บทที่ 351 สามชายลึกลับ
บทที่ 351 สามชายลึกลับ
หลังจากที่กลุ่มของโจวเฟยหู่ออกจากร้านอาหารไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ทักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาให้กินอาหารกันต่ออย่างใจเย็น
“ฮ่าวหราน…คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ”
เฉิงชิวอวี้มองไปยังกลุ่มคนที่น่ากลัวของโจวเฟยหู่ทยอยกันจากไป
“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย อย่ากลัวไปเลย”
อวี้ฮ่าวหรานปลอบโยนอย่างสบาย ๆ
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ!
ผู้ที่มากินอาหารในร้านวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองเอาไปเล่าโอ้อวดไปชั่วชีวิต
ผู้จัดการเหงื่อออก
ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นว่าคนที่มีอำนาจจริง ๆ มันเป็นเช่นไร!
เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!
จินเส่าที่หยิ่งผยองเสมอมา ได้ถูกลากออกไปราวกับหมาที่ตายแล้ว!
ไม่นานทั้งสองก็กินข้าวเสร็จ
“ที่นี่อร่อยจริง ๆ ผมชอบมาก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปากชม เฉิงชิวอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
นี่น่ะเหรอคือผู้ชายที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวจนแทบจะเป็นลมได้?
“ข…แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง…ค่อย ๆ เดินช้า ๆ นะครับ ผมขอประทานอภัยจริง ๆ สำหรับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอาไว้คราวหน้าที่พวกท่านมา ผมจะปรับปรุงการบริการให้ดีมากกว่าเดิม!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป ผู้จัดการก็เอ่ยอำลาอย่างนอบน้อมทันที
“คราวหน้าถ้าฉันมา ที่นี่คงไม่มีคนอย่างนายน้อยจินอะไรนั่นอีกแล้วจริงไหม?”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างเฉยเมย
“ไม่! ไม่มีแล้วแน่นอน!”
ผู้จัดการรีบสัญญา ล้อเล่นเถอะ หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปใครจะกล้าทำตัวรนหาที่ตายแบบนั้นที่นี่อีก?
หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็ไปส่งเฉิงชิวอวี้กลับบ้าน
“ฮ่าวหราน วันนี้คุณน่าทึ่งอีกแล้ว!”
เมื่อลงจากรถ เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นทันที
“หืม? ผมน่าทึ่งตรงไหนกัน?”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา มันไม่มีผลต่ออารมณ์โดยรวมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“คุณ…”
จู่ ๆ เฉิงชิวอวี้ก็แก้มแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปกติแล้วหากผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เธอมักจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่เสมอ
“งั้น…งั้นฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเธอ เฉิงชิ้วอวี้จึงอยากกลับบ้านโดยเร็วเพื่อทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเธอสงบลง
หลังจากที่ทั้งสองกล่าวคำอำลา เขาก็ขับรถออกไป
แต่แทนที่จะกลับไปที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานกลับขับรถกลับคอนโดทันที
ชายหนุ่มวางแผนว่าหลังจากกลับไปถึงห้อง เขาจะใช้โบราณวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งตัวเองเพิ่งได้มาจากตำหนักคุมกฎขององค์กรสรพิษเมื่อวานนี้ทันที
วันนี้เขาต้องดูดซับพลังจากพวกมันให้หมด
เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้ ทำให้ชายหนุ่มกระหายที่จะแข็งแกร่งให้เร็วมากขึ้น
และที่สำคัญ…หากต้องการพบกับภรรยาตัวเองอย่างเร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้
อวี้ฮ่าวหรานกลับไปถึงคอนโดประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ
ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู จากนั้นจึงนำโบราณวัตถุขึ้นมาดูดซับพลังวิญญาณทันที
กระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง มัน ค่อย ๆ ขยายทะเลวิญญาณในตันเถียนของตัวเองให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลานี้เขาใกล้จะทะลวงระดับแล้ว
—
ในเวลาเดียวกัน ชายลึกลับสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอู๋ ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตระกูลอู๋นั้นกำลังตกต่ำมากจากการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติภายในตระกูล!
