเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวคุณเอง”
“ไม่ ครั้งนี้…ครั้งนี้ฉันอยากจ่าย!”
ซูหว่านเอ๋อดูเหมือนจะคิดเรื่องนี้เอาไว้ได้พักใหญ่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าเธอจะประหม่าจนหน้าแดงก่ำ แต่น้ำเสียงที่เธอพูดขึ้นกลับดูแน่วแน่เป็นอย่างมาก
“อืม…ก็ได้ งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ และตอบตกลงหลังจากที่ตัวเองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันนี้ หลินป๋อที่เพิ่งคุยกับประธานเจ่าเสร็จก็เดินมาหา
“ฮ่า ๆ หนุ่มสาวกำลังจะไปเดทกันงั้นเหรอ? ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปช่วยพาชายชราคนนี้ไปด้วยจะได้ไหม?”
เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง และตั้งใจเดินเข้ามาพูดแหย่เล่นด้วยสีหน้าเบิกบาน
ซูหว่านเอ๋อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกกับการหยอกล้อตัวเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากของเธอและมองหน้าอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย
“อะแฮ่ม ๆ แหม ลุงแค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ดูสิทำหน้าทำตางอนลุงซะแล้ว ฮ่า ๆ ลุงไปก็ได้”
หลินป๋อรู้สึกขบขันเล็กน้อยกับดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำที่จ้องมาที่เขาอย่างขุ่นเคือง เขาโบกมืออย่างสบาย ๆ ก่อนที่จะจากไป
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นความเป็นกันเองระหว่างหลินป๋อและซูหว่านเอ๋อ
“ไปเถอะ ไปด้วยรถของผมกัน คุณแค่บอกทางไปร้านที่คุณอยากจะกินมาก็พอ”
จากนั้นคนทั้งคู่ก็พากันเดินไปที่ลานจอดรถ
อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่เฉียนเซาออกจากโรงแรมไป เขาก็โทรเรียกบอดี้การ์ดของตัวเองทันที และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกหลายคนก็เรียกบอดี้การ์ดของพวกเขาเอง
จากนั้นไม่นานบอดี้การ์ดมากกว่ายี่สิบคนก็มารวมตัวกัน ซึ่งทำให้กลุ่มของพวกเขาดูค่อนข้างน่ากลัว
“คุณเฉียนเซา คุณคิดว่าคนเราจะจัดการกับไอ้เวรนั่นได้จริง ๆ เหรอ? ผมคิดว่าไอ้เวรนั่นไม่น่าจะใช่คนธรรมดาเช่นกัน มันไม่มีทางที่คนแบบนั้นที่สามารถจ่ายเงินได้ 200 ล้านอย่างสบาย ๆ จะมีอิทธิพลน้อยกว่าเรา!”
ในเวลานี้ หนึ่งในลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่อยู่กลุ่มเดียวกับเฉียนเซาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
แม้ว่าครอบครัวของเขาจะรวย แต่เงินสองร้อยล้านนั้นเกือบจะเทียบเท่ากับทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวของเขา ดังนั้นจึงคิดว่าเขาไม่ควรที่จะไปยั่วยุอีกฝ่ายที่มีเงินมากกว่าครอบครัวมากขนาดนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ จากที่ตัวเองโมโหอยู่แล้ว เขาก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม
“โว้ย! นี่แกคิดว่าฉันจะเอาบอดี้การ์ดของพวกเราไปสู้งั้นเหรอ? ฉันไม่ประมาทขนาดนั้นหรอก คราวนี้ฉันจะเล่นให้แรงจนไอ้เวรนั่นมันจะต้องเสียใจที่ได้เกิดมาเลย!”
“ไม่ประมาท? เฉียนเซา นี่คุณกำลังจะทำอะไร…”
“ฉันรู้จักสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์อยู่สองสามคน พวกมันใช้ประโยชน์จากฉันมาหลายรอบแล้ว ตอนนี้มันได้เวลาที่พวกมันจะต้องทำประโยชน์ให้กับฉันบ้าง!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แววตาของเฉียนเซาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
ในสังคมลูกคนรวยอย่างพวกเขา เมื่อไหร่ที่มีการเรียกใช้คนของแก๊งใต้ดิน มันหมายถึงว่าพวกเขาต้องการให้ศัตรูตายหรือไม่ก็พิการเป็นอย่างน้อย!
