บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
หกโมงเย็น
เมื่อหลี่หรงพาถวนถวนกลับมาถึงคอนโด ห้องของอวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงล็อกแน่น
ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับการบ่มเพาะ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
อันที่จริง ต่อให้ประตูจะไม่ได้ล็อก แต่ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณด้านใน หากคนธรรมดาจะเปิดประตูเข้าไปก็คงไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี
หลังจากดูดซับโบราณวัตถุทีละชิ้นจนหมด พลังวิญญาณในร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หนาแน่นจนเข้าสู่จุดปะทุ!
ทันใดนั้น!
การไหลเข้าของพลังวิญญาณจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ทะเลวิญญาณในตันเถียนของอวี้ฮ่าวหรานระเบิดออกครั้งใหญ่คล้ายกับเหตุการณ์บิ๊กแบง จากนั้นมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฟุ้งกระจายในจุดตันเถียนก็ค่อย ๆ ควบแน่นกันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายดวงดาว
“เฮ้อ…ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จ”
อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว
ในเวลานี้ ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน และเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งคิดถึงหลี่เม่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่กลับมายังโลกมนุษย์ และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของตัวเองเลย และในแง่ของความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน มันยังเร็วเกินไปที่จะสามารถท่องโลกนี้ไปทั่วได้อย่างปลอดภัย
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง
ในห้องนั่งเล่นมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หลี่หรงได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยไว้บนโต๊ะแล้ว
“พี่เขยในที่สุดพี่ก็ออกมาสักที มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว”
เมื่อพี่เขยของเธอออกมาจากห้องเธอก็เอ่ยทักเขาทันที
“โทษทีที่วันนี้ต้องให้เธอลำบากไปรับถวนถวน ทั้ง ๆ ที่เธอต้องกลับมาทำอาหารต่ออีกแบบนี้”
อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขอโทษ แต่การทะลวงระดับเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งกลางคันและออกไปรับถวนถวนได้อย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน
อย่างไรก็ตาม หลี่หรงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เธอจึงไม่รบกวนเขาเลยในระหว่างที่ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง
“ไม่เป็นไรพี่เขย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ที่พี่มาช่วยจัดการปัญหาในบริษัทให้ฉัน บริษัทของฉันก็เลยสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมจนฉันไม่ต้องปวดหัวอีกเลย”
หลี่หรงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร กลับกันเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ได้แบ่งเบาภาระให้อวี้ฮ่าวหราน
“พ่อจ๋า!”
ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนก็วิ่งออกจากห้องของตัวเองมาพร้อมกับมือที่ถือขนม และตามมาด้วยสุนัขสองตัวที่คล้ายคลึงกัน
“พ่อจ๋า ถวนถวนอยากบอกข่าวดีกับพ่อ!”
เด็กน้อยในเวลานี้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานบังเกิดความสนใจ หลี่หรงก็ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้
“พี่เขย นั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเดี๋ยวฉันอธิบายเอง” เธอส่งชามข้าวให้ชายหนุ่มก่อน แล้วพูดต่อว่า “ครูสอนเปียโนเห็นว่าถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น เธอจึงอยากให้ถวนถวนเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับเยาวชนที่กำลังจะจัดขึ้นในเมือง”
“การแข่งขันเปียโน?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองลูกสาวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“เอาสิ! ในเมื่อถวนถวนมีความสามารถจนครูเห็นแววขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปแข่งกันเลย!”
ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องเรียนเปียโนของถวนถวน ชายหนุ่มแค่ให้ถวนถวนไปเรียนเพราะไม่อยากขัดใจหลี่หรงก็แค่นั้น ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของเขาจะเก่งจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แบบนี้?