“อู๋ลั่น? เรา…เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย…”
ในห้องโถงตระกูลอู๋ สมาชิกทุกคนในตระกูลอู๋ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาต่างมองไปที่ชายลึกลับทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว
ทั้งสามแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมโบราณ ราวกับหลุดออกจากละครย้อนยุคกำลังภายใน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะการแต่งกายของชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้
ที่พื้นบ้าน บอดี้การ์ดสิบกว่าคนทั้งหมดนอนสลบไสลอยู่ในอาการปางตาย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้
“แกล้อเล่นใช่ไหมที่บอกว่าไม่รู้! อู๋ลั่นออกเดินทางมาที่นี่หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากพวกแก! แต่ตอนนี้พวกแกกลับบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ?”
ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่สวมชุดโบราณ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดซึ่งสวมชุดคลุมสีดำถามอย่างเย็นชาในเวลานี้
“นั่น… นั่นเป็นเพราะผู้นำตระกูลอู๋หมิ่นที่เพิ่งตายไป เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปโดยไม่บอกคนอื่นเลย และตอนนี้ทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้รายละเอียดอื่น ๆ อีกเลย”
ในห้องโถง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นและอธิบายอย่างร้อนรน
ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้เข้ามาที่ตระกูลอย่างหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ซึ่งทำให้เขานึกถึงสำนักเมฆาเขียวที่เคยมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับตระกูลอู๋
อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักนั้น
“ผู้นำตระกูลของพวกแกถูกฆ่า? เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
“เรื่องนี้…เรายังไม่ได้ตรวจสอบทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกคือชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูลมากที่สุด”
“อวี้ฮ่าวหราน? ชายหนุ่มผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”
“นี่…นี่ ผู้น้อยก็ไม่รู้”
ชายชราที่ยืนขึ้นตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่เคยเจอกับอวี้ฮ่าวหรานโดยตรง ดังนั้นเขาจะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
“อืม การที่อู๋ลั่นหายตัวไปน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถจัดการกับอู๋ลั่นได้ มันก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าตระกูลอู๋จะรับมือไม่ไหว”
ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แล้วปลอบอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกข้าขนาดนั้น พวกข้าสามคนรวมไปถึงอู๋ลั่นมาจากสำนักเดียวกัน พวกเราทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับตระกูลอู๋อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นพวกข้าจะไม่ทำอันตรายต่อพวกเจ้าตระกูลอู๋”
ผู้อาวุโสของตระกูลอู๋ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย “ผู้น้อย…ผู้น้อยเคยได้ยินเรื่องของสำนักเมฆาเขียวมาเช่นกันว่าพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับตระกูลอู๋ของเรา คราวนี้การหายตัวไปของอู๋ลั่น นับได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลอู๋ด้วยจริง ๆ พวกผู้น้อยละอายใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”
“เอาละ ช่างมันเถอะ เรื่องนี้โทษพวกเจ้าที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าจงไปเตรียมที่พักอาศัยให้เราก่อน ส่วนเรื่องอวี้ฮ่าวหราน เราจะตรวจสอบเอง”
บรรยากาศในห้องโถงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และหลังจากที่ทั้งสามรู้ว่าผู้นำตระกูลอู๋คนที่เรียกอู่ลั่นมาถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอคติกับคนอื่น ๆ ของตระกูลอู๋อีกต่อไป
บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
อวี้ฮ่าวหรานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ทำอะไรลงไปเลย พร้อมกับเหลือบมองไปที่ชายหัวล้านและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
“อยู่แค่ขอบเขตกำลังภายนอกแท้ ๆ กลับกล้าเสนอส่งเสียงดังต่อหน้าฉัน ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวบ้างเลยจริง ๆ!”
หลังจากที่ต่อยอีกฝ่ายจนปลิวได้ขนาดนี้ ไม่มีใครกล้าดูถูกคำพูดของเขาอีกแล้ว
“แก…แกอย่าได้ใจไปนักนะโว้ย ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มีคนที่แข็งแกร่งกว่าแกอีกมากมาย! ต่อให้แกจะแข็งแกร่งกว่าฉันแต่หลังจากนี้แกไม่รอดแน่!”
