ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 355 การพบกัน

บทที่ 355 การพบกัน

บทที่ 355 การพบกัน

บทที่ 355 การพบกัน

“เดี๋ยวก่อน! นี่น่าจะเป็นกฎระเบียบของโลกภายนอก เจ้าอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นศิษย์น้องอู๋ชิง”

ผู้อาวุโสหลินยกมือขึ้นเพื่อห้ามปราม ศิษย์น้องของเขาคนนี้มักจะหุนหันพลันแล่น ซึ่งเขาคุ้นเคยกับนิสัยนี้ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

หลังจากปรามอู๋ชิงเรียบร้อย เขาก็มองไปที่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกครั้งทันที

“ขอโทษที เจ้าช่วยส่งข่าวให้หน่อยได้ไหม พวกข้ามาที่นี่เพื่อตามหาอวี้ฮ่าวหราน”

“เอ๊ะ? พวกคุณมาหาประธานของเราเหรอ?”

เจ้าหน้าที่อึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาไม่คิดเลยว่าคนประหลาดพวกนี้จะมาตามหาประธานของเขา

“ถูกต้องแล้ว”

ผู้อาวุโสหลินพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

“เอ่อ…การเข้าไปด้านในบริษัท พวกคุณต้องมีนัด ไม่เช่นนั้นผมคงให้เข้าไปไม่ได้”

เจ้าหน้าที่มองขึ้นมองลงสำรวจทั้งสามคนนี้ก่อนที่จะตัดสินใจไม่ปล่อยพวกเขาผ่านเข้าไป

แม้ว่าทั้งสามคนนี้จะทำให้เขารู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎ ไม่งั้นเขาเองก็จะถูกลงโทษ

“ฮึ่ม! ศิษย์พี่ ทำไมพวกเราต้องมาพูดไร้สาระกับมนุษย์ธรรมดาพวกนี้ด้วย! ทำไมเราไม่จัดการกับใครก็ตามที่ขวางทางเราและไปลากตัวอวี้ฮ่าวหรานมาสอบสวนให้มันจบ ๆ เรื่องไปโดยเร็วที่สุด!”

เมื่ออู๋ชิงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมปล่อยพวกเขาให้เข้าไป ก็ไม่อาจระงับความโกรธของตัวเองได้ในทันที

ในจำนวนสามคน เขาเป็นที่อารมณ์ร้อนที่สุด ส่วนคนที่ดูแก่กว่าเขาอีกคนที่ยืนถัดจากเขาคือ อู๋หยวนฮัว ซึ่งเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยพูด

นอกเหนือจากเรื่องการค้นหาอู๋ลั่นที่หายไปแล้ว พวกเขาทั้งสามคนยังตั้งใจออกมาทำความคุ้นเคยกับโลกภายนอกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้

“เงียบไปเดี๋ยวนี้อู๋ชิง!”

เมื่อผู้อาวุโสหลินเห็นสิ่งนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขากำลังไม่พอใจอยู่

อู๋ชิงเงียบลงในทันที

“อ…เอ่อ…ถ้างั้นพวกคุณทั้งสามคน…ถ้าพวกคุณไม่ว่าอะไร กรุณารอสักครู่ ผมขอเข้าไปรายงานถามความเห็นท่านประธานก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนนี้คงไม่ยอมจากไปง่าย ๆ แน่ แถมคนพวกนี้ยังดูแปลกประหลาด หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในบริษัทเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้อวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจด้วยตัวเอง

“อืม ไปสิ”

ผู้อาวุโสหลินไม่รังเกียจที่จะรอ ตราบใดที่เขาสามารถได้เจออวี้ฮ่าวหรานวันนี้ และถามเรื่องเกี่ยวกับอู๋ลั่น เขาก็ยินดีที่จะอดทน

เขาถือว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกภายนอกที่มนุษย์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่

ในออฟฟิศ

หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานประชุมเสร็จ เขาก็กลับมาที่ออฟฟิศของตัวเอง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หัวหน้ากะที่เฝ้าหน้าประตูทางเข้าบริษัทเมื่อครู่ก็มาเคาะประตูและเดินเข้ามา

“ท่านประธาน ตอนนี้มีคนแต่งตัวประหลาดสามคนอยู่หน้าประตูบริษัท พวกเขาต้องการเข้าพบท่าน แต่คือ…พวกเขาดูอันตรายมากแบบที่ผมอธิบายไม่ถูกเลย…”

เจ้าหน้าที่ดูอึดอัดเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกไม่สบายใจเลยเมื่อนึกถึงสามคนนั้น เขาไม่เคยเจอใครที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน

“อันตราย?”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงมองเจ้าหน้าที่ด้วยความสงสัย และหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินออกไปด้วยกันกับรปภ.

“ไปเถอะ พาฉันไปดู”

ที่ประตู

“ดูสิ ศิษย์น้องอู๋ชิง อาคารเหล่านี้ถูกสร้างจากพื้นดินขึ้นไปสูงอย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันงดงามมาก เราไม่ควรประเมินพลังของมนุษย์โลกภายนอกต่ำเกินไป”

ผู้อาวุโสหลินเงยหน้าขึ้นมองอาคารสำนักงานที่สูงตระหง่านด้วยแววตาชื่นชม

“เฮอะ! มนุษย์ธรรมดาพวกนี้ก็แค่อาศัยแต่เครื่องมือทุ่นแรงเท่านั้น ศิษย์พี่อย่าไปชมพวกมันให้มากนักเลย!”

อู๋ชิงมีทัศนคติดูถูกมนุษย์ของโลกภายนอกมาก เขาคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นของเขาในตอนนี้ เขาก็สามารถฆ่าคนธรรมดาหลายร้อยคนด้วยมือเปล่าอย่างง่ายดาย

มนุษย์ธรรมดาไม่ต่างอะไรกับมดในสายตาของเขา

“อู๋ชิงหนออู๋ชิง ทำไมเจ้าถึงเป็นแบบนี้เสมอ?”

ผู้อาวุโสหลินส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์น้องตัวเอง แต่แล้วเมื่อเบนสายตากลับเข้าไปในเครือฮ่าวหราน เขาก็พบว่าเจ้าหน้าที่เมื่อครู่ได้นำชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา

“นั่นไง คนที่เราต้องการพบมานั่นแล้ว”

แค่มองเพียงแวบเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือบุคคลที่พวกเขากำลังมองหา

เพราะชายหนุ่มตรงข้ามมีกลิ่นอายที่ดูอันตราย ซึ่งไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาคนไหนจะมีได้

“กำลังมองหาฉันอยู่งั้นเหรอ?”

ในทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ได้เปิดใช้เนตรเทวะสำรวจทั้งสามคนนี้ทันที ซึ่งเขาก็พบว่าทั้งสามคนนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานกันทั้งหมด!

ในหมู่พวกเขา ชายชุดดำที่ดูแก่สุดอยู่ในขั้นกลางของขอบเขตก่อรากฐานแล้ว!

น่าสนใจ!

อย่างไรก็ตามแม้จะเผชิญกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานถึงสามคน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เคร่งเครียดเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม เขากลับตื่นเต้นขึ้นมาอีกต่างหาก!

วิธีการพัฒนาความแข็งแกร่งที่ดีที่สุดไม่ใช่การฝึกโดยการนั่งบำเพ็ญเพียร แต่มันต้องเป็นการต่อสู้ดิ้นรนผ่านประสบการณ์เป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เช่นนั้นผู้บ่มเพาะไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งเหนือกว่าคนอื่นทั่วไปได้!

และนี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งมากจนได้เป็นจักรพรรดิเทพภายในเวลาเพียงสามหมื่นปีในดินแดนแห่งเทพ

เขามักจะท้าทายผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ!

“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานงั้นเหรอ?”

ผู้อาวุโสหลินสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของพวกตนเลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองดูชายหนุ่มคนนี้อย่างชื่นชม

“ถูกต้อง!”

เมื่อได้ยินคำถามนี้และดูจากการแต่งกายของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็พอจะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพราะต้องการอะไร

“ที่มาตามหาฉันในวันนี้มาเพราะตามหาคนที่ชื่ออู๋ลั่นอะไรนั่นใช่ไหม?”

เสื้อผ้าที่ทั้งสามคนนี้สวมใส่นั้นดูคล้ายกับเสื้อผ้าของอู๋ลั่นทุกประการยกเว้นแค่สีสัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาได้ว่าคนพวกนี้น่าจะมาจากสำนักเดียวกัน

เมื่ออู๋ชิงได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าอู๋ลั่น ดวงตาของเขาก็เย็นชาและโกรธเล็กน้อย

“เจ้ารู้ที่อยู่ของอู๋ลั่นพี่ชายข้า! หากไม่รีบพูด เจ้าจะตาย!”

ผู้อาวุโสหลินไม่ได้หยุดเขาในเวลานี้ เขารู้สึกว่าเป็นการดีที่จะให้ออร่าแก่ชายหนุ่มคนนี้

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังว่าอวี้ฮ่าวหรานจะไม่สามารถหยุดพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ!

“เฮ้ ผู้ชายคนนั้น เขาตายแล้ว!”

เขาเหลือบมองอีกสามคนอีกครั้ง และดวงตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย!

“พวกเจ้าสามคนมาที่นี่เพื่อตายด้วยเหรอ?”

ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ทั้งสามคนดูตกใจ!

“คุณ! คุณฆ่าอาจารย์อู๋ลั่นหรือเปล่า?”

ผู้อาวุโสหลินอุทานออกมาอย่างนึกไม่ถึงทันที

“เป็นไปไม่ได้! มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเอาชนะอู๋ลั่นได้อย่างไร?!”

อู๋ชิงมีปฏิกิริยาร้อนรน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก และเขาไม่เคยเชื่อว่าอู๋ลั่นตายแล้ว!

บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน

บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน

หกโมงเย็น

เมื่อหลี่หรงพาถวนถวนกลับมาถึงคอนโด ห้องของอวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงล็อกแน่น

ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับการบ่มเพาะ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ

อันที่จริง ต่อให้ประตูจะไม่ได้ล็อก แต่ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณด้านใน หากคนธรรมดาจะเปิดประตูเข้าไปก็คงไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี

หลังจากดูดซับโบราณวัตถุทีละชิ้นจนหมด พลังวิญญาณในร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หนาแน่นจนเข้าสู่จุดปะทุ!

ทันใดนั้น!

การไหลเข้าของพลังวิญญาณจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ทะเลวิญญาณในตันเถียนของอวี้ฮ่าวหรานระเบิดออกครั้งใหญ่คล้ายกับเหตุการณ์บิ๊กแบง จากนั้นมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฟุ้งกระจายในจุดตันเถียนก็ค่อย ๆ ควบแน่นกันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายดวงดาว

“เฮ้อ…ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จ”

อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว

ในเวลานี้ ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน และเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งคิดถึงหลี่เม่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่กลับมายังโลกมนุษย์ และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง

แต่จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของตัวเองเลย และในแง่ของความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน มันยังเร็วเกินไปที่จะสามารถท่องโลกนี้ไปทั่วได้อย่างปลอดภัย

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง

ในห้องนั่งเล่นมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หลี่หรงได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยไว้บนโต๊ะแล้ว

“พี่เขยในที่สุดพี่ก็ออกมาสักที มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว”

เมื่อพี่เขยของเธอออกมาจากห้องเธอก็เอ่ยทักเขาทันที

“โทษทีที่วันนี้ต้องให้เธอลำบากไปรับถวนถวน ทั้ง ๆ ที่เธอต้องกลับมาทำอาหารต่ออีกแบบนี้”

อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขอโทษ แต่การทะลวงระดับเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งกลางคันและออกไปรับถวนถวนได้อย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน

อย่างไรก็ตาม หลี่หรงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เธอจึงไม่รบกวนเขาเลยในระหว่างที่ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง

“ไม่เป็นไรพี่เขย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ที่พี่มาช่วยจัดการปัญหาในบริษัทให้ฉัน บริษัทของฉันก็เลยสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมจนฉันไม่ต้องปวดหัวอีกเลย”

หลี่หรงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร กลับกันเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ได้แบ่งเบาภาระให้อวี้ฮ่าวหราน

“พ่อจ๋า!”

ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนก็วิ่งออกจากห้องของตัวเองมาพร้อมกับมือที่ถือขนม และตามมาด้วยสุนัขสองตัวที่คล้ายคลึงกัน

“พ่อจ๋า ถวนถวนอยากบอกข่าวดีกับพ่อ!”

เด็กน้อยในเวลานี้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด

“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานบังเกิดความสนใจ หลี่หรงก็ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้

“พี่เขย นั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเดี๋ยวฉันอธิบายเอง” เธอส่งชามข้าวให้ชายหนุ่มก่อน แล้วพูดต่อว่า “ครูสอนเปียโนเห็นว่าถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น เธอจึงอยากให้ถวนถวนเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับเยาวชนที่กำลังจะจัดขึ้นในเมือง”

“การแข่งขันเปียโน?”

เมื่อได้ยินข่าวนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองลูกสาวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ

“เอาสิ! ในเมื่อถวนถวนมีความสามารถจนครูเห็นแววขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปแข่งกันเลย!”

ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องเรียนเปียโนของถวนถวน ชายหนุ่มแค่ให้ถวนถวนไปเรียนเพราะไม่อยากขัดใจหลี่หรงก็แค่นั้น ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของเขาจะเก่งจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แบบนี้?

“คุณครูหลิวบอกว่าถวนถวนน่าทึ่งมาก หลังจากที่เรียนได้แค่เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็เก่งกว่าเด็กคนอื่นที่เรียนมาเป็นปีซะอีก”

ถวนถวนเข้ามาใกล้ในขณะนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตา ก็แสดงสีหน้าอย่างมีชัย

“ฮ่า ๆ! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกสาวของอวี้ฮ่าวหรานย่อมเหนือกว่าคนอื่น ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานปรบมือ

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

หลังอาหารเย็น อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงก็พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโนต่ออีกสักพัก และหลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็กลับเข้าห้องเพื่อบ่มเพาะอีกรอบ

เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งทะลวงระดับมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน เขาจึงจำเป็นต้องปรับรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองให้มั่นคง

เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนไปเรียนเปียโนเช่นเคย แต่เมื่อเขาเห็นหลิวว่านฉิง เขาก็ถามเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโน

ในห้องพักครู

“ใช่ ถวนถวน มีพรสวรรค์จริง ๆ มือของเธอคล่องแคล่วมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน”

หลิวว่านฉิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมความสามารถของถวนถวนในเวลานี้

“เธอเป็นเด็กหัวไวที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยทีเดียว”

“เอาละ ขอบคุณที่ครูหลิวส่งเสริมลูกของผมเสมอมา ว่าแต่การแข่งจะเริ่มเมื่อไหร่”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ลูกสาวของเทพฮ่าวหรานนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนธรรมดา

“การแข่งขันจะเริ่มวันมะรืนนี้ และเมื่อการแข่งขันนี้จบลงมันก็จะเป็นช่วงเดียวกับที่คลาสเปียโนภาคฤดูร้อนของเราสิ้นสุดลง”

หลิวว่านชิงตอบกลับ

“ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดีที่สุด หากผู้ปกครองจริงจังกับเรื่องนี้มากสักหน่อย พรุ่งนี้ชั้นเรียนเปียโนจะหยุดหนึ่งวัน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คุณควรพาถวนถวนไปฝึกซ้อมต่อด้วย เพื่อช่วยให้ถวนถวนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในวันแข่งขัน”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำอำลาและจากไป

หลังจากส่งลูกสาวของตัวเองเรียบร้อย เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของตัวเอง

ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้

ในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเรื่องของถวนถวนและเปียโน

การฝึกซ้อมที่คอนโดอาจมีเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านร้องเรียนได้ แถมสถานที่มันก็เล็กไปสักหน่อยกับการนำเปียโนตัวใหญ่ไปวาง

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกผู้จัดการหวังให้เข้ามาหา

“ผมต้องการให้บริษัทของเรามีห้องเปียโน ผมต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้”

“หา?”

ผู้จัดการหวังตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนี้

พวกเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกล การมีห้องเปียโนในบริษัทมันจึงดูแปลกสุดกู่!

“ท…ท่านประธาน นี่คุณพูดจริงงั้นเหรอ?”

เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“ผมจริงจัง! ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องการให้ห้องเปียโนสมบูรณ์แบบที่สุด เอาแบบที่มืออาชีพใช้งาน!”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเขาแน่วแน่มาก

“ลูกสาวของผม ถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโน ดังนั้นในอนาคตผมอาจจะให้ลูกสาวมาซ้อมที่นี่”

เนื่องจากการซื้อเปียโนไปไว้ที่คอนโดไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างห้องเปียโนในบริษัทมันซะเลย

ผู้จัดการหวังพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้

ประธานของเขาตามใจลูกมากเกินไปหน่อยไหม? พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองชอบไปเล่นที่สวนสนุก ประธานของเขาก็สร้างสวนสนุกในบริษัทขึ้นมา และมาตอนนี้พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนมาแล้วดันเก่ง ประธานของเขาก็สั่งให้สร้างห้องเปียโน…

“รับทราบครับท่านประธาน! ไม่มีปัญหา บริษัทมีห้องเก็บเสียงที่สร้างเสร็จเอาไว้อยู่แล้ว เราแค่ต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย วันนี้วันเดียวก็น่าจะเสร็จ”

อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้กิจการบริษัทกำลังไปได้สวยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย

ในตอนเย็น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปรับถวนถวน เขาก็บอกข่าวดีกับลูกสาวของตัวเอง

“จริงเหรอ พ่อจ๋า! หนูจะมีเปียโนเป็นของตัวเองงั้นเหรอ!”

เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากเรียนเปียโนมาได้เป็นเดือน เธอก็ตกหลุมรักเปียโนเข้าเต็มเปา

“แน่นอน!”

อวี้ฮ่าวหรานยืนยัน

บทที่ 354 มาเยือนถึงประตูบริษัท

บทที่ 354 มาเยือนถึงประตูบริษัท

หลังจากที่ในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว ถวนถวนก็ดิ้นลงจากอ้อมแขนของอวี้ฮ่าวหราน และกลับไปนั่งที่เปียโนอีกรอบ

“ช่วงนี้พ่อยุ่งมากไปหน่อย แต่พ่อสัญญาว่าในอนาคตพ่อจะใช้เวลากับลูกให้มากขึ้น”

“ถวนถวนรู้ว่าพ่อจ๋าพยายามตามหาแม่! ไม่เป็นไร ถวนถวนสบายดี!”

เด็กน้อยตอบกลับอย่างรู้ความ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอมีความคิดอ่านมากกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า

“พ่อจ๋า! เดี๋ยวถวนถวนจะเล่นเพลงโปรดให้พ่อเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้น เด็กน้อยก็เริ่มบรรเลงท่วงทำนองอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ของลูกสาวตัวเอง และค่อย ๆ นั่งลงที่โซฟาซึ่งถูกจัดวางเอาไว้อยู่ในห้อง

มือเล็ก ๆ ที่บอบบางพริ้วไหวไปมาบนเปียโน

ท่วงทำนองที่ไพเราะงดงามดังก้องไปทั่วท้องห้องเปียโน

ถวนถวนเล่นอย่างมีสมาธิมาก และท่วงทำนองก็ให้ความรู้สึกที่น่าหลงใหล ซึ่งถ้าหากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่า ถวนถวนเพิ่งเรียนเปียโนมาได้แค่เพียงเดือนเดียว

อวี้ฮ่าวหรานฟังการแสดงของลูกสาวอย่างเงียบ ๆ และรู้สึกว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ตัวเองมีความสุขที่สุดในชีวิต

เวลาช่วงเช้าผ่านไปไวเหมือนกับโกหก และอวี้ฮ่าวหรานก็กลับไปที่ออฟฟิศของตัวเอง

“ท่านประธาน เอกสารเหล่านี้ต้องการการตรวจสอบโดยด่วน มีคำร้องขอการอนุมัติหลายอย่างในนั้นที่เกินขอบเขตอำนาจของผม”

ผู้จัดการหวังกำลังรอเขาอยู่ที่ออฟฟิศมาได้สักพักแล้ว

กองเอกสารในมือของเขาดูเหมือนจะมีความสำคัญมาก

“อืม เอามาให้ผมดูที…”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและรับมา ก่อนจะพบว่ารายละเอียดส่วนใหญ่ในเอกสารเหล่านี้เกี่ยวกับการต่ออายุสัญญาเก่าและแผนการควบคุมการผันผวนของราคาสินค้าในตลาด

หลังจากใช้เวลามากกว่า 20 นาทีในการตรวจดูเอกสาร อวี้ฮ่าวหรานก็เงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการหวังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา

“หวังจุน ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่?”

“เอ๊ะ?”

เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการหวังไม่คิดว่าประธานจะเรียกเขาด้วยชื่อเต็ม ๆ และถามในประเด็นนี้ขึ้นมา

หลังจากมึนงงไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบกลับอย่างสงสัย

“ปีนี้ผมอายุ 33 ปี แต่ถ้านับความสามารถในด้านการบริหารบริษัท ผมยังนับได้ว่าเด็กอยู่หากเทียบกับท่านประธาน”

“อืม สามสิบสามปี ชายในช่วงอายุเลขสาม…”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าช้า ๆ ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจบางอย่างในใจ

“นับจากนี้ เอกสารเช่นนี้คุณจัดการพวกมันด้วยตัวเองได้เลย ไม่ต้องรอให้ผมทบทวนพวกมัน”

“หา? แต่…แต่เอกสารพวกนี้มันเกี่ยวข้องกับการพัฒนาบริษัท ซึ่งตำแหน่งของผมไม่มีอำนาจพอจะตัดสินใจได้นะท่านประธาน!”

ผู้จัดการหวังตกตะลึง การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มันอยู่เกินอำนาจของเขามากเกินไป

“ไม่เป็นไร หลังจากนี้ผมจะให้อำนาจคุณอย่างเต็มที่ เดี๋ยวผมจะเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัท”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ

ชายหนุ่มได้ตัดสินใจที่จะละทิ้งอำนาจบางส่วนของตัวเอง เพราะเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าให้เวลากับบริษัทมากเกินไปจนไม่มีเวลาให้กับถวนถวน และเป้าหมายในการตามหาหลี่เม่ยก็น้อยมากเกินไปแล้ว

และเหตุผลหลัก ๆ ที่เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ เพราะเชื่อว่าผู้จัดการหวังเป็นคนที่เชื่อถือได้และจะไม่ทำให้เขาผิดหวังแน่นอน

อย่างน้อย ๆ ชายคนนี้ก็น่าจะไม่ทรยศเขา

“นี่…ท่านประธานพูดจริงงั้นเหรอ?”

ผู้จัดการหวังไม่อยากจะเชื่อเลย เขากำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการใหญ่งั้นเหรอ?

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง และหลังจากนี้คุณคงมีงานยุ่งมากกว่าเดิม เพราะคุณต้องเข้าใจว่ารองประธานของคุณนั้นไร้ความสามารถ และเขาช่วยคุณไม่ได้”

อวี้ฮ่าวหรานแสดงสีหน้าหยอกล้อในขณะที่พูดประโยคนี้

“ไม่ ผมเชื่อว่าผมรับมือได้!”

การได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัท มันไม่ต่างอะไรกับเขาได้เลื่อนขึ้นเป็นประธานบริษัท แต่แค่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของก็แค่นั้น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต

ผู้จัดการหวังไม่คิดเลยว่าฝันของตัวเองจะเป็นจริงได้เร็วขนาดนี้!