“คุณครูหลิวบอกว่าถวนถวนน่าทึ่งมาก หลังจากที่เรียนได้แค่เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็เก่งกว่าเด็กคนอื่นที่เรียนมาเป็นปีซะอีก”
ถวนถวนเข้ามาใกล้ในขณะนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตา ก็แสดงสีหน้าอย่างมีชัย
“ฮ่า ๆ! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกสาวของอวี้ฮ่าวหรานย่อมเหนือกว่าคนอื่น ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานปรบมือ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
หลังอาหารเย็น อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงก็พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโนต่ออีกสักพัก และหลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็กลับเข้าห้องเพื่อบ่มเพาะอีกรอบ
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งทะลวงระดับมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน เขาจึงจำเป็นต้องปรับรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองให้มั่นคง
—
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนไปเรียนเปียโนเช่นเคย แต่เมื่อเขาเห็นหลิวว่านฉิง เขาก็ถามเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโน
ในห้องพักครู
“ใช่ ถวนถวน มีพรสวรรค์จริง ๆ มือของเธอคล่องแคล่วมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน”
หลิวว่านฉิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมความสามารถของถวนถวนในเวลานี้
“เธอเป็นเด็กหัวไวที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยทีเดียว”
“เอาละ ขอบคุณที่ครูหลิวส่งเสริมลูกของผมเสมอมา ว่าแต่การแข่งจะเริ่มเมื่อไหร่”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ลูกสาวของเทพฮ่าวหรานนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนธรรมดา
“การแข่งขันจะเริ่มวันมะรืนนี้ และเมื่อการแข่งขันนี้จบลงมันก็จะเป็นช่วงเดียวกับที่คลาสเปียโนภาคฤดูร้อนของเราสิ้นสุดลง”
หลิวว่านชิงตอบกลับ
“ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดีที่สุด หากผู้ปกครองจริงจังกับเรื่องนี้มากสักหน่อย พรุ่งนี้ชั้นเรียนเปียโนจะหยุดหนึ่งวัน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คุณควรพาถวนถวนไปฝึกซ้อมต่อด้วย เพื่อช่วยให้ถวนถวนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในวันแข่งขัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำอำลาและจากไป
หลังจากส่งลูกสาวของตัวเองเรียบร้อย เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของตัวเอง
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้
ในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเรื่องของถวนถวนและเปียโน
การฝึกซ้อมที่คอนโดอาจมีเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านร้องเรียนได้ แถมสถานที่มันก็เล็กไปสักหน่อยกับการนำเปียโนตัวใหญ่ไปวาง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกผู้จัดการหวังให้เข้ามาหา
“ผมต้องการให้บริษัทของเรามีห้องเปียโน ผมต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้”
“หา?”
ผู้จัดการหวังตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนี้
พวกเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกล การมีห้องเปียโนในบริษัทมันจึงดูแปลกสุดกู่!
“ท…ท่านประธาน นี่คุณพูดจริงงั้นเหรอ?”
เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ผมจริงจัง! ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องการให้ห้องเปียโนสมบูรณ์แบบที่สุด เอาแบบที่มืออาชีพใช้งาน!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเขาแน่วแน่มาก
“ลูกสาวของผม ถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโน ดังนั้นในอนาคตผมอาจจะให้ลูกสาวมาซ้อมที่นี่”
เนื่องจากการซื้อเปียโนไปไว้ที่คอนโดไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างห้องเปียโนในบริษัทมันซะเลย
ผู้จัดการหวังพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
ประธานของเขาตามใจลูกมากเกินไปหน่อยไหม? พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองชอบไปเล่นที่สวนสนุก ประธานของเขาก็สร้างสวนสนุกในบริษัทขึ้นมา และมาตอนนี้พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนมาแล้วดันเก่ง ประธานของเขาก็สั่งให้สร้างห้องเปียโน…
“รับทราบครับท่านประธาน! ไม่มีปัญหา บริษัทมีห้องเก็บเสียงที่สร้างเสร็จเอาไว้อยู่แล้ว เราแค่ต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย วันนี้วันเดียวก็น่าจะเสร็จ”
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้กิจการบริษัทกำลังไปได้สวยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย
ในตอนเย็น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปรับถวนถวน เขาก็บอกข่าวดีกับลูกสาวของตัวเอง
“จริงเหรอ พ่อจ๋า! หนูจะมีเปียโนเป็นของตัวเองงั้นเหรอ!”
เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากเรียนเปียโนมาได้เป็นเดือน เธอก็ตกหลุมรักเปียโนเข้าเต็มเปา
“แน่นอน!”
อวี้ฮ่าวหรานยืนยัน
บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ
บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ
เมื่อได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย หลิวว่านชิงก็ส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
ในฐานะครู มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเอ่ยปากออกมา
“นี่? อะไรกัน? จะบอกว่าเธอไม่เต็มใจอย่างนั้นเหรอ? อายุยังน้อย ก็น่าจะต้องได้รับบทเรียนบ้างไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อาจารย์หวังก็เผยแววเหยียดหยามอยู่บ้าง
“คุณ!”
หลิวว่านชิงไม่พอใจหนัก หากแต่เมื่ออ้าปากจะตอบโต้กลับพูดไม่ออก
อาจารย์หวังที่เห็นเช่นนี้ก็หลุดขำเย้ย ก่อนหันไปสอนเสี่ยวเสวี่ยเล่นเปียโน“ฟังนะ…ครั้งนี้เราจะเอาจริงกันแล้ว เราจะเป็นเด็กอมมือที่เอาแต่พล่ามไปเรื่อยไม่ได้…”
แม้จะอยู่ห่างออกไป ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายยังคงลอยเข้าหูเธอ
“น่าหงุดหงิดจริง ๆ!”
คราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงหลิวว่านชิง แม้แต่หลี่หรงยังอดหัวเสียไม่ได้
ถวนถวนของเธอแสดงได้ดีที่สุดในสายตาของเธอ!
“อย่าโกรธเลยนะคะแม่หรง ถวนถวนเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวหนูจะจัดการเธอให้หงายเลยค่ะ!”
เจ้าตัวน้อยกระตุกชายเสื้อของเธอ
หลี่หรงอิ่มเอมใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนัก ถึงอย่างไรเด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยก็เล่นเปียโนได้คล่องแคล่ว
“ใช่แล้ว ถวนถวนเก่งมากเลยนะคะ คุณน้าอย่าเสียอารมณ์ไปเลยค่ะ”
เธอรู้สึกได้ว่าหลังจากพี่เขยกลับมา นับวันถวนถวนยิ่งดูมั่นใจมากขึ้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลานเธอก็ยังเด็ก มีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง
เวลาล่วงเลยพ้น 8 โมงครึ่ง
ถวนถวนและเพื่อนกลุ่มเดียวกันถูกพาไปห้องรับรอง ส่วนอวี้ฮ่าวหรานกับหลี่หรงรอชมอยู่หน้าเวที
เขาต้องแปลกใจเมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยอยู่ไม่ห่างออกไป
“คุณสวี…มาที่นี่เหมือนกันเหรอคะ?”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย หลี่หรงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อพบฝ่ายตรงข้ามคือสวีรุ่ยซึ่งเพิ่งพบกันเมื่อ 2 วันก่อน
“อ้าว? พวกคุณ… ถวนถวนมางานนี้เหมือนกันเหรอคะ?”
เมื่อพบหน้าทั้งคู่ เธอจึงส่งสีหน้าสงสัยก่อนนึกขึ้นได้
“อย่างนั้นฉันก็จะได้เห็นถวนถวนเล่นเปียโนสินะคะ”
“ใช่ครับ วันนี้คุณโชคดีมากเลยนะครับ มานั่งทางนี้สิครับ ยังไม่มีคนนั่งพอดีเลย”
เป็นอวี้ฮ่าวหรานที่เอ่ยปากเชิญชวนก่อน
“ค่ะ”
สวีรุ่ยรับคำ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมานั่งด้านข้าง
“วันนี้ทางโรงเรียนส่งข้อความแจ้งคุณครูทุกคนค่ะ บอกว่าให้มาชมการแสดงกัน ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษ”
เธอเล่าเมื่อเธอนั่งลง
“ช่วงวันหยุดหน้าร้อนที่ผ่านมาถวนถวนสนใจเรียนเปียโน แล้วก็เรียนได้ดีด้วยครับ ผมก็เลยให้เธอลองมาแข่งดู” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ย
“อ๋อ? ถวนถวนมาแข่งจริง ๆ เหรอคะ?”