แม้ว่าชายหัวล้านจะบาดเจ็บจนอาเจียนเป็นเลือด แต่ก็ยังสามารถตะโกนข่มขู่เสียงดังได้
“แกทำร้ายสมาชิก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ แบบนี้ แกไม่มีทางรอดแน่!”
ในตอนแรกพวกแขกในร้านอาหารรวมไปถึงพนักงานของร้าน เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจได้บ้าง แต่แล้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ สีหน้าของเขาทุกคนก็มืดมนลงอย่างกะทันหันกับความจริงที่โหดร้าย
ในสายตาของคนทั่วไป ปัจจุบันแก๊งพยัคฆ์เวหาคือแก๊งที่มีอิทธิพลที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!
ดังนั้นไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแก๊งที่มีอิทธิพลและกำลังคนเป็นร้อย ๆ คน ไม่ช้าก็เร็วคน ๆ นั้นจะต้องตายอย่างน่าอนาถในท้ายที่สุด!
แต่ในทางกลับกัน เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’อีกครั้ง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันที
“หึหึ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนว่าแก๊งพยัคฆ์เวหาที่แกพูดถึงจะจัดการกับฉันคนนี้ยังไง!”
แปดนาทีผ่านไปตั้งแต่เขาโทรหาโจวเฟยหู่
ในเวลาเดียวกันนี้!
รถ SUV มากกว่าหนึ่งโหลพุ่งเข้ามาเบรกอย่างรุนแรงที่ด้านนอกร้านอาหาร!
ทันใดนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์สวมสูทดำและแว่นกันแดดจำนวนมากก็เปิดประตูลงจากรถ!
โจวเฟยหู่รีบวิ่งเข้ามาในร้านอาหารทันทีที่เขาลงจากรถ และหัวหน้าสาขาอีกแปดคนก็วิ่งตามมาติด ๆ อย่างรวดเร็ว
ชายหัวล้านและจินเส่า เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเบิกบานสุดฤทธิ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักโจวเฟยหู่จริง ๆ!
“ห…หัวหน้าโจว! ขอบคุณมากที่คุณอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเอง! นี่เลย ไอ้ลูกหมานั่นมันดูถูก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มันบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ น่าขยะแขยง! มันดูถูกพวกเราทุกคนเลย!”
จินเส่ารีบวิ่งเข้ามาหาโจวเฟยหู่เป็นคนแรกและปั้นเรื่องใส่ร้ายอวี้ฮ่าวหรานทันที
เขาไม่คิดเลยว่าโจวเฟยหู่จะมาที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้หลังจากที่เขาแค่โทรหาอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว!
วันนี้ไอ้สารเลวคนที่กล้าตบหน้าเขาต้องตายแน่!
แต่ในทางกลับกัน ชายหัวล้านกลับรู้สึกอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ
สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ดีเลย!
อันที่จริงเขานั้นไม่ใช่คนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เขาเป็นแค่รองหัวหน้าแก๊งขนาดเล็กที่ตกลงจะร่วมมือกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ในการต่อกรกับแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่ง
ด้วยความลำพองใจหลังจากเป็นพันธมิตรกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ หลายครั้งเขาจึงแอบอ้างว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เพื่อขู่ให้คนอื่นกลัวเขามากกว่าเดิม
ดังนั้น “แก๊งพยัคฆ์เวหา” ตัวจริงจะคาดโทษเขาแน่นอนหากรู้ว่าตัวเขาชอบอ้างชื่อพยัคฆ์เวหาเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว
แต่จินเส่าไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเต็มที่
“หัวหน้าโจว เอาเลย! จัดการไอ้เวรนั่น…”
พลั่ก!
แต่แล้วขณะที่จินเส่าพูดขึ้นยังไม่ทันจบประโยค เขาก็โดนต่อยเข้าเต็มท้องน้อยจนทรุดลงไปนอนตัวงอเหมือนกุ้งทันที
โจวเฟยหู่โกรธสุดขีดจนควันแทบออกหู!
