บทที่ 304 ซื้อรถใหม่
บทที่ 304 ซื้อรถใหม่
หลิ่วอวี้จิงครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดในขณะนี้
ทว่าเมื่อตัวเองนึกถึงความแข็งแกร่งของกงซุนซา เขาก็ยิ่งต้องการที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตถัดไปมากกว่าจึงยอมแลกได้ทุกอย่าง
“ตกลงพี่กงซุน! ฉันจะสั่งให้แก๊งวาฬยักษ์ออกไปสู้เดี๋ยวนี้!”
หลังจากชั่งน้ำหนักทุกอย่างในใจแล้ว ในที่สุดเขาก็ตกลงตามข้อเสนอของอีกฝ่าย!
คืนนั้น แก๊งวาฬยักษ์เริ่มโต้กลับอย่างเต็มรูปแบบ!
ด้วยสถานการณ์นี้ สองในสามแก๊งใหญ่ในเมืองฮ่วยอัน จึงเริ่มสงครามเต็มรูปแบบระหว่างกัน!
แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปแทบจะไม่รับรู้เลยว่าโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันกำลังเกิดศึกนองเลือด เพราะถึงแม้ว่าพวกอันธพาลจะรวมกลุ่มกัน แต่พวกเขาลอบฆ่าในที่ลับตาคน เนื่องจากยังคงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
บ่ายวันถัดมา…
อวี้ฮ่าวหรานต้องการซื้อรถ และเมื่อชายหนุ่มเดินทางเกือบจะถึงโชว์รูม เขาก็โทรศัพท์ไปหาหลิวเทียนอี้
หลิวเทียนอี้รู้สึกปลื้มปริ่มทันที เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานโทรมาหาตัวเองก่อน
“สวัสดีครับคุณอวี้! ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ ถึงได้โทรมาหาผมก่อนเช่นนี้…”
น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยการประจบประแจง ซึ่งทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขยะแขยง
“ตอนนี้นายยังอยู่ในโชว์รูมรถหรือเปล่า?”
อวี้ฮ่าวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่าย เขาจึงถามเข้าตรงประเด็นทันที…
“ผมเหรอ? ผมเพิ่งออกมาข้างนอกเมื่อครู่นี้เอง…คุณอวี้จะมาเพื่อซื้อรถใช่ไหม? ไม่ต้องห่วง! ผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!!”
หลิวเทียนอี้พอจะเดาได้ถึงจุดประสงค์ของอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้เขาตื่นเต้น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเลือกซื้อของฉันเอง เอาไว้ตอนเย็นฉันจะพาถวนถวนไปบ้านนายเพื่อดูพวกลูกหมา”
“ม…ไม่ได้หรอกคุณอวี้! คนพิเศษอย่างคุณหากต้องการจะซื้อรถ ผมต้องดูแลคุณด้วยตัวผมเองให้ดีที่สุด และอีกอย่างผมอยากจะ…”
‘…’
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเริ่มเพ้อเจ้อ อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายอย่างไม่อดทนและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง
ไม่ว่าชายหนุ่มจะคุยกับหลิวเทียนอี้มาแล้วกี่รอบ แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดได้เสมอ
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่อยู่ในโชว์รูมรถ เขารีบเร่งเครื่องรถของตัวเองเพื่อไปให้ถึงเร็วที่สุดทันที ก่อนที่ไอ้อ้วนที่น่ารำคาญนั่นจะกลับมา
โชว์รูมขายรถ ‘4S’
เนื่องจากเป็นบ่ายวันจันทร์ ลูกค้าในโชว์รูมจึงมีไม่มาก
ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปในโชว์รูม เขาก็ได้ยินเสียงแหลมที่น่ารำคาญหูดังขึ้น
“ฉันบอกแกแล้วไง! ถ้าแกไม่มีสองล้าน ฉันไม่มีทางยกลูกสาวของฉันให้แกแน่! แกคิดว่าฉันจะสงสารคนจน ๆ อย่างแกงั้นเหรอ? และอย่ามาพูดเรื่องความรักบ้าบอให้ฉันได้ยินเชียวนะ ฉันไม่สน! ความรักมันกินไม่ได้จำใส่กะโหลกแกไว้ ถ้าแกไม่มีเงิน แกอย่าหวังว่าจะได้แต่งงานกับลูกสาวของฉัน ฉันยอมให้ลูกสาวของฉันเป็นโสดตายไปดีกว่าให้แต่งงานกับคนจน ๆ อย่างแก!!!”