สวีรุ่ยมีท่าทีแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ด้วยถวนถวนยังอายุน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนมาก่อน
จะเข้าแข่งขันทั้งที่เรียนภายในวันหยุดหน้าร้อนเดียวได้อย่างไร?
หากแต่เวลานี้หลี่หรงดูปลาบปลื้มใจมาก
“ถวนถวนหัวไวมากค่ะ คุณครูที่สอนชมใหญ่เลย บางทีอาจจะชนะการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ค่ะ”
เมื่อครั้งที่เธอเรียนเปียโนในวัยเด็ก คุณครูยังไม่เคยชมเธอสักครั้ง
แม้ว่าเธอจะชอบเล่นมาก หากแต่คนไม่มีพรสวรรค์อย่างไรก็ไม่มีอยู่วันยังค่ำ
“ค่ะ ถวนถวนเป็นเด็กฉลาดมาก แต่เรื่องที่จะเอาชนะได้…”
สวีรุ่ยไม่มั่นใจในเรื่องนี้นักด้วยรู้ดีว่าเด็กที่เข้าแข่งขันร่ำเรียนเปียโนมาตั้งแต่ยังเด็กมาหลายปี อย่างน้อยก็ทำให้เล่นได้อย่างไม่มีที่ติ
หากแต่ถวนถวนเรียนมาเพียงเดือนเดียว อีกทั้งยังอายุน้อย…
เธอเกรงว่าหากอวยเกินไปตอนนี้ ถ้าพลาดตำแหน่งขึ้นมา ลูกศิษย์จะเสียใจเอาได้
“ไม่ต้องห่วง ผลต้องออกมาดีแน่ครับ”
อวี้ฮ่าวหรานว่าขึ้น เขามั่นใจในตัวลูกสาวคนนี้เต็มที่ เพราะการแสดงเมื่อวานของถวนถวนก็ทำให้เขาตกตะลึงมากทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องรับรอง เด็ก ๆ นั่งอยู่รวมกันที่นี่
“เธอเด็กขนาดนี้ เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”
เด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยถามขึ้นก่อน ถวนถวนนั่งอยู่ข้างเธอด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นความมั่นใจ
“ถวนถวนเก่งมากนะ! พ่อถวนถวนยังบอกว่าจะแข่งชนะเลย”
ดวงตากลมโตจับจ้องคู่สนทนาเขม็ง
“เธอเล่นไม่เป็นหรอก ก็แค่เล่นขำ ๆ น่ะสิ เดี๋ยวจะทำให้พ่อแม่ขายหน้าเปล่า ๆ”
“ไม่มีทาง! ถวนถวนตั้งใจฝึกมาก! พ่อยังชมว่าเก่งที่สุดเลย!”