ไม่จำเป็นต้องมีใครอธิบายเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่! ไอ้ลูกหมาพวกนี้กำลังยั่วยุอวี้ฮ่าวหรานภายใต้ชื่อแก๊งของเขา!
“บัดซบ! ขยะอย่างแกกล้าดียังไงมาทำเรื่องชั่วโดยอ้างชื่อ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ของฉัน??”
โจวเฟยหู่กระชากคอเสื้อของจินเส่า และยกตัวอีกฝ่ายขึ้นจากพื้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล!
“วันนี้แกตายแน่! ฉันจะฆ่าแกในข้อหาที่แกกล้าล่วงเกินน้องชายของฉัน!”
จินเส่าที่เพิ่งโดนชกท้องยังไม่หายงุนงง
“ช…ชกผมทำไม? อ…ไอ้ผู้ชายคนนั้นต่างหากที่ทำร้ายคนของคุณ แถมมันยังบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เป็นขยะทั้งหมด!”
เพี้ยะ!!
เมื่อโจวเฟยหูได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตบไปที่หน้าจินเส่าอย่างแรงจนฟันของอีกฝ่ายร่วงแทบจะหมดปาก!
“น้องอวี้ไม่ใช่คนที่แกจะพูดจาหมา ๆ ใส่ได้โว้ย! และถ้าเขาบอกว่าพวกของฉันเป็นขยะ พวกฉันก็คือขยะกันทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น!”
อวี้ฮ่าวหรานคือตัวตนที่สามารถกำหนดความเป็นตายของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ได้อย่างใจนึก ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โจวเฟยหู่ก็ไม่มีทางที่จะกล้าโกรธเคืองหรือล่วงเกินอวี้ฮ่าวหรานไม่ว่าด้วยเหตุผลใด
ตอนนี้จินเส่าเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว! ตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้ล่วงเกินตัวตนที่น่ากลัวสุด ๆ เข้าให้แล้ว!
“ลากไอ้เวรนั่นมาตรงนี้ให้ฉัน!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ตบหน้าจินเส่าไปอย่างแรง เขาก็ชี้ไปที่ชายหัวล้านซึ่งกำลังนั่งทรุดอยู่ตรงกำแพง
หัวหน้าสาขาซึ่งอยู่ในขอบเขตพลังภายในสองคนพุ่งตรงไปหาชายหัวล้านและลากตัวมาให้โจวเฟยหู่อย่างรวดเร็ว
“แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าแกเป็นคนของสาขาไหนในแก๊งพยัคฆ์เวหาของฉัน! ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าแกเลย?”
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้น่าจะแอบอ้างชื่อแก๊งของเขามาสร้างเรื่องชั่ว
“ผม…ผม จริง ๆ แล้วผมอยู่ในแก็งค์มังกรดิน…แก๊งของผมเป็นแก๊งเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนี้…”
“แก๊งมังกรดิน? โอ้ ฉันจำได้แล้ว ดูเหมือนว่าแก๊งของแกจะมาเข้าร่วมประชุมพันธมิตรครั้งล่าสุดด้วยใช่ไหม!”
ถึงแม้ว่าสีหน้าของโจวเฟยหู่จะเย็นชาอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นเขารีบหันศีรษะไปพูดอย่างจริงใจกับอวี้ฮ่าวหรานที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ “น้องอวี้ นายได้ยินแล้วใช่ไหมว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกมันเอาชื่อแก๊งของฉันมาแอบอ้างต่างหาก!”
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับการทำสงครามกับแก๊งฉลามคลั่งเช่นนี้ โจวเฟยหู่ไม่ต้องการให้อวี้ฮ่าวหรานผิดหวังกับแก๊งของเขา ไม่งั้นแก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะพบกับจุดจบ หากไม่มีอวี้ฮ่าวหรานคอยช่วยเหลือ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าเขารับรู้
จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อไป เขาหันกลับไปชิมอาหารที่เฉิงชิวอวี้แนะนำให้เขาลองลิ้มรสอย่างสบาย ๆ ต่อ
อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็นการพยักหน้าเล็กน้อยนี้ มันก็ทำให้โจวเฟยหูรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งรอดจากโทษประหาร!
