บทที่ 301 ผู้หลุดพ้น
บทที่ 301 ผู้หลุดพ้น
เมื่อถึงเวลาเที่ยง บริษัทอิงเหมาก็ถูกซื้อกิจการไปเรียบร้อย!
หลี่อิงไห่รู้สึกหมดหวัง แต่ในขณะที่เขากำลังจะถอดใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึง กงซุนซา
“ใช่! ถูกต้อง! เขาเป็นคนมาติดต่อหาฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไง! เขาต้องช่วยฉันแน่!”
ราวกับเจอฟางเส้นสุดท้ายที่อาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ใบหน้าของเขาจึงมีความหวังขึ้นมาทันที
จากนั้นเขาก็ลงไปชั้นล่างและสั่งให้คนขับรถพาไปส่งยังจุดที่เขาเคยพบกับอีกฝ่าย
กว่าชั่วโมงต่อมาในอาคารสำนักงานอีกแห่งใกล้ใจกลางเมือง
“หัวหน้าแก๊งกงซุน! ในที่สุดผมก็เจอคุณ!”
หลังจากที่หลี่อิงไห่เข้าไปในออฟฟิศและเห็นกงซุนซา เขาก็ดีใจมากในทันที
ในเวลานี้ หลิ่วอวี้จิง หัวหน้าแก๊งวาฬยักษ์ก็บังเอิญนั่งอยู่ข้างในห้องด้วย
ทว่า สีหน้าของหลิ่วอวี้จิงตอนนี้ก็ดูไม่ดีเท่าไหร่เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีคนบุกเข้ามาในห้อง จึงหันไปจ้องเขม็งผู้ที่มาใหม่อย่างเย็นชา
อีกด้านหนึ่ง กงซุนชาก็ตื่นตัวทันทีที่จู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหลี่อิงไห่ที่เข้ามา ก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณมาทำอะไรที่นี่! ตอนนี้เราไม่ควรเจอกัน!”
กงซุนซาเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับปล่อยแรงกดดันข่มขู่หลี่อิงไห่
“ผ…ผมมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณ! คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะให้เวลาผมสองเดือนในการยึดเครือฮ่าวหราน? แต่นี่มันแค่วันเดียวเท่านั้น พวกเขาก็สามารถโต้กลับผมได้…ผม…แล้วแบบนี้ผมจะต้านทานกับเครือฮ่าวหรานที่กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์แล้วได้ยังไง?”
ถึงแม้ว่าหลี่อิงไห่จะตกใจกับแรงกดดันของอีกฝ่าย แต่เนื่องจากตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ จึงสามารถข่มความกลัวเอาไว้ได้และกลั้นใจถามออกไป
“ฮิฮิ รับมือเองไม่ได้งั้นเหรอ?”
กงซุนซาหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็เปลี่ยนท่าทีราวกับผู้มีเมตตา
เขาทำเหมือนกับว่ากำลังนึกถึงสัญญาครั้งก่อน
“ใช่…ใช่ ผมไม่สามารถจัดการกับเครือฮ่าวหรานที่กลับมาเป็นปกติได้แน่นอน นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เครือฮ่าวหรานร่วมมือกับบริษัทใหญ่อื่นเพื่อโจมตีผมอีก?”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปในทางบวก หลี่อิงไห่ก็คิดว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่จะช่วยตัวเอง เขาจึงรีบอธิบายทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หัวสมองของเขาเต็มไปด้วยความหวัง ก็ได้ยินคำพูดที่เย็นชาซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นราดใส่!
“ฮ่า ๆ! ถ้ารับมือเองไม่ได้ก็ตายไปซะ พวกฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย!”
ใบหน้าของกงซุนซาเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างฉับพลัน
“น…นี่คุณ…!”