“ดี! แต่คุณไม่ต้องกังวลเกินไป เพราะผมเองก็จะเข้ามาดูบริษัทเป็นระยะ ๆ เช่นกัน ซึ่งถ้าหากมีปัญหาอะไรที่คุณไม่แน่ใจ คุณปรึกษาผมได้ และยิ่งไปกว่านั้น ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณอีกด้วย”

สำหรับคนเก่งเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานย่อมให้การดูแลอย่างดีเยี่ยม เพราะหากไม่มีอีกฝ่าย เขาก็คงไม่สามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเช่นกัน

“ขอบคุณ! ขอบคุณ ประธานอวี้! ผมจะทำผลงานให้ได้ตามที่คุณคาดหวังอย่างแน่นอน!!”

ผู้จัดการหวังดูตื่นเต้นเป็นพิเศษในขณะนี้

“โอเค ออกไปเตรียมตัวได้แล้ว ในการประชุมตอนบ่าย ผมจะแจ้งเรื่องนี้กับผู้บริหารทุกคนของบริษัท”

ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง การประชุมระดับสูงของบริษัทก็เริ่มขึ้น

อวี้ฮ่าวหรานประกาศการตัดสินใจของเขาอย่างตรงไปตรงมา

“ตอนนี้ผมขอประกาศว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ ผู้จัดการหวังจุนจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทของเรา!”

หลังจากได้ยินประกาศ บรรดาผู้บริหารต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจ

พวกเขาไม่ได้ไม่พอใจกับการตัดสินใจของอวี้ฮ่าวหราน แต่แค่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้จัดการหวังจะได้รับความไว้วางใจมากขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครรู้เลย

“หึหึ สมควรแล้วละ ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เห็นว่าผู้จัดการหวัง มาทำงานแต่เช้าทุกวัน และกลับบ้านทีหลังคนอื่นตลอด เขาคือคนที่ทุ่มเทให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก”

“ไม่คิดเลยว่าประธานอวี้จะให้ความสำคัญกับผู้จัดการหวังมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่านับจากนี้ฉันจะต้องสุภาพกับผู้จัดการหวังมากกว่าเดิมซะแล้ว”

“ฮิฮิ ใช่แล้ว มีแต่เขาที่เหมาะจะเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของเรา”

“…”

ทุกคนวิจารณ์กันด้วยเสียงแผ่วเบา

ผู้จัดการหวังซึ่งกำลังนั่งข้าง ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่ได้

การประชุมจบลงอย่างรวดเร็ว อวี้ฮ่าวหรานไม่ชอบการประชุมที่ยาวนานหากไม่จำเป็น

ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าประตูทางเข้าของเครือฮ่าวหราน

“ผู้อาวุโสหลิน ดูสิ คนธรรมดาที่นี่เข้ามาและออกไปอย่างมีระเบียบ มันต่างจากสมัยก่อนจริง ๆ”

“ฮิฮิ แน่นอน พวกเราหลีกหนีจากโลกและแสวงหาเต๋าเท่านั้น และปล่อยให้ศิษย์สายนอกจัดการเรื่องต่าง ๆ ในโลกภายนอกอย่างเดียว ดังนั้นเราคงไม่มีความเข้าใจเรื่องแบบนี้”

ชายวัยกลางคนสามคนในชุดโบราณพูดคุยกันและค่อย ๆ เดินไปที่หน้าประตู

เมื่อครู่นี้ ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีดำถูกเรียกว่าผู้อาวุโสหลิน อันที่จริงแล้วเขามีอายุถึงห้าสิบกว่าปี แต่หน้าตาของเขากลับยังดูเด็กกว่าอายุจนเหมือนกับคนอายุแค่สี่สิบต้น ๆ เท่านั้น

สามคนนี้มาเพื่อตามหาอู๋ลั่น

“เอ่อ…ทั้งสามท่าน…หากพวกท่านต้องการเข้าไปในบริษัทของเรา กรุณาแสดงบัตรประจำตัวของพวกท่านด้วย”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เอ่ยขึ้นทักดูลังเลเล็กน้อยในเวลานี้ เขาไม่เคยเห็นใครแต่งตัวแบบนี้มาก่อน

ทำไมคนพวกนี้ถึงแต่งตัวเหมือนกับหลุดมาจากละครย้อนยุคแบบนี้? แถมเขายังรู้สึกกลัวอีกฝ่ายอย่างไม่มีสาเหตุอีกต่างหาก?

“บัตรประจำตัว?”

ผู้อาวุโสหลินเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง ดูเหมือนว่าเขาไม่คุ้นเคยกับคำว่า ‘บัตรประจำตัว’

“ฮึ่ม! เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแต่กลับกล้าขวางทางพวกข้างั้นเหรอ!”

ในขณะเดียวกันนี้ ชายวัยกลางคนที่ดูเด็กกว่าใครเพื่อน แสดงสีหน้าโกรธขึ้นมาอย่างฉับพลัน

บทที่ 355 การพบกัน

บทที่ 355 การพบกัน

“เดี๋ยวก่อน! นี่น่าจะเป็นกฎระเบียบของโลกภายนอก เจ้าอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นศิษย์น้องอู๋ชิง”

ผู้อาวุโสหลินยกมือขึ้นเพื่อห้ามปราม ศิษย์น้องของเขาคนนี้มักจะหุนหันพลันแล่น ซึ่งเขาคุ้นเคยกับนิสัยนี้ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

หลังจากปรามอู๋ชิงเรียบร้อย เขาก็มองไปที่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกครั้งทันที

“ขอโทษที เจ้าช่วยส่งข่าวให้หน่อยได้ไหม พวกข้ามาที่นี่เพื่อตามหาอวี้ฮ่าวหราน”

“เอ๊ะ? พวกคุณมาหาประธานของเราเหรอ?”

เจ้าหน้าที่อึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาไม่คิดเลยว่าคนประหลาดพวกนี้จะมาตามหาประธานของเขา

“ถูกต้องแล้ว”

ผู้อาวุโสหลินพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

“เอ่อ…การเข้าไปด้านในบริษัท พวกคุณต้องมีนัด ไม่เช่นนั้นผมคงให้เข้าไปไม่ได้”

เจ้าหน้าที่มองขึ้นมองลงสำรวจทั้งสามคนนี้ก่อนที่จะตัดสินใจไม่ปล่อยพวกเขาผ่านเข้าไป

แม้ว่าทั้งสามคนนี้จะทำให้เขารู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎ ไม่งั้นเขาเองก็จะถูกลงโทษ

“ฮึ่ม! ศิษย์พี่ ทำไมพวกเราต้องมาพูดไร้สาระกับมนุษย์ธรรมดาพวกนี้ด้วย! ทำไมเราไม่จัดการกับใครก็ตามที่ขวางทางเราและไปลากตัวอวี้ฮ่าวหรานมาสอบสวนให้มันจบ ๆ เรื่องไปโดยเร็วที่สุด!”

เมื่ออู๋ชิงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมปล่อยพวกเขาให้เข้าไป ก็ไม่อาจระงับความโกรธของตัวเองได้ในทันที

ในจำนวนสามคน เขาเป็นที่อารมณ์ร้อนที่สุด ส่วนคนที่ดูแก่กว่าเขาอีกคนที่ยืนถัดจากเขาคือ อู๋หยวนฮัว ซึ่งเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยพูด

นอกเหนือจากเรื่องการค้นหาอู๋ลั่นที่หายไปแล้ว พวกเขาทั้งสามคนยังตั้งใจออกมาทำความคุ้นเคยกับโลกภายนอกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้

“เงียบไปเดี๋ยวนี้อู๋ชิง!”

เมื่อผู้อาวุโสหลินเห็นสิ่งนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขากำลังไม่พอใจอยู่

อู๋ชิงเงียบลงในทันที

“อ…เอ่อ…ถ้างั้นพวกคุณทั้งสามคน…ถ้าพวกคุณไม่ว่าอะไร กรุณารอสักครู่ ผมขอเข้าไปรายงานถามความเห็นท่านประธานก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนนี้คงไม่ยอมจากไปง่าย ๆ แน่ แถมคนพวกนี้ยังดูแปลกประหลาด หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในบริษัทเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้อวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจด้วยตัวเอง

“อืม ไปสิ”

ผู้อาวุโสหลินไม่รังเกียจที่จะรอ ตราบใดที่เขาสามารถได้เจออวี้ฮ่าวหรานวันนี้ และถามเรื่องเกี่ยวกับอู๋ลั่น เขาก็ยินดีที่จะอดทน

เขาถือว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกภายนอกที่มนุษย์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่

ในออฟฟิศ

หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานประชุมเสร็จ เขาก็กลับมาที่ออฟฟิศของตัวเอง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หัวหน้ากะที่เฝ้าหน้าประตูทางเข้าบริษัทเมื่อครู่ก็มาเคาะประตูและเดินเข้ามา

“ท่านประธาน ตอนนี้มีคนแต่งตัวประหลาดสามคนอยู่หน้าประตูบริษัท พวกเขาต้องการเข้าพบท่าน แต่คือ…พวกเขาดูอันตรายมากแบบที่ผมอธิบายไม่ถูกเลย…”

เจ้าหน้าที่ดูอึดอัดเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกไม่สบายใจเลยเมื่อนึกถึงสามคนนั้น เขาไม่เคยเจอใครที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน

“อันตราย?”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงมองเจ้าหน้าที่ด้วยความสงสัย และหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินออกไปด้วยกันกับรปภ.

“ไปเถอะ พาฉันไปดู”

ที่ประตู

“ดูสิ ศิษย์น้องอู๋ชิง อาคารเหล่านี้ถูกสร้างจากพื้นดินขึ้นไปสูงอย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันงดงามมาก เราไม่ควรประเมินพลังของมนุษย์โลกภายนอกต่ำเกินไป”

ผู้อาวุโสหลินเงยหน้าขึ้นมองอาคารสำนักงานที่สูงตระหง่านด้วยแววตาชื่นชม

“เฮอะ! มนุษย์ธรรมดาพวกนี้ก็แค่อาศัยแต่เครื่องมือทุ่นแรงเท่านั้น ศิษย์พี่อย่าไปชมพวกมันให้มากนักเลย!”

อู๋ชิงมีทัศนคติดูถูกมนุษย์ของโลกภายนอกมาก เขาคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นของเขาในตอนนี้ เขาก็สามารถฆ่าคนธรรมดาหลายร้อยคนด้วยมือเปล่าอย่างง่ายดาย

มนุษย์ธรรมดาไม่ต่างอะไรกับมดในสายตาของเขา

“อู๋ชิงหนออู๋ชิง ทำไมเจ้าถึงเป็นแบบนี้เสมอ?”

ผู้อาวุโสหลินส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์น้องตัวเอง แต่แล้วเมื่อเบนสายตากลับเข้าไปในเครือฮ่าวหราน เขาก็พบว่าเจ้าหน้าที่เมื่อครู่ได้นำชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา

“นั่นไง คนที่เราต้องการพบมานั่นแล้ว”

แค่มองเพียงแวบเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือบุคคลที่พวกเขากำลังมองหา

เพราะชายหนุ่มตรงข้ามมีกลิ่นอายที่ดูอันตราย ซึ่งไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาคนไหนจะมีได้

“กำลังมองหาฉันอยู่งั้นเหรอ?”

ในทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ได้เปิดใช้เนตรเทวะสำรวจทั้งสามคนนี้ทันที ซึ่งเขาก็พบว่าทั้งสามคนนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานกันทั้งหมด!

ในหมู่พวกเขา ชายชุดดำที่ดูแก่สุดอยู่ในขั้นกลางของขอบเขตก่อรากฐานแล้ว!

น่าสนใจ!

อย่างไรก็ตามแม้จะเผชิญกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานถึงสามคน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เคร่งเครียดเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม เขากลับตื่นเต้นขึ้นมาอีกต่างหาก!

วิธีการพัฒนาความแข็งแกร่งที่ดีที่สุดไม่ใช่การฝึกโดยการนั่งบำเพ็ญเพียร แต่มันต้องเป็นการต่อสู้ดิ้นรนผ่านประสบการณ์เป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เช่นนั้นผู้บ่มเพาะไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งเหนือกว่าคนอื่นทั่วไปได้!

และนี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งมากจนได้เป็นจักรพรรดิเทพภายในเวลาเพียงสามหมื่นปีในดินแดนแห่งเทพ

เขามักจะท้าทายผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ!

“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานงั้นเหรอ?”

ผู้อาวุโสหลินสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของพวกตนเลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองดูชายหนุ่มคนนี้อย่างชื่นชม

“ถูกต้อง!”

เมื่อได้ยินคำถามนี้และดูจากการแต่งกายของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็พอจะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพราะต้องการอะไร

“ที่มาตามหาฉันในวันนี้มาเพราะตามหาคนที่ชื่ออู๋ลั่นอะไรนั่นใช่ไหม?”

เสื้อผ้าที่ทั้งสามคนนี้สวมใส่นั้นดูคล้ายกับเสื้อผ้าของอู๋ลั่นทุกประการยกเว้นแค่สีสัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาได้ว่าคนพวกนี้น่าจะมาจากสำนักเดียวกัน

เมื่ออู๋ชิงได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าอู๋ลั่น ดวงตาของเขาก็เย็นชาและโกรธเล็กน้อย

“เจ้ารู้ที่อยู่ของอู๋ลั่นพี่ชายข้า! หากไม่รีบพูด เจ้าจะตาย!”

ผู้อาวุโสหลินไม่ได้หยุดเขาในเวลานี้ เขารู้สึกว่าเป็นการดีที่จะให้ออร่าแก่ชายหนุ่มคนนี้

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังว่าอวี้ฮ่าวหรานจะไม่สามารถหยุดพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ!

“เฮ้ ผู้ชายคนนั้น เขาตายแล้ว!”

เขาเหลือบมองอีกสามคนอีกครั้ง และดวงตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย!

“พวกเจ้าสามคนมาที่นี่เพื่อตายด้วยเหรอ?”

ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ทั้งสามคนดูตกใจ!

“คุณ! คุณฆ่าอาจารย์อู๋ลั่นหรือเปล่า?”

ผู้อาวุโสหลินอุทานออกมาอย่างนึกไม่ถึงทันที

“เป็นไปไม่ได้! มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเอาชนะอู๋ลั่นได้อย่างไร?!”

อู๋ชิงมีปฏิกิริยาร้อนรน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก และเขาไม่เคยเชื่อว่าอู๋ลั่นตายแล้ว!

บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ

บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ

เมื่อได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย หลิวว่านชิงก็ส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก

ในฐานะครู มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเอ่ยปากออกมา

“นี่? อะไรกัน? จะบอกว่าเธอไม่เต็มใจอย่างนั้นเหรอ? อายุยังน้อย ก็น่าจะต้องได้รับบทเรียนบ้างไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อเห็นเช่นนี้ อาจารย์หวังก็เผยแววเหยียดหยามอยู่บ้าง

“คุณ!”

หลิวว่านชิงไม่พอใจหนัก หากแต่เมื่ออ้าปากจะตอบโต้กลับพูดไม่ออก

อาจารย์หวังที่เห็นเช่นนี้ก็หลุดขำเย้ย ก่อนหันไปสอนเสี่ยวเสวี่ยเล่นเปียโน“ฟังนะ…ครั้งนี้เราจะเอาจริงกันแล้ว เราจะเป็นเด็กอมมือที่เอาแต่พล่ามไปเรื่อยไม่ได้…”

แม้จะอยู่ห่างออกไป ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายยังคงลอยเข้าหูเธอ

“น่าหงุดหงิดจริง ๆ!”

คราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงหลิวว่านชิง แม้แต่หลี่หรงยังอดหัวเสียไม่ได้

ถวนถวนของเธอแสดงได้ดีที่สุดในสายตาของเธอ!

“อย่าโกรธเลยนะคะแม่หรง ถวนถวนเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวหนูจะจัดการเธอให้หงายเลยค่ะ!”

เจ้าตัวน้อยกระตุกชายเสื้อของเธอ

หลี่หรงอิ่มเอมใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนัก ถึงอย่างไรเด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยก็เล่นเปียโนได้คล่องแคล่ว

“ใช่แล้ว ถวนถวนเก่งมากเลยนะคะ คุณน้าอย่าเสียอารมณ์ไปเลยค่ะ”

เธอรู้สึกได้ว่าหลังจากพี่เขยกลับมา นับวันถวนถวนยิ่งดูมั่นใจมากขึ้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลานเธอก็ยังเด็ก มีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง

เวลาล่วงเลยพ้น 8 โมงครึ่ง

ถวนถวนและเพื่อนกลุ่มเดียวกันถูกพาไปห้องรับรอง ส่วนอวี้ฮ่าวหรานกับหลี่หรงรอชมอยู่หน้าเวที

เขาต้องแปลกใจเมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยอยู่ไม่ห่างออกไป

“คุณสวี…มาที่นี่เหมือนกันเหรอคะ?”

เมื่อเห็นอีกฝ่าย หลี่หรงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อพบฝ่ายตรงข้ามคือสวีรุ่ยซึ่งเพิ่งพบกันเมื่อ 2 วันก่อน

“อ้าว? พวกคุณ… ถวนถวนมางานนี้เหมือนกันเหรอคะ?”

เมื่อพบหน้าทั้งคู่ เธอจึงส่งสีหน้าสงสัยก่อนนึกขึ้นได้

“อย่างนั้นฉันก็จะได้เห็นถวนถวนเล่นเปียโนสินะคะ”

“ใช่ครับ วันนี้คุณโชคดีมากเลยนะครับ มานั่งทางนี้สิครับ ยังไม่มีคนนั่งพอดีเลย”

เป็นอวี้ฮ่าวหรานที่เอ่ยปากเชิญชวนก่อน

“ค่ะ”

สวีรุ่ยรับคำ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมานั่งด้านข้าง

“วันนี้ทางโรงเรียนส่งข้อความแจ้งคุณครูทุกคนค่ะ บอกว่าให้มาชมการแสดงกัน ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษ”

เธอเล่าเมื่อเธอนั่งลง

“ช่วงวันหยุดหน้าร้อนที่ผ่านมาถวนถวนสนใจเรียนเปียโน แล้วก็เรียนได้ดีด้วยครับ ผมก็เลยให้เธอลองมาแข่งดู” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ย

“อ๋อ? ถวนถวนมาแข่งจริง ๆ เหรอคะ?”

สวีรุ่ยมีท่าทีแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ด้วยถวนถวนยังอายุน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนมาก่อน

จะเข้าแข่งขันทั้งที่เรียนภายในวันหยุดหน้าร้อนเดียวได้อย่างไร?

หากแต่เวลานี้หลี่หรงดูปลาบปลื้มใจมาก

“ถวนถวนหัวไวมากค่ะ คุณครูที่สอนชมใหญ่เลย บางทีอาจจะชนะการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ค่ะ”

เมื่อครั้งที่เธอเรียนเปียโนในวัยเด็ก คุณครูยังไม่เคยชมเธอสักครั้ง

แม้ว่าเธอจะชอบเล่นมาก หากแต่คนไม่มีพรสวรรค์อย่างไรก็ไม่มีอยู่วันยังค่ำ

“ค่ะ ถวนถวนเป็นเด็กฉลาดมาก แต่เรื่องที่จะเอาชนะได้…”

สวีรุ่ยไม่มั่นใจในเรื่องนี้นักด้วยรู้ดีว่าเด็กที่เข้าแข่งขันร่ำเรียนเปียโนมาตั้งแต่ยังเด็กมาหลายปี อย่างน้อยก็ทำให้เล่นได้อย่างไม่มีที่ติ

หากแต่ถวนถวนเรียนมาเพียงเดือนเดียว อีกทั้งยังอายุน้อย…

เธอเกรงว่าหากอวยเกินไปตอนนี้ ถ้าพลาดตำแหน่งขึ้นมา ลูกศิษย์จะเสียใจเอาได้

“ไม่ต้องห่วง ผลต้องออกมาดีแน่ครับ”

อวี้ฮ่าวหรานว่าขึ้น เขามั่นใจในตัวลูกสาวคนนี้เต็มที่ เพราะการแสดงเมื่อวานของถวนถวนก็ทำให้เขาตกตะลึงมากทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องรับรอง เด็ก ๆ นั่งอยู่รวมกันที่นี่

“เธอเด็กขนาดนี้ เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”

เด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยถามขึ้นก่อน ถวนถวนนั่งอยู่ข้างเธอด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นความมั่นใจ

“ถวนถวนเก่งมากนะ! พ่อถวนถวนยังบอกว่าจะแข่งชนะเลย”

ดวงตากลมโตจับจ้องคู่สนทนาเขม็ง

“เธอเล่นไม่เป็นหรอก ก็แค่เล่นขำ ๆ น่ะสิ เดี๋ยวจะทำให้พ่อแม่ขายหน้าเปล่า ๆ”

“ไม่มีทาง! ถวนถวนตั้งใจฝึกมาก! พ่อยังชมว่าเก่งที่สุดเลย!”

แม้จะถูกเสี่ยวเสวี่ยปรามาส หากแต่ถวนถวนก็ไม่ท้อถอย ยังคงมั่นใจเต็มที่

หลังได้ฝึกซ้อมรอบสุดท้าย เธอก็ยังเชื่อมั่นในตนเองอย่างถึงที่สุด

“คอยดูไปแล้วกัน”

เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมั่นใจเพียงนี้ เสี่ยวเสวี่ยนึกอยากเอาชนะเด็กหญิงตัวน้อยโดยไม่รู้ตัว

ผ่านไปไม่นาน ก็ถึงเวลา 9 โมงเช้า การแข่งขันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ครั้งนี้เป็นงานแข่งขันที่จริงจังมาก มีคณะกรรมการถึงสิบคน

ผู้เข้าแข่งขันคนแรกปรากฏตัวขึ้น เป็นเด็กหญิงอายุราว 5 ถึง 6 ขวบ

“เด็กคนนี้อายุน้อยเกินไป เห็นไหมว่าตื่นเวทีมาก”

“ใช่ ต่อให้ฝึกมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าก็ยังทำได้ไม่ดี”

“พวกเขาแค่มาลองมาหาประสบการณ์ คนที่มาแข่งจริงจังคือเด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบต่างหาก”

“…”

เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน

ท่วงทำนองเปียโนค่อย ๆ ดังขึ้น ไม่รู้ว่าด้วยตื่นเวทีหรือไม่ ท่อนแรกจึงได้ฟังดูกวัดแกว่งเล็กน้อย

หลังเพลงจบลง คณะกรรมการให้คะแนนกัน

ได้คะแนนรวม 4.5 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน

อาจด้วยเพราะอายุของเด็กคนนี้

ด้านคุณครูที่ยืนชมอยู่ฟากซ้ายเวที อาจารย์หวังว่าเย้ย “เห็นไหม? ได้แค่ 4.5 คะแนน ฉันบอกแล้วว่าอายุน้อยแค่นี้จะไปเก่งอะไร เดี๋ยวลูกศิษย์ของเธอก็ต้องเล่นเป็นคนต่อไป คงฝีมือแย่พอกันนั่นแหละ”

“ก็ไว้ค่อยดูแล้วกันว่าจะเป็นยังไง”

หลิวว่านชิงคร้านจะใส่ใจอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา

“หืม? เสี่ยวหลิว พูดอะไรของเธอ อาจารย์หวังอาวุโสกว่าเธอนะ น่าจะเคารพสักหน่อยสิ”

“ใช่แล้ว ที่พูดก็เพราะว่าหวังดี เดี๋ยวเธอจะได้บทเรียนเอง”

“ฮ่า ๆ ยังไงเสี่ยวหลิวก็เพิ่งเรียนจบ ประสบการณ์น้อย อย่าไปถือสาเธอเลย”

ครูอาจารย์เหล่านี้ต่างก็เคยสอนชั้นอื่น ๆ มาก่อน พวกเขาจึงมักจะจับกลุ่มกันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

หลิวว่านชิงอยากจะตะโกนออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอนทั้งนั้น!