หลังจากมองไปยังต้นเสียง อวี้ฮ่าวหรานก็พบว่าเป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งหน้าหนาเตอะและเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ถ้าแกไม่มีเงิน แกก็ไสหัวออกไปจากชีวิตลูกสาวของฉันซะ! เออ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แค่นี้แหละ ฉันมีลูกค้า!”
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามา หญิงวัยกลางคนก็วางสายทันทีและทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?”
เห็นได้ว่าหญิงวัยกลางคนปากร้ายคนนี้ยังคงมีความเป็นมืออาชีพอยู่บ้าง แม้ว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีกับการคุยกับคนในโทรศัพท์ แต่หลังจากที่วางสาย เธอก็ยังสามารถทักทายอวี้ฮ่าวหรานด้วยรอยยิ้มได้
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจมากนักกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม่บางคนมองลูกสาวของตัวเองเป็นเหมือนสินค้า
“ช่วยฉันเลือกรถที”
หลังจากได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน หญิงวัยกลางคนสำรวจอวี้ฮ่าวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้าทันทีเพื่อประเมิน
จากนั้นเมื่อเธอพบว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายดูธรรมดามาก เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยในใจ
นี่ฉันต้องเสียเวลาขายรถให้กับคนจน ๆ อีกแล้วงั้นเหรอ?
ตามประสบการณ์ที่เธอเจอมา คนธรรมดาแทบทั้งหมดมักจะชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนที่จะซื้อรถสักคันซึ่งมันเสียเวลามาก และท้ายที่สุดพวกคนธรรมดาก็มักจะลงเอยด้วยการซื้อรถที่มีราคาไม่เกิน 100,000 หยวน
ด้วยราคารถที่ถูกแค่นั้น มันทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นน้อยมากหากเทียบกับความพยายามที่เธอต้องดูแลลูกค้า
ดังนั้นสีหน้าของเธอจึงผิดหวังเล็กน้อยในทันที จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็หันไปตะโกนบอกหญิงสาวอายุราวยี่สิบต้น ๆ อีกคน
“อาลี่! เธอมาดูแลลูกค้าคนนี้ที ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ!”
หลังจากพูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ไม่สนใจอวี้ฮ่าวหรานอีกเลย และหันหลังเดินจากไป
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปครึ่งทาง หญิงวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเบา ๆ กับตัวเองอย่างหงุดหงิด
“เฮอะ! พวกบ้านจนอีกตัว! คนพวกนี้นี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่รู้จักประมาณตัว และไปซื้อแค่มอเตอร์ไซค์ขับก็พอ!”
ลูกค้าที่เธอต้องการคือประธานบริษัทที่ร่ำรวยและมีอำนาจ หรือพวกนายน้อยรุ่นที่สองที่ร่ำรวย ส่วนพวกคนธรรมดาทั้งหลายนั้นเธอไม่คิดจะต้อนรับด้วยตัวเองแน่นอน
แต่เนื่องจากกฎของบริษัท เธอจึงทำได้เพียงบ่นอย่างแผ่วเบาซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีทางได้ยินเธอ
แต่น่าเสียดายที่คำบ่นเบา ๆ ของเธอหนีไม่พ้นการได้ยินของอวี้ฮ่าวหราน
เมื่อได้ยินคำบ่นของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ๆ คนส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ชอบคนจนและรักคนรวย
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘อาลี่’ ก็รีบเดินเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว
เธอดูเหมือนจะเป็นพนักงานใหม่ และเมื่อเธอได้พบกับอวี้ฮ่าวหราน การแสดงออกของเธอก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย
“อ…เอ่อ…คุณลูกค้าต้องการดูรถราคาประมาณเท่าไหร่เหรอคะ?”
หญิงสาวที่ชื่ออาลี่พยายามสงบสติอารมณ์ในระหว่างที่ถาม
แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับความเป็นมือใหม่ของอีกฝ่าย เขาแค่มาซื้อรถ ไม่ได้มาจับผิดพนักงานขาย
“รถคันไหนที่แพงที่สุดของคุณ ผมต้องการดูพวกมัน”
“หา?”