ดวงตาของหลี่อิงไห่เบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย
“คุณหักหลังผมแบบนี้ไม่ได้นะ! เราตกลงกันแล้ว…”
เขาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะหันหลังให้เขาเร็วราวกับพลิกหนังสือเช่นนี้ วันก่อนอีกฝ่ายยังพูดดีกับเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอไง?
“สัญญา? ฮ่า ๆ ฉันสัญญาอะไรกับแกเมื่อไหร่? อย่ามาพูดจามั่วซั่วใส่ฉันนะโว้ย!” กงซุนซาเยาะเย้ยเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ไม่! คุณพูดเอาไว้ชัดเจนเลย! พวกเราตกลงกันหมดแล้ว…”
“บัดซบ! น่ารำคาญ!”
หลิ่วอวี้จิงทนไม่ไหวอีกแล้วกับเสียงร้องคร่ำครวญที่น่ารำคาญของหลี่อิงไห่ เขาลุกขึ้นจากโซฟาและเดินไปกำคอหลี่อิงไห่ด้วยมือเดียวอย่างรุนแรง
“พ่อคนนี้จะบอกความลับกับแกก็ได้! จริง ๆ แล้วแกเป็นแค่เครื่องมือของพวกฉันเท่านั้น แค่เครื่องมือ! ดังนั้นในเมื่อแกไร้ประโยชน์ พวกฉันก็แค่เขวี้ยงแกทิ้งไปซะ! เอาล่ะ ถ้าตอนนี้แกยังไม่ไสหัวออกไปอีก ฉันจะทำให้แกเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ!”
เขาขู่ด้วยความหงุดหงิดก่อนที่จะโยนหลี่อิงไห่ลงไปที่พื้น
วันนี้เป็นวันที่เขาอารมณ์ไม่ดีสุด ๆ
“ฉัน…”
หลี่อิงไห่หวาดกลัวจนแทบหยุดหายใจกับการถูกจู่โจมอย่างกะทันหันแบบนี้ หลังจากที่ถูกโยนลงไปที่พื้น เขาก็ตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
“ไสหัวไปได้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าหลี่อิงไห่ยังไม่ออกจากห้องไป หลิ่วอวี้จิงตวาดอีกรอบพร้อมกับเตะส่งอีกฝ่ายให้กระเด็นออกไปนอกห้อง!
“ถุย! รู้จักเจียมกะลาหัวซะบ้าง! คนอย่างแกมีสิทธิ์อะไรมากล้าต่อรองกับคนอย่างพวกฉัน!”
“ฮิฮิ น้องหลิ่วนี่ยังคงใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”
ขณะเดียวกันนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเบา ๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าแผนการเกี่ยวกับเครือฮ่าวหรานน่าจะล้มเหลวไม่ช้าก็เร็ว หลี่อิงไห่ก็ถูกมองเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจอะไร
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในเวลานี้
“ฉันบอกไปหลายรอบแล้วไงว่า ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลงมือ แต่ทำไมคุณกลับยังเฉยอยู่อีก? อวี้ฮ่าวหรานมีความสามารถมาก หากเราไม่รั้งเขาไว้ เราจะจัดการกับโจวเฟยหู่ได้ยังไง!”
“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ!”
ถึงแม้ว่าจะถูกจ้องเขม็ง กงซุนซาก็ยังคงมีสีหน้าที่สงบ
“อันที่จริงแผนลักพาตัวเป็นแผนเสริม ซึ่งถ้ามันสำเร็จก็ดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร”
“ไม่สำเร็จแล้วไม่เป็นไรได้ยังไง? ฉันก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า อวี้ฮ่าวหรานมันแข็งแกร่งขนาดไหน! มันสามารถเอาชนะฉันได้อย่างง่ายดาย คุณมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นหรือไง?”
หลิ่วอวี้จิงงุนงงเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงยังคงแสดงสีหน้าใจเย็นได้
“ฮ่า ๆๆ! ที่นายกำลังกังวลอยู่เป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วนายยังไม่รู้ว่าฉันคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน”
กงซุนซาแสดงสีหน้าภาคภูมิใจในขณะเอ่ยประโยคนี้!