“ดูเข้าสิ!”

“ชิ ไม่มีฝีมือแล้วยังจะเชิดอยู่ได้”

เมื่ออาจารย์หวังได้ยิน เธอก็ส่งเสียงเยาะเย้ยถากถาง ตอนนี้ได้เวลาที่ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปจะเริ่มแสดง

เด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบคนนี้ไม่มีท่าทีตื่นเวที แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เก่งมากนัก มีบางช่วงที่เล่นติดขัดกลางคัน

แต่อย่างไรเสียก็เป็นการแข่งขันของเด็ก ๆ จึงไม่มีใครคิดถือสา

“สรุปคะแนนรวมได้ไป… 5.8 คะแนนครับ!”

เมื่อพิธีกรประกาศผลจบ ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปขึ้นเวทีต่อทันที

หากแต่การแสดงของหลายคนไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ได้คะแนนสูงสุดไปเพียง 6 คะแนนเท่านั้น

“มาดูเร็วเข้า! ต่อไปเป็นเสี่ยวเสวี่ย ลูกศิษย์ฉันเอง!”

การแสดงก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก อาจารย์หวังพลันโพล่งขึ้น

เสี่ยวเสวี่ยในชุดกระโปรงขาวขึ้นมาบนเวที เด็กหญิงวัย 7 ย่าง 8 ขวบดูน่ารักน่าชัง ขณะเดียวกันก็ดึงดูดสายตาผู้คนมากเช่นกัน

บทที่ 354 มาเยือนถึงประตูบริษัท

บทที่ 354 มาเยือนถึงประตูบริษัท

หลังจากที่ในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว ถวนถวนก็ดิ้นลงจากอ้อมแขนของอวี้ฮ่าวหราน และกลับไปนั่งที่เปียโนอีกรอบ

“ช่วงนี้พ่อยุ่งมากไปหน่อย แต่พ่อสัญญาว่าในอนาคตพ่อจะใช้เวลากับลูกให้มากขึ้น”

“ถวนถวนรู้ว่าพ่อจ๋าพยายามตามหาแม่! ไม่เป็นไร ถวนถวนสบายดี!”

เด็กน้อยตอบกลับอย่างรู้ความ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอมีความคิดอ่านมากกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า

“พ่อจ๋า! เดี๋ยวถวนถวนจะเล่นเพลงโปรดให้พ่อเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้น เด็กน้อยก็เริ่มบรรเลงท่วงทำนองอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ของลูกสาวตัวเอง และค่อย ๆ นั่งลงที่โซฟาซึ่งถูกจัดวางเอาไว้อยู่ในห้อง

มือเล็ก ๆ ที่บอบบางพริ้วไหวไปมาบนเปียโน

ท่วงทำนองที่ไพเราะงดงามดังก้องไปทั่วท้องห้องเปียโน

ถวนถวนเล่นอย่างมีสมาธิมาก และท่วงทำนองก็ให้ความรู้สึกที่น่าหลงใหล ซึ่งถ้าหากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่า ถวนถวนเพิ่งเรียนเปียโนมาได้แค่เพียงเดือนเดียว

อวี้ฮ่าวหรานฟังการแสดงของลูกสาวอย่างเงียบ ๆ และรู้สึกว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ตัวเองมีความสุขที่สุดในชีวิต

เวลาช่วงเช้าผ่านไปไวเหมือนกับโกหก และอวี้ฮ่าวหรานก็กลับไปที่ออฟฟิศของตัวเอง

“ท่านประธาน เอกสารเหล่านี้ต้องการการตรวจสอบโดยด่วน มีคำร้องขอการอนุมัติหลายอย่างในนั้นที่เกินขอบเขตอำนาจของผม”

ผู้จัดการหวังกำลังรอเขาอยู่ที่ออฟฟิศมาได้สักพักแล้ว

กองเอกสารในมือของเขาดูเหมือนจะมีความสำคัญมาก

“อืม เอามาให้ผมดูที…”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและรับมา ก่อนจะพบว่ารายละเอียดส่วนใหญ่ในเอกสารเหล่านี้เกี่ยวกับการต่ออายุสัญญาเก่าและแผนการควบคุมการผันผวนของราคาสินค้าในตลาด

หลังจากใช้เวลามากกว่า 20 นาทีในการตรวจดูเอกสาร อวี้ฮ่าวหรานก็เงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการหวังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา

“หวังจุน ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่?”

“เอ๊ะ?”

เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการหวังไม่คิดว่าประธานจะเรียกเขาด้วยชื่อเต็ม ๆ และถามในประเด็นนี้ขึ้นมา

หลังจากมึนงงไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบกลับอย่างสงสัย

“ปีนี้ผมอายุ 33 ปี แต่ถ้านับความสามารถในด้านการบริหารบริษัท ผมยังนับได้ว่าเด็กอยู่หากเทียบกับท่านประธาน”

“อืม สามสิบสามปี ชายในช่วงอายุเลขสาม…”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าช้า ๆ ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจบางอย่างในใจ

“นับจากนี้ เอกสารเช่นนี้คุณจัดการพวกมันด้วยตัวเองได้เลย ไม่ต้องรอให้ผมทบทวนพวกมัน”

“หา? แต่…แต่เอกสารพวกนี้มันเกี่ยวข้องกับการพัฒนาบริษัท ซึ่งตำแหน่งของผมไม่มีอำนาจพอจะตัดสินใจได้นะท่านประธาน!”

ผู้จัดการหวังตกตะลึง การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มันอยู่เกินอำนาจของเขามากเกินไป

“ไม่เป็นไร หลังจากนี้ผมจะให้อำนาจคุณอย่างเต็มที่ เดี๋ยวผมจะเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัท”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ

ชายหนุ่มได้ตัดสินใจที่จะละทิ้งอำนาจบางส่วนของตัวเอง เพราะเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าให้เวลากับบริษัทมากเกินไปจนไม่มีเวลาให้กับถวนถวน และเป้าหมายในการตามหาหลี่เม่ยก็น้อยมากเกินไปแล้ว

และเหตุผลหลัก ๆ ที่เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ เพราะเชื่อว่าผู้จัดการหวังเป็นคนที่เชื่อถือได้และจะไม่ทำให้เขาผิดหวังแน่นอน

อย่างน้อย ๆ ชายคนนี้ก็น่าจะไม่ทรยศเขา

“นี่…ท่านประธานพูดจริงงั้นเหรอ?”

ผู้จัดการหวังไม่อยากจะเชื่อเลย เขากำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการใหญ่งั้นเหรอ?

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง และหลังจากนี้คุณคงมีงานยุ่งมากกว่าเดิม เพราะคุณต้องเข้าใจว่ารองประธานของคุณนั้นไร้ความสามารถ และเขาช่วยคุณไม่ได้”

อวี้ฮ่าวหรานแสดงสีหน้าหยอกล้อในขณะที่พูดประโยคนี้

“ไม่ ผมเชื่อว่าผมรับมือได้!”

การได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัท มันไม่ต่างอะไรกับเขาได้เลื่อนขึ้นเป็นประธานบริษัท แต่แค่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของก็แค่นั้น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต

ผู้จัดการหวังไม่คิดเลยว่าฝันของตัวเองจะเป็นจริงได้เร็วขนาดนี้!

“ดี! แต่คุณไม่ต้องกังวลเกินไป เพราะผมเองก็จะเข้ามาดูบริษัทเป็นระยะ ๆ เช่นกัน ซึ่งถ้าหากมีปัญหาอะไรที่คุณไม่แน่ใจ คุณปรึกษาผมได้ และยิ่งไปกว่านั้น ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณอีกด้วย”

สำหรับคนเก่งเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานย่อมให้การดูแลอย่างดีเยี่ยม เพราะหากไม่มีอีกฝ่าย เขาก็คงไม่สามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเช่นกัน

“ขอบคุณ! ขอบคุณ ประธานอวี้! ผมจะทำผลงานให้ได้ตามที่คุณคาดหวังอย่างแน่นอน!!”

ผู้จัดการหวังดูตื่นเต้นเป็นพิเศษในขณะนี้

“โอเค ออกไปเตรียมตัวได้แล้ว ในการประชุมตอนบ่าย ผมจะแจ้งเรื่องนี้กับผู้บริหารทุกคนของบริษัท”

ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง การประชุมระดับสูงของบริษัทก็เริ่มขึ้น

อวี้ฮ่าวหรานประกาศการตัดสินใจของเขาอย่างตรงไปตรงมา

“ตอนนี้ผมขอประกาศว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ ผู้จัดการหวังจุนจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทของเรา!”

หลังจากได้ยินประกาศ บรรดาผู้บริหารต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจ

พวกเขาไม่ได้ไม่พอใจกับการตัดสินใจของอวี้ฮ่าวหราน แต่แค่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้จัดการหวังจะได้รับความไว้วางใจมากขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครรู้เลย

“หึหึ สมควรแล้วละ ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เห็นว่าผู้จัดการหวัง มาทำงานแต่เช้าทุกวัน และกลับบ้านทีหลังคนอื่นตลอด เขาคือคนที่ทุ่มเทให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก”

“ไม่คิดเลยว่าประธานอวี้จะให้ความสำคัญกับผู้จัดการหวังมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่านับจากนี้ฉันจะต้องสุภาพกับผู้จัดการหวังมากกว่าเดิมซะแล้ว”

“ฮิฮิ ใช่แล้ว มีแต่เขาที่เหมาะจะเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของเรา”

“…”

ทุกคนวิจารณ์กันด้วยเสียงแผ่วเบา

ผู้จัดการหวังซึ่งกำลังนั่งข้าง ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่ได้

การประชุมจบลงอย่างรวดเร็ว อวี้ฮ่าวหรานไม่ชอบการประชุมที่ยาวนานหากไม่จำเป็น

ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าประตูทางเข้าของเครือฮ่าวหราน

“ผู้อาวุโสหลิน ดูสิ คนธรรมดาที่นี่เข้ามาและออกไปอย่างมีระเบียบ มันต่างจากสมัยก่อนจริง ๆ”

“ฮิฮิ แน่นอน พวกเราหลีกหนีจากโลกและแสวงหาเต๋าเท่านั้น และปล่อยให้ศิษย์สายนอกจัดการเรื่องต่าง ๆ ในโลกภายนอกอย่างเดียว ดังนั้นเราคงไม่มีความเข้าใจเรื่องแบบนี้”

ชายวัยกลางคนสามคนในชุดโบราณพูดคุยกันและค่อย ๆ เดินไปที่หน้าประตู

เมื่อครู่นี้ ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีดำถูกเรียกว่าผู้อาวุโสหลิน อันที่จริงแล้วเขามีอายุถึงห้าสิบกว่าปี แต่หน้าตาของเขากลับยังดูเด็กกว่าอายุจนเหมือนกับคนอายุแค่สี่สิบต้น ๆ เท่านั้น

สามคนนี้มาเพื่อตามหาอู๋ลั่น

“เอ่อ…ทั้งสามท่าน…หากพวกท่านต้องการเข้าไปในบริษัทของเรา กรุณาแสดงบัตรประจำตัวของพวกท่านด้วย”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เอ่ยขึ้นทักดูลังเลเล็กน้อยในเวลานี้ เขาไม่เคยเห็นใครแต่งตัวแบบนี้มาก่อน

ทำไมคนพวกนี้ถึงแต่งตัวเหมือนกับหลุดมาจากละครย้อนยุคแบบนี้? แถมเขายังรู้สึกกลัวอีกฝ่ายอย่างไม่มีสาเหตุอีกต่างหาก?

“บัตรประจำตัว?”

ผู้อาวุโสหลินเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง ดูเหมือนว่าเขาไม่คุ้นเคยกับคำว่า ‘บัตรประจำตัว’

“ฮึ่ม! เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแต่กลับกล้าขวางทางพวกข้างั้นเหรอ!”

ในขณะเดียวกันนี้ ชายวัยกลางคนที่ดูเด็กกว่าใครเพื่อน แสดงสีหน้าโกรธขึ้นมาอย่างฉับพลัน

บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน

บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน

หกโมงเย็น

เมื่อหลี่หรงพาถวนถวนกลับมาถึงคอนโด ห้องของอวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงล็อกแน่น

ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับการบ่มเพาะ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ

อันที่จริง ต่อให้ประตูจะไม่ได้ล็อก แต่ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณด้านใน หากคนธรรมดาจะเปิดประตูเข้าไปก็คงไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี

หลังจากดูดซับโบราณวัตถุทีละชิ้นจนหมด พลังวิญญาณในร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หนาแน่นจนเข้าสู่จุดปะทุ!

ทันใดนั้น!

การไหลเข้าของพลังวิญญาณจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ทะเลวิญญาณในตันเถียนของอวี้ฮ่าวหรานระเบิดออกครั้งใหญ่คล้ายกับเหตุการณ์บิ๊กแบง จากนั้นมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฟุ้งกระจายในจุดตันเถียนก็ค่อย ๆ ควบแน่นกันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายดวงดาว

“เฮ้อ…ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จ”

อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว

ในเวลานี้ ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน และเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งคิดถึงหลี่เม่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่กลับมายังโลกมนุษย์ และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง

แต่จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของตัวเองเลย และในแง่ของความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน มันยังเร็วเกินไปที่จะสามารถท่องโลกนี้ไปทั่วได้อย่างปลอดภัย

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง

ในห้องนั่งเล่นมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หลี่หรงได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยไว้บนโต๊ะแล้ว

“พี่เขยในที่สุดพี่ก็ออกมาสักที มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว”

เมื่อพี่เขยของเธอออกมาจากห้องเธอก็เอ่ยทักเขาทันที

“โทษทีที่วันนี้ต้องให้เธอลำบากไปรับถวนถวน ทั้ง ๆ ที่เธอต้องกลับมาทำอาหารต่ออีกแบบนี้”

อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขอโทษ แต่การทะลวงระดับเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งกลางคันและออกไปรับถวนถวนได้อย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน

อย่างไรก็ตาม หลี่หรงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เธอจึงไม่รบกวนเขาเลยในระหว่างที่ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง

“ไม่เป็นไรพี่เขย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ที่พี่มาช่วยจัดการปัญหาในบริษัทให้ฉัน บริษัทของฉันก็เลยสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมจนฉันไม่ต้องปวดหัวอีกเลย”

หลี่หรงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร กลับกันเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ได้แบ่งเบาภาระให้อวี้ฮ่าวหราน

“พ่อจ๋า!”

ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนก็วิ่งออกจากห้องของตัวเองมาพร้อมกับมือที่ถือขนม และตามมาด้วยสุนัขสองตัวที่คล้ายคลึงกัน

“พ่อจ๋า ถวนถวนอยากบอกข่าวดีกับพ่อ!”

เด็กน้อยในเวลานี้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด

“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานบังเกิดความสนใจ หลี่หรงก็ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้

“พี่เขย นั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเดี๋ยวฉันอธิบายเอง” เธอส่งชามข้าวให้ชายหนุ่มก่อน แล้วพูดต่อว่า “ครูสอนเปียโนเห็นว่าถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น เธอจึงอยากให้ถวนถวนเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับเยาวชนที่กำลังจะจัดขึ้นในเมือง”

“การแข่งขันเปียโน?”

เมื่อได้ยินข่าวนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองลูกสาวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ

“เอาสิ! ในเมื่อถวนถวนมีความสามารถจนครูเห็นแววขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปแข่งกันเลย!”

ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องเรียนเปียโนของถวนถวน ชายหนุ่มแค่ให้ถวนถวนไปเรียนเพราะไม่อยากขัดใจหลี่หรงก็แค่นั้น ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของเขาจะเก่งจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แบบนี้?

“คุณครูหลิวบอกว่าถวนถวนน่าทึ่งมาก หลังจากที่เรียนได้แค่เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็เก่งกว่าเด็กคนอื่นที่เรียนมาเป็นปีซะอีก”

ถวนถวนเข้ามาใกล้ในขณะนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตา ก็แสดงสีหน้าอย่างมีชัย

“ฮ่า ๆ! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกสาวของอวี้ฮ่าวหรานย่อมเหนือกว่าคนอื่น ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานปรบมือ

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

หลังอาหารเย็น อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงก็พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโนต่ออีกสักพัก และหลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็กลับเข้าห้องเพื่อบ่มเพาะอีกรอบ

เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งทะลวงระดับมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน เขาจึงจำเป็นต้องปรับรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองให้มั่นคง

เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนไปเรียนเปียโนเช่นเคย แต่เมื่อเขาเห็นหลิวว่านฉิง เขาก็ถามเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโน

ในห้องพักครู

“ใช่ ถวนถวน มีพรสวรรค์จริง ๆ มือของเธอคล่องแคล่วมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน”

หลิวว่านฉิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมความสามารถของถวนถวนในเวลานี้

“เธอเป็นเด็กหัวไวที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยทีเดียว”

“เอาละ ขอบคุณที่ครูหลิวส่งเสริมลูกของผมเสมอมา ว่าแต่การแข่งจะเริ่มเมื่อไหร่”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ลูกสาวของเทพฮ่าวหรานนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนธรรมดา

“การแข่งขันจะเริ่มวันมะรืนนี้ และเมื่อการแข่งขันนี้จบลงมันก็จะเป็นช่วงเดียวกับที่คลาสเปียโนภาคฤดูร้อนของเราสิ้นสุดลง”

หลิวว่านชิงตอบกลับ

“ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดีที่สุด หากผู้ปกครองจริงจังกับเรื่องนี้มากสักหน่อย พรุ่งนี้ชั้นเรียนเปียโนจะหยุดหนึ่งวัน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คุณควรพาถวนถวนไปฝึกซ้อมต่อด้วย เพื่อช่วยให้ถวนถวนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในวันแข่งขัน”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำอำลาและจากไป

หลังจากส่งลูกสาวของตัวเองเรียบร้อย เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของตัวเอง

ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้

ในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเรื่องของถวนถวนและเปียโน

การฝึกซ้อมที่คอนโดอาจมีเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านร้องเรียนได้ แถมสถานที่มันก็เล็กไปสักหน่อยกับการนำเปียโนตัวใหญ่ไปวาง

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกผู้จัดการหวังให้เข้ามาหา

“ผมต้องการให้บริษัทของเรามีห้องเปียโน ผมต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้”

“หา?”

ผู้จัดการหวังตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนี้

พวกเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกล การมีห้องเปียโนในบริษัทมันจึงดูแปลกสุดกู่!

“ท…ท่านประธาน นี่คุณพูดจริงงั้นเหรอ?”

เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“ผมจริงจัง! ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องการให้ห้องเปียโนสมบูรณ์แบบที่สุด เอาแบบที่มืออาชีพใช้งาน!”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเขาแน่วแน่มาก

“ลูกสาวของผม ถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโน ดังนั้นในอนาคตผมอาจจะให้ลูกสาวมาซ้อมที่นี่”

เนื่องจากการซื้อเปียโนไปไว้ที่คอนโดไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างห้องเปียโนในบริษัทมันซะเลย

ผู้จัดการหวังพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้

ประธานของเขาตามใจลูกมากเกินไปหน่อยไหม? พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองชอบไปเล่นที่สวนสนุก ประธานของเขาก็สร้างสวนสนุกในบริษัทขึ้นมา และมาตอนนี้พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนมาแล้วดันเก่ง ประธานของเขาก็สั่งให้สร้างห้องเปียโน…

“รับทราบครับท่านประธาน! ไม่มีปัญหา บริษัทมีห้องเก็บเสียงที่สร้างเสร็จเอาไว้อยู่แล้ว เราแค่ต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย วันนี้วันเดียวก็น่าจะเสร็จ”

อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้กิจการบริษัทกำลังไปได้สวยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย

ในตอนเย็น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปรับถวนถวน เขาก็บอกข่าวดีกับลูกสาวของตัวเอง

“จริงเหรอ พ่อจ๋า! หนูจะมีเปียโนเป็นของตัวเองงั้นเหรอ!”

เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากเรียนเปียโนมาได้เป็นเดือน เธอก็ตกหลุมรักเปียโนเข้าเต็มเปา

“แน่นอน!”

อวี้ฮ่าวหรานยืนยัน

บทที่ 351 สามชายลึกลับ
บทที่ 351 สามชายลึกลับ

หลังจากที่กลุ่มของโจวเฟยหู่ออกจากร้านอาหารไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ทักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาให้กินอาหารกันต่ออย่างใจเย็น

“ฮ่าวหราน…คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ”

เฉิงชิวอวี้มองไปยังกลุ่มคนที่น่ากลัวของโจวเฟยหู่ทยอยกันจากไป

“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย อย่ากลัวไปเลย”

อวี้ฮ่าวหรานปลอบโยนอย่างสบาย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ!

ผู้ที่มากินอาหารในร้านวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองเอาไปเล่าโอ้อวดไปชั่วชีวิต

ผู้จัดการเหงื่อออก

ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นว่าคนที่มีอำนาจจริง ๆ มันเป็นเช่นไร!

เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!

จินเส่าที่หยิ่งผยองเสมอมา ได้ถูกลากออกไปราวกับหมาที่ตายแล้ว!

ไม่นานทั้งสองก็กินข้าวเสร็จ

“ที่นี่อร่อยจริง ๆ ผมชอบมาก!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปากชม เฉิงชิวอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

นี่น่ะเหรอคือผู้ชายที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวจนแทบจะเป็นลมได้?

“ข…แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง…ค่อย ๆ เดินช้า ๆ นะครับ ผมขอประทานอภัยจริง ๆ สำหรับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอาไว้คราวหน้าที่พวกท่านมา ผมจะปรับปรุงการบริการให้ดีมากกว่าเดิม!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป ผู้จัดการก็เอ่ยอำลาอย่างนอบน้อมทันที

“คราวหน้าถ้าฉันมา ที่นี่คงไม่มีคนอย่างนายน้อยจินอะไรนั่นอีกแล้วจริงไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างเฉยเมย

“ไม่! ไม่มีแล้วแน่นอน!”

ผู้จัดการรีบสัญญา ล้อเล่นเถอะ หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปใครจะกล้าทำตัวรนหาที่ตายแบบนั้นที่นี่อีก?

หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็ไปส่งเฉิงชิวอวี้กลับบ้าน

“ฮ่าวหราน วันนี้คุณน่าทึ่งอีกแล้ว!”

เมื่อลงจากรถ เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นทันที

“หืม? ผมน่าทึ่งตรงไหนกัน?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา มันไม่มีผลต่ออารมณ์โดยรวมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“คุณ…”

จู่ ๆ เฉิงชิวอวี้ก็แก้มแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปกติแล้วหากผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เธอมักจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่เสมอ

“งั้น…งั้นฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเธอ เฉิงชิ้วอวี้จึงอยากกลับบ้านโดยเร็วเพื่อทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเธอสงบลง

หลังจากที่ทั้งสองกล่าวคำอำลา เขาก็ขับรถออกไป

แต่แทนที่จะกลับไปที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานกลับขับรถกลับคอนโดทันที

ชายหนุ่มวางแผนว่าหลังจากกลับไปถึงห้อง เขาจะใช้โบราณวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งตัวเองเพิ่งได้มาจากตำหนักคุมกฎขององค์กรสรพิษเมื่อวานนี้ทันที

วันนี้เขาต้องดูดซับพลังจากพวกมันให้หมด

เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้ ทำให้ชายหนุ่มกระหายที่จะแข็งแกร่งให้เร็วมากขึ้น

และที่สำคัญ…หากต้องการพบกับภรรยาตัวเองอย่างเร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้

อวี้ฮ่าวหรานกลับไปถึงคอนโดประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ

ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู จากนั้นจึงนำโบราณวัตถุขึ้นมาดูดซับพลังวิญญาณทันที

กระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง มัน ค่อย ๆ ขยายทะเลวิญญาณในตันเถียนของตัวเองให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

ในเวลานี้เขาใกล้จะทะลวงระดับแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ชายลึกลับสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอู๋ ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตระกูลอู๋นั้นกำลังตกต่ำมากจากการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติภายในตระกูล!