แม้จะถูกเสี่ยวเสวี่ยปรามาส หากแต่ถวนถวนก็ไม่ท้อถอย ยังคงมั่นใจเต็มที่
หลังได้ฝึกซ้อมรอบสุดท้าย เธอก็ยังเชื่อมั่นในตนเองอย่างถึงที่สุด
“คอยดูไปแล้วกัน”
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมั่นใจเพียงนี้ เสี่ยวเสวี่ยนึกอยากเอาชนะเด็กหญิงตัวน้อยโดยไม่รู้ตัว
ผ่านไปไม่นาน ก็ถึงเวลา 9 โมงเช้า การแข่งขันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ครั้งนี้เป็นงานแข่งขันที่จริงจังมาก มีคณะกรรมการถึงสิบคน
ผู้เข้าแข่งขันคนแรกปรากฏตัวขึ้น เป็นเด็กหญิงอายุราว 5 ถึง 6 ขวบ
“เด็กคนนี้อายุน้อยเกินไป เห็นไหมว่าตื่นเวทีมาก”
“ใช่ ต่อให้ฝึกมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าก็ยังทำได้ไม่ดี”
“พวกเขาแค่มาลองมาหาประสบการณ์ คนที่มาแข่งจริงจังคือเด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบต่างหาก”
“…”
เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน
ท่วงทำนองเปียโนค่อย ๆ ดังขึ้น ไม่รู้ว่าด้วยตื่นเวทีหรือไม่ ท่อนแรกจึงได้ฟังดูกวัดแกว่งเล็กน้อย
หลังเพลงจบลง คณะกรรมการให้คะแนนกัน
ได้คะแนนรวม 4.5 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน
อาจด้วยเพราะอายุของเด็กคนนี้
ด้านคุณครูที่ยืนชมอยู่ฟากซ้ายเวที อาจารย์หวังว่าเย้ย “เห็นไหม? ได้แค่ 4.5 คะแนน ฉันบอกแล้วว่าอายุน้อยแค่นี้จะไปเก่งอะไร เดี๋ยวลูกศิษย์ของเธอก็ต้องเล่นเป็นคนต่อไป คงฝีมือแย่พอกันนั่นแหละ”
“ก็ไว้ค่อยดูแล้วกันว่าจะเป็นยังไง”
หลิวว่านชิงคร้านจะใส่ใจอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา
“หืม? เสี่ยวหลิว พูดอะไรของเธอ อาจารย์หวังอาวุโสกว่าเธอนะ น่าจะเคารพสักหน่อยสิ”
“ใช่แล้ว ที่พูดก็เพราะว่าหวังดี เดี๋ยวเธอจะได้บทเรียนเอง”
“ฮ่า ๆ ยังไงเสี่ยวหลิวก็เพิ่งเรียนจบ ประสบการณ์น้อย อย่าไปถือสาเธอเลย”
ครูอาจารย์เหล่านี้ต่างก็เคยสอนชั้นอื่น ๆ มาก่อน พวกเขาจึงมักจะจับกลุ่มกันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
หลิวว่านชิงอยากจะตะโกนออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอนทั้งนั้น!
“ดูเข้าสิ!”
“ชิ ไม่มีฝีมือแล้วยังจะเชิดอยู่ได้”
เมื่ออาจารย์หวังได้ยิน เธอก็ส่งเสียงเยาะเย้ยถากถาง ตอนนี้ได้เวลาที่ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปจะเริ่มแสดง
เด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบคนนี้ไม่มีท่าทีตื่นเวที แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เก่งมากนัก มีบางช่วงที่เล่นติดขัดกลางคัน
แต่อย่างไรเสียก็เป็นการแข่งขันของเด็ก ๆ จึงไม่มีใครคิดถือสา
“สรุปคะแนนรวมได้ไป… 5.8 คะแนนครับ!”
เมื่อพิธีกรประกาศผลจบ ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปขึ้นเวทีต่อทันที
หากแต่การแสดงของหลายคนไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ได้คะแนนสูงสุดไปเพียง 6 คะแนนเท่านั้น
“มาดูเร็วเข้า! ต่อไปเป็นเสี่ยวเสวี่ย ลูกศิษย์ฉันเอง!”
การแสดงก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก อาจารย์หวังพลันโพล่งขึ้น
เสี่ยวเสวี่ยในชุดกระโปรงขาวขึ้นมาบนเวที เด็กหญิงวัย 7 ย่าง 8 ขวบดูน่ารักน่าชัง ขณะเดียวกันก็ดึงดูดสายตาผู้คนมากเช่นกัน
บทที่ 349 ราวกับคนบ้า
บทที่ 349 ราวกับคนบ้า
ทุกคนในร้านที่เห็นฉากนี้ต่างก็คิดเหมือนกันว่าอวี้ฮ่าวหรานบ้าไปแล้ว!
นั่นคือนายน้อยจิน!
คนธรรมดากล้าดียังไงไปตบจินเส่าแบบนี้??
นี่มันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย!!