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับโทรศัพท์และได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจและผิดหวังของอวี้ฮ่าวหราน เขาตกใจมากจนหัวใจเกือบหยุดเต้น แล้วก็รีบรวมคนและตรงดิ่งมาที่นี่ทันที
ในเวลานี้ เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับว่ามีคนยกภูเขาออกจากอกของเขาไปแล้ว
“น้องอวี้ เชิญนายกินต่อตามสบายได้เลย! ฉันสัญญาว่าหลังจากนี้ ไอ้สองตัวนี้จะไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นอีกตลอดไปแน่นอน!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปกินอาหารต่อ โจวเฟยหู่จึงไม่กังวลอะไรอีกต่อไป เขาหันไปสั่งให้คนของเขาลากทั้งจินเส่าและชายหัวล้านรวมไปถึงนักเลงสิบกว่าคนที่มากับชายหัวล้านออกไปจากร้าน!
บรรดานักเลงที่มากับชายหัวล้านต่างก็เดินตัวสั่นออกไปจากร้านแต่โดยดีโดยไม่ขัดขืนอะไรเลย
ตลกเถอะ!
ต่อหน้าคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา หากพวกเขากล้าขัดขืน พวกเขาคงจะถูกฆ่าตายในทันที!
บทที่ 325 เหยียบหน้า
บทที่ 325 เหยียบหน้า
สีหน้าของซูหว่านเอ๋อหม่นหมองทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน เธออยากจะอธิบายอย่างกระวนกระวาย
“ไม่…มันไม่ใช่แบบนั้น…ฮ่าวหรานไม่ใช่…ฮ่าวหรานไม่ใช่…”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นดวงตาดำขลับของซูหว่านเอ๋อเปลี่ยนไปอย่างไม่สบายใจ เขาก้าวไปบังเธอและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“ไม่ว่าฉันกับซูหว่านเอ๋อจะเป็นอะไรกัน คนอย่างแกก็ไม่มีสิทธิจะมายุ่มย่ามหรอก”
ชายหนุ่มโต้กลับอีกฝ่ายอย่างดูถูก
“ไอ้บ้านี่แกกล้าทำตัวจองหองต่อหน้าฉันงั้นเหรอ! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายร่างอ้วนโมโหในทันที
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ให้มากมายนัก เขากระซิบและแสดงท่าทางจะพาซูหว่านเอ๋อออกไป
“หลีกไปให้พ้นทาง!”
“แม่งเอ๊ย! นี่แกกล้าดีมากเกินไปแล้ว! แกรู้ไหมว่าครอบครัวของฉัน เฉียนเซา ยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่ฉันดีดนิ้วครั้งเดียว แกก็หายไปจากโลกนี้ได้แล้ว!”
ชายร่างอ้วนไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทีโอหังของอวี้ฮ่าวหรานเขาก้าวเข้ามาขวางทางด้วยสีหน้าเย็นชา
ซูหว่านเอ๋อรีบคว้าแขนของอวี้ฮ่าวหราน ใบหน้าของเธอกังวลจนถึงขีดสุด
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน เรา…เราอย่ามีเรื่องกับพวกเขาเลย พวกคนที่อยู่ที่นี่มาจากตระกูลใหญ่ ๆ กันทั้งนั้น ต…ตระกูลซูของฉันไม่อาจล่วงเกินพวกเขาได้…”
ในเวลานี้ ด้วยความกลัวปัญหาที่จะตามมา ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่า ๆ หว่านเอ๋อ เธอนี่ฉลาดจริง ๆ เธอนี่ฉลาดกว่าไอ้หมาที่อยู่ข้าง ๆ เธอเยอะเลย มาเร็ว รีบมาหาฉันดีกว่า ยิ่งเธอยืนอยู่ข้าง ๆ ไอ้คนจนนี่มากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งหม่นหมองมากขึ้นเท่านั้น!”