อาลี่ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เธอไม่คิดว่าคนที่แต่งตัวดูธรรมดาแบบนี้จะมาถามถึงรถที่แพงที่สุด
“ถ…ถ้าเป็นรถที่แพงที่สุดของเรา…ราคาเต็มของมันคือประมาณ 8 ล้าน คุณลูกค้าอาจจะ…”
เธอพูดอย่างลังเล และสงสัยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีเงินหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวรู้ตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่า ตอนนี้เธอกำลังแสดงทัศนคติไม่สุภาพอยู่แน่นอน ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง และเธอรีบเอ่ยขึ้นเสริมในทันที
“เอ่อ…คุณลูกค้าคะ…อย่าเพิ่งเข้าใจดิฉันผิด…ด…เดี๋ยวดิฉัน…จะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ เธอรีบเดินนำอวี้ฮ่าวหรานไปยังรถที่จัดแสดงอยู่ตรงกลางห้องโถงทันที
“โรลส์-รอยซ์ แฟนธอม ราคาของรถคันนี้อยู่ที่ 8.5 ล้านหยวน ด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหรา…”
ในขณะเดียวกันนี้ หญิงวัยกลางคนที่ก้าวออกไปแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะจากระยะไกล
“ดูนั่นสิ ฉันสามารถบอกได้เลยว่าไอ้ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนั้นไม่ใช่คนที่จะมีปัญญาซื้อรถแน่นอน พวกคนแบบนี้เข้ามาในโชว์รูมของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ แล้วดูสิตอนนี้มันเดินไปดูโรลส์รอยซ์เข้าให้แล้วไง มันคงอยากจำภาพรถเอาไปฝันในคืนนี้แน่ ๆ!”
“พี่โจว ฉันล่ะสงสารอาลี่ จริง ๆ สงสัยวันนี้คงขายรถไม่ได้อีกแล้วล่ะนะ”
ผู้หญิงอีกคนข้าง ๆ เธอพูด
“น้องใหม่ก็แบบนี้แหละ ไม่มีประสบการณ์บอกปัดลูกค้าไม่เป็น ทำตัวเองให้ยุ่งยากโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็อย่างว่าคนมาจากชนบทอย่างอาลี่ก็ได้อยู่แค่นี้แหละ ไม่มีสมองมากสักเท่าไหร่ ไม่มีวันเจริญในหน้าที่การงานหรอก”
หญิงวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่โจว’ พูดขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก
อย่างไรก็ตาม พวกเธอไม่รู้เลยว่าอวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดของพวกเธอทั้งหมด
ประสาทการได้ยินของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมาก
หลังจากที่อาลี่แนะนำเกี่ยวกับรถโรลส์-รอยซ์เสร็จ เธอก็แนะนำอวี้ฮ่าวหรานดูรถสปอร์ตสีเหลืองสดใสที่อยู่ข้าง ๆ ต่อ
“ราคาของรถคันนี้อยู่ที่ 8 ล้านหยวน เป็นแบรนด์ชั้นนำของต่างประเทศ แลมโบกินี…”
หลังจากฟังการแนะนำของอีกฝ่ายแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ชายหนุ่มพอใจมากกับรถสปอร์ตสีเหลืองคันนี้
ความเร็วของรถคันนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะประสาทสัมผัสการตอบสนองที่เหนือมนุษย์ของตัวชายหนุ่มเอง มันก็ทำให้เขาสามารถควบคุมรถคันใดก็ได้ในโลกไม่ว่ามันจะเร็วสักแค่ไหนก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานมั่นใจว่าตัวเองสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกสถานการณ์
และสำหรับเขา เงิน 8 ล้านหยวนเป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย
“ผมเอาคันนี้ คุณไม่จำเป็นต้องให้ส่วนลด แค่ถ่ายโอนกรรมสิทธิ์มาให้ผมโดยเร็วที่สุดก็พอ”
“เอ๊ะ?”
อาลี่ที่กำลังจะแนะนำรถคันถัดไปถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดตกลงซื้ออย่างสบาย ๆ ของอวี้ฮ่าวหราน
เธอไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีปัญญาซื้อรถราคาแพงแบบนี้ได้!
บทที่ 305 เทพแห่งความมั่งคั่ง
บทที่ 305 เทพแห่งความมั่งคั่ง
“น…นี่คุณ…คุณจริงจังใช่ไหม?”