ทุกคนต่างมีลางสังหรณ์ที่เลวร้ายอยู่ในใจ พวกเขาเดาได้ว่าหลังจากนี้ จินเส่าจะต้องโกรธเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุแน่นอน!
ไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้ากับจินเส่าเวลาโกรธ!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ จินเส่ากลับแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง และพูดอะไรไม่ออก!
อันที่จริงแล้ว ในใจของจินเส่านั้นเดือดพล่านไปด้วยความโกรธ แต่เมื่อเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายซึ่งกำลังมองตอบเขาอย่างเย็นชา ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังได้เห็นทะเลเลือดซึ่งมีบนภูเขาศพนับล้าน ๆ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง!
มันเหมือนกับว่าในดวงตาของอวี้ฮ่าวหรานมีขุมนรกทั้งขุมซ่อนอยู่ในนั้น!
“ป…ไป หนีเร็ว!!!!!”
เขาตะเกียกตะกายลุกขนและวิ่งหนีราวกับสุนัขจรจัดที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดด้วยความตื่นตระหนก!
“จิน…จินเส่า…”
เมื่อผู้จัดการอ้วนเห็นสิ่งนี้ เขาแสดงสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
จินเส่าคนที่ไม่เคยกลัวใครวันนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมา?
อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจเขาและวิ่งหนีออกไปแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจด้วยความหนักใจ!
เรื่องไม่จบแค่นี้แน่ ๆ!
คนอย่างจินเส่าไม่มีทางยอมใครง่าย ๆ แบบนี้หรอก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้จัดการก็รู้สึกอยากจะหน้ามืด! วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรอย่างนี้!
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บรรยากาศของร้านอาหารทั้งร้านกำลังหนักอึ้ง เสียงของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เร็วเข้า ฉันอยากจะสั่งอาหารแล้ว!”
เขาตะโกนด้วยท่าทีสบาย ๆ
สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด เมื่อได้ยินคำพูดนี้!
“น…นี่คุณยังอยากกินอยู่ได้ยังไง! ไปเร็ว รีบหนีไปก่อนที่จินเส่าจะพาคนของเขามา ขืนคุณกับแฟนของคุณยังอยู่ที่นี่ พวกคุณได้ตายแน่วันนี้!!”
เขารีบเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วยความหวังดี กลัวว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีชีวิตไม่รอดจนถึงสิ้นวัน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะมีจุดจบที่น่าสังเวชไม่ต่างกัน
“ตระกูลจินเป็นตระกูลมีอิทธิพลแถมยังรู้จักกับพวกแก๊งใต้ดินอีกต่างหาก! นายทำให้เขาขุ่นเคืองแบบนี้ นายกับแฟนรีบหนีไปดีกว่า!”
บรรดาแขกทุกคนในร้านอาหารต่างก็ตะโกนขึ้นโน้มน้าวด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤตมาก ชายหนุ่มคนนี้ยังจะมามีอารมณ์กินอีกได้ยังไง!
“เร็วเข้าผู้จัดการ! ฉันจะสั่งอาหารแล้ว!”
อวี้ฮ่าวหรานยังคงโบกมือเรียกผู้จัดการร้านให้มารับออเดอร์
ตอนนี้เขาหิวมาก นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องของจินเส่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้สนใจเลย
“โธ่! ก็ได้! ในเมื่อไม่ฟังที่เตือนถ้างั้นก็แล้วแต่ก็แล้วกัน ถ้าตายขึ้นมาก็อย่ามาโทษพวกฉันที่ไม่เตือนก็แล้วกัน มา! คุณจะกินอะไรผมจะให้ในครัวทำให้!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดื้อรั้นไม่ฟังเลย ผู้จัดการร้านก็ได้แต่ทำใจปล่อยเลยตามเลยเอาแบบที่อวี้ฮ่าวหรานต้องการ
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาเตือนแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
ในเวลานี้ เมื่อบรรยากาศของร้านไม่น่านั่งกินต่ออีกแล้ว บรรดาแขกส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเรียกเก็บเงินและรีบจากไป
มีเพียงแขกไม่กี่คนตรงมุมร้านที่อยู่ห่างไกลจากโต๊ะ อวี้ฮ่าวหราน เท่านั้นที่ยังคงนั่งกินอยู่ ซึ่งพวกเขาคิดว่าต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นมันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
ไม่นานอาหารที่ดูน่ากินหลายอย่างก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
เฉิงชิวอวี้ดูสงบมากในเวลานี้ เนื่องจากเธอรู้ถึงความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานเป็นอย่างดี
ตราบใดที่เธอมีชายหนุ่มอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
แต่แล้วหลังจากกินไปได้สักพัก ประตูร้านอาหารก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง!