“อู๋ลั่น? เรา…เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย…”

ในห้องโถงตระกูลอู๋ สมาชิกทุกคนในตระกูลอู๋ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาต่างมองไปที่ชายลึกลับทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว

ทั้งสามแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมโบราณ ราวกับหลุดออกจากละครย้อนยุคกำลังภายใน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะการแต่งกายของชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้

ที่พื้นบ้าน บอดี้การ์ดสิบกว่าคนทั้งหมดนอนสลบไสลอยู่ในอาการปางตาย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้

“แกล้อเล่นใช่ไหมที่บอกว่าไม่รู้! อู๋ลั่นออกเดินทางมาที่นี่หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากพวกแก! แต่ตอนนี้พวกแกกลับบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ?”

ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่สวมชุดโบราณ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดซึ่งสวมชุดคลุมสีดำถามอย่างเย็นชาในเวลานี้

“นั่น… นั่นเป็นเพราะผู้นำตระกูลอู๋หมิ่นที่เพิ่งตายไป เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปโดยไม่บอกคนอื่นเลย และตอนนี้ทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้รายละเอียดอื่น ๆ อีกเลย”

ในห้องโถง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นและอธิบายอย่างร้อนรน

ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้เข้ามาที่ตระกูลอย่างหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ซึ่งทำให้เขานึกถึงสำนักเมฆาเขียวที่เคยมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับตระกูลอู๋

อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักนั้น

“ผู้นำตระกูลของพวกแกถูกฆ่า? เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

“เรื่องนี้…เรายังไม่ได้ตรวจสอบทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกคือชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูลมากที่สุด”

“อวี้ฮ่าวหราน? ชายหนุ่มผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”

“นี่…นี่ ผู้น้อยก็ไม่รู้”

ชายชราที่ยืนขึ้นตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่เคยเจอกับอวี้ฮ่าวหรานโดยตรง ดังนั้นเขาจะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

“อืม การที่อู๋ลั่นหายตัวไปน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถจัดการกับอู๋ลั่นได้ มันก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าตระกูลอู๋จะรับมือไม่ไหว”

ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แล้วปลอบอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกข้าขนาดนั้น พวกข้าสามคนรวมไปถึงอู๋ลั่นมาจากสำนักเดียวกัน พวกเราทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับตระกูลอู๋อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นพวกข้าจะไม่ทำอันตรายต่อพวกเจ้าตระกูลอู๋”

ผู้อาวุโสของตระกูลอู๋ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย “ผู้น้อย…ผู้น้อยเคยได้ยินเรื่องของสำนักเมฆาเขียวมาเช่นกันว่าพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับตระกูลอู๋ของเรา คราวนี้การหายตัวไปของอู๋ลั่น นับได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลอู๋ด้วยจริง ๆ พวกผู้น้อยละอายใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”

“เอาละ ช่างมันเถอะ เรื่องนี้โทษพวกเจ้าที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าจงไปเตรียมที่พักอาศัยให้เราก่อน ส่วนเรื่องอวี้ฮ่าวหราน เราจะตรวจสอบเอง”

บรรยากาศในห้องโถงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และหลังจากที่ทั้งสามรู้ว่าผู้นำตระกูลอู๋คนที่เรียกอู่ลั่นมาถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอคติกับคนอื่น ๆ ของตระกูลอู๋อีกต่อไป

บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล

อวี้ฮ่าวหรานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ทำอะไรลงไปเลย พร้อมกับเหลือบมองไปที่ชายหัวล้านและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก

“อยู่แค่ขอบเขตกำลังภายนอกแท้ ๆ กลับกล้าเสนอส่งเสียงดังต่อหน้าฉัน ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวบ้างเลยจริง ๆ!”

หลังจากที่ต่อยอีกฝ่ายจนปลิวได้ขนาดนี้ ไม่มีใครกล้าดูถูกคำพูดของเขาอีกแล้ว

“แก…แกอย่าได้ใจไปนักนะโว้ย ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มีคนที่แข็งแกร่งกว่าแกอีกมากมาย! ต่อให้แกจะแข็งแกร่งกว่าฉันแต่หลังจากนี้แกไม่รอดแน่!”

แม้ว่าชายหัวล้านจะบาดเจ็บจนอาเจียนเป็นเลือด แต่ก็ยังสามารถตะโกนข่มขู่เสียงดังได้

“แกทำร้ายสมาชิก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ แบบนี้ แกไม่มีทางรอดแน่!”

ในตอนแรกพวกแขกในร้านอาหารรวมไปถึงพนักงานของร้าน เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจได้บ้าง แต่แล้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ สีหน้าของเขาทุกคนก็มืดมนลงอย่างกะทันหันกับความจริงที่โหดร้าย

ในสายตาของคนทั่วไป ปัจจุบันแก๊งพยัคฆ์เวหาคือแก๊งที่มีอิทธิพลที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!

ดังนั้นไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแก๊งที่มีอิทธิพลและกำลังคนเป็นร้อย ๆ คน ไม่ช้าก็เร็วคน ๆ นั้นจะต้องตายอย่างน่าอนาถในท้ายที่สุด!

แต่ในทางกลับกัน เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’อีกครั้ง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันที

“หึหึ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนว่าแก๊งพยัคฆ์เวหาที่แกพูดถึงจะจัดการกับฉันคนนี้ยังไง!”

แปดนาทีผ่านไปตั้งแต่เขาโทรหาโจวเฟยหู่

ในเวลาเดียวกันนี้!

รถ SUV มากกว่าหนึ่งโหลพุ่งเข้ามาเบรกอย่างรุนแรงที่ด้านนอกร้านอาหาร!

ทันใดนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์สวมสูทดำและแว่นกันแดดจำนวนมากก็เปิดประตูลงจากรถ!

โจวเฟยหู่รีบวิ่งเข้ามาในร้านอาหารทันทีที่เขาลงจากรถ และหัวหน้าสาขาอีกแปดคนก็วิ่งตามมาติด ๆ อย่างรวดเร็ว

ชายหัวล้านและจินเส่า เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเบิกบานสุดฤทธิ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักโจวเฟยหู่จริง ๆ!

“ห…หัวหน้าโจว! ขอบคุณมากที่คุณอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเอง! นี่เลย ไอ้ลูกหมานั่นมันดูถูก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มันบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ น่าขยะแขยง! มันดูถูกพวกเราทุกคนเลย!”

จินเส่ารีบวิ่งเข้ามาหาโจวเฟยหู่เป็นคนแรกและปั้นเรื่องใส่ร้ายอวี้ฮ่าวหรานทันที

เขาไม่คิดเลยว่าโจวเฟยหู่จะมาที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้หลังจากที่เขาแค่โทรหาอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว!

วันนี้ไอ้สารเลวคนที่กล้าตบหน้าเขาต้องตายแน่!

แต่ในทางกลับกัน ชายหัวล้านกลับรู้สึกอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ

สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ดีเลย!

อันที่จริงเขานั้นไม่ใช่คนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เขาเป็นแค่รองหัวหน้าแก๊งขนาดเล็กที่ตกลงจะร่วมมือกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ในการต่อกรกับแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่ง

ด้วยความลำพองใจหลังจากเป็นพันธมิตรกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ หลายครั้งเขาจึงแอบอ้างว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เพื่อขู่ให้คนอื่นกลัวเขามากกว่าเดิม

ดังนั้น “แก๊งพยัคฆ์เวหา” ตัวจริงจะคาดโทษเขาแน่นอนหากรู้ว่าตัวเขาชอบอ้างชื่อพยัคฆ์เวหาเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว

แต่จินเส่าไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเต็มที่

“หัวหน้าโจว เอาเลย! จัดการไอ้เวรนั่น…”

พลั่ก!

แต่แล้วขณะที่จินเส่าพูดขึ้นยังไม่ทันจบประโยค เขาก็โดนต่อยเข้าเต็มท้องน้อยจนทรุดลงไปนอนตัวงอเหมือนกุ้งทันที

โจวเฟยหู่โกรธสุดขีดจนควันแทบออกหู!

ไม่จำเป็นต้องมีใครอธิบายเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่! ไอ้ลูกหมาพวกนี้กำลังยั่วยุอวี้ฮ่าวหรานภายใต้ชื่อแก๊งของเขา!

“บัดซบ! ขยะอย่างแกกล้าดียังไงมาทำเรื่องชั่วโดยอ้างชื่อ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ของฉัน??”

โจวเฟยหู่กระชากคอเสื้อของจินเส่า และยกตัวอีกฝ่ายขึ้นจากพื้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล!

“วันนี้แกตายแน่! ฉันจะฆ่าแกในข้อหาที่แกกล้าล่วงเกินน้องชายของฉัน!”

จินเส่าที่เพิ่งโดนชกท้องยังไม่หายงุนงง

“ช…ชกผมทำไม? อ…ไอ้ผู้ชายคนนั้นต่างหากที่ทำร้ายคนของคุณ แถมมันยังบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เป็นขยะทั้งหมด!”

เพี้ยะ!!

เมื่อโจวเฟยหูได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตบไปที่หน้าจินเส่าอย่างแรงจนฟันของอีกฝ่ายร่วงแทบจะหมดปาก!

“น้องอวี้ไม่ใช่คนที่แกจะพูดจาหมา ๆ ใส่ได้โว้ย! และถ้าเขาบอกว่าพวกของฉันเป็นขยะ พวกฉันก็คือขยะกันทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น!”

อวี้ฮ่าวหรานคือตัวตนที่สามารถกำหนดความเป็นตายของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ได้อย่างใจนึก ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โจวเฟยหู่ก็ไม่มีทางที่จะกล้าโกรธเคืองหรือล่วงเกินอวี้ฮ่าวหรานไม่ว่าด้วยเหตุผลใด

ตอนนี้จินเส่าเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว! ตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้

ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้ล่วงเกินตัวตนที่น่ากลัวสุด ๆ เข้าให้แล้ว!

“ลากไอ้เวรนั่นมาตรงนี้ให้ฉัน!”

หลังจากที่โจวเฟยหู่ตบหน้าจินเส่าไปอย่างแรง เขาก็ชี้ไปที่ชายหัวล้านซึ่งกำลังนั่งทรุดอยู่ตรงกำแพง

หัวหน้าสาขาซึ่งอยู่ในขอบเขตพลังภายในสองคนพุ่งตรงไปหาชายหัวล้านและลากตัวมาให้โจวเฟยหู่อย่างรวดเร็ว

“แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าแกเป็นคนของสาขาไหนในแก๊งพยัคฆ์เวหาของฉัน! ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าแกเลย?”

เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้น่าจะแอบอ้างชื่อแก๊งของเขามาสร้างเรื่องชั่ว

“ผม…ผม จริง ๆ แล้วผมอยู่ในแก็งค์มังกรดิน…แก๊งของผมเป็นแก๊งเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนี้…”

“แก๊งมังกรดิน? โอ้ ฉันจำได้แล้ว ดูเหมือนว่าแก๊งของแกจะมาเข้าร่วมประชุมพันธมิตรครั้งล่าสุดด้วยใช่ไหม!”

ถึงแม้ว่าสีหน้าของโจวเฟยหู่จะเย็นชาอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

จากนั้นเขารีบหันศีรษะไปพูดอย่างจริงใจกับอวี้ฮ่าวหรานที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ “น้องอวี้ นายได้ยินแล้วใช่ไหมว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกมันเอาชื่อแก๊งของฉันมาแอบอ้างต่างหาก!”

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับการทำสงครามกับแก๊งฉลามคลั่งเช่นนี้ โจวเฟยหู่ไม่ต้องการให้อวี้ฮ่าวหรานผิดหวังกับแก๊งของเขา ไม่งั้นแก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะพบกับจุดจบ หากไม่มีอวี้ฮ่าวหรานคอยช่วยเหลือ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าเขารับรู้

จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อไป เขาหันกลับไปชิมอาหารที่เฉิงชิวอวี้แนะนำให้เขาลองลิ้มรสอย่างสบาย ๆ ต่อ

อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็นการพยักหน้าเล็กน้อยนี้ มันก็ทำให้โจวเฟยหูรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งรอดจากโทษประหาร!

ก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับโทรศัพท์และได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจและผิดหวังของอวี้ฮ่าวหราน เขาตกใจมากจนหัวใจเกือบหยุดเต้น แล้วก็รีบรวมคนและตรงดิ่งมาที่นี่ทันที

ในเวลานี้ เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับว่ามีคนยกภูเขาออกจากอกของเขาไปแล้ว

“น้องอวี้ เชิญนายกินต่อตามสบายได้เลย! ฉันสัญญาว่าหลังจากนี้ ไอ้สองตัวนี้จะไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นอีกตลอดไปแน่นอน!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปกินอาหารต่อ โจวเฟยหู่จึงไม่กังวลอะไรอีกต่อไป เขาหันไปสั่งให้คนของเขาลากทั้งจินเส่าและชายหัวล้านรวมไปถึงนักเลงสิบกว่าคนที่มากับชายหัวล้านออกไปจากร้าน!

บรรดานักเลงที่มากับชายหัวล้านต่างก็เดินตัวสั่นออกไปจากร้านแต่โดยดีโดยไม่ขัดขืนอะไรเลย

ตลกเถอะ!

ต่อหน้าคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา หากพวกเขากล้าขัดขืน พวกเขาคงจะถูกฆ่าตายในทันที!

บทที่ 353 ความสามารถด้านเปียโนของเด็กน้อย

บทที่ 353 ความสามารถด้านเปียโนของเด็กน้อย

เช้าวันถัดมา

“เย้! ถวนถวนกำลังจะได้ไปที่ห้องเปียโน!”

เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความดีใจหลังจากตื่นขึ้น

หลี่หรงมองพี่เขยของตัวเองอย่างเหนื่อยใจ

“พี่เขย พี่ไม่ควรตามใจถวนถวนมากแบบนี้ พี่ไม่ควรให้ทุกอย่างที่ถวนถวนต้องการ ห้องเปียโนนี่มันมากเกินไป เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก แม้ว่าพ่อของฉันจะรวยมาก แต่ฉันยังไม่ได้เลยมันเลยทั้ง ๆ ที่ฉันขอพ่อเป็นร้อย ๆ รอบ!”

เธอเองก็เล่นเปียโนเป็นเช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ไม่ได้เล่นมันอีกเพราะความไม่สะดวกในหลาย ๆ เรื่อง

นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หลี่หรงอยากให้ถวนถวนเรียนเปียโน

เธออยากให้เด็กน้อยคนนี้สานต่อความฝันของเธอเอง

แต่เธอไม่คิดเลยว่าความสามารถของเด็กน้อยจะน่าอัศจรรย์ขนาดนี้

หลังจากเรียนได้เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็ได้รับการส่งเสริมจากครูให้เข้าร่วมการแข่งขันซะงั้น

เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมที่เป็นเลิศมาจากผู้ให้กำเนิดแน่นอน หลี่หรงคิดอย่างจนใจ

“แต่พี่สาวของฉันเล่นเปียโนไม่เป็น ส่วนพี่เขย…ก็ไม่น่าจะเป็นด้วยไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมถวนถวนถึงมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนขนาดนี้?”

เธอมองพี่เขยของเธอด้วยความสงสัย

“อะแฮ่ม ๆ แน่นอน ลูกสาวของพี่ย่อมยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน!”

อวี้ฮ่าวหรานไอเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดสงสัยของหลี่หรง

ถวนถวนกระโดดไปมาอย่างมีความสุขในเวลานี้

“ฮี่ฮี่! ถวนถวนทำได้ทุกอย่าง!”

เมื่อเห็นฉากที่พ่อและลูกสาวต่างโอ้อวดตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลี่หรง ก็พูดไม่ออก

“จ้า ๆ คู่พ่อลูกสุดสมบูรณ์แบบ! ฉันไปทำงานก่อนล่ะ!”

หลังจากนั้นเธอก็ผลักประตูออกไป อันที่จริงเธอภูมิใจกับเรื่องนี้เช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นาน อวี้ฮ่าวหรานก็พาลูกสาวของเขาออกไปจากห้องเช่นกัน

ทันทีที่เขามาถึงบริษัท ผู้จัดการหวังก็ทักทายเขา

“ประธานอวี้! ห้องเปียโนพร้อมแล้ว ให้ผมพาคุณไปดูเลยไหม?”

“อืม ไปกันเลย”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาพอใจกับชายคนนี้ที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับเขาได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้องเปียโน

“เพราะเป็นห้องเปียโน ผมจึงเลือกห้องที่กันเสียงได้ดีมากที่สุด แค่เพียงปิดประตูเสียงจากภายในก็ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาได้ และเสียงจากภายนอกก็จะไม่เล็ดลอดเข้าไปรบกวนด้านในห้องเช่นกัน”

ผู้จัดการหวังเริ่มแนะนำ

“ส่วนเปียโน เพื่อตอบสนองความต้องการของท่านประธาน ผมจึงเลือกซื้อเปียโนระดับดีที่สุดมาเลย ซึ่งทางร้านขายก็บริการเราดีมาก พวกเขาปรับจูนมันโดยใช้เวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้น”

“อืม ผมพอใจมาก”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นสิ่งนี้ เขาก็ปรบมือ และเมื่อมองลงไปที่เด็กน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ก็พบว่าใบหน้าของถวนถวนกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“นี่…นี่ใช่เปียโนของถวนถวนจริง ๆ เหรอ!! เย้! มันสวยจังเลยพ่อจ๋า!”

เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากในขณะนี้

ต้องรู้ว่าในโรงเรียนพิเศษมีเปียโนเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ซึ่งในแต่ละชั้นเรียนมีเปียโนแค่ตัวเดียวแต่มีเด็กนักเรียนมากกว่าหนึ่งโหลในชั้นเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถผลัดกันฝึกฝนได้เท่านั้น

เด็กน้อยหวงแหนโอกาสได้เล่นทุกครั้งที่ถึงตาเธอ

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เธอเป็นเจ้าของเปียโนทั้งตัวซึ่งเป็นของเธอแค่คน ๆ เดียวเท่านั้น!

“พ่อจ๋า! ถวนถวนรักพ่อที่สุดเล้ย!”

เด็กน้อยตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เธอมีความสุขมากจนคิดว่าตัวเองฝันไปด้วยซ้ำ

ถวนถวนเดินไปลูบ ๆ คลำ ๆ เปียโนอยู่นานก่อนที่จะหันกลับมาถาม ผู้จัดการหวังอย่างตื่นเต้นอีกรอบ

“ลุงหวัง เปียโนนี่เป็นของถวนถวนจริง ๆ ใช่ไหม?”

“ถูกต้อง เปียโนตัวนี้เป็นของถวนถวน! พ่อของถวนถวนรักหนูมากจริง ๆ”

ผู้จัดการหวังยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นใบหน้าที่น่ารักของเด็กน้อย

“ฮ่า ๆ ถวนถวนชอบลุงหวังที่สุดเหมือนกัน!”

เด็กน้อยเบิกบานสุด ๆ ในเวลานี้ และหลังจากพูดจบ เด็กน้อยก็หันกลับไปลูบ ๆ คลำ ๆ เปียโนสีขาวเหมือนเดิม

“เนื่องจากผมคำนึงถึงเรื่องที่ถวนถวนยังป็นเด็ก ดังนั้นเปียโนนี้จึงมีขนาดเล็กกว่าเปียโนทั่วไปเล็กน้อย ซึ่งมันจะเหมาะกับถวนถวน มากกว่า หวังว่าท่านประธานคงไม่โทษที่ผมตัดสินใจโดยพลการ”

ผู้จัดการหวังหันกลับมาอธิบายต่อด้วยรอยยิ้ม

ในเวลานี้ ประตูก็ถูกปิด ซึ่งมันทำให้ดูเหมือนราวกับว่าห้องนี้ถูกแยกออกจากโลกภายนอก บรรยากาศภายในห้องมันเงียบมาก

ทันใดนั้น เสียงเปียโนอันไพเราะก็ดังขึ้น

ท่วงทำนองช้า ๆ ที่มาจากมือเล็ก ๆ ของเด็กน้อยก็ดังขึ้นอย่างไหลลื่น!

ท่วงทำนองที่สวยงามและไพเราะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีเสียงที่ผิดเพี้ยนหรือผิดจังหวะแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนที่เล่นอยู่ไม่ใช่คนที่เพิ่งเคยเรียนมา!

“นี่…นี่คือความสามารถของลูกสาวท่านประธานงั้นเหรอ?”

เมื่อได้ยินท่วงทำนองเปียโนที่ไพเราะขนาดนี้ ดวงตาของผู้จัดการหวังก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเปียโน แต่ท่วงทำนองนี้มันดีเกินกว่าที่เด็กตัวเล็ก ๆ จะเล่นได้แน่นอน!

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจเช่นกันในเวลานี้

เขาเคยฟังแต่คำชมของครูหลิวถึงพรสวรรค์ของถวนถวน แต่ไม่คิดว่าลูกสาวของเขาจะเล่นได้ดีขนาดนี้!

เดิมทีชายหนุ่มกังวลเล็กน้อยว่าปัญหาเรื่องอันดับการแข่งขันจะกระทบกับจิตใจลูกสาวของเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากังวลไปเองโดยใช่เหตุ

ด้วยพรสวรรค์ของถวนถวน ไม่มีทางที่เด็กคนอื่น ๆ จะสู้ได้อย่างแน่นอน!

“พ่อจ๋า! ถวนถวนเล่นเป็นไงบ้าง?”

หลังจากกดโน้ตสุดท้าย ถวนถวนก็หยุดเล่นและหันกลับมองพ่อของเธอ

“ดี! มันดีมาก! ถวนถวนของพ่อน่าทึ่งจริง ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานภูมิใจอย่างยิ่ง นี่คือลูกสาวของเขา!

จากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปอุ้มเด็กน้อยมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา และอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มอย่างอ่อนโยน

“โอ๊ย…หนวดของพ่อจ๋าแหลมมาก!”

หลังจากที่เด็กน้อยถูกหอม ใบหน้าของเธอดูมีความสุข แต่เพราะหนวดเคราที่จิ้มแทงมันทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเอามือลูบแก้มของตัวเอง

“เอ่อ…จากนี้ไปพ่อจะโกนหนวดทุกวันดีไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“ไม่ ไม่! พ่อจ๋ามีหนวดแบบนี้หล่อที่สุดแล้ว! ถวนถวนชอบแบบนี้มากที่สุด!”

เมื่อได้ยินคำถาม เด็กน้อยก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็วและลูบคางอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเป็นประกาย

“งั้นพ่อจะไม่โกนมันก็แล้วกัน”

สำหรับลูกสาวของเขา เขายอมตามใจทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้

เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้จัดการหวังอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข

“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว และท่านประธานพอใจกับทุกอย่าง ผมก็ขอตัวออกไปจัดการงานอื่นก่อนก็แล้วกันนะครับ”

เมื่อเห็นว่าคู่พ่อลูกอาจจะต้องการใช้เวลาส่วนตัว ผู้จัดการหวังจึงรีบเอ่ยขอตัวและออกไปในทันที

บทที่ 351 สามชายลึกลับ
บทที่ 351 สามชายลึกลับ

หลังจากที่กลุ่มของโจวเฟยหู่ออกจากร้านอาหารไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ทักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาให้กินอาหารกันต่ออย่างใจเย็น

“ฮ่าวหราน…คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ”

เฉิงชิวอวี้มองไปยังกลุ่มคนที่น่ากลัวของโจวเฟยหู่ทยอยกันจากไป

“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย อย่ากลัวไปเลย”

อวี้ฮ่าวหรานปลอบโยนอย่างสบาย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ!