“ฉันยังไม่รู้?”
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกประหลาดใจ
“หลายปีก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์ไปแล้ว ดังนั้นนายคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอที่ตอนนี้ฉันจะทะลวงระดับไปเรียบร้อย?”
หลิ่วอวี้จิงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย แต่เมื่อเขาวิเคราะห์จากข้อมูลก่อนหน้านี้ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างแน่นอน เขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์
ถ้าทะลวงระดับขึ้นไปอีกมันคือระดับอะไรกัน?
หลิ่วอวี้จิงไม่รู้เรื่องพวกนี้เพราะข้อมูลพวกนี้มีมนุษย์น้อยคนที่รู้ เขาเดาได้แค่เพียงว่ามันคงเป็นระดับที่ลึกลับ และผู้ที่อยู่ในระดับนั้นก็ควรที่จะก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
ว่าแต่ชายชราคนนี้ทะลวงระดับขึ้นไปได้แล้วจริงเหรอ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ
ในขณะเดียวกันนี้ กงซุนซาก็พยักหน้าเล็กน้อย และหัวเราะเพื่อเป็นการตอบกลับความสงสัยในใจของหลิ่วอวี้จิง
“ไม่ต้องเดาหรอก เดิมทีฉันไม่ต้องการที่จะเปิดเผย แต่เนื่องจากแผนเสริมนี้ล้มเหลว ดังนั้นฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือเอง!”
ในทันทีที่พูดจบ! พลังลึกลับที่แข็งแกร่งก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า!
มันแตกต่างจากพลังภายในอย่างสิ้นเชิง มันแข็งแกร่งกว่าจนเทียบกันไม่ได้!
“น…นี่…มันพลังอะไร นี่มันไม่ใช่พลังภายใน…”
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของพลังนี้อย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ต่อหน้าพลังที่รุนแรงนี้ ความแข็งแกร่งของเขามันเป็นแค่เรื่องตลก!
“นี่มันระดับอะไรกัน!?”
หลิ่วอวี้จิงมองขึ้นไปที่ชายชราด้วยความตกตะลึง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาและหวาดกลัว
กงซุนซาพึงพอใจอย่างมากกับสีหน้าของอีกฝ่าย
“ฮ่า ๆ ในเมื่อพวกเราร่วมมือกันแล้ว ถ้างั้นฉันจะยอมบอกเกร็ดความรู้ให้นายสักหน่อย เมื่อไหร่ที่ทะลวงขอบเขตพลังภายในไปได้ มนุษย์ผู้นั้นจะอยู่ในโลกของเหล่าผู้หลุดพ้น!”
“ผู้หลุดพ้น?”
“อันที่จริงมีคำเรียกอีกอย่างซึ่งก็คือ ‘ผู้บ่มเพาะ’ และพลังนี้เรียกว่าพลังวิญญาณ!”
“ผ…ผมสามารถทะลวงระดับไปถึงได้เช่นกันงั้นเหรอ?”
หลิ่วอวี้จิงหายใจถี่แรงด้วยความตื่นเต้น เขาอยากเหลือเกินที่จะมีความแข็งแกร่งแบบนี้!
“แน่นอน…ว่าไม่!”
แต่แล้วคำพูดของกงซุนซาก็ดับฝันของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“นายคิดว่ามนุษย์ทุกคนสามารถกลายเป็นผู้หลุดพ้นได้งั้นเหรอ? การที่จะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้ทั้งพรสวรรค์และทรัพยากรที่มหาศาล!”
ขณะที่พูด กงซุนซามองไปที่หลิ่วอวี้จิงด้วยสายตาดูถูก
“สำหรับคนอย่างนาย มันเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตนี้ของนายจะสามารถก้าวเข้ามาอยู่จุดเดียวกับฉันผู้นี้!”
บทที่ 339 สมองมด
บทที่ 339 สมองมด
แน่นอนว่าเมื่อคนธรรมดาเห็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่เกิดขึ้นด้านนอก พวกเขาทุกคนจึงพร้อมใจวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาได้ปล่อยให้พวกคนธรรมดาเหล่านี้หนีไป เพราะคนธรรมดาพวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเขา หลังจากเข้าไปในห้องโถง เขาก็เลือกที่จะวิ่งด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ขึ้นไปทางบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์
ด้วยความเร็วของเขาที่เร็วมากกว่าการใช้ลิฟท์ แค่เพียงไม่ถึงสามสิบวินาทีเขาก็วิ่งขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้า!
บนดาดฟ้า!
“ฮิฮิ แกนี่ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ แต่น่าเสียดายที่แกจะต้องตายที่นี่!”
เมื่ออสรพิษเงินเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงในที่สุด เขาก็เยาะเย้ยอย่างไร้กังวล
เขาคาดคะเนว่าอวี้ฮ่าวหรานน่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน ซึ่งเขาเองก็อยู่ในระดับนี้ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยอายุของเขาที่มากกว่า ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะช่วยให้เขากำชัยได้อย่างไม่ยากเย็น
ต้องรู้ว่าเขาอยู่ในจุดสูงสุดของพลังภายในมามานานกว่าสิบปีแล้ว!
ไม่มีใครในขอบเขตเดียวกับเขาสามารถเอาชนะเขาได้!
“อ้อ ฉันเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่าแกมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ อยู่คนหนึ่งด้วยใช่ไหม? ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าใบหน้าที่ไร้เดียงสานั่นจะเป็นแบบไหนเมื่อถูกฉันจับกรอกยาพิษ!”
อสรพิษเงินชอบใช้วิธีการยั่วยุศัตรูของเขาให้ปั่นป่วนใจมากที่สุด ซึ่งหลังจากที่ศัตรูของเขาถูกความโกรธเข้าครอบงำ เขาก็จะยิ่งสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายมากขึ้น
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่นและเอ่ยถามกลับ
“ฮ่าฮ่าฮ่า แกรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรู้สึกตลก”
“ฮิฮิ ใครจะไปรู้ มันอาจเป็นเพราะว่าแกหมดหวังจนเสียสติไปแล้วก็ได้จริงไหม?”
อสรพิษเงินไม่ได้กังวลใจอะไรเลย ในทางกลับกัน เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกเช่นกันที่วันนี้อีกฝ่ายมาให้เขาฆ่าถึงที่นี่อย่างว่าง่ายราวกับคนโง่
“ไม่ใช่เลย มันเป็นเพราะว่าฉันตลกที่คนจะตายแล้วอย่างแกยังเปลืองสมองคิดถึงเรื่องในอนาคตอยู่อีกต่างหาก!”
เสียงของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง
ประโยคนี้มาพร้อมกับเจตนาฆ่าซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณถึงกับใจสั่น!
อสรพิษเงินขมวดคิ้วแน่น แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เขาไม่คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่คู่ต่อสู้จะเอาชนะเขาได้
“ถุย! เลิกหลงตัวเองได้แล้วโว้ย! แกมันก็แค่คนที่น่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของปรมาจารย์พลังภายในก็แค่นั้น ก่อนหน้านี้องค์กรของฉันไม่ทำอะไรแกเพราะพวกเราไม่อยากเปลืองแรง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว การที่ฉันมาที่นี่มันหมายความว่าไม่ว่ายังไงแกก็ต้องตายในท้ายที่สุด!”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินประโยคนี้ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขาทันที
“โอ้? แกเดาเกือบถูกแน่ะ แต่ฉันอยู่ในขั้นสูงต่างหาก”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า! ถ้าแกอยู่แค่ขั้นสูง งั้นแกเตรียมรอรับความตายได้เลย ฉันเชือดแกได้อย่างไม่ยากเย็นแน่! ”
เมื่อได้ยิน อวี้ฮ่าวหรานก็ยอมรับความแข็งแกร่งของตัวเอง ซึ่งมันต่ำกว่าที่เขาคาดไว้ อสรพิษเงินก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน
อีกฝ่ายตอกตะปูฝาโลงตัวเองแท้ ๆ ที่เผยระดับการบ่มเพาะของตัวเองแบบนี้!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เฉิงชิวอวี้ก็ตื่นขึ้น!
แต่เมื่อเธอรู้สึกได้ว่าทั้งตัวของเธอถูกมัดอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้ เธอก็ตะโกนไปหาอวี้ฮ่าวหรานที่อยู่ไม่ไกลทันที
“ฮ่าวหราน หนีไปซะ! คนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา! แถมทั้งหมดนี้เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพ่อของฉันกับคนเหล่านี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คุณอย่าเอาตัวมาเสี่ยง หนีไปซะ!”
ก่อนที่เธอจะถูกทำให้หลับไปตอนที่อยู่ในบริษัท เธอพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูเก่าของพ่อเธอแน่นอน
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องมาเดือดร้อนด้วยกับเรื่องส่วนตัวของพ่อเธอแบบนี้
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดของเฉิงชิวอวี้ เขาก็หัวเราะเบา ๆ อย่างไร้กังวล
“อย่ากังวล สำหรับผมเรื่องนี้มันเรื่องเล็กน้อย”
คำพูดนี้ทำให้อสรพิษเงินที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย
“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าตลกชิบหายเลย! แกคิดว่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงอย่างแกจะสู้ฉันได้งั้นเหรอ?”
จากนั้นทันทีที่พูดจบ มือผอมบางของเขาก็สะบัดอย่างรวดเร็ว ส่งมีดสั้นสามเล่มสีดำทะมึนพุ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความรวดเร็ว!
‘ฟิ้ว ฟิ้ว!’
ภายใต้การระเบิดกำลังของกล้ามเนื้อปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด มีดทั้งสามเล่มจึงพุ่งเร็วจนเป็นภาพติดตาและทำให้มองดูคล้ายลำแสงสามเส้นกำลังพุ่งเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหราน!
มีดสามเล่มนี้ถูกอาบยาพิษร้ายแรงมาอย่างประณีต แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด หากแค่เพียงโดนคมมีดของมันสะกิดกับผิวหนังเพียงนิดเดียวก็อาจจะสิ้นลมหายใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที!
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เกรงกลัวของเล่นแบบนี้เลย เขามองไปที่อสรพิษเงินด้วยความเหยียดหยาม
“ไอ้สมองมด! ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน?”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โบกมือเบา ๆ และส่งคลื่นพลังวิญญาณเข้าสกัดมีดทั้งสามเล่นที่พุ่งเข้าหา ปัดมีดทั้งสามเปลี่ยนทิศทางไปอย่างง่ายดายราวกับว่าพวกมันเป็นแค่ขนนกที่แค่เป่านิดหน่อยก็พริ้วไปตามแรงลมปาก!
‘เคร้ง ๆ ๆ ๆ…’
หลังจากมีดทั้งสามถูกปัดจนปลิวไปตกที่พื้น เจ้าตำหนักอีกสองคนซึ่งมากับอสรพิษเงินก็ลงมือเช่นกัน พวกเขาทั้งสองเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูง พวกเขามั่นใจว่าถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน พวกเขาควรจะรับมือกับอวี้ฮ่าวหรานได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“เหอะ! ไร้สาระ!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
“เป็นแค่มด กล้าดียังไงมาแยกเขี้ยวใส่ฉัน!”
ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอย่างเต็มที่และชกหมัดออกไปเต็มแรงใส่เจ้าตำหนักองค์กรอสรพิษทั้งสองคนที่พุ่งเข้ามาหาเขา!
“ปัง!!”
หลังจากการปะทะ เจ้าตำหนักทั้งสองก็ลอยละลิ่วกระเด็นกลับไปราวกับว่าวสายป่านขาดโดยไร้ลมหายใจ!
ฆ่าสองด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
อสรพิษเงินที่กำลังจะลงมือโจมตีเช่นกัน เมื่อเห็นฉากนี้เขาพลันชะงักทันทีด้วยความตกตะลึง!
“ก…แกไม่ใช่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงนี่นา! น…นี่แกเป็นใครกันแน่! คนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่!”
อสรพิษเงินขนลุกชูชันด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เจ้าตำหนักคุมกฎที่แข็งแกร่งกว่าเขาเองก็ไม่แข็งแกร่งถึงขนาดฆ่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงได้ภายในการโจมตีครั้งเดียวแบบนี้ และนี่ยังไม่นับเรื่องที่อวี้ฮ่าวหรานโจมตีครั้งเดียว แต่ฆ่าได้สองคนอีกต่างหาก!
มีคนเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้ว่าน่าจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ก็มีแค่คนเดียวซึ่งก็คือผู้นำองค์กรที่สุดแสนลึกลับของพวกเขาเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม แต่คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่เหนือมนุษย์ไปแล้ว
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นอีกฝ่ายกำลังกลัวจนขนหัวลุก เขาก็หัวเราะเบา ๆ
“หึหึ รู้มั้ยว่าทำไมสัตว์เลื้อยคลานถึงไม่กลัวเมื่อเห็นเท้ามนุษย์กำลังจะมาเหยียบมัน”
ดวงตาของเขาแสดงความเยาะเย้ยในขณะที่เขาพูด
“มันเพราะว่าสัตว์เลื้อยคลานนั้นสมองน้อยจนไม่รู้ว่ามนุษย์มีอำนาจขนาดไหน!”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หายวับไปกับตา!
ระยะห่างเกือบสิบเมตร แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับเคลื่อนที่ได้ภายในเศษเสี้ยววินาที!
‘ปัง!’
อสรพิษเงินที่เพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเข้ามาประชิดแล้ว ก็รีบยกแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณทันที!
อย่างไรก็ตาม พลังของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต่อกรได้!
‘อั่ก!’
ภายใต้อิทธิพลของพลังวิญญาณอันรุนแรง เกราะพลังภายในที่ถูกสร้างขึ้นของอสรพิษเงินได้พังทลายลงราวกับกำแพงทรายโดนคลื่นซัด!
อสรพิษเงินถูกชกอย่างรุนแรงจนลอยละลิ่วบินกลับหัวไปเกือบ 20 เมตร และตกลงที่มุมดาดฟ้า
เขารีบยันตัวลุกขึ้นและปาดเลือดออกจากปาก มองดูชายหนุ่มด้วยความกลัว!
“แกแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่! มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!”
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่เพียงการโจมตีเดียว เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้!
มันเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ถ้าเทียบกันแล้วความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างอะไรกับมดเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้!
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันอยู่ในขั้นสูง”
อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ช้า ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการล้อเล่น
“เป็นไปไม่ได้! ขอบเขตพลังภายในขั้นสูงไม่มีวันแข็งแกร่งขนาดนี้!”
อสรพิษเงินไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งอีกต่อไปแล้ว
“เห็นไหม แกมันเป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานที่ตาบอดแถมยังสมองน้อย ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน? ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานต่างหาก!”
หลังจากหยอกล้อกับอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หายตัวไปอีกครั้ง!
‘ผลั่ก!’
เขาโผล่ยืนค้ำหัวอสรพิษเงินและย่ำเท้าลงไปที่ท้องอีกฝ่ายอย่างแรง!
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตอนนี้อสรพิษเงินจะสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ร้องออกมาสักแอะ เขาจึงเอาแต่พึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“ก่อรากฐานระดับสูง…ก่อรากฐานระดับสูง…”
เขารู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะเคยได้ยินคำนี้ที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนว่ามันเป็นขอบเขตที่หลุดพ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้วใช่ไหม?