โครม!
“ไอ้ผู้จัดการหน้าหมา! แกกล้าดียังไงถึงปล่อยให้จินเส่าได้รับบาดเจ็บ! แกไม่รู้หรือไงว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ของเรา!
ชายหัวโล้นบุกนำเข้ามาทางประตูโดยถือมีดยาวหนึ่งฟุตอยู่ในมือของเขา และยิ่งไปกว่านั้นที่ด้านหลังชายหัวโล้นยังมีกลุ่มนักเลงอีกสิบกว่าคนยืนถือมีดกันทุกคนซึ่งเป็นภาพที่น่ากลัวมาก!
“ผม…ผมไม่รู้จะห้ามยังไงจริง ๆ และ…และผมไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย!”
ถึงแม้ว่าตัวเองจะถูกเรียกว่าหมาอีกแล้ว แต่ผู้จัดการก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าโกรธเคืองแม้แต่น้อย เขาทำได้แค่ก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ฮึ่ม! ในเมื่อแกไม่เกี่ยวถ้างั้นก็หลีกไปซะ ไม่งั้นแกอาจจะต้องเจ็บตัวอีกคน!”
ชายหัวโล้นร่างกำยำมองผู้จัดการร้านอาหารอย่างดูถูก
ในเวลานี้ จินเส่าที่แก้มบวมอยู่ข้างหนึ่งมองไปทางโต๊ะริมหน้าต่างด้วยสายตาอาฆาตแค้น
อย่างไรก็ตาม เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที
เขาไม่คิดเลยว่าลูกน้องของโจวเฟยหู่จะชอบรังแกคนธรรมดาทั่วไปแบบนี้!
เขาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาอีกฝ่ายทันที
“น…น้องอวี้ โทรหาฉันมีอะไรงั้นเหรอ?”
น้ำเสียงของโจวเฟยหู่ดูสับสน เพราะเขาไม่ค่อยจะได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่าย
“ฮึ่ม! เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เราดีต่อกันมาโดยตลอด ฉันจะให้โอกาสนายมาที่ร้านอาหารจินอวิ๋นภายในสิบนาที!”
เสียงของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาและผิดหวังกับโจวเฟยหู่
ถ้าหากเขาไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ วันนี้เขาคงได้พบกับจุดจบที่น่าอนาถจากคนของแก๊งที่เขาคอยช่วยเหลือมาตลอด!
ในขณะเดียวกันนี้ ชายหัวล้านซึ่งน่าจะเป็นผู้นำกลุ่มนักเลงเดินเข้ามาใกล้อวี้ฮ่าวหรานพร้อมกับมีดในมือแล้ว
เมื่อมองดูจากระยะใกล้ อวี้ฮ่าวหรานไม่คุ้นหน้าชายคนนี้เลย ดังนั้นเขาจึงเดาว่าชายหัวล้านคนนี้น่าจะมีตำแหน่งไม่สูงนักในแก๊งพยัคฆ์เวหา เพราะหลังจากที่เขาติดต่อกับแก๊งพยัคฆ์เวหามาแล้วหลายครั้ง ชายหนุ่มมั่นใจว่าตัวเองจำหน้าพวกระดับสูงของแก๊งพยัคฆ์เวหาได้หมด
“แกใช่ไหมที่กล้าทำร้ายจินเส่า? แกรู้หรือเปล่าว่านี่มันหมายความว่าแกกำลังล่วงเกินแก๊งพยัคฆ์เวหาของเรา!!”
ชายหัวล้านมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างดูถูกและไร้ความกังวลราวกับว่าเขาสามารถฆ่าอวี้ฮ่าวหรานให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้!
แต่ในเวลานี้ ดวงตาของจินเส่าแสดงความชั่วร้าย!
“เป็นไง! ตอนนี้แกไม่กล้าเพิกเฉยฉันอีกแล้วใช่ไหม วันนี้แกตายแน่! แต่ก่อนที่แกจะตาย ฉันจะตัดแขนตัดขาของแกออกก่อน!”
จากนั้นถัดมา เขามองไปที่เฉิงชิวอวี้ ซึ่งมีความงามจนสามารถทำให้เขาตะลึงงัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย!
“และเธอ! วันนี้แฟนของเธอไม่สามารถปกป้องเธอได้ในวันนี้แน่! หลังจากนี้บิดาคนนี้จะเล่นสนุกกับเธอเจ็ดวันเจ็ดคืน และหลังจากนั้นฉันจะแบ่งให้พี่น้องของฉันสนุกกับเธอด้วย!”
“จินเส่า ฉันอุตส่าห์รีบมาช่วยนายขนาดนี้อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องเล่นกับนังนี่พร้อม ๆ กันสิวะ ฮ่า ๆ!”
เมื่อชายหัวโล้นมองดูสาวงามที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างหื่นกระหาย แทบจะละสายตาจากไปไม่ได้
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาแขกในร้านที่เหลือต่างก็ไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของพวกนักเลง พวกเขาเริ่มเสียใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รีบออกไปก่อนหน้านี้
ฉากแบบนี้น่ากลัวเกินกว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะอยู่ดู!
“ยังกล้าทำเป็นมองไม่เห็นฉันอีกงั้นเหรอ เอาเลย! ตัดมือมันมาให้ฉันก่อนสักข้างหนึ่ง!”
แม้เป็นตอนนี้ จินเส่าก็ยังเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันทำให้เขาโมโหมากจนตะโกนสั่งเสียงดัลั่นร้าน
เขาอยากจะรู้ว่าหากอีกฝ่ายเสียแขนไปแล้วยังจะกล้าทำตัวเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีกไหม!
ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ชายหัวล้านก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย และพร้อมกันนั้นเขาสับมีดลงไปที่ข้อมือของอวี้ฮ่าวหรานบนโต๊ะทันที!
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น!
อวี้ฮ่าวหรานก็ขยับตัว!
มือของอวี้ฮ่าวหรานรวดเร็วจนไม่มีใครมองตามทัน จากนั้นชายหัวล้านก็โดนชกเข้าที่อกเต็ม ๆ!
ปัง!!
ชายหัวล้านผู้ที่ไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับเทพแห่งความตาย โดนชกร่างจนลอยกระเด็นไปกระแทกกำแพงที่อยู่ห่างไปถึงสิบเมตรอย่างรุนแรง!
โครม!
ด้วยความรุนแรงจากแรงกระแทก กำแพงของร้านในจุดที่ชายหัวล้านกระแทกแตกระแหงเหมือนใยแมงมุมทันที!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง!
ทั้งร้านเงียบกริบ!
หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ใครจะเชื่อว่าหมัดชายจากชายหนุ่มที่ดูธรรมดาจะทรงพลังน่ากลัวได้ขนาดนี้!
อั่ก!
ชายร่างกำยำล้มลงบนพื้นและกระอักเลือดออกมาคำโต ดูเหมือนว่าเขาเองก็น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนร่างกายมาอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่สลบเหมือดไป
เขามองไปที่ชายหนุ่มที่ยังคงนั่งด้วยแววตาเหลือเชื่อ และหัวใจของเขาก็เต้นระทึกไม่หยุด!
บรรดานักเลงที่เหลือต่างก็ตกตะลึง และไม่อยากจะเชื่อสายตากับภาพที่เพิ่งเห็นเช่นกัน!