ผู้ที่มากินอาหารในร้านวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองเอาไปเล่าโอ้อวดไปชั่วชีวิต

ผู้จัดการเหงื่อออก

ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นว่าคนที่มีอำนาจจริง ๆ มันเป็นเช่นไร!

เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!

จินเส่าที่หยิ่งผยองเสมอมา ได้ถูกลากออกไปราวกับหมาที่ตายแล้ว!

ไม่นานทั้งสองก็กินข้าวเสร็จ

“ที่นี่อร่อยจริง ๆ ผมชอบมาก!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปากชม เฉิงชิวอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

นี่น่ะเหรอคือผู้ชายที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวจนแทบจะเป็นลมได้?

“ข…แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง…ค่อย ๆ เดินช้า ๆ นะครับ ผมขอประทานอภัยจริง ๆ สำหรับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอาไว้คราวหน้าที่พวกท่านมา ผมจะปรับปรุงการบริการให้ดีมากกว่าเดิม!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป ผู้จัดการก็เอ่ยอำลาอย่างนอบน้อมทันที

“คราวหน้าถ้าฉันมา ที่นี่คงไม่มีคนอย่างนายน้อยจินอะไรนั่นอีกแล้วจริงไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างเฉยเมย

“ไม่! ไม่มีแล้วแน่นอน!”

ผู้จัดการรีบสัญญา ล้อเล่นเถอะ หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปใครจะกล้าทำตัวรนหาที่ตายแบบนั้นที่นี่อีก?

หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็ไปส่งเฉิงชิวอวี้กลับบ้าน

“ฮ่าวหราน วันนี้คุณน่าทึ่งอีกแล้ว!”

เมื่อลงจากรถ เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นทันที

“หืม? ผมน่าทึ่งตรงไหนกัน?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา มันไม่มีผลต่ออารมณ์โดยรวมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“คุณ…”

จู่ ๆ เฉิงชิวอวี้ก็แก้มแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปกติแล้วหากผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เธอมักจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่เสมอ

“งั้น…งั้นฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเธอ เฉิงชิ้วอวี้จึงอยากกลับบ้านโดยเร็วเพื่อทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเธอสงบลง

หลังจากที่ทั้งสองกล่าวคำอำลา เขาก็ขับรถออกไป

แต่แทนที่จะกลับไปที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานกลับขับรถกลับคอนโดทันที

ชายหนุ่มวางแผนว่าหลังจากกลับไปถึงห้อง เขาจะใช้โบราณวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งตัวเองเพิ่งได้มาจากตำหนักคุมกฎขององค์กรสรพิษเมื่อวานนี้ทันที

วันนี้เขาต้องดูดซับพลังจากพวกมันให้หมด

เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้ ทำให้ชายหนุ่มกระหายที่จะแข็งแกร่งให้เร็วมากขึ้น

และที่สำคัญ…หากต้องการพบกับภรรยาตัวเองอย่างเร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้

อวี้ฮ่าวหรานกลับไปถึงคอนโดประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ

ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู จากนั้นจึงนำโบราณวัตถุขึ้นมาดูดซับพลังวิญญาณทันที

กระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง มัน ค่อย ๆ ขยายทะเลวิญญาณในตันเถียนของตัวเองให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

ในเวลานี้เขาใกล้จะทะลวงระดับแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ชายลึกลับสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอู๋ ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตระกูลอู๋นั้นกำลังตกต่ำมากจากการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติภายในตระกูล!

“อู๋ลั่น? เรา…เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย…”

ในห้องโถงตระกูลอู๋ สมาชิกทุกคนในตระกูลอู๋ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาต่างมองไปที่ชายลึกลับทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว

ทั้งสามแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมโบราณ ราวกับหลุดออกจากละครย้อนยุคกำลังภายใน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะการแต่งกายของชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้

ที่พื้นบ้าน บอดี้การ์ดสิบกว่าคนทั้งหมดนอนสลบไสลอยู่ในอาการปางตาย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้

“แกล้อเล่นใช่ไหมที่บอกว่าไม่รู้! อู๋ลั่นออกเดินทางมาที่นี่หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากพวกแก! แต่ตอนนี้พวกแกกลับบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ?”

ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่สวมชุดโบราณ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดซึ่งสวมชุดคลุมสีดำถามอย่างเย็นชาในเวลานี้

“นั่น… นั่นเป็นเพราะผู้นำตระกูลอู๋หมิ่นที่เพิ่งตายไป เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปโดยไม่บอกคนอื่นเลย และตอนนี้ทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้รายละเอียดอื่น ๆ อีกเลย”

ในห้องโถง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นและอธิบายอย่างร้อนรน

ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้เข้ามาที่ตระกูลอย่างหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ซึ่งทำให้เขานึกถึงสำนักเมฆาเขียวที่เคยมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับตระกูลอู๋

อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักนั้น

“ผู้นำตระกูลของพวกแกถูกฆ่า? เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

“เรื่องนี้…เรายังไม่ได้ตรวจสอบทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกคือชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูลมากที่สุด”

“อวี้ฮ่าวหราน? ชายหนุ่มผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”

“นี่…นี่ ผู้น้อยก็ไม่รู้”

ชายชราที่ยืนขึ้นตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่เคยเจอกับอวี้ฮ่าวหรานโดยตรง ดังนั้นเขาจะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

“อืม การที่อู๋ลั่นหายตัวไปน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถจัดการกับอู๋ลั่นได้ มันก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าตระกูลอู๋จะรับมือไม่ไหว”

ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แล้วปลอบอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกข้าขนาดนั้น พวกข้าสามคนรวมไปถึงอู๋ลั่นมาจากสำนักเดียวกัน พวกเราทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับตระกูลอู๋อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นพวกข้าจะไม่ทำอันตรายต่อพวกเจ้าตระกูลอู๋”

ผู้อาวุโสของตระกูลอู๋ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย “ผู้น้อย…ผู้น้อยเคยได้ยินเรื่องของสำนักเมฆาเขียวมาเช่นกันว่าพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับตระกูลอู๋ของเรา คราวนี้การหายตัวไปของอู๋ลั่น นับได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลอู๋ด้วยจริง ๆ พวกผู้น้อยละอายใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”

“เอาละ ช่างมันเถอะ เรื่องนี้โทษพวกเจ้าที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าจงไปเตรียมที่พักอาศัยให้เราก่อน ส่วนเรื่องอวี้ฮ่าวหราน เราจะตรวจสอบเอง”

บรรยากาศในห้องโถงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และหลังจากที่ทั้งสามรู้ว่าผู้นำตระกูลอู๋คนที่เรียกอู่ลั่นมาถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอคติกับคนอื่น ๆ ของตระกูลอู๋อีกต่อไป

บทที่ 357 ประนีประนอม

บทที่ 357 ประนีประนอม

“ค่ายกลของฉัน!! เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”

อู๋หลินมองไปที่ค่ายกลที่พังทลาย เขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น!

“หึหึ ก็แค่ค่ายกลของมดแมลง ต่อหน้าฉันมันไม่มีความหมายอะไรหรอก!”

อวี้ฮ่าวหรานมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก ก่อนที่จะกระทืบเท้าส่งคลื่นพลังวิญญาณกวาดไปยังทั้งสามคนที่กำลังยืนตะลึงงันอยู่!

อู๋หลินขนหัวลุกทันทีเมื่อเห็นภาพนี้ เขาจึงรีบโคจรพลังวิญญาณและซัดฝ่ามือเข้าต้านอย่างร้อนรน

‘บึ้ม!!!’

ทันทีที่พลังวิญญาณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คลื่นกระแทกก็แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทางอย่างรุนแรง!

พื้นที่ในระยะรัศมียี่สิบเมตรราบเป็นหน้ากลองอย่างฉับพลัน!

ทางด้านของอู๋หลิน แม้ว่าเขาจะซัดฝ่ามือออกไปต้านได้ทัน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกับพลังที่รุนแรงของอวี้ฮ่าวหรานได้ ร่างของเขาและอีกสองคนไถลไปไกลคนละทิศคนละทางเจ็ดถึงแปดเมตร

“แข็งแกร่งมาก!”

หลังจากยันกายขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ อู๋หลินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก

ชายหนุ่มคนนี้ดูลึกลับเหลือเกินในสายตาของเขา

อีกฝ่ายน่าจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ แต่เหตุไฉนถึงสามารถบรรลุความแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้?

แม้แต่พวกโอรสสวรรค์ที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะด้านการบ่มเพาะ ในวัยยี่สิบปีอย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะเพิ่งทะลวงระดับขึ้นมาอยู่ขอบเขตก่อรากฐานเท่านั้น ไม่มีอัจฉริยะคนไหนเลยที่อายุยี่สิบต้น ๆ แล้วจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้!

ไม่เคยมีเลยในประวัติศาสตร์!

“หยุดก่อน หยุดก่อน!”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อู๋หลินก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว คราวนี้ตระกูลอู๋ได้ล่วงเกินตัวตนที่ไม่ควรจะล่วงเกินมากที่สุดเข้าให้แล้ว!

และยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลอู๋กำลังจะลากสำนักเมฆาเขียวให้เดือดร้อนไปด้วย!

“หืม แกไม่อยากสู้ต่ออีกแล้วเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจ เขาไม่นึกเลยว่าหลังจากที่ปะทะกันไปเพียงสองกระบวนท่า อีกฝ่ายกลับตะโกนให้หยุดแบบนี้

“ตายซะ! ใครก็ตามที่หยามสำนักเมฆาเขียวจะต้องตายทั้งหมด!”

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังลั่นมาจากข้างหลังเขา!

คนที่ตะโกนขึ้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอู๋ชิง! ขณะนี้แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความโกรธ เขาโคจรพลังวิญญาณของตัวเองจนถึงขีดสุดและชกหมัดเข้าหาแผ่นหลังของอวี้ฮ่าวหราน

แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานดูไม่ได้แยแสอะไรมากนัก เขาหันกลับไปและชกหมัดสวนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์!

‘ปัง!’

คลื่นกระแทกกวาดบริเวณโดยรอบอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานยังคงยืนอยู่จุดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่อีกฝ่ายกระเด็นถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้!

“เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณอย่างเต็มที่แบบนี้มานานมากแล้ว ดังนั้นการได้สู้อย่างเต็มที่แบบนี้มันจึงทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง

จากนั้นเขาดีดตัวพุ่งตามอู๋ชิงที่ยังคงตั้งตัวไม่ได้และง้างหมัดต่อยอีกรอบ!

“ฮ่า ๆ มา! มาเป็นกระสอบทรายให้ฉัน!”

‘ปัง!’

หลังจากเยาะเย้ย อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหมัดเข้าไปที่อกของอู๋ชิงเต็ม ๆ ส่งร่างของอู๋ชิงกระแทกลงไปที่พื้นอย่างแรง!

ภายใต้แรงกระแทกอันรุนแรง พื้นดินยุบเป็นหลุมลึกเกือบเมตร และมีรอยแตกระแหงคล้ายกับใบแมงมุม!

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะโดนอัดไปขนาดนี้แต่ อู๋ชิงก็ยังใจสู้ เขาไม่คิดที่ถอยกลับแม้แต่น้อย!

“บัดซบ!”

ด้วยความโกรธ อู๋ชิงจึงฝืนดีดตัวขึ้นจากหลุมอย่างรวดเร็วพร้อมกับโคจรพลังวิญญาณอีกครั้ง!

“ร่างเงาลวงตา!”

หลังจากสิ้นเสียงตะโกน จู่ ๆ ร่างของอู๋ชิงก็แยกออกเป็นสาม!

อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็แสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เพราะแทบจะในทันทีเขาก็เห็นว่าร่างไหนเป็นร่างที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน

วิชาลวงตาแบบนี้ช่างกระจอกสิ้นดี!

เขาสามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้เนตรเทวะเลยด้วยซ้ำ

วิชาของอีกฝ่ายมีจุดบอดร้ายแรงจนน่าขำ ร่างลวงนั้นไม่แม้แต่จะสามารถคัดลอกจังหวะหายใจของร่างต้นได้ด้วยซ้ำ หากเอาไปหลอกคนธรรมดาคงจะพอได้อยู่ แต่การเอามาหลอกอดีตจักรพรรดิเทพอย่างเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาเรื่องเจ็บตัวมากขึ้น!

แต่ในทางกลับกัน อู๋ชิงก็มีความมั่นใจมากในวิชานี้ของเขา

“ฮ่า ๆ แกแข็งแกร่งกว่าแล้วไง? แกไม่มีทางมองทะลุวิชาร่างลวงของข้าได้แน่นอน!”

“มดแมลงอย่างแกนี่ช่างดีใจกับทุกอย่างได้ง่ายจริง ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก และวินาทีต่อมา เขาได้ระเบิดพลังวิญญาณออกมาอีกครั้ง และพุ่งเข้าไปชกใส่ร่างจริงของอู๋ชิงโดยไม่สนใจร่างปลอมอีกสองร่างเลย!

‘ปัง!’

“มดแมลงอย่างแกเป็นได้มากที่สุดก็คือกระสอบทรายให้ฉัน! แกไม่สามารถเป็นอะไรไปได้มากกว่านี้!”

‘ปัง!’

‘ปัง!’

อู่ชิงไม่สามารถต้านทานหมัดของอวี้ฮ่าวหรานได้เลย เขาโดนต่อยครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างน่าอนาถโดยไม่อาจตอบโต้ได้ และทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็แสดงสีหน้าเมามันอย่างเห็นได้ชัด เขาปฏิบัติต่ออีกฝ่ายราวกับเป็นกระสอบทรายจริง ๆ

อู๋หลินที่มองอยู่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีกจริง ๆ

เมื่อครู่นี้เขาอุตส่าห์ยอมเสียหน้าบอกอีกฝ่ายไปแล้วว่าไม่อยากสู้ต่อ แต่ อู๋ชิงกลับไร้สมองพุ่งเข้าไปต่อยอีกฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าซะงั้น

เห็นได้ชัดว่าในสมองศิษย์น้องของเขาคงมีแต่ขี้เลื่อย!

ในทางตรงกันข้าม อู๋หยวนฮัวถึงแม้ว่าจะพูดน้อย แต่กลับฉลาดกว่ามาก รู้ว่าเวลาไหนควรรุกเวลาไหนควรเลิก!

ในขณะนี้ ทั้งสองมองหน้ากันและไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ

‘ปัง!’

ในขณะนี้ อู๋ชิงก็ถูกต่อยอย่างรุนแรงอีกครั้งแล้ว!

“อั่ก!! ศิษย์พี่หลิน! มาช่วยข้าที!”

เมื่อรู้สึกว่าพลังวิญญาณในร่างเหลืออีกไม่มากแล้ว ดังนั้นอู่ชิงจึงรีบขอความช่วยเหลือจากทั้งสองคนทันที

อู๋หลินกลืนน้ำลายดังเอื้อกทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้ และก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว

อู๋หยวนฮัวก็ก้าวถอยหลังอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน ภาษากายของเขาบอกอย่างชัดเจนว่าตัวเองไม่ต้องการจะสู้ต่อ!

ล้อเล่นเถอะ! ข้าไม่ได้อยากเป็นกระสอบทรายเหมือนกับเจ้าซะหน่อย!

อู๋ชิงอึ้ง

เมื่อเห็นภาพนี้ ในหัวของอู๋ชิงก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

ในขณะเดียวกันนี้ อู๋หลินตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่สู้ต่ออย่างแน่นอน

อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกันมากมาย การที่อู๋ลั่นไปยั่วยุคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก่อนแล้วถูกฆ่าตายมันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว

พวกเขาไม่จำเป็นต้องตายตามไปด้วยจริงไหม?

ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พุ่งเข้าไปประชิดตัวอู่ชิงอีกครั้ง และกำลังจะง้างหมัดต่อยอีกรอบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉากนี้ ในที่สุดอู๋หลินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาไม่อยากเห็นศิษย์น้องของเขาโดนอัดเหมือนกระสอบทรายอีกแล้ว

เขาต้องประนีประนอมกับอีกฝ่าย!

“น..น้องชายยั้งมือก่อน! ยั้งมือก่อน!”

“หืม?”

อวี้ฮ่าวหรานหันกลับไปมองอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าชายชราคนนี้มีไหวพริบพอสมควร เพราะหลังจากที่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่า ชายชราคนนี้ก็เลือกที่จะเจรจาทันที

“น้องชาย เราเลิกรากันตรงนี้ได้ไหม? ครั้งล่าสุดที่อู๋ลั่นมารังควานเจ้า เป็นเพราะเขาได้รับคำร้องขอจากตระกูลอู๋ ซึ่งอันที่จริงการที่อยู่ ๆ เขาตามล่าเจ้าเช่นนั้น โดยที่ยังไม่รู้เรื่องปมขัดแย้งว่าเกิดเพราะเหตุใดมันย่อมไม่ถูกต้อง และถือว่าสำนักเมฆาเขียวของเราก็มีส่วนผิดพลาดที่ไม่สั่งสอนศิษย์ให้ดี ดังนั้นในเมื่อเขาตายไปแล้ว เราก็ถือว่าหายกันเป็นอย่างไร?”

อู่หลินลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุด ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีเหตุผลพอสมควรเช่นกัน

“ท้ายที่สุด เราไม่ได้มีความฝังลึกอะไรกันมากถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกันให้ได้ การมาที่นี่คราวนี้ เราแค่ต้องการมาถามหาเหตุผล ซึ่งในตอนนี้เราเองพอจะเดาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันแบบนี้อีกต่อไป”

อู๋หลินพยายามปั้นแต่งคำหาข้ออ้างต่าง ๆ นานาอย่างสุดชีวิตเพื่อจบศึกนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะมีคนตาย และหลังจากอธิบายจบเขาก็มองไปที่อู๋ชิง ซึ่งตอนนี้หน้าซีดเป็นกระดาษจากอาการบาดเจ็บที่ถูกอัดไปหลายครั้ง

“เอ่อ…ส่วนเรื่องที่ศิษย์น้องของข้าเมื่อครู่…เขาแค่เป็นคนที่อารมณ์ร้อนมากเกินไป น้องชายโปรดอย่าถือสาเลยจะได้ไหม…?”

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามกลับ

“อืม…เหตุผลที่พูดมาพอรับฟังได้ คือสรุปแล้ว พวกแกจะไม่มาสร้างความรำคาญให้กับฉันอีกแล้วใช่ไหม?”

บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้

บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้

อวี้ฮ่าวหรานไม่จำเป็นต้องฆ่าสามคนนี้ เพราะเขาไม่มีความแค้นอะไรกับอีกฝ่าย

“แน่นอน!”

พอผู้อาวุโสหลินได้ยินคำพูดนั้น เขาจึงรีบยืนยันทันที

แค่ล้อเล่นเท่านั้นเองน่า…เขาไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนั้น จะยังคิดลงมือฆ่าได้อีกเหรอ?

“ฮึ่ม กลัวว่าจะมีคนอื่นมาสมทบน่ะสิ!”

ตอนนั้นเอง อวี้ฮ่าวหรานก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชา

ชายหนุ่มรู้ดีว่า แม้แต่จอมยุทธ์ในแต่ละสำนักยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แถมยังมีความแตกต่างมากมาย

“เรื่องนี้…ฉันช่วยไม่ได้จริง ๆ พอเดินกลับไปที่ประตู ฉันทำได้แค่ห้ามพวกเขาไว้แค่นั้น”

การแสดงออกของผู้อาวุโสหลินไม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นแม้แต่น้อย แม้อู๋ลั่นจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมาง แต่ตอนนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว

ในความคิดเห็นของผู้อาวุโสหลิน การต่อสู้กับปรมาจารย์ลึกลับคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดมากนัก โดยเฉพาะตระกูลอู๋ที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์

แต่ยังมีหลายคนในสำนักที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอู๋ลั่น

ถึงยังไงคนพวกนี้ก็ไม่มีทางนิ่งเฉย

พอได้ยินแบบนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็หลับตาลงเพื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ

“พวกแกไปได้แล้ว คราวหน้าถ้าอยากมาเยี่ยมเยือนกันอีก ฉันก็ยินดีต้อนรับเสมอ”

น้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่น้อย…

“ยังไงก็เถอะ ถ้าแกกล้าแตะต้องคนในตระกูลฉันอีก ฉันไม่ปล่อยคนของแกไว้แน่! ฉันจะตามฆ่าพวกมันให้หมด!”

พูดจบ จิตสังหารรุนแรงของชายหนุ่มก็ได้แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้นทันที!

ด้วยจิตสังหารอันรุนแรง ดูเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังจะกลายเป็นสีแดงฉาน!

ทั้งสามคนรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที ราวกับชายหนุ่มที่กำลังยืนหันหลังเป็นปีศาจที่จ้องจะกินเลือดเนื้อมนุษย์!

ผู้อาวุโสหลินนั้นรู้สึกหวาดหวั่นกว่าใคร ชายตรงหน้าคนนี้เคยฆ่าคนด้วยจิตสังหารอันรุนแรงแบบนี้ไปแล้วกี่คน?!

แม้แต่การฆ่าล้างเมืองหรือการฆ่าล้างตระกูลก็ยังเทียบไม่ได้กับพลังของอีกฝ่าย!

แต่ผู้อาวุโสหลินกลับไม่รู้เอาเสียเลย ว่าจิตสังหารที่เปี่ยมไปด้วยพลังนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่!

ในอดีตแค่แผ่จิตสังหารออกมา สิ่งมีชีวิตนับล้านต่างก็พากันคุกเข่าร้องขอชีวิตต่อชายหนุ่ม ช่างเป็นพลังทำลายล้างที่รุนแรงมหาศาล!

เมื่อต้องเผชิญกับบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ อู๋ชิงรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด เพลิงโทสะที่ลุกโชนถูกดับจนมอดลงในทันที

ความรู้สึกนั้น ทำให้อู๋ชิงตระหนักว่าตัวเองเพิ่งถูกหยามเกียรติ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที

หลังจากการขู่เตือน อวี้ฮ่าวหรานหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังแล้วเดินจากไป

วันนี้เขาปล่อยให้สามคนนั้นยังมีชีวิตรอด ก็เพราะเห็นแก่ครอบครัว

ถึงยังไงมันก็ถือเป็นความลับของสำนักโลกเร้นลับ ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของมัน

การฆ่าอู๋ลั่นแค่คนเดียวอาจไม่ได้สร้างความเคียดแค้นมากมาย แต่ถ้าฆ่าทั้งสามคน เขากลัวว่าอาจเป็นการนองเลือดที่ไม่มีวันจบสิ้น

ถ้ายังอยู่ในโลกของเทพเซียนเหมือนกับในอดีต อวี้ฮ่าวหรานก็คงลงมือฆ่าเศษสวะพวกนี้ไปแล้วแน่ ๆ!