ดังนั้นเมื่อได้ยินแผนการนี้ของเฉียนเซา พวกลูกหลานคนรวยเหล่านี้จึงก้าวถอยห่างออกไปเล็กน้อย และบางคนก็กลัวจนไม่อยากที่จะเข้าร่วมการล้างแค้นนี้อีกต่อไป
ต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วคนที่โดนอวี้ฮ่าวหรานดูถูกมีแค่คนเดียวคือเฉียนเซา ส่วนพวกเขานั้นไม่ได้มีความแค้นอะไรต่ออวี้ฮ่าวหรานเลย
ถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็ไม่อยากที่จะเอาตัวถลำลึกลงไปให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางโดยที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรแบบนี้
“ด…เดี๋ยว…ก่อน อย่าให้มันถึงขนาดนั้นเลยจะดีกว่าไหม?”
หนึ่งในลูกหลานคนรวยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหม่าสุดขีด
“ถ้ากลัวแกก็ไสหัวไปซะ และจากนี้ไปอย่าโผล่หน้ามาในกลุ่มของฉันอีก!”
เฉียนเซาจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มที่กำลังแสดงสีหน้าประหม่าสุดขีด เขาไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าเฉียนเซาจริงจังมากกับเรื่องนี้ คนที่เหลือไม่กี่คนก็ตกลงกับแผนการของเฉียนเซา
ตัดกลับมาทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน
หลังจากที่เขาขับรถพาซูหว่านเอ๋อออกไปจากโรงแรม สถานการณ์ทุกอย่างก็ปกติดีจนกระทั่งเขาขับรถไปถึงย่านรกร้าง ซึ่งเขาได้พบว่ามีรถหลายคันกำลังขับตามเขามาอย่างประสงค์ร้าย!
ภายในรถสปอร์ตสีเหลืองสดใส
“ฮ่าวหราน…ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ทางไปร้านอาหารที่ฉันบอกนี่นา”
ซูหว่านเอ๋อรู้สึกสงสัยเมื่อเห็นว่าสองข้างทางที่พวกเขากำลังขับผ่านอยู่มันไม่คุ้นตาเธอเลยแม้แต่น้อย แถมอวี้ฮ่าวหรานก็ขับไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอกผมไม่ใช่คนเลว ผมไม่ลักพาตัวคุณไปไหนหรอกสบายใจได้!”
เขาหยอกล้ออย่างสบายใจ
“แต่…”
ซูหว่านเอ๋อไม่เข้าใจเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังจะขับรถพาเธอไปไหน แต่ด้วยความเชื่อใจ เธอจึงไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรและแค่เพียงสงสัยว่าท้ายที่สุดเขาจะไปจอดที่ไหน
แต่แล้วจู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็เบี่ยงรถไปข้างทางและจอดรถอย่างกระทันหัน!
“มีคนกำลังตามเรามา ผมแค่ไม่อยากให้คนทั่วไปเห็นสิ่งที่ผมกำลังจะทำ ดังนั้นผมเลยขับมาในย่านร้างผู้คนนี้ เอาล่ะ คุณรออยู่ในรถก่อน ผมขอเวลาครู่หนึ่งจัดการแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ นี่ก่อน!”
ทันทีที่คำอธิบายจบลง อวี้ฮ่าวหรานก็ลงจากรถและเดินไปหยุดอยู่ที่หลังรถ!
“เอ๊ะ?”
ซูหว่านเอ๋อรู้สึกสับสนทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่ครู่ต่อมา มีรถสปอร์ตหลายคันพุ่งมาหยุดอย่างรุนแรงที่ด้านหลังห่างไปไม่ไกลนัก และตามมาด้วยรถ SUV อีกสี่ห้าคันก็ทยอยตามมาหยุดลง!
ทันทีที่รถเหล่านี้หยุดลง บอดี้การ์ดร่างกำยำมากกว่าโหลก็ลงมาจากรถ SUV!
ถัดมา พวกลูกหลานคนรวยก็ลงจากรถสปอร์ต และเดินเข้ามาอยู่ภายใต้การนำของเฉียนเซา!
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
“ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมออกไปแต่โดยดี ดังนั้นพวกเราจึงต้องใช้กำลังเพื่อบังคับให้เขาออกไป”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของเขาเอง หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงไม่กล้าที่จะพูดจาแต่งเติมเรื่องแม้แต่น้อย เขาพูดเฉพาะในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นและได้ยินมา
ในเวลานี้เฉียนเซา เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงแรมออกมาแล้ว เขาก็มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมในทันที
“ใช่ ๆ! ไอ้ยาจกตัวนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ ๆ มันก็ทำร้ายเพื่อนของผมโดยที่พวกผมยังไม่ได้ทันทำอะไรมันก่อนเลย และโดยเฉพาะคำพูดคำจาของมันเย่อหยิ่งมากราวกับไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ท่านประธานควรจะไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้และประกาศห้ามให้เขามาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต!”
สีหน้าของเขาตื่นเต้นมากในขณะที่เขาพูด
คิดจะสู้กับเขางั้นเหรอ?
ในแวดวงชนชั้นสูงมีแต่คนรู้จักเขาเยอะแยะไปหมด คนจน ๆ คนหนึ่งจะมาสู้กับเขาได้ยังไง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลินป๋อเพิกเฉยต่อคำพูดของคนอื่น ๆ และหันไปหาเจ้าของโรงแรม
“ประธานเจ่า ชายหนุ่มคนนี้ไงที่วันนี้ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง เขามีความสามารถอย่างมาก แถมยังสามารถบริหารจัดการบริษัทใหญ่ยักษ์ด้วยตัวของเขาเองแค่คนเดียว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม โดยไม่ได้ใส่ใจกับพวกบอดี้การ์ดของเขาหรือเฉียนเซาเลยแม้แต่น้อย
“อืม ช่างคนเป็นคนหนุ่มอายุน้อยที่น่าประทับใจจริง ๆ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาบ้างก่อนหน้านี้ แต่ไม่นึกเลยว่าตัวจริงจะดูดุดันมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก คนแก่อย่างฉันเทียบไม่ได้เลยจริง ๆ ฮ่า ๆ”
หลังจากพูดจบ ชายชราโบกมือให้บอดี้การ์ดของเขา
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่ารบกวนแขกผู้มีเกียรติของฉัน”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดอึ้งไปในทันที ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“ท…ท่านประธาน แต่ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เริ่มสร้างปัญหาก่อน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านสั่งกับพวกเราหรอกเหรอว่าเราต้องจัดการพวกที่สร้างปัญหาให้กับเราอย่างเด็ดขาด?”
“นายแน่ใจเหรอว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนสร้างปัญหาก่อน? นายเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า? สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้ดูสุภาพที่สุดแล้ว!”
ชายชราผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ประธานเจ่า’ เมื่อได้ยินคำถามของลูกน้องตัวเอง เขาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรอบตัวเขาตกตะลึง
ที่พวกเขาตกตะลึงกันมากเป็นเพราะหนุ่มน้อยที่ประธานเจ่าบอกว่าเป็นคนสุภาพกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ในตอนนี้!
คนสุภาพแบบไหนที่เหยียบหน้าคนอื่นแบบนี้กัน???
ในเวลานี้ หลินป๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอารมณ์ดี
“ฮ่า ๆ น้องอวี้ นายรีบยกเท้าออกก่อนเถอะ นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อครู่นี้ นายก้าวพลาดจนตอนนี้กำลังเหยียบอยู่บนหน้าคนอื่นอยู่?”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูด เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
“โอ้ จริงด้วย โทษทีเมื่อกี้ไม่ทันมอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้คนที่เขากำลังเหยียบหน้าอยู่แล้วค่อยถอนเท้ากลับ
ทุกคนตกตะลึงมากกว่าเดิมกับบทสนทนานี้!
ก้าวพลาดจนเหยียบหน้าคนอื่น? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน!?
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเมื่อกี้ไอ้หนุ่มนี่มันถีบคนอื่นก่อน แล้วจากนั้นก็เหยียบหน้าอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ!
ข้ออ้างแบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่สนใจการแสดงออกของทุกคนรอบ ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงแสดงทัศนคติที่เป็นมิตรต่ออวี้ฮ่าวหรานต่อไป
“ฮ่า ๆ นายเห็นแล้วหรือยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้องชายของฉันคนนี้หรอกที่สร้างปัญหา แต่เนื่องผู้คนที่นี่แออัดมาก ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการพลาดเหยียบกันขึ้น!”
เขายืนยันและจ้องไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยแววตาบอกเป็นนัยให้คล้อยตาม
หัวหน้าบอดี้การ์ดเห็นสิ่งนี้และเข้าใจในทันที
“อ…เอ่อ…ครับท่านประธาน! เมื่อครู่มันอาจจะเป็นผมเองที่ได้ยินผิดไป น้องชายคนนี้น่าจะไม่ได้สร้างปัญหาจริง ๆ มันน่าจะมีแค่ไอ้สองคนนี้ที่พยายามจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตเพื่อก่อกวนโรงแรมของเรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะโยนตัวปัญหาสองคนนี้ออกไปจากโรมแรมของเราทันทีครับท่าน!”
เขาเปลี่ยนทัศนคติทันที
ขณะพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ อย่างตกตะลึง
เขาพยายามเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?
ต้องรู้ว่าประธานของเขาเป็นคนที่เข้มงวดกับกฏระเบียบมากเสมอ ไม่มีสักครั้งเลยที่ประธานของเขาจะพูดละเว้นใครแบบนี้!
ทางด้านของฝูงชนเมื่อได้ยินคำพูดของประธานเจ่า พวกเขาก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม!
แออัดจนพลาดเหยียบหน้ากันเนี่ยนะ!? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน??
อ้างแบบนี้ก็ได้เหรอ?!
คนปัญญาอ่อนยังรับรู้ได้ว่านี่มันคือการแก้ตัวให้กันอย่างน่าไม่อายชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคำพูดนี้มันถูกเอ่ยออกมาจากปากของเจ้าของโรงแรม พวกเขาจะสามารถโต้แย้งอะไรได้?
หลังจากเห็นสถานการณ์ที่าพลิกผันขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบพลางมองคู่หนุ่มสาวอย่างสงสัย
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมประธานเจ่าถึงพูดช่วยเขาขนาดนี้?”
“นี่มันเป็นการช่วยแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยสักนิด!”
“พระเจ้า ชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ พวกเรารีบไปยืนกันตรงอื่นดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหางเลขเอาได้ เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดช่วยเฉียนเซาไปด้วย!”
“…”
มีการพูดคุยกันมากมายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่หนุ่มสาวซึ่งก็คืออวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋ออีกแล้ว
ล้อเล่นเถอะ ขนาดเจ้าของโรงแรมยังออกโรงพูดช่วยขนาดนี้ ต้องโง่ขนาดไหนถึงยังจะกล้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคู่หนุ่มสาวคู่นี้อีก?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นความบิดเบี้ยวนี้ เฉียนเซาก็โมโหจนแทบหัวระเบิด
“ไม่…นี่มันไม่ถูกต้อง! เมื่อกี้ไอ้เวรนี่มันตีเพื่อนของผมก่อนชัด ๆ! ทำไมคุณกลับพูดจาเข้าข้างมันแบบนี้ ผมไม่ยอม!”
เฉียนเซายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และความโมโหทำให้กระบวนการคิดของตัวเองสับสนไปหมดจนกล้าพูดเถียงคนที่เป็นถึงเจ้าของโรงแรมที่เขากำลังยืนอยู่!