อาลี่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยในเวลานี้ ถ้าเธอสามารถขายรถยนต์คันนี้ได้จริง ๆ ค่าคอมมิชชั่นที่เธอจะได้รับมันมากเท่ากับฐานเงินเดือนของเธอหนึ่งปีเลยทีเดียว!
มันไม่ใช่จำนวนเงินเล็กน้อยเลย!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้หญิงวัยกลางคนที่กำลังแอบดูอยู่เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ ๆ ทันที
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ ในขณะนี้
“นี่คุณคิดว่าผมกำลังล้อเล่นอยู่งั้นเหรอ? รีบไปเอาเอกสารมาเถอะ ผมจะจ่ายเงินเต็มจำนวนในทันที”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ หญิงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาใกล้แล้วก็เปลี่ยนไปในทันที!
การขายรถราคา 8 ล้านได้นั้นหมายถึงค่าคอมมิชชั่นก้อนโต!
หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้ล้อเล่น เธอจะยอมปล่อยเงินก้อนโตนี้ไปได้ยังไง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะยังมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็เต็มใจที่จะลองเดิมพันดู
หากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเศรษฐีที่ชอบทำตัวติดดินจริง ๆ มันก็หมายความว่าเธอจะได้รับเงินที่มูลค่าเท่ากับฐานเงินเดือนของเธอครึ่งปีในคราวเดียว!!
สิ่งนี้จะไม่น่าตื่นเต้นได้อย่างไร?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอจึงรีบก้าวเข้ามาแทรกและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประจบประแจง
“อาลี่! เมื่อกี้นี้ฉันมีธุระนิดหน่อยก็เลยต้องให้เธอดูแลสุภาพบุรุษท่านนี้แทนฉัน แต่ตอนนี้ฉันเสร็จธุระแล้ว ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว ขอบคุณมาก!”
“แต่…”
อาลี่อดไม่ได้ที่จะลังเลเมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ตัวเอง อีกฝ่ายเป็นคนบอกเองว่าให้เธอดูแลลูกค้าคนนี้ ดังนั้นโอกาสการขายนี้ควรเป็นของเธอ
แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการให้ใครคนอื่นมาแย่งโอกาสการขายครั้งนี้ไป เพราะนี่มันเป็นโอกาสของเธอโดยชอบธรรม
“ยังจะยืนงงอะไรอยู่อีก? เธอยังไม่มีประสบการณ์การขายมากพอ เธอดูแลการซื้อรถราคาแพงขนาดนี้ไม่ไหวหรอก”
สีหน้าของหญิงวัยกลางคนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อเห็นท่าทางของ อาลี่ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เธอยังอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ จึงยิ่งรู้สึกอยากจะกดขี่น้องใหม่ในฐานะลูกจ้างเก่า
อาลี่ผงะไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเธอดูไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ฉัน…”
แต่ว่าในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้น
“เฮ้! รีบออกไปให้ไกล ๆ เลยไป อย่ามายืนขวางหูขวางตาฉัน! ถ้าไม่ใช่น้องสาวคนนี้เป็นคนขายให้ฉัน ฉันจะไม่ซื้อรถนี่แน่นอน!”
อวี้ฮ่าวหรานตวาดขึ้นอย่างหยาบคายไปยังหญิงวัยกลางคนที่แต่งหน้าหนาเตอะ
ผู้หญิงคนนี้น่าขยะแขยงมากกว่าที่เขาคิดซะอีก!
ถึงแม้จะทาแป้งรองพื้นซะหนา แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดรอยเหี่ยวย่นเอาไว้ได้ และเนื้อตัวก็มีแต่กลิ่นน้ำหอมเหม็นฉุน ซึ่งทำให้ไม่ว่าใครก็รู้สึกอึดอัดหากอยู่ใกล้
อย่างไรก็ตาม เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน เธอก็ตวาดกลับเสียงแหลมทันที!
“นี่คุณพูดว่าอะไรนะ??”
วันนี้เธออารมณ์ไม่ดี ดังนั้นความอดทนของเธอจึงต่ำเป็นพิเศษ!