กว่าจะเดินทางกลับมาถึงบริษัทก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงตรงดิ่งไปที่ห้องซ้อมเปียโนทันที

เวลานี้ถวนถวนคงกำลังฝึกซ้อมอยู่สินะ เสียงเปียโนดังกังวานในห้องฝึกซ้อม

เขานั่งฟังอย่างเงียบ ๆ

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงจินตนาการไม่ออกแน่ว่าบทเพลงไพเราะนี้ลูกสาวของเขาเป็นคนบรรเลง

พรสวรรค์นี้ทรงพลังไม่น้อย คงทำให้ทุกคนตกตะลึงกันใหญ่

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดด้วยความภาคภูมิใจ

ในที่สุดก็มาถึงตอนเช้าตรู่ หลี่หรงเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น

วันนี้เธอตั้งใจลางานหนึ่งวันเพื่อไปดูการแข่งขันของถวนถวน

หลังจากผ่านช่วงเช้าอันแสนวุ่นวาย ในที่สุดอาหารเช้าก็ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว

“พี่เขย เมื่อวานพี่เป็นคนพาถวนถวนไปซ้อม ฝีมือหลานเป็นยังไงบ้าง?”

ระหว่างนั่งรับประทานอาหาร หลี่หรงก็ถามด้วยความสงสัย

เธอไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนอย่างจริงจังสักครั้ง ฉะนั้นจึงไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ฉันได้ยินมาว่าถึงจะเป็นการแข่งขันสำหรับเด็ก แต่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบที่มีฝีมือก็มีอีกหลายคน ฉันกลัวว่าถวนถวนจะกดดันตัวเองเกินไป”

หญิงสาวกลัวว่าถวนถวนจะถูกรังแก

หลังจากได้ยินลูกสาวบรรเลงเพลงเมื่อวาน สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ไม่ต้องห่วง ไม่รู้ซะแล้วว่าถวนถวนเป็นลูกสาวใคร!

“ฮ่า ๆ! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นสินะ! เก่งมาก!”

สีหน้าของถวนถวนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยความภูมิใจไม่ต่างกัน

หลี่หรงแอบมองสองพ่อลูกอยู่เงียบ ๆ

“ดีมาก! เจ๋งสุด ๆ!”

ไม่นานทั้งสามคนก็รับประทานอาหารกันจนอิ่ม

การแข่งขันเปียโนถูกจัดขึ้นที่โรงยิมใจกลางเมืองในเวลาเก้าโมงเช้า

หลังจากใช้เวลาเดินทางไปกว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่จัดงานในเวลาแปดโมงเช้า

ณ ข้างหลังเวที

“พวกคุณอยู่กันที่นี่เอง ถวนถวนเป็นนักเรียนที่ฉันภาคภูมิใจที่สุดเลยค่ะ!”

ทันทีที่พวกเขามาถึง หลิวว่านฉิงก็ออกมาต้อนรับทันที

“สวัสดีค่ะอาจารย์หลิว!”

เมื่อถวนถวนเห็นอาจารย์ เธอรีบทักทายด้วยความเคารพ หลิวว่านฉิงโผเข้ากอดเด็กน้อยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

“ถวนถวนเก่งมาก วันนี้อาจารย์จะเป็นกำลังใจให้หนูเอง”

เธอเป็นครูสอนพิเศษที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปีนี้

“หืม? คนด้อยประสบการณ์อย่างเธอกล้าสอนคนอื่นด้วยเหรอ?”

ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เดินผ่านหน้าครูสาวไปด้วยความรังเกียจ

“เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของเธอเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นรู้จักกับหลิวว่านฉิง

“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“อืม…ไม่มีอะไรหรอก อันดับการแข่งขันของลูกศิษย์เธอต่ำลงทุกปี ฉันเลยกลัวว่าเด็กคนนี้จะจำโน๊ตเพลงไม่ได้ด้วยซ้ำ”

อาจารย์หญิงวัยกลางคนจงใจดูถูกพลางถอนหายใจ จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเด็กหญิงอายุราวเจ็ดหรือแปดขวบที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “เอาล่ะ เสี่ยวเสวี่ย หนูซัดคู่แข่งให้หมอบไปเลยนะจ๊ะ”

เด็กหญิงคนนั้นหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แต่พอเธอมองมาที่ถวนถวน สายตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเหยียดหยาม

“ได้เลยค่ะอาจารย์หวัง!”

จากนั้นเด็กหญิงจึงนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนเพื่อฝึกซ้อมต่อไป เธอเลือกเพลงตามใจชอบก่อนบรรเลงตามตัวโน้ต!

ไม่นานเสียงเปียโนอันไพเราะเพราะพริ้งก็ดังขึ้น

เด็กหญิงคนนี้มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบ แต่ฝีมือในการเล่นเปียโนกลับเก่งกาจไม่น้อย พวกเขาจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีรังเกียจถวนถวน

“โอ้…ใครเป็นคนบรรเลงเพลงไพเราะเพลงนี้กัน?”

ท่วงทำนองอันแสนไพเราะดึงดูดความสนใจผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงทันควัน

“ใช่ ๆ ชั้นเรียนของเรามีคนที่ฝีมือขนาดนี้ด้วยเหรอ? น่าเสียดายที่พวกเราเข้าร่วมชมการแข่งขันจัดอันดับครั้งนี้ไม่ได้”

“โอ้โห อัศจรรย์มาก… เด็กน้อยคนนี้บรรเลงถูกต้องทุกตัวโน้ตเลย”

“…”

หลังจากหยุดฟังไปสักพัก หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะออกปากชื่นชม ใบหน้าของอาจารย์หวังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“นี่สิถึงจะเรียกว่าเหมาะสมกับการแข่งขัน ลูกศิษย์ของเธอฝีมือด้อยเกินไป อย่าเสียเวลาเลย”

ตอนนี้หญิงวัยกลางคนถือว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าหลิวว่านฉิง ดังนั้นเธอจึงเหยียดหยามอีกฝ่ายไม่หยุดปาก

หลี่หรงรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย เนื่องจากเด็กหญิงตรงหน้ามีฝีมือในการเล่นเปียโนที่เก่งเกินไป

หญิงสาวไม่ได้ฝึกมือเล่นเปียโนมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้จะได้รับอนุญาตให้เข้าแข่งขัน แต่ฝีมือของเธอยังเทียบกับเด็กหญิงอีกคนไม่ได้

“พี่ฮ่าวหราน พวกเราพาถวนถวนเข้าไปข้างในกันเถอะ อย่ามัวเสียเวลาเลย…”

เรื่องการส่งเสริมให้ถวนถวนเรียนเปียโน เป็นความคิดและความคาดหวังของเธอทั้งหมด หลี่หรงจึงกลัวว่าหลานสาวจะถูกโจมตีจนเสียความมั่นใจ และเกลียดการเล่นเปียโนไปตลอดชีวิต

ถึงอย่างนั้น สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานและหลิวว่านฉิงก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทั้งสองรู้ระดับความสามารถของถวนถวนดีที่สุด

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ อาจารย์หวังจึงรู้สึกเบื่อหน่าย

“โธ่เอ๊ย ครูรุ่นใหม่จะฝึกสอนใครให้เก่งได้ ผู้ปกครองต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้ว”

พอได้ยินแบบนั้น หลิวว่านฉิงอดกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ไม่ได้ สีหน้ามืดมนลงกว่าเดิม

บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้

บทที่ 358 ไม่มีใครเทียบได้

อวี้ฮ่าวหรานไม่จำเป็นต้องฆ่าสามคนนี้ เพราะเขาไม่มีความแค้นอะไรกับอีกฝ่าย

“แน่นอน!”

พอผู้อาวุโสหลินได้ยินคำพูดนั้น เขาจึงรีบยืนยันทันที

แค่ล้อเล่นเท่านั้นเองน่า…เขาไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนั้น จะยังคิดลงมือฆ่าได้อีกเหรอ?

“ฮึ่ม กลัวว่าจะมีคนอื่นมาสมทบน่ะสิ!”

ตอนนั้นเอง อวี้ฮ่าวหรานก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชา

ชายหนุ่มรู้ดีว่า แม้แต่จอมยุทธ์ในแต่ละสำนักยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แถมยังมีความแตกต่างมากมาย

“เรื่องนี้…ฉันช่วยไม่ได้จริง ๆ พอเดินกลับไปที่ประตู ฉันทำได้แค่ห้ามพวกเขาไว้แค่นั้น”

การแสดงออกของผู้อาวุโสหลินไม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นแม้แต่น้อย แม้อู๋ลั่นจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมาง แต่ตอนนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว

ในความคิดเห็นของผู้อาวุโสหลิน การต่อสู้กับปรมาจารย์ลึกลับคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดมากนัก โดยเฉพาะตระกูลอู๋ที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์

แต่ยังมีหลายคนในสำนักที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอู๋ลั่น

ถึงยังไงคนพวกนี้ก็ไม่มีทางนิ่งเฉย

พอได้ยินแบบนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็หลับตาลงเพื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ

“พวกแกไปได้แล้ว คราวหน้าถ้าอยากมาเยี่ยมเยือนกันอีก ฉันก็ยินดีต้อนรับเสมอ”

น้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่น้อย…

“ยังไงก็เถอะ ถ้าแกกล้าแตะต้องคนในตระกูลฉันอีก ฉันไม่ปล่อยคนของแกไว้แน่! ฉันจะตามฆ่าพวกมันให้หมด!”

พูดจบ จิตสังหารรุนแรงของชายหนุ่มก็ได้แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้นทันที!

ด้วยจิตสังหารอันรุนแรง ดูเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังจะกลายเป็นสีแดงฉาน!

ทั้งสามคนรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที ราวกับชายหนุ่มที่กำลังยืนหันหลังเป็นปีศาจที่จ้องจะกินเลือดเนื้อมนุษย์!

ผู้อาวุโสหลินนั้นรู้สึกหวาดหวั่นกว่าใคร ชายตรงหน้าคนนี้เคยฆ่าคนด้วยจิตสังหารอันรุนแรงแบบนี้ไปแล้วกี่คน?!

แม้แต่การฆ่าล้างเมืองหรือการฆ่าล้างตระกูลก็ยังเทียบไม่ได้กับพลังของอีกฝ่าย!

แต่ผู้อาวุโสหลินกลับไม่รู้เอาเสียเลย ว่าจิตสังหารที่เปี่ยมไปด้วยพลังนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่!

ในอดีตแค่แผ่จิตสังหารออกมา สิ่งมีชีวิตนับล้านต่างก็พากันคุกเข่าร้องขอชีวิตต่อชายหนุ่ม ช่างเป็นพลังทำลายล้างที่รุนแรงมหาศาล!

เมื่อต้องเผชิญกับบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ อู๋ชิงรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด เพลิงโทสะที่ลุกโชนถูกดับจนมอดลงในทันที

ความรู้สึกนั้น ทำให้อู๋ชิงตระหนักว่าตัวเองเพิ่งถูกหยามเกียรติ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที

หลังจากการขู่เตือน อวี้ฮ่าวหรานหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังแล้วเดินจากไป

วันนี้เขาปล่อยให้สามคนนั้นยังมีชีวิตรอด ก็เพราะเห็นแก่ครอบครัว

ถึงยังไงมันก็ถือเป็นความลับของสำนักโลกเร้นลับ ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของมัน

การฆ่าอู๋ลั่นแค่คนเดียวอาจไม่ได้สร้างความเคียดแค้นมากมาย แต่ถ้าฆ่าทั้งสามคน เขากลัวว่าอาจเป็นการนองเลือดที่ไม่มีวันจบสิ้น

ถ้ายังอยู่ในโลกของเทพเซียนเหมือนกับในอดีต อวี้ฮ่าวหรานก็คงลงมือฆ่าเศษสวะพวกนี้ไปแล้วแน่ ๆ!

กว่าจะเดินทางกลับมาถึงบริษัทก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงตรงดิ่งไปที่ห้องซ้อมเปียโนทันที

เวลานี้ถวนถวนคงกำลังฝึกซ้อมอยู่สินะ เสียงเปียโนดังกังวานในห้องฝึกซ้อม

เขานั่งฟังอย่างเงียบ ๆ

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงจินตนาการไม่ออกแน่ว่าบทเพลงไพเราะนี้ลูกสาวของเขาเป็นคนบรรเลง

พรสวรรค์นี้ทรงพลังไม่น้อย คงทำให้ทุกคนตกตะลึงกันใหญ่

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดด้วยความภาคภูมิใจ

ในที่สุดก็มาถึงตอนเช้าตรู่ หลี่หรงเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น

วันนี้เธอตั้งใจลางานหนึ่งวันเพื่อไปดูการแข่งขันของถวนถวน

หลังจากผ่านช่วงเช้าอันแสนวุ่นวาย ในที่สุดอาหารเช้าก็ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว

“พี่เขย เมื่อวานพี่เป็นคนพาถวนถวนไปซ้อม ฝีมือหลานเป็นยังไงบ้าง?”

ระหว่างนั่งรับประทานอาหาร หลี่หรงก็ถามด้วยความสงสัย

เธอไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนอย่างจริงจังสักครั้ง ฉะนั้นจึงไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ฉันได้ยินมาว่าถึงจะเป็นการแข่งขันสำหรับเด็ก แต่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบที่มีฝีมือก็มีอีกหลายคน ฉันกลัวว่าถวนถวนจะกดดันตัวเองเกินไป”

หญิงสาวกลัวว่าถวนถวนจะถูกรังแก

หลังจากได้ยินลูกสาวบรรเลงเพลงเมื่อวาน สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ไม่ต้องห่วง ไม่รู้ซะแล้วว่าถวนถวนเป็นลูกสาวใคร!

“ฮ่า ๆ! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นสินะ! เก่งมาก!”

สีหน้าของถวนถวนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยความภูมิใจไม่ต่างกัน

หลี่หรงแอบมองสองพ่อลูกอยู่เงียบ ๆ

“ดีมาก! เจ๋งสุด ๆ!”

ไม่นานทั้งสามคนก็รับประทานอาหารกันจนอิ่ม

การแข่งขันเปียโนถูกจัดขึ้นที่โรงยิมใจกลางเมืองในเวลาเก้าโมงเช้า

หลังจากใช้เวลาเดินทางไปกว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่จัดงานในเวลาแปดโมงเช้า

ณ ข้างหลังเวที

“พวกคุณอยู่กันที่นี่เอง ถวนถวนเป็นนักเรียนที่ฉันภาคภูมิใจที่สุดเลยค่ะ!”

ทันทีที่พวกเขามาถึง หลิวว่านฉิงก็ออกมาต้อนรับทันที

“สวัสดีค่ะอาจารย์หลิว!”

เมื่อถวนถวนเห็นอาจารย์ เธอรีบทักทายด้วยความเคารพ หลิวว่านฉิงโผเข้ากอดเด็กน้อยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

“ถวนถวนเก่งมาก วันนี้อาจารย์จะเป็นกำลังใจให้หนูเอง”

เธอเป็นครูสอนพิเศษที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปีนี้

“หืม? คนด้อยประสบการณ์อย่างเธอกล้าสอนคนอื่นด้วยเหรอ?”

ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เดินผ่านหน้าครูสาวไปด้วยความรังเกียจ

“เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของเธอเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นรู้จักกับหลิวว่านฉิง

“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“อืม…ไม่มีอะไรหรอก อันดับการแข่งขันของลูกศิษย์เธอต่ำลงทุกปี ฉันเลยกลัวว่าเด็กคนนี้จะจำโน๊ตเพลงไม่ได้ด้วยซ้ำ”

อาจารย์หญิงวัยกลางคนจงใจดูถูกพลางถอนหายใจ จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเด็กหญิงอายุราวเจ็ดหรือแปดขวบที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “เอาล่ะ เสี่ยวเสวี่ย หนูซัดคู่แข่งให้หมอบไปเลยนะจ๊ะ”

เด็กหญิงคนนั้นหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แต่พอเธอมองมาที่ถวนถวน สายตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเหยียดหยาม

“ได้เลยค่ะอาจารย์หวัง!”

จากนั้นเด็กหญิงจึงนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนเพื่อฝึกซ้อมต่อไป เธอเลือกเพลงตามใจชอบก่อนบรรเลงตามตัวโน้ต!

ไม่นานเสียงเปียโนอันไพเราะเพราะพริ้งก็ดังขึ้น

เด็กหญิงคนนี้มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบ แต่ฝีมือในการเล่นเปียโนกลับเก่งกาจไม่น้อย พวกเขาจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีรังเกียจถวนถวน

“โอ้…ใครเป็นคนบรรเลงเพลงไพเราะเพลงนี้กัน?”

ท่วงทำนองอันแสนไพเราะดึงดูดความสนใจผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงทันควัน

“ใช่ ๆ ชั้นเรียนของเรามีคนที่ฝีมือขนาดนี้ด้วยเหรอ? น่าเสียดายที่พวกเราเข้าร่วมชมการแข่งขันจัดอันดับครั้งนี้ไม่ได้”

“โอ้โห อัศจรรย์มาก… เด็กน้อยคนนี้บรรเลงถูกต้องทุกตัวโน้ตเลย”

“…”

หลังจากหยุดฟังไปสักพัก หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะออกปากชื่นชม ใบหน้าของอาจารย์หวังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“นี่สิถึงจะเรียกว่าเหมาะสมกับการแข่งขัน ลูกศิษย์ของเธอฝีมือด้อยเกินไป อย่าเสียเวลาเลย”

ตอนนี้หญิงวัยกลางคนถือว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าหลิวว่านฉิง ดังนั้นเธอจึงเหยียดหยามอีกฝ่ายไม่หยุดปาก

หลี่หรงรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย เนื่องจากเด็กหญิงตรงหน้ามีฝีมือในการเล่นเปียโนที่เก่งเกินไป

หญิงสาวไม่ได้ฝึกมือเล่นเปียโนมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้จะได้รับอนุญาตให้เข้าแข่งขัน แต่ฝีมือของเธอยังเทียบกับเด็กหญิงอีกคนไม่ได้

“พี่ฮ่าวหราน พวกเราพาถวนถวนเข้าไปข้างในกันเถอะ อย่ามัวเสียเวลาเลย…”

เรื่องการส่งเสริมให้ถวนถวนเรียนเปียโน เป็นความคิดและความคาดหวังของเธอทั้งหมด หลี่หรงจึงกลัวว่าหลานสาวจะถูกโจมตีจนเสียความมั่นใจ และเกลียดการเล่นเปียโนไปตลอดชีวิต

ถึงอย่างนั้น สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานและหลิวว่านฉิงก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทั้งสองรู้ระดับความสามารถของถวนถวนดีที่สุด

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ อาจารย์หวังจึงรู้สึกเบื่อหน่าย

“โธ่เอ๊ย ครูรุ่นใหม่จะฝึกสอนใครให้เก่งได้ ผู้ปกครองต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้ว”

พอได้ยินแบบนั้น หลิวว่านฉิงอดกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ไม่ได้ สีหน้ามืดมนลงกว่าเดิม

บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ

บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ

เมื่อได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย หลิวว่านชิงก็ส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก

ในฐานะครู มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเอ่ยปากออกมา

“นี่? อะไรกัน? จะบอกว่าเธอไม่เต็มใจอย่างนั้นเหรอ? อายุยังน้อย ก็น่าจะต้องได้รับบทเรียนบ้างไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อเห็นเช่นนี้ อาจารย์หวังก็เผยแววเหยียดหยามอยู่บ้าง

“คุณ!”

หลิวว่านชิงไม่พอใจหนัก หากแต่เมื่ออ้าปากจะตอบโต้กลับพูดไม่ออก

อาจารย์หวังที่เห็นเช่นนี้ก็หลุดขำเย้ย ก่อนหันไปสอนเสี่ยวเสวี่ยเล่นเปียโน“ฟังนะ…ครั้งนี้เราจะเอาจริงกันแล้ว เราจะเป็นเด็กอมมือที่เอาแต่พล่ามไปเรื่อยไม่ได้…”

แม้จะอยู่ห่างออกไป ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายยังคงลอยเข้าหูเธอ

“น่าหงุดหงิดจริง ๆ!”

คราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงหลิวว่านชิง แม้แต่หลี่หรงยังอดหัวเสียไม่ได้

ถวนถวนของเธอแสดงได้ดีที่สุดในสายตาของเธอ!

“อย่าโกรธเลยนะคะแม่หรง ถวนถวนเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวหนูจะจัดการเธอให้หงายเลยค่ะ!”

เจ้าตัวน้อยกระตุกชายเสื้อของเธอ

หลี่หรงอิ่มเอมใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนัก ถึงอย่างไรเด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยก็เล่นเปียโนได้คล่องแคล่ว

“ใช่แล้ว ถวนถวนเก่งมากเลยนะคะ คุณน้าอย่าเสียอารมณ์ไปเลยค่ะ”

เธอรู้สึกได้ว่าหลังจากพี่เขยกลับมา นับวันถวนถวนยิ่งดูมั่นใจมากขึ้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลานเธอก็ยังเด็ก มีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง

เวลาล่วงเลยพ้น 8 โมงครึ่ง

ถวนถวนและเพื่อนกลุ่มเดียวกันถูกพาไปห้องรับรอง ส่วนอวี้ฮ่าวหรานกับหลี่หรงรอชมอยู่หน้าเวที

เขาต้องแปลกใจเมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยอยู่ไม่ห่างออกไป

“คุณสวี…มาที่นี่เหมือนกันเหรอคะ?”

เมื่อเห็นอีกฝ่าย หลี่หรงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อพบฝ่ายตรงข้ามคือสวีรุ่ยซึ่งเพิ่งพบกันเมื่อ 2 วันก่อน

“อ้าว? พวกคุณ… ถวนถวนมางานนี้เหมือนกันเหรอคะ?”

เมื่อพบหน้าทั้งคู่ เธอจึงส่งสีหน้าสงสัยก่อนนึกขึ้นได้

“อย่างนั้นฉันก็จะได้เห็นถวนถวนเล่นเปียโนสินะคะ”

“ใช่ครับ วันนี้คุณโชคดีมากเลยนะครับ มานั่งทางนี้สิครับ ยังไม่มีคนนั่งพอดีเลย”

เป็นอวี้ฮ่าวหรานที่เอ่ยปากเชิญชวนก่อน

“ค่ะ”

สวีรุ่ยรับคำ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมานั่งด้านข้าง

“วันนี้ทางโรงเรียนส่งข้อความแจ้งคุณครูทุกคนค่ะ บอกว่าให้มาชมการแสดงกัน ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษ”

เธอเล่าเมื่อเธอนั่งลง

“ช่วงวันหยุดหน้าร้อนที่ผ่านมาถวนถวนสนใจเรียนเปียโน แล้วก็เรียนได้ดีด้วยครับ ผมก็เลยให้เธอลองมาแข่งดู” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ย

“อ๋อ? ถวนถวนมาแข่งจริง ๆ เหรอคะ?”

สวีรุ่ยมีท่าทีแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ด้วยถวนถวนยังอายุน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนมาก่อน

จะเข้าแข่งขันทั้งที่เรียนภายในวันหยุดหน้าร้อนเดียวได้อย่างไร?