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย
พวกเขาคือพวกนายน้อยรุ่นสองที่ร่ำรวยมาแต่กำเนิดไม่ได้หาเงินใช้เอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะดูถูกทุกคนที่ต่ำต้อยกว่า และไม่เห็นตระกูลซูที่ด้อยกว่าอยู่ในสายตา
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือพวกเขามีนิสัยคล้ายกับหลี่จิงเทียนจอมโอหังและโง่เขลา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ ชายหนุ่มต้องเจ็บปวดเพราะปากของตัวเองในทันที!
อวี้ฮ่าวหรานถีบอีกฝ่ายลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว!
“เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น!”
“มีคนตีกัน!”
“…”
ฉากนี้ทำให้ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ก้าวถอยกลับพร้อมกับอุทาน
พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นชนชั้นสูงในเมืองฮ่วยอัน ซึ่งโดยทั่วไปการใช้ความรุนแรงกันแบบนี้จึงเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ๆ
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร? ทำไมเขาถึงหยาบคายแบบนี้?”
“ใช่ แล้วดูการแต่งตัวนั่นสิ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูกแบบนี้ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง?”
“…”
ฝูงชนวิจารณ์กันสนั่นหลังจากเห็นการแต่งกายของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขาต่างให้คะแนนติดลบกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนมาจากครอบครัวชนชั้นกลางทันที
“ไอ้สารเลว! แกกล้าดียังไงมาตีฉัน!”
ในขณะเดียวกันนี้ ชายหนุ่มที่ถูกถีบลงไปกองกับพื้นตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล
แต่เนื่องจากอวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรง เขาจึงไม่คิดที่จะไว้หน้าใครอีกต่อไป!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปากมากอยู่อีก อวี้ฮ่าวหรานก็ก้าวไปเหยียบหน้าคน ๆ นั้นอีกครั้งทันที!
“ฮึ! ยังปากดีได้อยู่ใช่ไหม? ได้! งั้นเรามาดูกันว่าปากของแกจะดีมากจนทนเท้าของฉันได้นานขนาดไหน!”
เฉียนเซาตกตะลึงกับฉากตรงหน้าเขาขณะนี้ เขาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวมาข้างหน้า!
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่รูปร่างล่ำสันที่เพิ่งก้าวออกมาโดนอวี้ฮ่าวหรานตบด้วยหลังมือและลงไปนั่งกองที่พื้นอีกคนอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองสองคนถูกจัดการอย่างน่าอนาถ เฉียนเซาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แก! แกกล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนของฉันแบบนี้ รู้ไหมว่าพ่อของฉันเป็นใคร!”
“แม้แต่ชื่อพ่อตัวเองยังจำไม่ได้จนต้องมาถามคนอื่น แกนี่มันลูกอกตัญญูจริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดติดตลกเล็กน้อย
ซูหว่านเอ๋อที่ในตอนแรกประหม่าเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินประโยคล้อเลียนนี้เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“แก! แกตายแน่!!”
เฉียนเซาถูกกระตุ้นมากจนไขมันทั่วทั้งใบหน้าของเขาสั่นเป็นคลื่น
ไม่นานหลังจากเกิดความโกลาหลนี้เกิดขึ้น บอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนก็โผล่พรวดออกมาจากฝูงชนและรีบเดินดิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง!
“คุณมาสร้างปัญหาที่นี่ทำไม??”
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ หัวหน้าบอดี้การ์ดขมวดคิ้วแน่นทันที ร่างกายของเขาพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่คนสร้างปัญหาได้ตลอดเวลา
เฉียนเซาเมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยเขาแล้ว ก็ไม่รอช้า รีบตะโกนปรักปรำอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว
“ไอ้นี่แหละ! ไอ้นี่มันหาเรื่องพวกผมก่อน! อยู่ดี ๆ มันก็ทำร้ายพวกผม แล้วดูการแต่งตัวของมันสิ คนแต่งตัวแบบนี้ไม่มีทางได้รับเชิญเข้ามางานประมูลแห่งนี้แน่นอน มันต้องแอบเข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย! พวกคุณรีบลากมันออกไปเร็ว และถ้าจะให้ดีอัดสั่งสอนมันสักหน่อยด้วยเพื่อให้หลาบจำว่าอย่าเสนอมาที่นี่อีก!”