“ฉันบอกให้แกไสหัวออกไปให้พ้นหน้าของฉันซะ!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
ตอนนี้เขารู้สึกรังเกียจหญิงวัยกลางคนผู้นี้มากกว่าเดิม
“แกกล้าดียังไงมาไล่ฉัน?? แกมีสิทธิ์อะไร!”
หญิงวัยกลางคนโกรธจัดทันที!
วันนี้เธอเพิ่งทะเลาะกับชายหนุ่มบ้านจนที่ต้องการจะมาสู่ขอลูกสาวของเธอ ดังนั้นเธอจึงอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษ!
“นี่…ย…หยุดเถียงกันเถอะ…หนูยอมไปก็ได้…หนูยอมไปก็ได้…”
เมื่อเห็นฉากนี้ อาลี่ก็หน้าแดงด้วยความกังวล และพยายามเกลี้ยกล่อมรุ่นพี่ของเธอ
“ไปให้พ้น! อย่ามาแส่เรื่องของฉัน!”
อารมณ์ของหญิงวัยกลางคนตอนนี้เหมือนระเบิดที่ถูกจุดไฟ เธอผลักรุ่นน้องของตัวเองจนเซไปด้านข้าง และชี้หน้าด่าอวี้ฮ่าวหรานอย่างดุเดือด
“เฮอะ! ตอนแรกฉันก็อยากจะรู้ว่าแกรวยจริง ๆ หรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉันคงไม่ต้องเดาแล้ว! แค่เสื้อผ้าของแกยังมีราคาไม่เท่ากับรองเท้าของฉันคู่หนึ่งเลยด้วยซ้ำ คิดจะไล่ฉันไปงั้นเหรอ? จริง ๆ แล้วแกไม่มีปัญญาซื้อแลมโบกินีหรอกใช่ไหม?”
หญิงวัยกลางคนมองอวี้ฮ่าวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ คำพูดของเธอดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง
“แกไม่อายหรือไงถึงกล้าหลอกคนอื่นว่าเป็นคนรวย! แกรวยงั้นเหรอ? เฮอะ! ถ้าคนอย่างแกรวยงั้นฉันก็เป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองนี้แล้ว!”
เธอตะคอกขึ้นด้วยสีหน้าที่เหยียดหยาม เธอรู้สึกเบื่อหน่ายกับพวกคนจนที่มักจะเดินเข้ามาที่นี่เรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน แถมก่อนหน้านี้ลูกสาวของเธอกลับไปหลงรักผู้ชายจน ๆ คนหนึ่งอีก ดังนั้นตอนนี้อารมณ์ของเธอจึงดุเดือดสุด ๆ!
อวี้ฮ่าวหรานเงียบและมองไปที่หญิงวัยกลางคนที่ตะโกน
สายตาที่เขามองอีกฝ่ายมันราวกับว่าเขากำลังมองไปที่ตัวตลก
“พูดพอหรือยัง?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดเสร็จแล้ว เขาแค่ถามกลับสั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม คำถามกลับสั้น ๆ นี้ทำให้หญิงวัยกลางคนโกรธมากกว่าเดิม!
“ยังกล้ายืนอยู่ที่นี่อีกงั้นเหรอ! ออกไปจากที่ทำงานของฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะเรียกรปภ. มาลากคอแกออกไป!”
ด้วยความโกรธที่ครอบงำ ตอนนี้เธอจึงปักใจเชื่อว่าชายหนุ่มไม่ใช่เศรษฐีแน่นอน มันต้องเป็นแค่พวกคนจนที่แสร้งทำตัวเป็นคนรวยเรียกร้องความสนใจแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หลิวเทียนอี้ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของโชว์รูมก็กลับมาถึงพอดี เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นอวี้ฮ่าวหรานอย่างใจจดใจจ่อ
แต่แล้วเมื่อเขาเข้ามาด้านในโชว์รูมและได้ยินเสียงตะโกนที่ฉุนเฉียว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที!
“ไสหัวออกไปจากโชว์รูมของฉันเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นพนักงานคนหนึ่งของเขา และเขารู้สึกโกรธเล็กน้อย
พนักงานของเขากำลังด่าใครอยู่??
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากวาดสายตามองไปและเห็นคู่กรณี วิญญาณของหลิวเทียนอี้ก็แทบจะหลุดออกจากร่างเพราะความตื่นตระหนก!!
เพราะคนที่กำลังถูกตะคอกคือประธานอวี้ ที่เขาอยากจะเอาอกเอาใจสุดฤทธิ์!!!
“น…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิวเทียนอี้รีบสาวเท้าเดินเข้าหาจนไขมันบนหน้าสั่นสะท้าน ก่อนที่จะตะโกนใส่พนักงานหญิงของเขาอย่างรวดเร็ว!
ยิ่งหญิงวัยกลางคนพูดมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ใจมากขึ้นเท่านั้น และเธอก็ยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้นที่เห็นว่าหัวหน้าของเธอกลับมาในเวลานี้
“ผู้จัดการคะ! ไอ้ชั้นต่ำนี่มาที่โชว์รูมของเราเพื่อสร้างปัญหา! เขาไม่ไว้หน้าพวกเราเลยสักนิด! และอาลี่ เด็กใหม่คนนี้ ฉันเดาว่าพวกเขาน่าจะรู้จักกัน และกำลังร่วมมือกันเพื่อสร้างปัญหาให้กับเราที่นี่!”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยฟ้องอย่างรวดเร็ว
ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้จัดการหลิวนั้นค่อนข้างดี ดังนั้นตอนนี้เธอจึงถือโอกาสเป็นคนฟ้องก่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เปรียบ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้จัดการหลิวจะยืนเคียงข้างเธอและขับไล่ไอ้คนที่เธอเกลียดขี้หน้าออกไปจากโชว์รูมแน่นอน!
แน่นอนว่ารวมไปถึงอาลี่ด้วย!
งานนี้ได้ค่าตอบแทนดีมาก เธอจึงต้องการจะให้ญาติของเธอมาทำงานที่นี่แต่ตอนนี้มันกลับสายเกินไปแล้ว เพราะตำแหน่งพนักงานฝ่ายขายเต็ม ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องทำให้อาลี่ถูกไล่ออกเพื่อที่ตำแหน่งจะได้ว่าง
อันที่จริงเธอหาโอกาสที่จะเล่นงานอาลี่มานานแล้วแต่หาไม่ได้สักที ดังนั้นตอนนี้เธอจึงรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้
อาลี่ตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ไม่…ไม่ใช่นะผู้จัดการ! เขาเป็นลูกค้า เขามาที่นี่เพื่อซื้อรถ แต่พี่โจวเธอเข้ามาแทรกและรบกวน…”
“นังนี่ แกกล้าใส่ร้ายฉันงั้นเหรอ?”
สีหน้าของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที เธอตะคอกอาลี่อย่างโกรธจัด!
เธอไม่คิดว่าเด็กสาวที่ดูอ่อนแอคนนี้จะกล้าพูดโต้ตอบเธอ!
ในเวลานี้ หลิวเทียนอี้แสดงสีหน้าราวกับเห็นผี
นี่มันบ้าอะไรกัน? ลูกน้องของเขาด่าประธานเครือฮ่าวหรานผู้ยิ่งใหญ่ แบบนี้ได้ยังไง??
ด้วยอิทธิพลของอีกฝ่ายสามารถทำให้ชีวิตของเขาตกนรกทั้งเป็นได้แบบง่าย ๆ และยิ่งไปกว่านั้นเครือฮ่าวหรานเพิ่งสั่งรถหรูสำหรับผู้บริหารไปสองล็อตใหญ่!
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคนนี้เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งสำหรับเขา แต่ในตอนนี้หนึ่งในพนักงานของเขากำลังเปลี่ยนให้ชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นเทพมรณะแทน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เส้นเลือดบนขมับของหลิวเทียนอี้ปูดขึ้นมาในทันที!
“ไสหัวไปเดี๋ยว!! ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!!!”
เขาตะโกนอย่างโกรธจัด กลั้นอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป!
นังนี่กำลังวางแผนจะฆ่าเขาใช่ไหม??
“ไงล่ะ? พวกแกสองคนได้ยินแล้วใช่ไหม ผู้จัดการของฉันไล่ให้พวกแกออกไปจากที่นี่ซะ!”
หญิงวัยกลางคนไม่คิดว่าหลิวเทียนอี้นั้นพูดกับเธอ เธอจึงหันไปหาอวี้ฮ่าวหรานและอาลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ทันทีอย่างภาคภูมิใจ
ในที่สุดวันนี้ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นบ้าง!