แน่นอนว่าชายสองคนที่นอนอยู่ที่พื้นนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งกว่า
“พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาก่อนสักหน่อย! พวกเราถูกทำร้ายก่อนชัด ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เห็นเต็มสองตา!”
นี่มันบ้าอะไรกัน!
นี่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ากลับขาวเป็นดำใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สายตาของชายชรา หัวหน้าบอดี้การ์ดและลูกน้องกระโจนเข้าหาทั้งสองคนทันที!
“พวกคุณทั้งสองคนยังกล้าสร้างปัญหาในโรงแรมของเราอีกงั้นเหรอ! ได้! ในเมื่อเตือนกันแล้วไม่ฟังแบบนี้ถ้างั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ!”
หลังจากพูดจบ บอดี้การ์ดสี่คนก็รวมตัวกันและลากทั้งสองคนออกไป
“ไม่…ไม่…เราบริสุทธิ์!”
ระหว่างโดนลากชายทั้งสองคนยังคงตะโกนเรียกร้องความบริสุทธิ์ของตัวเองเสียงดังลั่น
นี่พวกเขาพลาดไปยั่วยุตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่? นอกจากพวกเขาจะโดนอัดแบบฟรี ๆ แล้วตอนนี้ยังต้องโดนลากออกจากงานประมูลด้วยเนี่ยนะ?
ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่ได้มองทั้งสองคนที่ถูกลากออกไปเลย แต่เขากลับมองไปที่เฉียนเซาด้วยแววตาจริงจัง
“คุณยังอยากจะพูดอะไรต่อไหมกับการตัดสินใจของฉัน? หรือว่าคุณไม่พอใจอะไรตรงไหนหรือเปล่า?”
คำถามที่เย็นชานี้ทำให้หัวใจของเฉียนเซาเต้นผิดจังหวะ
ฉันจะบอกไปว่าไม่พอใจได้ยังไง?!
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย ทรัพย์สินของชายชราผู้นี้รวยกว่าครอบครัวของเขามาก แม้ว่าพ่อของเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่สามารถเถียงชายชราคนนี้ได้!
หากตัวเองทำให้ชายชราคนนี้โกรธเคือง เมื่อเขากลับไปก็คงจะโดนพ่อถลกหนังเป็นแน่
“ผ…ผมพอใจแล้ว”
เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“ฮ่า ๆ เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่า น้องอวี้ของฉันไม่เคยคิดที่จะสร้างปัญหาให้กับใคร นี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
หลินป๋อหัวเราะเมื่อเรื่องนี้ได้รับการจัดการตามที่เขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะนี้ทำให้เฉียนเซารู้สึกเศร้าใจ
นี่มันเป็นการกลับขาวให้เป็นดำไม่ใช่หรือไง?
เห็นกันชัด ๆ ว่าเพื่อนของเขาถูกทำร้ายก่อน แต่ในท้ายที่สุดเพื่อนของเขากลับถูกลากออกไปซะงั้น
แถมอีกฝ่ายยังบังคับให้เขายอมรับว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดอีกต่างหาก…
บัดซบเอ๊ย!
ในขณะนี้ แม้แต่ซูหว่านเอ๋อที่ตอนแรกตื่นตระหนกก็ยังตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นฉากบังคับให้เข้าใจผิดแบบนี้มาก่อน
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในเวลานี้ ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ นี่แหละคือประโยชน์ของการมีอิทธิพล!”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างสบาย ๆ
ตราบใดที่มีอำนาจมีพลัง เขาก็สามารถบังคับให้ใครก็ได้พูดว่าสีดำเป็นสีขาว และคนพวกนั้นก็จำเป็นต้องเชื่อว่ามันสีขาวอย่างไม่อาจเถียงได้
หลังจากที่เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว หลินป๋อก็เข้ามาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้างน้องอวี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูนายสบายดีนะใช่ไหม?”
ในขณะนี้ สีหน้าของหลินป๋อดูปกติอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการบังคับและอ้างเหตุผลว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