หากแต่เวลานี้หลี่หรงดูปลาบปลื้มใจมาก

“ถวนถวนหัวไวมากค่ะ คุณครูที่สอนชมใหญ่เลย บางทีอาจจะชนะการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ค่ะ”

เมื่อครั้งที่เธอเรียนเปียโนในวัยเด็ก คุณครูยังไม่เคยชมเธอสักครั้ง

แม้ว่าเธอจะชอบเล่นมาก หากแต่คนไม่มีพรสวรรค์อย่างไรก็ไม่มีอยู่วันยังค่ำ

“ค่ะ ถวนถวนเป็นเด็กฉลาดมาก แต่เรื่องที่จะเอาชนะได้…”

สวีรุ่ยไม่มั่นใจในเรื่องนี้นักด้วยรู้ดีว่าเด็กที่เข้าแข่งขันร่ำเรียนเปียโนมาตั้งแต่ยังเด็กมาหลายปี อย่างน้อยก็ทำให้เล่นได้อย่างไม่มีที่ติ

หากแต่ถวนถวนเรียนมาเพียงเดือนเดียว อีกทั้งยังอายุน้อย…

เธอเกรงว่าหากอวยเกินไปตอนนี้ ถ้าพลาดตำแหน่งขึ้นมา ลูกศิษย์จะเสียใจเอาได้

“ไม่ต้องห่วง ผลต้องออกมาดีแน่ครับ”

อวี้ฮ่าวหรานว่าขึ้น เขามั่นใจในตัวลูกสาวคนนี้เต็มที่ เพราะการแสดงเมื่อวานของถวนถวนก็ทำให้เขาตกตะลึงมากทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องรับรอง เด็ก ๆ นั่งอยู่รวมกันที่นี่

“เธอเด็กขนาดนี้ เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”

เด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยถามขึ้นก่อน ถวนถวนนั่งอยู่ข้างเธอด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นความมั่นใจ

“ถวนถวนเก่งมากนะ! พ่อถวนถวนยังบอกว่าจะแข่งชนะเลย”

ดวงตากลมโตจับจ้องคู่สนทนาเขม็ง

“เธอเล่นไม่เป็นหรอก ก็แค่เล่นขำ ๆ น่ะสิ เดี๋ยวจะทำให้พ่อแม่ขายหน้าเปล่า ๆ”

“ไม่มีทาง! ถวนถวนตั้งใจฝึกมาก! พ่อยังชมว่าเก่งที่สุดเลย!”

แม้จะถูกเสี่ยวเสวี่ยปรามาส หากแต่ถวนถวนก็ไม่ท้อถอย ยังคงมั่นใจเต็มที่

หลังได้ฝึกซ้อมรอบสุดท้าย เธอก็ยังเชื่อมั่นในตนเองอย่างถึงที่สุด

“คอยดูไปแล้วกัน”

เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมั่นใจเพียงนี้ เสี่ยวเสวี่ยนึกอยากเอาชนะเด็กหญิงตัวน้อยโดยไม่รู้ตัว

ผ่านไปไม่นาน ก็ถึงเวลา 9 โมงเช้า การแข่งขันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ครั้งนี้เป็นงานแข่งขันที่จริงจังมาก มีคณะกรรมการถึงสิบคน

ผู้เข้าแข่งขันคนแรกปรากฏตัวขึ้น เป็นเด็กหญิงอายุราว 5 ถึง 6 ขวบ

“เด็กคนนี้อายุน้อยเกินไป เห็นไหมว่าตื่นเวทีมาก”

“ใช่ ต่อให้ฝึกมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าก็ยังทำได้ไม่ดี”

“พวกเขาแค่มาลองมาหาประสบการณ์ คนที่มาแข่งจริงจังคือเด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบต่างหาก”

“…”

เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน

ท่วงทำนองเปียโนค่อย ๆ ดังขึ้น ไม่รู้ว่าด้วยตื่นเวทีหรือไม่ ท่อนแรกจึงได้ฟังดูกวัดแกว่งเล็กน้อย

หลังเพลงจบลง คณะกรรมการให้คะแนนกัน

ได้คะแนนรวม 4.5 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน

อาจด้วยเพราะอายุของเด็กคนนี้

ด้านคุณครูที่ยืนชมอยู่ฟากซ้ายเวที อาจารย์หวังว่าเย้ย “เห็นไหม? ได้แค่ 4.5 คะแนน ฉันบอกแล้วว่าอายุน้อยแค่นี้จะไปเก่งอะไร เดี๋ยวลูกศิษย์ของเธอก็ต้องเล่นเป็นคนต่อไป คงฝีมือแย่พอกันนั่นแหละ”

“ก็ไว้ค่อยดูแล้วกันว่าจะเป็นยังไง”

หลิวว่านชิงคร้านจะใส่ใจอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา

“หืม? เสี่ยวหลิว พูดอะไรของเธอ อาจารย์หวังอาวุโสกว่าเธอนะ น่าจะเคารพสักหน่อยสิ”

“ใช่แล้ว ที่พูดก็เพราะว่าหวังดี เดี๋ยวเธอจะได้บทเรียนเอง”

“ฮ่า ๆ ยังไงเสี่ยวหลิวก็เพิ่งเรียนจบ ประสบการณ์น้อย อย่าไปถือสาเธอเลย”

ครูอาจารย์เหล่านี้ต่างก็เคยสอนชั้นอื่น ๆ มาก่อน พวกเขาจึงมักจะจับกลุ่มกันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

หลิวว่านชิงอยากจะตะโกนออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอนทั้งนั้น!

“ดูเข้าสิ!”

“ชิ ไม่มีฝีมือแล้วยังจะเชิดอยู่ได้”

เมื่ออาจารย์หวังได้ยิน เธอก็ส่งเสียงเยาะเย้ยถากถาง ตอนนี้ได้เวลาที่ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปจะเริ่มแสดง

เด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบคนนี้ไม่มีท่าทีตื่นเวที แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เก่งมากนัก มีบางช่วงที่เล่นติดขัดกลางคัน

แต่อย่างไรเสียก็เป็นการแข่งขันของเด็ก ๆ จึงไม่มีใครคิดถือสา

“สรุปคะแนนรวมได้ไป… 5.8 คะแนนครับ!”

เมื่อพิธีกรประกาศผลจบ ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปขึ้นเวทีต่อทันที

หากแต่การแสดงของหลายคนไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ได้คะแนนสูงสุดไปเพียง 6 คะแนนเท่านั้น

“มาดูเร็วเข้า! ต่อไปเป็นเสี่ยวเสวี่ย ลูกศิษย์ฉันเอง!”

การแสดงก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก อาจารย์หวังพลันโพล่งขึ้น

เสี่ยวเสวี่ยในชุดกระโปรงขาวขึ้นมาบนเวที เด็กหญิงวัย 7 ย่าง 8 ขวบดูน่ารักน่าชัง ขณะเดียวกันก็ดึงดูดสายตาผู้คนมากเช่นกัน

บทที่ 356 ทำลายค่ายกล

บทที่ 356 ทำลายค่ายกล

เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ อวี้ฮ่าวหรานก็มองทั้งสามคนอย่างดูถูก

คนพวกนี้อยู่แค่ขอบเขตก่อรากฐานเท่านั้น แต่กลับกล้าเรียกเขาว่ามนุษย์ธรรมดา คนพวกนี้นี่มันหยิ่งผยองจริง ๆ!

“บอกมาให้ชัด ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

หลังจากที่อู๋หลินกลับมาได้สติ เขาก็ระงับกิริยาท่าทางที่ตกตะลึงของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

“ทำไมเรื่องแค่นี้ยังเดากันไม่ออกอีก? ฉันเนี่ยแหละที่เป็นคนฆ่ามันเอง! ในเมื่อคนของพวกแกระรานคนในครอบครัวของฉัน ทำไมฉันถึงจะไม่ฆ่ามันทิ้ง?”

อวี้ฮ่าวหรานตอบอย่างไม่แยแส

“อ…ไอ้เด็กเวรแกหยุดโกหกได้แล้ว!! แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าอู๋ลั่นอยู่ที่ไหน ไม่งั้นข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่านรกมันเป็นยังไง!!”

อู๋ชิงเดือดดาลสุดขีดในขณะนี้ และเขาพร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเมื่อ เขายังคงไม่เชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถฆ่าพี่ชายของเขาได้

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และตอบกลับอย่างสบาย ๆ

“เฮ้อ เอาเถอะ ๆ ฉันเองก็ขี้เกียจจะอธิบายให้มากความเช่นกัน เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะพาพวกแกไปดูอู๋ลั่นของพวกแกก็แล้วกัน มา! ตามมา!”

ใจหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็อยากจะสู้กับคนเหล่านี้ทันที แต่ในทางกลับกัน เขาก็กังวลว่าการต่อสู้ที่นี่มันจะสร้างความเสียหายให้กับบริษัทของเขาอย่างใหญ่หลวง

ต้องรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะมันค่อนข้างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

“ไป! แกรีบนำทางไปเร็ว ๆ เลย! ฉันอยากจะรู้เหมือนว่าแกมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่!”

อู๋ชิงซึ่งกำลังจะจู่โจมอยู่แล้วระงับพลังของตัวเองชั่วคราว เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานยอมที่จะนำทางไปตามหาอู๋ลั่น

มนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แค่เขาตบด้วยมือเปล่าก็ตายแล้ว ดังนั้นฆ่าเมื่อไหร่ก็มีค่าเท่ากัน

ไม่นานนัก อวี้ฮ่าวหรานก็นำทั้งสามคนมาถึงบริเวณป่ารกข้างถนนย่านไร้ผู้คนอยู่อาศัย

อวี้ฮ่าวหรานหยุดลงและหันมาอย่างกะทันหัน!

“มาถึงแล้ว!”

“ที่นี่ที่ไหน?

อู๋ชิงมองไปรอบ ๆ และเห็นว่าบริเวณโดยรอบไม่มีอะไรเลยนอกจากความทุรกันดารและโกรธทันที

อู๋หลินไม่ได้พูดอะไรในเวลานี้

ในใจของเขา ชายหนุ่มที่เย่อหยิ่งอย่างอวี้ฮ่าวหรานเหมาะจะให้อู๋ชิง จัดการมากที่สุด!

“ก็ฉันไม่ได้บอกแกไปแล้วหรือไงว่าอู๋ลั่นตายแล้ว มันตายอยู่ตรงนี้นี่แหละ!” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้น

“เจ้า! เจ้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแต่กลับกล้าเล่นลิ้นกับข้าผู้นี้งั้นเหรอ! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!!”

อู๋ชิงโกรธมากเมื่อได้ยินคำนี้ เขายังคงไม่เชื่อว่าอู๋ลั่นที่อยู่ขอบเขตก่อรากฐานจะถูกชายหนุ่มคนนี้ฆ่า

“หืม? ยังไม่เชื่ออีกงั้นเหรอ? อ้อ แต่ก็เข้าใจได้ละนะ เพราะพวกแกยังไม่เห็นความแข็งแกร่งของฉันเลย”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้ออีกฝ่าย และตัดสินใจแล้วว่าตอนนี้มันคงได้เวลาแล้วที่เขาจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจทุกอย่างได้อย่างชัดเจนด้วยกำลัง!

ทันใดนั้น!

พลังวิญญาณก็ปะทุขึ้นสูงเสียดฟ้า!

หญ้ารอบ ๆ ถูกกวาดจนล้มระเนระนาด!

อู๋หลินที่สงบอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที!

“บัดซบ! ไอ้เด็กนี้อยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงเป็นอย่างต่ำ!!”

ทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างของอวี้ฮ่าวหราน หัวใจของเขาก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก!

“ห๊ะ!”

อู๋ชิงสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวจากอวี้ฮ่าวหรานเช่นกัน เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ!

ดวงตาของอู๋ชิงเบิกกว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่สายตาของเขามองเห็นในตอนนี้!

“นี่! นี่เป็นไปได้ยังไง!?”

“หนีเร็ว! เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!!”

อู๋หลินตะโกนลั่น เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายมันน่ากลัวยิ่งกว่าขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูง!

ชายหนุ่มผู้นี้น่ากลัวเกินไป!

อู๋หยวนฮัวซึ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดนัก ในขณะนี้เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นเสียงดังอย่างตื่นตระหนก!

“นี่…นี่มัน ตระกูลอู๋ไปทำอะไรไว้ ทำไมถึงมีปัญหากับตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้!?”

“โอ้? พวกแกอยากหนีงั้นเหรอ? น่าเสียดายที่มันสายไปแล้ว!”

อวี้ฮ่าวหรานระเบิดพลังขึ้นอย่างฉับพลัน และในขณะนี้ เขาพุ่งเข้าไปหาทั้งสามคนด้วยพลังวิญญาณที่เอ่อล้นในมือ!

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในเวลานี้ เขามั่นใจว่าเขาสามารถจัดการกับสามคนนี้ได้อย่างง่ายดาย!

“ตั้งค่ายกล! ช่วยกันตั้งค่ายกลเดี๋ยวนี้!”

อู๋หลินซึ่งมีประสบการณ์มากที่สุด แม้ว่าตัวเองก็ตกตะลึง แต่เขาก็เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ทันและหาวิธีรับมือเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว

“ช…ใช่ ตั้งค่ายกล ตั้งค่ายกล!”

อู๋ชิงตื่นตระหนกสุดขีด ความหยิ่งผยองก่อนหน้านี้ของเขาได้หายไปจนหมดสิ้น

ทันทีหลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ประสานพลังกันเปิดใช้ค่ายกลสำเร็จภายในไม่กี่วินาที ส่งผลให้พลังวิญญาณรอบ ๆ ควบแน่นในบริเวณที่พวกเขาอยู่และก่อรูปร่างเป็นปราสาทสีทองที่ดูคงกระพันพุ่งไปครอบร่างของอวี้ฮ่าวหรานเอาไว้!

ค่ายกลนี้แข็งแกร่งกว่าที่อู๋ลั่นเคยใช้เป็นสิบเท่า!

“ก็งั้น ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย

“ฮึ่ม! ต่อให้แกจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่แกก็ไม่มีทางหลุดจากค่ายกลของเราไปได้แน่นอน!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโง่เง่าถึงขนาดยอมให้พวกเขาตั้งค่ายกลได้สำเร็จ อู๋ชิง ก็รู้สึกตื่นตระหนกน้อยลงและมีความมั่นใจมากขึ้น

อีกฝ่ายอาจจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลเลยก็ได้ เพราะไม่งั้นอีกฝ่ายจะต้องไม่เอื่อยเฉื่อยรอให้พวกเขาตั้งค่ายกลเสร็จแบบนี้ ดังนั้นไม่แน่ว่าศึกนี้พวกเขาอาจจะสามารถเอาชนะได้ก็ได้

“แกนี่ไม่เชื่อที่ฉันพูดเลยสักอย่างสินะ ได้! เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดูว่าทำไมฉันถึงบอกว่าค่ายกลของพวกแกมันงั้น ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย และวินาทีต่อมาเขาก็รวบรวมพลังวิญญาณเอาไว้ที่กำปั้นและชกออกไปที่ยอดปราสาทสีทองอย่างแรงซึ่งอยู่ในหัวของเขา!

‘บึ้ม!’

เสียงระเบิดดังสนั่น…

ปราสาทสีทองที่เคยตั้งตระหง่านราวกับว่าไม่มีวันพังทลาย แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยสลายหายไปในทันที!

ฉากนี้ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างและทำอะไรไม่ถูก!

“นี่มัน…เป็นไปได้ยังไง!”

อู๋หลินกลัวจนตัวสั่นอย่างรุนแรง!

แม้ว่าค่ายกลที่พวกเขาสร้างจะเป็นค่ายกลที่สร้างขึ้นอย่างลวก ๆ แต่มันก็ยังทรงพลังเป็นอย่างมาก คนส่วนใหญ่ถูกกักขัง ไม่ต้องพูดถึงการทำลายค่ายกล แค่มีชีวิตรอดจากแรงกดดันภายในค่ายกลได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว!

“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าค่ายกลพวกแกมันก็งั้น ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานเยาะเย้ยอย่างขบขัน

ด้วยเนตรเทวะของเขา ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลชนิดใด ก็สามารถเห็นจุดอ่อนของพวกมันทั้งหมด ขนาดค่ายกลที่แข็งแกร่งจนสามารถทำลายโลกทั้งใบได้ของดินแดนแห่งเทพ เขายังทำลายมันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนับประสาอะไรกับการทำลายค่ายกลที่อ่อนแอของมนุษย์โลกเช่นนี้?

“ก…แก…นี่ระดับการบ่มเพาะของแกอยู่ระดับไหนกันแน่!?”

ในเวลานี้ อู๋หลินแสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต!

บทที่ 353 ความสามารถด้านเปียโนของเด็กน้อย

บทที่ 353 ความสามารถด้านเปียโนของเด็กน้อย

เช้าวันถัดมา

“เย้! ถวนถวนกำลังจะได้ไปที่ห้องเปียโน!”

เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความดีใจหลังจากตื่นขึ้น

หลี่หรงมองพี่เขยของตัวเองอย่างเหนื่อยใจ

“พี่เขย พี่ไม่ควรตามใจถวนถวนมากแบบนี้ พี่ไม่ควรให้ทุกอย่างที่ถวนถวนต้องการ ห้องเปียโนนี่มันมากเกินไป เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก แม้ว่าพ่อของฉันจะรวยมาก แต่ฉันยังไม่ได้เลยมันเลยทั้ง ๆ ที่ฉันขอพ่อเป็นร้อย ๆ รอบ!”

เธอเองก็เล่นเปียโนเป็นเช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ไม่ได้เล่นมันอีกเพราะความไม่สะดวกในหลาย ๆ เรื่อง

นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หลี่หรงอยากให้ถวนถวนเรียนเปียโน

เธออยากให้เด็กน้อยคนนี้สานต่อความฝันของเธอเอง

แต่เธอไม่คิดเลยว่าความสามารถของเด็กน้อยจะน่าอัศจรรย์ขนาดนี้

หลังจากเรียนได้เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็ได้รับการส่งเสริมจากครูให้เข้าร่วมการแข่งขันซะงั้น

เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมที่เป็นเลิศมาจากผู้ให้กำเนิดแน่นอน หลี่หรงคิดอย่างจนใจ

“แต่พี่สาวของฉันเล่นเปียโนไม่เป็น ส่วนพี่เขย…ก็ไม่น่าจะเป็นด้วยไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมถวนถวนถึงมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนขนาดนี้?”

เธอมองพี่เขยของเธอด้วยความสงสัย

“อะแฮ่ม ๆ แน่นอน ลูกสาวของพี่ย่อมยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน!”

อวี้ฮ่าวหรานไอเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดสงสัยของหลี่หรง

ถวนถวนกระโดดไปมาอย่างมีความสุขในเวลานี้

“ฮี่ฮี่! ถวนถวนทำได้ทุกอย่าง!”

เมื่อเห็นฉากที่พ่อและลูกสาวต่างโอ้อวดตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลี่หรง ก็พูดไม่ออก

“จ้า ๆ คู่พ่อลูกสุดสมบูรณ์แบบ! ฉันไปทำงานก่อนล่ะ!”

หลังจากนั้นเธอก็ผลักประตูออกไป อันที่จริงเธอภูมิใจกับเรื่องนี้เช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นาน อวี้ฮ่าวหรานก็พาลูกสาวของเขาออกไปจากห้องเช่นกัน

ทันทีที่เขามาถึงบริษัท ผู้จัดการหวังก็ทักทายเขา

“ประธานอวี้! ห้องเปียโนพร้อมแล้ว ให้ผมพาคุณไปดูเลยไหม?”

“อืม ไปกันเลย”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาพอใจกับชายคนนี้ที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับเขาได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้องเปียโน

“เพราะเป็นห้องเปียโน ผมจึงเลือกห้องที่กันเสียงได้ดีมากที่สุด แค่เพียงปิดประตูเสียงจากภายในก็ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาได้ และเสียงจากภายนอกก็จะไม่เล็ดลอดเข้าไปรบกวนด้านในห้องเช่นกัน”

ผู้จัดการหวังเริ่มแนะนำ

“ส่วนเปียโน เพื่อตอบสนองความต้องการของท่านประธาน ผมจึงเลือกซื้อเปียโนระดับดีที่สุดมาเลย ซึ่งทางร้านขายก็บริการเราดีมาก พวกเขาปรับจูนมันโดยใช้เวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้น”

“อืม ผมพอใจมาก”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นสิ่งนี้ เขาก็ปรบมือ และเมื่อมองลงไปที่เด็กน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ก็พบว่าใบหน้าของถวนถวนกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“นี่…นี่ใช่เปียโนของถวนถวนจริง ๆ เหรอ!! เย้! มันสวยจังเลยพ่อจ๋า!”

เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากในขณะนี้

ต้องรู้ว่าในโรงเรียนพิเศษมีเปียโนเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ซึ่งในแต่ละชั้นเรียนมีเปียโนแค่ตัวเดียวแต่มีเด็กนักเรียนมากกว่าหนึ่งโหลในชั้นเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถผลัดกันฝึกฝนได้เท่านั้น

เด็กน้อยหวงแหนโอกาสได้เล่นทุกครั้งที่ถึงตาเธอ

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เธอเป็นเจ้าของเปียโนทั้งตัวซึ่งเป็นของเธอแค่คน ๆ เดียวเท่านั้น!

“พ่อจ๋า! ถวนถวนรักพ่อที่สุดเล้ย!”

เด็กน้อยตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เธอมีความสุขมากจนคิดว่าตัวเองฝันไปด้วยซ้ำ

ถวนถวนเดินไปลูบ ๆ คลำ ๆ เปียโนอยู่นานก่อนที่จะหันกลับมาถาม ผู้จัดการหวังอย่างตื่นเต้นอีกรอบ

“ลุงหวัง เปียโนนี่เป็นของถวนถวนจริง ๆ ใช่ไหม?”

“ถูกต้อง เปียโนตัวนี้เป็นของถวนถวน! พ่อของถวนถวนรักหนูมากจริง ๆ”

ผู้จัดการหวังยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นใบหน้าที่น่ารักของเด็กน้อย

“ฮ่า ๆ ถวนถวนชอบลุงหวังที่สุดเหมือนกัน!”

เด็กน้อยเบิกบานสุด ๆ ในเวลานี้ และหลังจากพูดจบ เด็กน้อยก็หันกลับไปลูบ ๆ คลำ ๆ เปียโนสีขาวเหมือนเดิม

“เนื่องจากผมคำนึงถึงเรื่องที่ถวนถวนยังป็นเด็ก ดังนั้นเปียโนนี้จึงมีขนาดเล็กกว่าเปียโนทั่วไปเล็กน้อย ซึ่งมันจะเหมาะกับถวนถวน มากกว่า หวังว่าท่านประธานคงไม่โทษที่ผมตัดสินใจโดยพลการ”

ผู้จัดการหวังหันกลับมาอธิบายต่อด้วยรอยยิ้ม

ในเวลานี้ ประตูก็ถูกปิด ซึ่งมันทำให้ดูเหมือนราวกับว่าห้องนี้ถูกแยกออกจากโลกภายนอก บรรยากาศภายในห้องมันเงียบมาก

ทันใดนั้น เสียงเปียโนอันไพเราะก็ดังขึ้น

ท่วงทำนองช้า ๆ ที่มาจากมือเล็ก ๆ ของเด็กน้อยก็ดังขึ้นอย่างไหลลื่น!

ท่วงทำนองที่สวยงามและไพเราะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีเสียงที่ผิดเพี้ยนหรือผิดจังหวะแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนที่เล่นอยู่ไม่ใช่คนที่เพิ่งเคยเรียนมา!

“นี่…นี่คือความสามารถของลูกสาวท่านประธานงั้นเหรอ?”

เมื่อได้ยินท่วงทำนองเปียโนที่ไพเราะขนาดนี้ ดวงตาของผู้จัดการหวังก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเปียโน แต่ท่วงทำนองนี้มันดีเกินกว่าที่เด็กตัวเล็ก ๆ จะเล่นได้แน่นอน!

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจเช่นกันในเวลานี้

เขาเคยฟังแต่คำชมของครูหลิวถึงพรสวรรค์ของถวนถวน แต่ไม่คิดว่าลูกสาวของเขาจะเล่นได้ดีขนาดนี้!