คราวนี้สีหน้าของเฉียนเซากลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง และพูดขึ้นก่อน
“หืม? เรื่องเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนเซา หัวหน้าบอดี้การ์ดหันไปมองฝูงชนรอบ ๆ และถาม
“ใช่ ฉันเห็นชายหนุ่มคนนี้เริ่มลงมือก่อนจริง ๆ”
“ใช่! กลุ่มของเฉียนเซาถูกรังแกก่อนเช่นกัน”
“ฉันก็เห็นเหมือนกัน ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนี้พยายามเข้าใกล้กลุ่มของเฉียนเซา แต่เขากลับโกรธหลังจากถูกไล่ตะเพิด”
“…”
ทุกคนต่างพูดเอนเอียงไปทางเฉียนเซา ไม่มีใครเข้าข้างอวี้ฮ่าวหรานที่ดูแต่งตัวธรรมดาเลยสักคน
เฉียนเซาคนนี้ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงและงานสังคมต่างๆ เสมอ หลายคนจึงรู้จักเขาและอยากที่จะผูกมิตรกับเขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห
แต่ด้วยบุคลิกไม่สู้คนของเธอ เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกระตุกชายเสื้อของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าวิตก
“ฮ่าวหราน… ฉัน…เราจะทำยังไงกันดี… พวกเขา…พวกเขาพยายามจะไล่พวกเราออกไป…”
เหตุการณ์ในขณะนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนก และเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!
“เฮอะ ฉันบอกเอาไว้เลยว่าวันนี้ใครกล้าจับต้องตัวฉัน มันได้เจ็บตัวแน่!”
เหตุผลที่เขาอัดอีกฝ่ายเป็นเพราะคนพวกนี้ไม่ยอมหลีกทางให้แถมยังตวาดด่าเขาอีกต่างหาก ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อมาประมูลของและได้รับเชิญมา เขาไม่ได้มาเป็นตัวตลกให้ใครเหยียบย่ำ!
“โอ้? ไอ้หนุ่ม แกใจกล้าดีนี่หว่า!”
หัวหน้าบอดี้การ์ดประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดจาที่ดูหยิ่งยโสของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะกล้ามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ถูกล้อมอยู่
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายและพบว่ามันเป็นชุดที่ราคาถูกจริง ๆ ริ้วรอยแห่งการดูถูกก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
ยากจนไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันโง่มากถ้ามายั่วโมโหพวกคนรวยแบบนี้!
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าต้องทำอะไรต่อไป
“สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณมากับพวกเราจะดีกว่า! ผมรู้ว่าคุณอยากจะสู้ แต่ลองมองดูรอบ ๆ ก่อน คุณไม่มีทางสู้พวกเราได้ ดังนั้นอย่ามาสร้างปัญหาให้กับการประมูลครั้งนี้ไม่เช่นนั้นคุณไม่มีทางแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาไหว!”
เพื่อทำให้สถานการ์ณในงานประมูลสงบลงโดยเร็วที่สุดเขาจำเป็นต้องเชิญอวี้ฮ่าวหรานออกไปก่อน ส่วนหลังจากนั้นเขาไม่คิดจะปล่อยอวี้ฮ่าวหรานที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายไปง่าย ๆ อยู่แล้ว!
แต่ในขณะเดียวกันนี้!
หลินป๋อก็ปรากฏตัว!
เขามาพร้อมกับชายชราคนหนึ่งซึ่งมีอายุเกือบหกสิบปี
“เดี๋ยวก่อน!”
เขาตะโกนขึ้นและโบกมือหยุดพวกบอดี้การ์ดทันที
บรรดาบอดี้การ์ดทั้งหลายหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเจ้าของโรงแรมของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย!
ถูกต้อง! ชายชราข้าง ๆ หลินป๋อ คือเจ้าของโรงแรมสุดหรูแห่งนี้!
“ท่านประธาน! ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นก่อน พวกผมก็เลยกำลังจะไล่เขาออกไป”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดรายงานอย่างร้อนรน