เดิมทีชายหนุ่มกังวลเล็กน้อยว่าปัญหาเรื่องอันดับการแข่งขันจะกระทบกับจิตใจลูกสาวของเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากังวลไปเองโดยใช่เหตุ

ด้วยพรสวรรค์ของถวนถวน ไม่มีทางที่เด็กคนอื่น ๆ จะสู้ได้อย่างแน่นอน!

“พ่อจ๋า! ถวนถวนเล่นเป็นไงบ้าง?”

หลังจากกดโน้ตสุดท้าย ถวนถวนก็หยุดเล่นและหันกลับมองพ่อของเธอ

“ดี! มันดีมาก! ถวนถวนของพ่อน่าทึ่งจริง ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานภูมิใจอย่างยิ่ง นี่คือลูกสาวของเขา!

จากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปอุ้มเด็กน้อยมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา และอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มอย่างอ่อนโยน

“โอ๊ย…หนวดของพ่อจ๋าแหลมมาก!”

หลังจากที่เด็กน้อยถูกหอม ใบหน้าของเธอดูมีความสุข แต่เพราะหนวดเคราที่จิ้มแทงมันทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเอามือลูบแก้มของตัวเอง

“เอ่อ…จากนี้ไปพ่อจะโกนหนวดทุกวันดีไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“ไม่ ไม่! พ่อจ๋ามีหนวดแบบนี้หล่อที่สุดแล้ว! ถวนถวนชอบแบบนี้มากที่สุด!”

เมื่อได้ยินคำถาม เด็กน้อยก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็วและลูบคางอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเป็นประกาย

“งั้นพ่อจะไม่โกนมันก็แล้วกัน”

สำหรับลูกสาวของเขา เขายอมตามใจทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้

เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้จัดการหวังอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข

“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว และท่านประธานพอใจกับทุกอย่าง ผมก็ขอตัวออกไปจัดการงานอื่นก่อนก็แล้วกันนะครับ”

เมื่อเห็นว่าคู่พ่อลูกอาจจะต้องการใช้เวลาส่วนตัว ผู้จัดการหวังจึงรีบเอ่ยขอตัวและออกไปในทันที

บทที่ 357 ประนีประนอม

บทที่ 357 ประนีประนอม

“ค่ายกลของฉัน!! เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”

อู๋หลินมองไปที่ค่ายกลที่พังทลาย เขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น!

“หึหึ ก็แค่ค่ายกลของมดแมลง ต่อหน้าฉันมันไม่มีความหมายอะไรหรอก!”

อวี้ฮ่าวหรานมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก ก่อนที่จะกระทืบเท้าส่งคลื่นพลังวิญญาณกวาดไปยังทั้งสามคนที่กำลังยืนตะลึงงันอยู่!

อู๋หลินขนหัวลุกทันทีเมื่อเห็นภาพนี้ เขาจึงรีบโคจรพลังวิญญาณและซัดฝ่ามือเข้าต้านอย่างร้อนรน

‘บึ้ม!!!’

ทันทีที่พลังวิญญาณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คลื่นกระแทกก็แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทางอย่างรุนแรง!

พื้นที่ในระยะรัศมียี่สิบเมตรราบเป็นหน้ากลองอย่างฉับพลัน!

ทางด้านของอู๋หลิน แม้ว่าเขาจะซัดฝ่ามือออกไปต้านได้ทัน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกับพลังที่รุนแรงของอวี้ฮ่าวหรานได้ ร่างของเขาและอีกสองคนไถลไปไกลคนละทิศคนละทางเจ็ดถึงแปดเมตร

“แข็งแกร่งมาก!”

หลังจากยันกายขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ อู๋หลินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก

ชายหนุ่มคนนี้ดูลึกลับเหลือเกินในสายตาของเขา

อีกฝ่ายน่าจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ แต่เหตุไฉนถึงสามารถบรรลุความแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้?

แม้แต่พวกโอรสสวรรค์ที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะด้านการบ่มเพาะ ในวัยยี่สิบปีอย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะเพิ่งทะลวงระดับขึ้นมาอยู่ขอบเขตก่อรากฐานเท่านั้น ไม่มีอัจฉริยะคนไหนเลยที่อายุยี่สิบต้น ๆ แล้วจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้!

ไม่เคยมีเลยในประวัติศาสตร์!

“หยุดก่อน หยุดก่อน!”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อู๋หลินก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว คราวนี้ตระกูลอู๋ได้ล่วงเกินตัวตนที่ไม่ควรจะล่วงเกินมากที่สุดเข้าให้แล้ว!

และยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลอู๋กำลังจะลากสำนักเมฆาเขียวให้เดือดร้อนไปด้วย!

“หืม แกไม่อยากสู้ต่ออีกแล้วเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจ เขาไม่นึกเลยว่าหลังจากที่ปะทะกันไปเพียงสองกระบวนท่า อีกฝ่ายกลับตะโกนให้หยุดแบบนี้

“ตายซะ! ใครก็ตามที่หยามสำนักเมฆาเขียวจะต้องตายทั้งหมด!”

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังลั่นมาจากข้างหลังเขา!

คนที่ตะโกนขึ้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอู๋ชิง! ขณะนี้แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความโกรธ เขาโคจรพลังวิญญาณของตัวเองจนถึงขีดสุดและชกหมัดเข้าหาแผ่นหลังของอวี้ฮ่าวหราน

แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานดูไม่ได้แยแสอะไรมากนัก เขาหันกลับไปและชกหมัดสวนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์!

‘ปัง!’

คลื่นกระแทกกวาดบริเวณโดยรอบอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานยังคงยืนอยู่จุดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่อีกฝ่ายกระเด็นถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้!

“เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณอย่างเต็มที่แบบนี้มานานมากแล้ว ดังนั้นการได้สู้อย่างเต็มที่แบบนี้มันจึงทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง

จากนั้นเขาดีดตัวพุ่งตามอู๋ชิงที่ยังคงตั้งตัวไม่ได้และง้างหมัดต่อยอีกรอบ!

“ฮ่า ๆ มา! มาเป็นกระสอบทรายให้ฉัน!”

‘ปัง!’

หลังจากเยาะเย้ย อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหมัดเข้าไปที่อกของอู๋ชิงเต็ม ๆ ส่งร่างของอู๋ชิงกระแทกลงไปที่พื้นอย่างแรง!

ภายใต้แรงกระแทกอันรุนแรง พื้นดินยุบเป็นหลุมลึกเกือบเมตร และมีรอยแตกระแหงคล้ายกับใบแมงมุม!

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะโดนอัดไปขนาดนี้แต่ อู๋ชิงก็ยังใจสู้ เขาไม่คิดที่ถอยกลับแม้แต่น้อย!

“บัดซบ!”

ด้วยความโกรธ อู๋ชิงจึงฝืนดีดตัวขึ้นจากหลุมอย่างรวดเร็วพร้อมกับโคจรพลังวิญญาณอีกครั้ง!

“ร่างเงาลวงตา!”

หลังจากสิ้นเสียงตะโกน จู่ ๆ ร่างของอู๋ชิงก็แยกออกเป็นสาม!

อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็แสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เพราะแทบจะในทันทีเขาก็เห็นว่าร่างไหนเป็นร่างที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน

วิชาลวงตาแบบนี้ช่างกระจอกสิ้นดี!

เขาสามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้เนตรเทวะเลยด้วยซ้ำ

วิชาของอีกฝ่ายมีจุดบอดร้ายแรงจนน่าขำ ร่างลวงนั้นไม่แม้แต่จะสามารถคัดลอกจังหวะหายใจของร่างต้นได้ด้วยซ้ำ หากเอาไปหลอกคนธรรมดาคงจะพอได้อยู่ แต่การเอามาหลอกอดีตจักรพรรดิเทพอย่างเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาเรื่องเจ็บตัวมากขึ้น!

แต่ในทางกลับกัน อู๋ชิงก็มีความมั่นใจมากในวิชานี้ของเขา

“ฮ่า ๆ แกแข็งแกร่งกว่าแล้วไง? แกไม่มีทางมองทะลุวิชาร่างลวงของข้าได้แน่นอน!”

“มดแมลงอย่างแกนี่ช่างดีใจกับทุกอย่างได้ง่ายจริง ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก และวินาทีต่อมา เขาได้ระเบิดพลังวิญญาณออกมาอีกครั้ง และพุ่งเข้าไปชกใส่ร่างจริงของอู๋ชิงโดยไม่สนใจร่างปลอมอีกสองร่างเลย!

‘ปัง!’

“มดแมลงอย่างแกเป็นได้มากที่สุดก็คือกระสอบทรายให้ฉัน! แกไม่สามารถเป็นอะไรไปได้มากกว่านี้!”

‘ปัง!’

‘ปัง!’

อู่ชิงไม่สามารถต้านทานหมัดของอวี้ฮ่าวหรานได้เลย เขาโดนต่อยครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างน่าอนาถโดยไม่อาจตอบโต้ได้ และทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็แสดงสีหน้าเมามันอย่างเห็นได้ชัด เขาปฏิบัติต่ออีกฝ่ายราวกับเป็นกระสอบทรายจริง ๆ

อู๋หลินที่มองอยู่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีกจริง ๆ

เมื่อครู่นี้เขาอุตส่าห์ยอมเสียหน้าบอกอีกฝ่ายไปแล้วว่าไม่อยากสู้ต่อ แต่ อู๋ชิงกลับไร้สมองพุ่งเข้าไปต่อยอีกฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าซะงั้น

เห็นได้ชัดว่าในสมองศิษย์น้องของเขาคงมีแต่ขี้เลื่อย!

ในทางตรงกันข้าม อู๋หยวนฮัวถึงแม้ว่าจะพูดน้อย แต่กลับฉลาดกว่ามาก รู้ว่าเวลาไหนควรรุกเวลาไหนควรเลิก!

ในขณะนี้ ทั้งสองมองหน้ากันและไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ

‘ปัง!’

ในขณะนี้ อู๋ชิงก็ถูกต่อยอย่างรุนแรงอีกครั้งแล้ว!

“อั่ก!! ศิษย์พี่หลิน! มาช่วยข้าที!”

เมื่อรู้สึกว่าพลังวิญญาณในร่างเหลืออีกไม่มากแล้ว ดังนั้นอู่ชิงจึงรีบขอความช่วยเหลือจากทั้งสองคนทันที

อู๋หลินกลืนน้ำลายดังเอื้อกทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้ และก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว

อู๋หยวนฮัวก็ก้าวถอยหลังอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน ภาษากายของเขาบอกอย่างชัดเจนว่าตัวเองไม่ต้องการจะสู้ต่อ!

ล้อเล่นเถอะ! ข้าไม่ได้อยากเป็นกระสอบทรายเหมือนกับเจ้าซะหน่อย!

อู๋ชิงอึ้ง

เมื่อเห็นภาพนี้ ในหัวของอู๋ชิงก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

ในขณะเดียวกันนี้ อู๋หลินตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่สู้ต่ออย่างแน่นอน

อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกันมากมาย การที่อู๋ลั่นไปยั่วยุคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก่อนแล้วถูกฆ่าตายมันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว

พวกเขาไม่จำเป็นต้องตายตามไปด้วยจริงไหม?

ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พุ่งเข้าไปประชิดตัวอู่ชิงอีกครั้ง และกำลังจะง้างหมัดต่อยอีกรอบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉากนี้ ในที่สุดอู๋หลินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาไม่อยากเห็นศิษย์น้องของเขาโดนอัดเหมือนกระสอบทรายอีกแล้ว

เขาต้องประนีประนอมกับอีกฝ่าย!

“น..น้องชายยั้งมือก่อน! ยั้งมือก่อน!”

“หืม?”

อวี้ฮ่าวหรานหันกลับไปมองอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าชายชราคนนี้มีไหวพริบพอสมควร เพราะหลังจากที่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่า ชายชราคนนี้ก็เลือกที่จะเจรจาทันที

“น้องชาย เราเลิกรากันตรงนี้ได้ไหม? ครั้งล่าสุดที่อู๋ลั่นมารังควานเจ้า เป็นเพราะเขาได้รับคำร้องขอจากตระกูลอู๋ ซึ่งอันที่จริงการที่อยู่ ๆ เขาตามล่าเจ้าเช่นนั้น โดยที่ยังไม่รู้เรื่องปมขัดแย้งว่าเกิดเพราะเหตุใดมันย่อมไม่ถูกต้อง และถือว่าสำนักเมฆาเขียวของเราก็มีส่วนผิดพลาดที่ไม่สั่งสอนศิษย์ให้ดี ดังนั้นในเมื่อเขาตายไปแล้ว เราก็ถือว่าหายกันเป็นอย่างไร?”

อู่หลินลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุด ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีเหตุผลพอสมควรเช่นกัน

“ท้ายที่สุด เราไม่ได้มีความฝังลึกอะไรกันมากถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกันให้ได้ การมาที่นี่คราวนี้ เราแค่ต้องการมาถามหาเหตุผล ซึ่งในตอนนี้เราเองพอจะเดาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันแบบนี้อีกต่อไป”

อู๋หลินพยายามปั้นแต่งคำหาข้ออ้างต่าง ๆ นานาอย่างสุดชีวิตเพื่อจบศึกนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะมีคนตาย และหลังจากอธิบายจบเขาก็มองไปที่อู๋ชิง ซึ่งตอนนี้หน้าซีดเป็นกระดาษจากอาการบาดเจ็บที่ถูกอัดไปหลายครั้ง

“เอ่อ…ส่วนเรื่องที่ศิษย์น้องของข้าเมื่อครู่…เขาแค่เป็นคนที่อารมณ์ร้อนมากเกินไป น้องชายโปรดอย่าถือสาเลยจะได้ไหม…?”

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามกลับ

“อืม…เหตุผลที่พูดมาพอรับฟังได้ คือสรุปแล้ว พวกแกจะไม่มาสร้างความรำคาญให้กับฉันอีกแล้วใช่ไหม?”

บทที่ 356 ทำลายค่ายกล

บทที่ 356 ทำลายค่ายกล

เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ อวี้ฮ่าวหรานก็มองทั้งสามคนอย่างดูถูก

คนพวกนี้อยู่แค่ขอบเขตก่อรากฐานเท่านั้น แต่กลับกล้าเรียกเขาว่ามนุษย์ธรรมดา คนพวกนี้นี่มันหยิ่งผยองจริง ๆ!

“บอกมาให้ชัด ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

หลังจากที่อู๋หลินกลับมาได้สติ เขาก็ระงับกิริยาท่าทางที่ตกตะลึงของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

“ทำไมเรื่องแค่นี้ยังเดากันไม่ออกอีก? ฉันเนี่ยแหละที่เป็นคนฆ่ามันเอง! ในเมื่อคนของพวกแกระรานคนในครอบครัวของฉัน ทำไมฉันถึงจะไม่ฆ่ามันทิ้ง?”

อวี้ฮ่าวหรานตอบอย่างไม่แยแส

“อ…ไอ้เด็กเวรแกหยุดโกหกได้แล้ว!! แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าอู๋ลั่นอยู่ที่ไหน ไม่งั้นข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่านรกมันเป็นยังไง!!”

อู๋ชิงเดือดดาลสุดขีดในขณะนี้ และเขาพร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเมื่อ เขายังคงไม่เชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถฆ่าพี่ชายของเขาได้

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และตอบกลับอย่างสบาย ๆ

“เฮ้อ เอาเถอะ ๆ ฉันเองก็ขี้เกียจจะอธิบายให้มากความเช่นกัน เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะพาพวกแกไปดูอู๋ลั่นของพวกแกก็แล้วกัน มา! ตามมา!”

ใจหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็อยากจะสู้กับคนเหล่านี้ทันที แต่ในทางกลับกัน เขาก็กังวลว่าการต่อสู้ที่นี่มันจะสร้างความเสียหายให้กับบริษัทของเขาอย่างใหญ่หลวง

ต้องรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะมันค่อนข้างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

“ไป! แกรีบนำทางไปเร็ว ๆ เลย! ฉันอยากจะรู้เหมือนว่าแกมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่!”

อู๋ชิงซึ่งกำลังจะจู่โจมอยู่แล้วระงับพลังของตัวเองชั่วคราว เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานยอมที่จะนำทางไปตามหาอู๋ลั่น

มนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แค่เขาตบด้วยมือเปล่าก็ตายแล้ว ดังนั้นฆ่าเมื่อไหร่ก็มีค่าเท่ากัน

ไม่นานนัก อวี้ฮ่าวหรานก็นำทั้งสามคนมาถึงบริเวณป่ารกข้างถนนย่านไร้ผู้คนอยู่อาศัย

อวี้ฮ่าวหรานหยุดลงและหันมาอย่างกะทันหัน!

“มาถึงแล้ว!”

“ที่นี่ที่ไหน?

อู๋ชิงมองไปรอบ ๆ และเห็นว่าบริเวณโดยรอบไม่มีอะไรเลยนอกจากความทุรกันดารและโกรธทันที

อู๋หลินไม่ได้พูดอะไรในเวลานี้

ในใจของเขา ชายหนุ่มที่เย่อหยิ่งอย่างอวี้ฮ่าวหรานเหมาะจะให้อู๋ชิง จัดการมากที่สุด!

“ก็ฉันไม่ได้บอกแกไปแล้วหรือไงว่าอู๋ลั่นตายแล้ว มันตายอยู่ตรงนี้นี่แหละ!” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้น

“เจ้า! เจ้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแต่กลับกล้าเล่นลิ้นกับข้าผู้นี้งั้นเหรอ! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!!”

อู๋ชิงโกรธมากเมื่อได้ยินคำนี้ เขายังคงไม่เชื่อว่าอู๋ลั่นที่อยู่ขอบเขตก่อรากฐานจะถูกชายหนุ่มคนนี้ฆ่า

“หืม? ยังไม่เชื่ออีกงั้นเหรอ? อ้อ แต่ก็เข้าใจได้ละนะ เพราะพวกแกยังไม่เห็นความแข็งแกร่งของฉันเลย”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้ออีกฝ่าย และตัดสินใจแล้วว่าตอนนี้มันคงได้เวลาแล้วที่เขาจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจทุกอย่างได้อย่างชัดเจนด้วยกำลัง!

ทันใดนั้น!

พลังวิญญาณก็ปะทุขึ้นสูงเสียดฟ้า!

หญ้ารอบ ๆ ถูกกวาดจนล้มระเนระนาด!

อู๋หลินที่สงบอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที!

“บัดซบ! ไอ้เด็กนี้อยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงเป็นอย่างต่ำ!!”

ทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างของอวี้ฮ่าวหราน หัวใจของเขาก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก!

“ห๊ะ!”

อู๋ชิงสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวจากอวี้ฮ่าวหรานเช่นกัน เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ!

ดวงตาของอู๋ชิงเบิกกว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่สายตาของเขามองเห็นในตอนนี้!

“นี่! นี่เป็นไปได้ยังไง!?”

“หนีเร็ว! เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!!”

อู๋หลินตะโกนลั่น เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายมันน่ากลัวยิ่งกว่าขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูง!

ชายหนุ่มผู้นี้น่ากลัวเกินไป!

อู๋หยวนฮัวซึ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดนัก ในขณะนี้เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นเสียงดังอย่างตื่นตระหนก!

“นี่…นี่มัน ตระกูลอู๋ไปทำอะไรไว้ ทำไมถึงมีปัญหากับตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้!?”

“โอ้? พวกแกอยากหนีงั้นเหรอ? น่าเสียดายที่มันสายไปแล้ว!”

อวี้ฮ่าวหรานระเบิดพลังขึ้นอย่างฉับพลัน และในขณะนี้ เขาพุ่งเข้าไปหาทั้งสามคนด้วยพลังวิญญาณที่เอ่อล้นในมือ!

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในเวลานี้ เขามั่นใจว่าเขาสามารถจัดการกับสามคนนี้ได้อย่างง่ายดาย!

“ตั้งค่ายกล! ช่วยกันตั้งค่ายกลเดี๋ยวนี้!”

อู๋หลินซึ่งมีประสบการณ์มากที่สุด แม้ว่าตัวเองก็ตกตะลึง แต่เขาก็เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ทันและหาวิธีรับมือเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว

“ช…ใช่ ตั้งค่ายกล ตั้งค่ายกล!”

อู๋ชิงตื่นตระหนกสุดขีด ความหยิ่งผยองก่อนหน้านี้ของเขาได้หายไปจนหมดสิ้น

ทันทีหลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ประสานพลังกันเปิดใช้ค่ายกลสำเร็จภายในไม่กี่วินาที ส่งผลให้พลังวิญญาณรอบ ๆ ควบแน่นในบริเวณที่พวกเขาอยู่และก่อรูปร่างเป็นปราสาทสีทองที่ดูคงกระพันพุ่งไปครอบร่างของอวี้ฮ่าวหรานเอาไว้!

ค่ายกลนี้แข็งแกร่งกว่าที่อู๋ลั่นเคยใช้เป็นสิบเท่า!

“ก็งั้น ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย

“ฮึ่ม! ต่อให้แกจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่แกก็ไม่มีทางหลุดจากค่ายกลของเราไปได้แน่นอน!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโง่เง่าถึงขนาดยอมให้พวกเขาตั้งค่ายกลได้สำเร็จ อู๋ชิง ก็รู้สึกตื่นตระหนกน้อยลงและมีความมั่นใจมากขึ้น

อีกฝ่ายอาจจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลเลยก็ได้ เพราะไม่งั้นอีกฝ่ายจะต้องไม่เอื่อยเฉื่อยรอให้พวกเขาตั้งค่ายกลเสร็จแบบนี้ ดังนั้นไม่แน่ว่าศึกนี้พวกเขาอาจจะสามารถเอาชนะได้ก็ได้

“แกนี่ไม่เชื่อที่ฉันพูดเลยสักอย่างสินะ ได้! เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดูว่าทำไมฉันถึงบอกว่าค่ายกลของพวกแกมันงั้น ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย และวินาทีต่อมาเขาก็รวบรวมพลังวิญญาณเอาไว้ที่กำปั้นและชกออกไปที่ยอดปราสาทสีทองอย่างแรงซึ่งอยู่ในหัวของเขา!

‘บึ้ม!’

เสียงระเบิดดังสนั่น…

ปราสาทสีทองที่เคยตั้งตระหง่านราวกับว่าไม่มีวันพังทลาย แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยสลายหายไปในทันที!

ฉากนี้ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างและทำอะไรไม่ถูก!

“นี่มัน…เป็นไปได้ยังไง!”

อู๋หลินกลัวจนตัวสั่นอย่างรุนแรง!

แม้ว่าค่ายกลที่พวกเขาสร้างจะเป็นค่ายกลที่สร้างขึ้นอย่างลวก ๆ แต่มันก็ยังทรงพลังเป็นอย่างมาก คนส่วนใหญ่ถูกกักขัง ไม่ต้องพูดถึงการทำลายค่ายกล แค่มีชีวิตรอดจากแรงกดดันภายในค่ายกลได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว!

“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าค่ายกลพวกแกมันก็งั้น ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานเยาะเย้ยอย่างขบขัน

ด้วยเนตรเทวะของเขา ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลชนิดใด ก็สามารถเห็นจุดอ่อนของพวกมันทั้งหมด ขนาดค่ายกลที่แข็งแกร่งจนสามารถทำลายโลกทั้งใบได้ของดินแดนแห่งเทพ เขายังทำลายมันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนับประสาอะไรกับการทำลายค่ายกลที่อ่อนแอของมนุษย์โลกเช่นนี้?

“ก…แก…นี่ระดับการบ่มเพาะของแกอยู่ระดับไหนกันแน่!?”

ในเวลานี้ อู๋หลินแสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต!

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท