ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 302 หลี่จิงเทียนเอาคืน

บทที่ 302 หลี่จิงเทียนเอาคืน

บทที่ 302 หลี่จิงเทียนเอาคืน
บทที่ 302 หลี่จิงเทียนเอาคืน

“ฉันไม่สามารถบรรลุมันในชีวิตนี้ได้??”

หลิ่วอวี้จิงตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และตกอยู่ในภาวะขาดสติ

กงซุนซาต้องการที่จะเห็นสีหน้าแบบนี้ของอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้แสดงความพึงพอใจออกมาให้อีกฝ่ายเห็น เขาจึงแสร้งแสดงสีหน้าเห็นใจแทน

“อันที่จริงเรื่องนี้ยังพอมีทางแก้ ถ้าในอนาคตน้องหลิ่วยินดีติดตามฉัน นายจะได้รับโอกาสมากกว่าคนทั่วไป ด้วยความช่วยเหลือจากฉัน นายอาจจะมีโอกาสที่จะทะลวงระดับขึ้นไปได้”

“ป…เป็นความจริงงั้นเหรอ?”

หลิ่วอวี้จิงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้ยินคำพูดนี้

“แน่นอน! ตราบใดที่นายเต็มใจติดตามฉัน แก๊งพยัคฆ์เวหาก็จะถูกทำลาย และอวี้ฮ่าวหรานก็จะตายเช่นกัน! และหลังจากนั้น แน่นอนว่านายจะมีโอกาสก้าวต่อไปได้”

กงซุนซาโยนเหยื่อล่อ

“ได้! ผมยินดีติดตามพี่กงซุนนับจากนี้!”

หลิ่วอวี้จิงไม่ลังเลเลยที่จะตกลงหลังจากได้ยินเรื่องนี้!

เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกเหนือสิ่งอื่นใด

“เอาล่ะ! ถ้างั้นจากนี้ไป แก๊งวาฬยักษ์ของนายจะรวมเป็นส่วนหนึ่งกับแก๊งฉลามคลั่งของฉัน!”

หลังจากที่ทั้งสองคุยกันจบ ทั้งสองแก๊งก็ถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์!

แก๊งวาฬยักษ์ได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง!

หากข่าวนี้แพร่ออกไป คนนับไม่ถ้วนคงหลับไม่ลงกันแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม หลังจากตกลงกันเสร็จ กงซุนซากลับยังไม่ยอมให้หลิ่วอวี้จิงบอกข่าวนี้ออกไปให้คนอื่น ๆ รู้ เขาต้องการให้คนอื่น ๆ ยังคงเข้าใจว่าทั้งสองแก๊งยังเป็นอิสระต่อกัน

ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลี่อิงไห่ถูกไล่ออกจากแก๊งฉลามคลั่ง เขาก็ขึ้นรถและกลับไปที่บริษัทด้วยความสิ้นหวัง

ข่าวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้หัวใจของเขาแทบทนไม่ไหว!

ภายใต้การโต้กลับที่ดุเดือดของอวี้ฮ่าวหราน เป็นที่แน่ชัดว่าเขาจะต้องสูญเสียบริษัทโดยสิ้นเชิงแน่นอน และถ้าเครือฮ่าวหรานต้องการเล่นงานเขาไปจนสุดทาง เขาอาจจะเป็นหนี้ก้อนโตด้วยซ้ำหลังจากเสียบริษัท!

เมื่อถึงจุดนั้นเขาคงไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้อข้าวกินครบสามมื้อ!

“ฉันมันโง่เอง…ฮ่า ๆ…”

หลี่อิงไห่หัวเราะเยาะเย้ยตัวเองเมื่อนึกถึงน้ำเสียงที่เย็นชาของกงซุนซา และหลิ่วอวี้จิงซึ่งยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา

“เครื่องมือ…เครื่องมือ…ฉันมันเป็นได้แค่นั้น…”

แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็คิดถึงหลี่ชงซานอย่างช่วยไม่ได้

ในเวลานี้ คนเดียวที่สามารถหยุดเครือฮ่าวหรานได้น่าจะเป็นผู้นำตระกูลหลี่!

แต่เมื่อครุ่นคิดไปอีกครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขมขื่น

เมื่อวานฉันทั้งเยาะเย้ยและดูถูกอีกฝ่ายไปมากมาย แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้ฉันต้องแบกหน้ากลับไปขอความช่วยเหลือคนที่ฉันเพิ่งดูถูกไป?

ท้ายที่สุด หลังจากตัดสินใจในใจแล้ว เขาก็ออกจากออฟฟิศของตัวเองลงไปชั้นล่างและสั่งให้คนขับรถขับไปที่บ้านหลักตระกูลหลี่

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง

“แกมาที่นี่เพื่ออ้อนวอนฉันงั้นเหรอ?”

หลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย สีหน้าของหลี่ชงซานก็เปลี่ยนไปเป็นไม่อยากจะเชื่อ

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน และเขากำลังกินมื้อเที่ยงกับลูกชายหลี่จิงเทียน

“ฉัน…ฉันสิ้นหวังแล้วจริง ๆ ชงซาน ชงซาน! โปรดช่วยฉันด้วย หากนายไม่ช่วยฉัน ฉันจบสิ้นแน่นอน!”

ใบหน้าของหลี่อิงไห่เต็มไปด้วยน้ำตาในเวลานี้ เขาคุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้อย่างน่าเวทนา

“ฉันหน้ามืดตามัวไปเพราะคำสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ ของอันธพาลพวกนั้น! ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว…”

เมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาของของอีกฝ่าย หัวใจของหลี่ชงซานก็สั่นสะท้าน

“นาย…เฮ้อ…รีบลุกขึ้นก่อนเถอะ!”

แม้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเองจะโดนอีกฝ่ายดูถูกและหักหลังอย่างรุนแรง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน หลี่จิงเทียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตวาดขึ้นทันทีด้วยสีหน้าเดือดดาล!

“เดี๋ยวก่อน! พ่อ! พ่อลืมไปเหรอไงว่าเมื่อวานนี้ไอ้คน ๆ นี้ยังหัวเราะเยาะเราอยู่เลย! แล้วพอมาวันนี้ เมื่อแผนของมันผิดพลาด มันกลับหน้าด้านมาอ้อนวอนเราเนี่ยนะ? เฮอะ! เห็นเราเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไง?”

หลังจากพูดจบ หลี่จิงเทียนยืนขึ้นและชึ้ไปที่หลี่อิงไห่ด้วยสีหน้าดูถูก

“เฮ้อ…แต่ว่า…ลุงสองของลูกไม่เคยคุกเข่าอ้อนวอนแบบนี้มาก่อนเลย พ่อว่าเรา…”

หลี่ชงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้จริง ๆ

อย่างไรก็ตาม บุคลิกของหลี่จิงเทียนคือคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจะยอมได้ยังไง?

“ลุงสองของผมงั้นเหรอ? ไอ้คนแบบนี้เนี่ยนะคือลุงสองของผม? เมื่อวานมันเกือบจะเหยียบหน้าเราอยู่แล้วนะพ่อ! พ่อยังอยากให้ไอ้เวรนี่เป็นลุงสองของผมอีกงั้นเหรอ?”

หลังจากพูดจบ หลี่จิงเทียนเดินไปหาหลี่อิงไห่อย่างมีชัย

“ฉันขอสั่งให้แกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้! อย่ามารบกวนเวลากินข้าวเที่ยงของฉันกับพ่อ ไม่งั้นฉันจะกระทืบแก! ไปซะ!”

หลี่จิงเทียนแค้นมากที่เมื่อวานนี้เขาถูกเรียกว่าขยะ!

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนตระกูลหลี่เหมือนกัน แต่ตราบใดที่ไม่ใช่พ่อหรือน้องสาวของเขา เขาก็ไม่คิดที่จะไว้หน้าใครทั้งนั้น

แน่นอนว่าตอนนี้อาจเพิ่มพี่เขยของเขามาอีกคน

“แก!”

หลี่อิงไห่แทบกระอักเลือดเมื่อถูกหลี่จิงเทียนไล่ เขาไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขาโดนไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ด่าอย่างไม่ไว้หน้าแบบนี้!

“ทำไม แกจะทำไม? แกเห็นรองเท้าของฉันไหม มันสกปรก! ถ้าแกยอมเลียมันให้สะอาด ฉันอาจจะลองโทรหาพี่เขยของฉันให้ แกกล้าหรือเปล่า?”

ยิ่งพูด หลี่จิงเทียนก็ยิ่งรู้สึกเบิกบาน

นี่มันสุดยอด!

เมื่อวานไอ้ลุงสองของเขาคนนี้ยังด่าเขาว่าเป็นขยะอยู่เลย แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับมาคุกเข่าขอร้องพ่อเขาซะแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งให้ข้อเสนอเลียรองเท้าให้สะอาดกับอีกฝ่ายไป แต่ถ้าอีกฝ่ายกล้าทำจริง ๆ เขาคงไม่กล้าจะโทรไปหาพี่เขยของเขา

น่าแปลกที่หลี่ชงซานไม่ได้พูดอะไรขึ้นขัดเลยในระหว่างที่หลี่จิงเทียนดูถูกหลี่อิงไห่ ซึ่งมันทำให้หลี่จิงเทียนมีความสุขกับเรื่องไร้สาระนี้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

จนกระทั่งครู่ต่อมา หลี่ชงซานก็พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“กลับไปซะเถอะ…ต่อให้ฉันจะอยากช่วย แต่ฉันเกรงว่าฉันคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก คราวที่แล้วฉันขอให้ฮ่าวหรานช่วยลูกชายของฉันไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงไม่มีสิทธิ์ไปขออะไรอีกแล้ว”

แม้ว่าเขาจะเป็นคนใจอ่อน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่

เพราะเห็นแก่หน้าของเขา ถึงแม้ว่าหลี่จิงเทียนจะสร้างเรื่องใหญ่ขนาดนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็ยังช่วยออกมาจากคุก

คนเราควรรู้ขีดจำกัดของตัวเอง หลี่ชงซานรู้ดีว่าเรื่องของหลี่อิงไห่นั้นมันเกินขีดจำกัดที่เขาจะขออวี้ฮ่าวหรานได้

“แกได้ยินแล้วใช่ไหม! พ่อของฉันบอกให้แกไปซะ! ถ้าแกยังดื้ออยู่ที่นี่อีก ฉันจะปล่อยหมาให้มากัดแก!”

แน่นอนว่าเมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินคำพูดของพ่อตัวเองที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับเขา เขาก็รีบตวาดขึ้นเสริมทันที

หายากที่พ่อของเขาและความคิดเห็นของเขาจะเป็นไปในแบบเดียวกัน

หลี่อิงไห่อดไม่ได้ที่จะจ้องที่หลี่จิงเทียนอย่างโกรธเคือง

เขาอยากจะลุกขึ้นไปตบหลี่จิงเทียนให้ตายคามือ!

แต่ด้วยสถานะที่ย่ำแย่ของเขาเช่นนี้ จึงทำได้กัดฟันทนรับคำดูถูก จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจและหันหลังเดินจากไป

สถานะของเขาตอนนี้มันต่ำต้อยมากกว่าหลี่จิงเทียนซะอีก

ถึงแม้ว่าหลี่จิงเทียนจะถูกถอดจากทุกตำแหน่งในบริษัท แต่อย่างน้อย หลี่จิงเทียนก็ยังมีพ่อที่ดี ส่วนเขาตอนนี้สูญเสียทั้งบริษัททั้งตระกูล พูดง่าย ๆ คือเขาไม่มีอะไรเหลือเลย!

หลังจากที่หลี่อิงไห่เดินออกไปจากตัวบ้าน หลี่จิงเทียนก็ยังไม่วายยื่นหัวออกไปพ้นประตูและตะโกนด่าไล่หลัง

“เฮ้! รีบ ๆ ออกไปเลยนะโว้ย และอย่ากลับมากวนฉันกับพ่อกินข้าวอีก!”

ใจของหลี่จิงเทียนพองโต เมื่อได้เอาคืนคนที่ด่าตัวเองเมื่อวานอย่างสาสม

“กลับมานั่งนี่เดี๋ยวนี้!!”

เมื่อเห็นว่าลูกตัวเองชักจะเลยเถิด หลี่ชงซานจึงตะคอกขึ้นอย่างเข้มงวด

“ผม…”

หลี่จิงเทียนหดคออย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงตวาดของพ่อตัวเอง จากนั้นเขาค่อย ๆ เดินก้มหน้ากลับมาไปที่โต๊ะกินข้าว

เขาไม่เข้าใจว่าพ่อของเขาโกรธเขาอีกเรื่องอะไร?

บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!
บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!

หลังจากตัดหัวหนึ่งในลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังรอดอยู่ไปแล้ว จิ่นเฟิง ก็ลากลูกน้องของหวังเหยียนอีกคนมานั่งคุกเข่าตรงหน้าเขา

“หึหึ ดูลูกน้องของแกคนนี้สิ! ขาหักขนาดนี้คงเดินไม่ได้เหมือนเดิมอีกตลอดชีวิต เฮ้อ…แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะช่วยให้มันไม่ต้องเป็นคนพิการโดยการจบชีวิตมันทิ้งให้!”

จิ่นเฟิงพูดติดตลกพร้อมกับทาบมีดไปที่คอของชายคนนั้น และมองขึ้นไปยังหวังเหยียนด้วยแววตาหยอกล้อ

แต่แล้วก่อนที่เขาจะทันได้ลงมีด!

เสียงคำรามของรถสปอร์ตดังจากที่ไกล ๆ และเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลังจากเสียงเบรกอันรุนแรง รถสปอร์ตก็หยุดที่หน้าทางเข้าบ่อน!

“ห่าอะไรวะ! นี่แกเป็นใคร…”

“บัดซบ แกกำลังหาเรื่อง…”

พลั่ก ๆ! โครม!

ก่อนที่ลูกน้องของจิ่นเฟิงที่เฝ้าหน้าประตูอยู่สองคนข้างนอกจะทันได้พูดจบ คำพูดของเขาก็หายไปกลางคันก่อนที่จะมีเสียงโครมครามดังลั่นตามมา!

วินาทีถัดมา พวกเขาสองคนก็ถูกโจมตีจากด้านนอก ก่อนจะลอยเข้ามาในห้องโถงของบ่อน!

เสียงดังลั่นขนาดนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องโถงทันที!

ที่ประตู ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แต่ก่อนที่จะมองเห็นได้ชัดเจน สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ก็ตะโกนสาปแช่งซะก่อน

“บัดซบ! ไอ้เวรนี่มันเป็นใคร!!”

“แม่งเอ๊ย! กล้าทำร้ายคนของพวกเราแบบนี้วันนี้แกตายแน่!”

“…”

ทว่าทันใดนั้นชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา!

“วันนี้พวกแกทุกคนจะไม่มีใครรอดไปจากที่นี่!”

ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ต่างก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง พวกทุกคนต่างรู้สึกขนลุก!

ชายหนุ่มคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้า ๆ นั้นดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำพวกเขาได้ทุกเวลา แค่ประโยคเดียว ทุกคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว!

ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างโง่งมและหยุดสาปแช่ง

“บัดซบ! พวกแกเป็นบ้าอะไรกัน? พวกแกกลัวคน ๆ เดียวแบบนี้ได้ไงวะ!?”

ในขณะเดียวกัน จิ่นเฟิงก็ตะโกนด่าคนของตัวเองเสียงดังลั่น เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งลูกน้องของตัวเองเมื่อเห็นเช่นนี้

แต่จริง ๆ แล้วตัวเขาเองก็ยังตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา ด้วยเหตุผลที่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ มันเหมือนกับว่าเขาได้เห็นยักษ์จากนรกที่แสนเหี้ยมโหดกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจความคิดของคนเหล่านี้ เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างช้า ๆ พร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารให้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง!

กลิ่นอายสังหารที่หนาแน่นขนาดนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกอยู่ในความกลัว

อย่างไรก็ตาม เมื่อคนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนมองเห็นรูปร่างของชายที่เดินเข้ามาได้อย่างชัดเจน ความกลัวของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเยาะเย้ย!

มันเป็นเพียงชายหนุ่มร่างผอมเท่านั้นเอง!

พวกเขาไม่รู้จักอวี้ฮ่าวหราน ในวันนั้นตอนที่หลิ่วอวี้จิงพาคนไปล้อมบริษัทชิวเฮิง หลิ่วอวี้จิงไม่ได้เรียกคนของตัวเองไปทั้งหมด ซึ่งในวันนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปด้วย

“ถุย! ฉันหลงคิดไปได้ยังไงว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด! แม่งก็แค่ไอ้ละอ่อนที่เบื่อชีวิตก็แค่นั้นเอง!”

“เฮอะ! ผอมแห้งขนาดนั้น แค่ฉันดีดหัวมันทีเดียวกะโหลกมันก็ยุบแล้วมั้ง!”

“แม่งเอ๊ย! กล้าขู่ให้พ่อคนนี้กลัวงั้นเหรอ วันนี้แกตายแน่!”

“…”

หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา พวกเขาก็เริ่มด่าทอกันในทันที

แม้แต่จิ่นเฟิงก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก

“ฮ่า ๆ แกน่ะเหรอ คนที่หวังเหยียนโทรหา?”

เขายิ้มเยาะเย้ย

“แกมาที่นี่เพื่อมาตายกับสหายของแกงั้นเหรอ?”

ขณะที่พูด จิ่นเฟิงก็ผลักลูกน้องของหวังเหยียนที่เขากำลังจะฆ่าให้กระเด็นออกไปก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่มปริศนาพร้อมกับควงมีดในมือไปด้วยแบบสบาย ๆ

เมื่อเห็นการกระทำของเหล่านี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พ่นลมหายใจก่อนที่จะแสดงสีหน้าดูถูก

“พวกฝูงมดนี่มันไร้สาระเหมือน ๆ กันหมด!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้ฮ่าวหราน จิ่นเฟิงกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ!

“ฮ่า ๆ! หวังเหยียน ไหนแกลองบอกมาหน่อยสิว่าแกไปรู้จักกับไอ้เพี้ยนนี่มาจากไหน? ฝูงมด?? ฮ่า ๆๆ! คนที่แกเรียกมานี่แม่งโคตรตลกเลย!”

จิ่นเฟิงเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองหวังเหยียนที่ลุกขึ้นมานั่งเอาหลังพิงกำแพงได้แล้วอย่างเยาะเย้ย

น่าเสียดายที่จิ่นเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของ หวังเหยียนในเวลานี้!

จิ่นเฟิงเยาะเย้ยหวังเหยียนแค่เพียงประโยค จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกครั้ง

“แกนี่ตลกดีวะ ว่าแต่แกเป็นใครกันวะ ถึงได้กล้าเรียกพวกฉันว่ามด?”

จิ่นเฟิงยังคงเยาะเย้ยอย่างไม่กลัวตาย

“เอาแบบนี้ดีกว่า เห็นแก่ที่แกแม่งโคตรตลกเลย ฉันจะให้โอกาสแก ถ้าแกคุกเข่าลงและคลานลอดหว่างขาของฉัน ฉันอาจจะปล่อยให้แกรอดจากที่นี่ไปโดยที่หักขาแกแค่สองข้างพอ!”

อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้สาระแบบนี้

มนุษย์ธรรมดาสั่งให้เขาคลานลอดหว่างขาน่ะเหรอ?

“ฉันควรขอบคุณแกด้วยไหมที่คิดเมตตาฉันขนาดนี้?”

สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปเป็นเหี้ยมโหดอย่างฉับพลัน!

แต่แล้วก่อนที่จิ่นเฟิงจะทันได้เยาะเย้ยต่อไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ!

ร่างของไอ้หนุ่มนั่นทำไมมันถึงค่อย ๆ หายไปแบบนั้น!

อะไรวะน่ะ?

เสี้ยววินาทีถัดมา!

ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขาราวกับผี!

อันที่จริงแล้ว ภาพที่จิ่นเฟิงเห็น มันคือภาพติดตาที่เกิดจากความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อของอวี้ฮ่าวหราน!

ทันทีหลังจากนั้น เขาก็รู้สึกว่าคอของตัวเองถูกบีบอย่างกะทันหัน และจู่ ๆ ก็มีคลื่นพลังอันแข็งแกร่งกวาดผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาให้กระเด็นลอยออกไปไกลจนกระแทกกับกำแพง!

‘บรึ้ม!’

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่จิ่นเฟิง ซึ่งเขากำลังกำคออยู่ด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยามและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“แกมีคุณสมบัติอะไรดีถึงกล้ามาโอ้อวดต่อหน้าข้าผู้นี้ ไอ้มดแมลง!!”

“อ่อก…อ่อก…อ่อก…”

จิ่นเฟิงรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่คอของตัวเองก็ถูกบีบแน่นจนไม่สามารถพูดอะไรได้เลย!

“อยากพูดเหรอ? น่าเสียดายที่ฉันไม่อยากจะฟัง แกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดอะไรให้ฉันได้ยิน!”

อวี้ฮ่าวหรานเยาะเย้ยอย่างเย็นชา

ถ้าเป็นในดินแดนแห่งเทพ มนุษย์คนใดก็ตามที่กล้าดูหมิ่นเขาโดยการบอกให้เขาไปคลานลอดหว่างขา เขาจะฆ่าล้างตระกูลของคน ๆ นั้นให้เหี้ยนไม่เหลือแม้แต่หมูหมากาไก่ หรือถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่น เขาจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกมันทั้งหมดในทันที!

ศพนับล้านจะต้องปรากฏขึ้นเพื่อชะล้างความแค้นของเขา!

ในเวลานี้ หัวใจของจิ่นเฟิงเป็นเหมือนทะเลที่บ้าคลั่ง เขาหวาดกลัว เขาหวาดกลัวจริง ๆ!

หวังเหยียนเรียกสัตว์ประหลาดแบบนี้มาได้ยังไง!

หากเขาพูดได้ในตอนนี้ ก็คงจะรีบสั่งให้คนของเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดทันที!

ชายคนนี้คือตัวตนที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้!

“แกกลัวงั้นเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ใบหน้าของจิ่นเฟิง ซึ่งเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีดอย่างเยาะเย้ย

“ถ้าเมื่อกี้แกยอมคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้าผู้นี้ปรากฏตัว บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตแก เพียงแค่ทำให้แกพิการไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว!”

“โฮ…โฮ…”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความตื่นตระหนกในหัวใจของจิ่นเฟิงก็พุ่งขึ้นทะลุปรอท!

เขารู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าที่เข้มข้น!

กร๊อบ!

ในขณะที่จิ่นเฟิงกำลังตื่นตระหนกสุดขีด อวี้ฮ่าวหรานก็หักคอของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี!

หลังจากจบชีวิตของจิ่นเฟิงไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองคนของแก๊งวาฬยักษ์ที่ยังคงอยู่ในห้องโถง!

บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว
บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว

“ไม่ว่าเขาจะเลวขนาดไหน แต่คน ๆ นั้นก็ยังเป็นลุงสองของแก! แกกล้าดียังไงถึงไปด่าเขาอย่างรุนแรงขนาดนั้น?”

หลี่ชงซานตำหนิลูกชายตัวเอง

“โธ่พ่อ! คนแบบนั้นเราไม่ควรนับญาติด้วยหรอก พ่อเองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าเมื่อวานนี้เขายังไม่เห็นเราเป็นญาติเลย!”

หลี่จิงเทียนเถียงกลับเสียงแข็งอย่างน่าประหลาดใจ

หลี่อิงไห่กล้าด่าว่าเขาเป็นขยะต่อหน้าเขา ซึ่งถ้าอีกฝ่ายยังคงมีอิทธิพลเหมือนเดิม เขาคงไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้

แต่ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้แล้ว หากเขาไม่เหยียบย่ำอีกฝ่ายจนถึงที่สุด เขาก็คงไม่ใช่หลี่จิงเทียนผู้ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นแน่นอน!

“แก!”

หลี่ชงซานต้องการจะโต้แย้ง แต่เมื่อคิดได้ถึงฉากเมื่อวาน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองใจอ่อนเกินไปจริง ๆ เมื่อวานนี้หลี่อิงไห่ทำตัวราวกับว่าเขาไม่ใช่ญาติจริง ๆ

ในที่สุด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธของเขาก็กลายเป็นความจนใจ

“ช่างเถอะ มันเป็นลุงสองของลูกจริง ๆ ที่ผิด เอาล่ะ มานั่งลงกินข้าวกันต่อ”

“ผมขอออกความเห็นสักหน่อยนะพ่อ! ผมคิดว่าพ่อใจอ่อนเกินไป ถ้าผมเป็นพ่อ ผมจะไล่หลี่อิงไห่ออกจากตระกูลเราในทันที!”

หลี่จิงเทียนพึงพอใจเป็นอย่างมากที่พ่อของเขาเห็นด้วยกับคำพูดของเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงกล้าพูดเสนอความคิดเห็นของตัวเองต่อ

หลี่ชงซานเหลือบมองลูกชายที่ไม่เอาถ่านของตัวเองอย่างเหนื่อยใจ และอดไม่ได้ที่จะตวาดขึ้นอีกรอบ

“ถ้ายังพูดจาไร้สาระต่อไปอีก เดือนนี้ฉันจะไม่ให้เงินแกสักหยวน!”

“ห๊ะ?”

“อ…เอ่อ…ด…ได้พ่อ ผมจะกิน ๆ ผมไม่พูดต่อแล้วก็ได้…”

หลี่จิงเทียนตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารีบนั่งลงและกินข้าวต่อไปทันที

ตอนนี้เขาไม่มีงานทำ และเครือฮ่าวหรานก็ไม่เรียกเขากลับไปทำงาน ดังนั้นถ้าพ่อของเขาไม่ให้เงิน คงต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดเพราะไม่มีเงินแม้แต่จะออกไปกินข้าวนอกบ้าน!

อีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานทำงานเสร็จหลังจากสี่โมงเย็นและกลับบ้านพร้อมกับถวนถวน

อย่างไรก็ตาม เมื่อใกล้จะถึงคอนโดและเหยียบเบรกรถ รถเบนซ์สีดำของเขาก็สั่น ราวกับว่าเบรกมีปัญหา

หลังจากลงจากรถ เขามองเข้าไปใกล้ ๆ และพบว่าระบบเบรกผิดปกติจริง ๆ

ปัญหาเล็กนี้อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลัง มันจึงต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ทว่าเมื่ออวี้ฮ่าวหรานมองไปที่สภาพของรถ ซึ่งมีแต่รอยขีดข่วนเต็มไปหมด ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาควรเปลี่ยนรถ

ในฐานะประธานของเครือฮ่าวหราน ซึ่งมีทรัพย์สินระดับพันล้านหยวน การซื้อรถสักคันเป็นเรื่องเล็กราวกับออกไปกินข้าวหน้าบ้าน

หลังจากตัดสินใจได้ เขาก็วางแผนเอาไว้ว่าจะไปซื้อรถใหม่ในวันพรุ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ให้ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาได้ยิน หลี่หรงกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้ารังเกียจ

“เออ! ฉันเข้าใจแล้ว แค่นี้แหละและอย่าโทรมาอีก! เดี๋ยวฉันจะพาถวนถวนไปดูเอง!”

ทันทีที่พูดจบ หลี่หรงก็วางสายอย่างรุนแรง และจากนั้นคิ้วที่ขมวดของเธอก็ค่อย ๆ คลายลง เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ

เมื่อเห็นฉากนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ

“ทำไม? ใครทำให้ประธานหลี่ของเราแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวขนาดนี้?”

หลี่หรงหันขวับไปจ้องเขม็งที่อวี้ฮ่าวหรานทันที เมื่อเธอได้ยินคำพูดนั้น

“พี่เดาไม่ออกหรือไงว่ามันคือหลิวเทียนอี้! พี่ไปบล็อกเบอร์โทรของไอ้อ้วนนั่นจนหมด จนตอนนี้ฉันก็เลยเป็นคนซวย เพราะไอ้อ้วนนั่นโทรหาได้แต่ฉัน! ถ้าไม่ใช่เพราะลูก ๆ ของไอ้เจ้าลูกกวาดของเรายังอยู่ที่นั่น ป่านนี้ฉันเองคงบล็อกเขาไปแล้วเหมือนกัน ชิ!”

เมื่อพูดจบ หลี่หรงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและบันทึกเบอร์โทรของหลิวเทียนอี้ด้วยชื่อ ‘คนน่าขยะแขยง’

“ต้องเขียนเอาไว้แบบนี้! คราวหน้าที่เมื่อไหร่มันโทรมาฉันจะได้เตรียมใจได้ถูก!”

อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก หายากมากที่หลี่หรงจะรังเกียจใครได้ขนาดนี้

“เขาโทรมามีอะไรงั้นเหรอ?”

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องของลูก ๆ ของเจ้าลูกกวาด ตอนนี้พวกมันโตขึ้นมากแล้ว ดังนั้นไอ้อ้วนนั่นก็เลยโทรมาถามว่าเราจะไปดูพวกมันหรือเปล่า”

ทันทีที่หลี่หรงพูดจบ ก่อนที่อวี้ฮ่าวหรานจะทันได้พูดตอบ ถวนถวนก็ตะโกนถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที

“ลูกของเจ้าลูกกวาดโตแล้วเหรอ ถวนถวนอยากเห็น! ถวนถวนอยากเห็นพวกมัน!!”

เด็กน้อยตะโกนขึ้นอย่างมีความสุข ดวงตากลมโตของถวนถวนเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ยังมีอีกเรื่อง ชายน่ารังเกียจคนนั้นยังถามอีกว่าบริษัทของพี่มีแผนจะซื้อรถเพิ่มเร็วๆ นี้ไหม เขาบอกว่ารถหรูชุดใหม่เพิ่งมาถึงไม่กี่วันมานี้”

หลี่หรงพูดต่ออีกครั้ง

อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วขึ้นทันที ตอนนี้เขากำลังต้องการเปลี่ยนรถจริง ๆ ระบบเบรกรถของเขามันผิดปกติ

“พรุ่งนี้บ่ายพี่จะไปซื้อรถ และหลังจากนั้นพอถวนถวนเลิกเรียน พี่จะพา ถวนถวนไปที่บ้านของหลิวเทียนอี้เพื่อดูลูก ๆ ของเจ้าลูกกวาด”

“พี่เขย ในที่สุดพี่ก็เปลี่ยนรถสักที!”

หลี่หรงแสดงสีหน้ายินดีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ราวกับว่าเธอเคยบ่นเรื่องรถของพี่เขยเธอมาก่อนแล้ว

“เมอร์เซเดสเบนซ์ของพี่มันเละเทะซะขนาดนั้น พี่ควรจะเปลี่ยนมันตั้งนานแล้ว!”

“จริง ๆ แล้วหากตอนนี้ระบบเบรกของมันไม่มีปัญหาพี่คงไม่เปลี่ยนหรอก พี่ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าภายนอกของมันจะเละถึงขนาดไหน”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ เขาไม่ได้ใส่ใจกับพวกรถหรูหรือเครื่องแต่งกายราคาแพงแม้แต่น้อย

เขาได้สัมผัสกับความหรูหราขั้นสุดในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาตอนอยู่ในดินแดนแห่งเทพมาแล้ว ดังนั้นความหรูหราของโลกมนุษย์นั้นจึงไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขา…

ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ของโลกใต้ดินเมืองฮ่วยอันกำลังวุ่นวายอย่างมาก!

ภายใต้คำสั่งของโจวเฟยหู่ แก๊งพยัคฆ์เวหา รวมถึงแก๊งเล็ก ๆ ที่จับมือกันทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว

ใช้ประโยชน์จากการไม่ระวังตัว พวกเขาโจมตีกลุ่มวาฬยักษ์อย่างรุนแรง

ช่วงกลางดึก แก๊งวาฬยักษ์ถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว! และสูญเสียพื้นที่สำคัญหลายแห่งไปอย่างรวดเร็ว

คฤหาสน์แก๊งฉลามคลั่งของกงซุนซา

เคร้ง!!

“มันมากเกินไปแล้ว! โจวเฟยหู่ผู้นี้! มันไม่กลัวความตายเลยใช่ไหม?”

หลังจากที่หลิ่วอวี้จิงได้ยินข่าวจากลูกน้อง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล พร้อมกับบีบถ้วยชาในมือจนแตกละเอียด

คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าเริ่มก่อน!

“ฮี่ฮี่ ทำไมน้องหลิ่วต้องกังวลด้วย? นี่มันแค่การดิ้นรนของพวกหมาจนตรอกก็แค่นั้น”

กงซุนซาที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก เขาจิบชาอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี? พี่กงซุนต้องการจะตอบโต้กลับเลยไหม?”

ที่ผ่านมา หลิ่วอวี้จิงมักจะมีความเห็นต่างจากกงซุนซาตลอด แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว หลิ่วอวี้จิงจึงยินยอมให้อีกฝ่ายเป็นผู้ตัดสินใจแทนตัวเขา

ความปรารถนาในความแข็งแกร่งนั้นทำให้เขายอมได้ทุกอย่าง

กงซุนซาวางถ้วยน้ำชาลงเบา ๆ เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

“การโต้กลับเป็นเรื่องที่แน่นอน ในเมื่อแก๊งพยัคฆ์เวหาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดังนั้นเราเองก็ต้องเคลื่อนไหวบ้างเช่นกัน!”

ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ แน่นอนว่ากงซุนซามีแผนอยู่แล้วในใจ

“อย่างไรก็ตาม ผู้คนของแก๊งฉลามคลั่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในขณะนี้ น้องหลิ่วก็น่าจะรู้ดีว่าการที่เราจะรวมกลุ่มกันนั้นมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร”

หลิ่วอวี้จิงผงะเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกับการเป็นหัวหน้าแก๊ง เขาก็เข้าใจในความหมายของคำพูดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“พี่กงซุนหมายถึง ให้แก๊งวาฬยักษ์ของฉันออกไปจัดการกับคนพวกนั้นก่อนใช่ไหม?”

“ฮ่า ๆ หัวหน้าแก๊งหลิ่วมีไหวพริบที่เป็นเลิศจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ ที่มีคนฉลาดอย่างน้องหลิ่วอยู่ข้างกาย!”

กงซุนซาหัวเราะคิกคักพลางตอบกลับ

แผนของเขานั้นง่าย ๆ แก๊งวาฬยักษ์จำเป็นต้องแสดงความจริงใจโดยการสร้างผลงานเพื่อเข้าร่วมแก๊งของเขา และอีกอย่างแก๊งวาฬยักษ์จำเป็นต้องถูกบั่นทอนความแข็งแกร่งลงไป ไม่เช่นนั้นหากรวมกันในเวลานี้ คนของแก๊งวาฬยักษ์บางคนอาจจะยังหยิ่งผยองกับความแข็งแกร่งของตัวเองและสร้างปัญหาให้กับการรวมกลุ่มกันระหว่างทั้งสองแก๊ง

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลิ่วอวี้จิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเล

หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงจะเดินจากไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากกงซุนซา!

แก๊งวาฬยักษ์คือความพยายามอันอุตสาหะของเขา เขาจะทนมองดูมันตายอย่างไร้ค่าได้ยังไง?

บทที่ 307 ถูกวางกับดัก
บทที่ 307 ถูกวางกับดัก

อวี้ฮ่าวหรานหยิบลูกสุนัขขึ้นมาทีละตัวแล้วลูบพวกมัน เขาสัมผัสได้ว่าพวกมันได้รับการดูแลอย่างดีมาก

อย่างน้อย ๆ หลิวเทียนอี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่!

“พ่อจ๋า ดูสิ พวกมันโตกันหมดแล้ว!”

แต่หลังจากเด็กน้อยเล่นกับพวกลูกหมาอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ เด็กน้อยก็แสดงสีหน้าเศร้าเล็กน้อย

“พ่อจ๋า เราพาพวกมันกลับบ้านได้ไหม? หนูอยากเห็นพวกมันอยู่ในบ้านของเรา…”

ดวงตาที่กลมโตเริ่มคลอไปด้วยน้ำตาของถวนถวนพยายามอ้อนวอนอย่างจริงจัง

เมื่อเห็นลูกสุนัขเหล่านี้อีกครั้ง เธอชอบมันมากและอยากเอากลับบ้านไปให้เจ้าลูกกวาดดูด้วย

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและยังไม่เห็นด้วย

“พ่อคงอนุญาตไม่ได้ ถ้าลูกจะเอาพวกมันไปทุกตัว”

ไม่มีทาง แค่การดูแลเจ้าลูกกวาดตัวเดียวก็ยุ่งยากแล้ว ขืนถ้าเอาไปเลี้ยงมากกว่าหนึ่งโหล…

หลี่หรงคงระเบิดลง และเธอคงรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ ๆ

แต่เพื่อไม่ให้ลูกสาวของเขาเศร้า เขาจึงพยายามหาทางประนีประนอม

“แต่ถ้าลูกจะเลือกไปสักหนึ่งตัว พ่อคิดว่าแม่หรงของลูกน่าจะไม่มีปัญหา”

ถ้าเป็นตัวเดียว หลี่หรงน่าจะพอรับได้

“เย้! ได้ ๆ!”

เด็กน้อยก็มีเหตุผลเช่นกัน หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วย

ในเวลาเดียวกันนี้ หลิวเทียนอี้ก็เอ่ยขึ้นแทรก “ถวนถวน ไม่ต้องกังวลลุงสัญญาว่าจะดูแลพวกมันให้หนูเป็นอย่างดีที่สุด!”

“อื้ม ขอบคุณค่ะ!”

เมื่อได้ยินคำสัญญา ถวนถวนจึงพยักหน้าขอบคุณอย่างมีความสุข

คำขอบคุณนี้ของเด็กน้อย ทำให้ใบหน้าของหลิวเทียนอี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เขาจะไม่ยินดีดูแลพวกมันได้ยังไง? เป็นเพราะลูกหมาพวกนี้แท้ ๆ ที่ทำให้เครือฮ่าวหรานสั่งรถกับเขาเป็นมูลค่าหลายสิบล้าน!

หากมีใครจะมาแย่งลูกหมาพวกนี้ไปดูแลล่ะก็ เขาจะยอมสู้ตายเลยทีเดียว!

ผ่านไปอีกสักพัก หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก ถวนถวนก็จับลูกสุนัขที่มีขนคล้ายกับสีของเจ้าลูกกวาดมากที่สุดมาอุ้ม

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็พาถวนถวนเดินออกไปจากบ้านของหลิวเทียนอี้

ก่อนขึ้นรถเขาก็เหลือบมองชายอ้วนและเอ่ยขึ้น

“นายต้องดูแลลูกสุนัขพวกนั้นให้ดีที่สุด เพื่อที่ถวนถวนจะได้ไม่เสียใจเมื่อมาดูพวกมันอีกรอบ ในอนาคตเมื่อไหร่ที่บริษัทของฉันจะซื้อรถใหม่ ฉันจะสั่งให้คนของฉันเลือกโชว์รูมนายเป็นที่แรก”

เมื่อหลิวเทียนอี้ได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในทันที

“ค…ครับผม! ผมจะดูแลพวกลูกหมาให้ดีที่สุด! ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ประธานอวี้ผิดหวัง!”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะขับรถออกไปทันที

ในเวลาเดียวกัน การต่อสู้เพื่อแย่งพื้นที่ระหว่างแก๊งพยัคฆ์เวหาและ แก๊งวาฬยักษ์ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์!

กลางดึก หวังเหยียน รองหัวหน้าแก๊งค์พยัคฆ์เวหาได้นำลูกน้องของตัวเองบุกตะลุยเข้าไปในบ่อนขนาดใหญ่ของพวกแก๊งวาฬยักษ์!

กำลังภายในอันทรงพลังของเขาถูกปลดปล่อยออกอย่างรุนแรง ปรมาจารย์ด้านกำลังภายในในบ่อนแห่งนี้จึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าส่วนที่เหลือจะยังต่อสู้อย่างดื้อรั้น แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่บ่อนนี้จะถูกยึดโดยสมบูรณ์

หวังเหยียนกวาดสายตามองสำรวจห้องโถงของบ่อนอย่างละเอียด หลังจากจัดการกับปรมาจารย์กำลังภายในซึ่งเป็นคนดูแลบ่อนนี้ไปแล้ว เขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการต่อสู้ต่อไปอีก

หลังจากที่ต่อสู้กับปรมาจารย์กำลังภายในอย่างดุเดือด กำลังภายในของหวังเหยียนเองก็เกือบจะหมด

ในเวลานี้ เขาจึงต้องหยุดพักและฟื้นตัวอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ชั่วครู่ถัดมา หนึ่งในลูกน้องของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสภาพโชกเลือด!!

“ล…ลูกพี่! พวกเราแย่แล้ว! ข้างนอกมีคนของแก๊งวาฬยักษ์อยู่เต็มไปหมดเลย! หัวหน้าสาขาของพวกมันก็มากันด้วยตั้งสี่คน! คนของเราที่อยู่ข้างนอกต้านไม่ไหวเลย!!”

“ว่าไงนะ!”

หวังเหยียน เมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็ตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ!

นี่พวกเขาถูกวางกับดักงั้นเหรอ?

เขาเพิ่งมาถล่มที่นี่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงรวบรวมหัวหน้าสาขาทั้งสี่มาได้เร็วขนาดนี้ไม่ได้แน่ หากไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน!

ในขณะเดียวกันนี้ ประตูห้องโถงก็ถูกทำลายจนกระจายเป็นชิ้น ๆ!

เศษไม้กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว และชายฉกรรจ์ที่ดูไม่ธรรมดาสี่คนก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ!

หลังจากนั้น บรรดาสมาชิกทั่วไปของแก๊งวาฬยักษ์ก็กรูตามเข้ามา!

เมื่อเห็นฉากนี้ หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง

“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่ฉันเดาว่าตอนนี้พลังของแกคงใกล้หมดแล้วใช่ไหม?”

หนึ่งในหัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม

“หึหึหึ รองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหา! แกนี่มันโง่เง่าจริง ๆ แกคิดว่าแกจะเล่นงานพวกเราได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ? แกไม่รู้ซะแล้วว่าความเคลื่อนไหวของแก พวกเรารู้มันทั้งหมด!”

หวังเหยียนเมื่อกวาดสายตามองประเมินฝั่งตรงข้าม เขารู้สึกเครียดหนักขึ้นมากกว่าเดิม

ตอนนี้พลังของตัวเองใกล้หมดแล้ว และคนพวกนี้ก็แข็งแกร่งพอสมควร!

หากเป็นตอนปกติ เขาคงพอจะเอาตัวรอดได้ ทว่าด้วยความอ่อนแอของตัวเองในตอนนี้มันก็ยากเหลือเกินที่หนีสี่คนนี้พ้น และไหนจะลูกน้องของเขาอีกที่ยังคงอยู่ที่นี่ เขาจะทิ้งลูกน้องตัวเองไปไม่ได้!

“จิ่นเฟิง! เรามาเจรจากันก่อนไหม? แลกกับการที่พวกฉันจะปล่อยเชลยแก๊งของแกที่พวกฉันจับไปก่อนหน้านี้ แกก็ปล่อยพวกฉันไปครั้งนี้แกว่าไง?”

หวังเหยียนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม เขาก็รู้จักคนที่เป็นผู้นำกลุ่มที่เพิ่งบุกเข้ามา!

ในเวลานี้ คนของแก๊งวาฬยักษ์ได้ล้อมพวกเขาเอาไว้ทุกด้านเรียบร้อยแล้ว

จำนวนคนของแก๊งพยัคฆ์เวหาขณะนี้เสียเปรียบเป็นอย่างมาก พวกเขามีคนน้อยกว่าถึงสามเท่า!

ถ้าสู้ก็ตายแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม ชายที่ถูกเรียกว่าจิ่นเฟิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างประชดประชันทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของหวังเหยียน

“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน นี่แกคิดว่าฉันเป็นเด็กอายุ 3 ขวบหรือไง? มูลค่าของไอ้พวกลิ่วล้อที่พวกแกจับไปได้มันจะเทียบได้กับรองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างแกได้ยังไงจริงไหม?”

“สรุปแล้วคือไม่เจรจาใช่ไหม?”

หวังเหยียน จ้องมองไปที่อีกฝ่ายพร้อมกับเตรียมตัวรับมือการต่อสู้เป็นตาย

“เจรจางั้นเหรอ…อืม…จริง ๆ แล้วหัวหน้าหลิ่วของฉันก็พูดเอาไว้เหมือนกันว่า ถ้าแกยอมออกจากแก๊งพยัคฆ์เวหา ทิ้งไอ้ขยะโจวเฟยหู่ และเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์ของฉัน แกก็จะสามารถรอดตายได้ในวันนี้!”

จิ่นเฟิงตอบกลับพร้อมกับแสดงท่าทีใจกว้าง ยอมถอยให้กับหวังเหยียน

แน่นอนว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ หวังเหยียนก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม

อีกฝ่ายกำลังดูถูกเขาและพยายามจะบั่นทอนกำลังใจคนของฝ่ายเขาอย่างเห็นได้ชัด!

ในตอนนี้รอบ ๆ ตัวหวังเหยียนมีลูกน้องอยู่กว่าสี่สิบคน พวกเขาคงมีโอกาสรอดเล็กน้อย ถ้าเขายอมทรยศจริง ๆ

แต่หลังจากนั้น แก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะวุ่นวายในทันที!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง

เขาจะทำยังไงดี? เขาจะยอมเสียสละตัวเองพร้อมกับลูกน้องอีกสี่สิบกว่าคนเพื่อไม่ทำให้แก๊งพยัคฆ์เวหาสั่นคลอนดีไหม?

แต่แล้วในขณะที่เขากำลังหมดหวัง จู่ ๆ เขานึกอะไรบางอย่างออก ซึ่งราวกับว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ ใช่แล้ว ชายคนนั้นไง!

ขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานกำลังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารในห้องหลี่หรงจนอิ่มไปแล้ว และถวนถวนก็กินอิ่มแล้วเช่นกัน เด็กน้อยกำลังเล่นกับสุนัขสองตัวอย่างสนุกสนาน

จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“น้องอวี้! ตอนนี้นายว่างไหม? มาช่วยฉันที!”

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เป็นเสียงตื่นตระหนกของหวังเหยียน

“เกิดอะไรขึ้น?”

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว

“ฉันติดอยู่ที่บ่อนเป่ยเชิงที่อยู่ทางทิศเหนือของเมือง! น้องอวี้ หากนายไม่ได้ทำอะไรสำคัญอยู่ โปรดมาช่วยฉันที!”

“ฉันว่างอยู่”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางหันศีรษะไปเหลือบมองน้องภรรยาที่กำลังเล่นกับถวนถวน ใช่แล้ว ตอนนี้เขาว่างอยู่

“งั้นก็มาช่วยฉันตอนนี้ที น้องอวี้! ฉันกำลังจะถูกรุมฆ่าแล้ว!”

บทที่ 299 เตรียมการตอบโต้
บทที่ 299 เตรียมการตอบโต้

หลังจากได้รับการช่วยเหลือ แทนที่ผู้บริหารทุกคนจะลาหยุดเพื่อปรับสภาพจิตใจ พวกเขาทั้งหลายกลับแสดงความทุ่มเทให้กับบริษัทโดยการกลับมาทำงานกันทุกคนทันที และเรื่องแรก ๆ ที่พวกเขาทำคือพยายามหาว่าใครกำลังเล่นงานเครือฮ่าวหรานอยู่

ในห้องประชุม

“หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดผ่านทุกช่องทาง ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าใครกำลังฉวยโอกาสกว้านซื้อหุ้นบริษัทของเราตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา”

ผู้จัดการหวังเอ่ยขึ้นกลางห้องประชุม

“ตลอดทั้งช่วงเช้า คนที่ฉวยโอกาสเล่นงานบริษัทของเราคือบริษัทอิงเหมา ซึ่งประธานบริษัทก็คือหลี่อิงไห่ คน ๆ นี้ผมคิดว่าประธานอวี้น่าจะรู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”

ขณะนี้ ผู้จัดการหวังปรับสภาพจิตใจได้มากแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นเคย เขาเอ่ยขึ้นพลางมองไปที่อวี้ฮ่าวหราน

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อถูกมองและส่งสัญญาณให้พูดต่อ

อันที่จริง เขาประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของหลี่อิงไห่ ชายหนุ่มคิดไม่ถึงเช่นกันว่าชายแก่คนนั้นจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย

บริษัทของหลี่อิงไห่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่บริษัทเล็ก แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร มันใหญ่ไม่เท่ากับบริษัทชงซานก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยหากเอามาเทียบกับเครือฮ่าวหราน

ตาแก่นั่นไม่มีทางทำเรื่องนี้คนเดียวแน่นอน อวี้ฮ่าวหรานค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้…

การที่บริษัทอิงเหมาต้องการจะฮุบเครือฮ่าวหรานที่ใหญ่กว่าหลายเท่านั้นมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน หากไม่มีความช่วยเหลือจากคนอื่นเข้าเสริม

จากนั้นคำพูดถัดมาของผู้จัดการหวังก็ยืนยันความคิดของอวี้ฮ่าวหราน

“หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหลายรอบ ท้ายที่สุดเราได้พบว่ามีบริษัทเล็ก ๆ อีกหลายบริษัทที่เข้าร่วมแผนการโจมตีบริษัทของเราด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านั้นถึงแม้จะเล็ก แต่กลับมีเงินทุนที่หนามาก จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ผมพบว่าบริษัทเล็ก ๆ เหล่านั้นทั้งหมดเชื่อมโยงกับแก๊งใต้ดินแก๊งหนึ่งที่ชื่อว่า…แก๊งฉลามคลั่ง”

หลังจากพูดจบ ผู้จัดการหวังส่งต่อเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการสืบสวนให้กับผู้บริหารทุกคนในห้องประชุมรวมไปถึงอวี้ฮ่าวหราน

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกพึงพอใจในตัวลูกน้องของตัวเองคนนี้มาก

แค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ลูกน้องของเขาคนนี้ก็สามารถสืบเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นอาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันเลยก็ว่าได้

ถัดมา…

เมื่อทุกคนรู้แล้วว่าศัตรูเป็นใคร บรรดาพวกผู้บริหารจึงเริ่มถกกันว่าจะตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไรดี

อย่างไรก็ตาม ด้วยความซับซ้อนของปัญหา กว่าที่ทุกคนจะร่างแผนการตอบโต้ได้เวลาก็ล่วงเลยไปถึงสี่โมงเย็น…

เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็น อวี้ฮ่าวหรานออกจากบริษัททันที

ไม่ว่าปัญหาของบริษัทมันจะรุมเร้าแค่ไหน แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่เคยมองว่ามันสำคัญมากกว่าลูกสาวของเขาเอง

เกือบสี่โมงครึ่ง อวี้ฮ่าวหรานไปถึงโรงเรียนสอนเปียโน แต่ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังจะพาลูกสาวกลับบ้าน เขาก็ได้พบว่าชายวัยกลางคนที่เคยมีปัญหากับเขาก่อนหน้านี้กำลังรอเขาอยู่ที่ทางออก

ชายวัยกลางคนคราวนี้มาพร้อมกับกล่องของเล่นชิ้นใหญ่ เขาถือมันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และพยายามยื่นมันให้ถวนถวนเพื่อเอาใจ

แต่ในทางกลับกัน ถวนถวนเพียงเหลือบมองชายวัยกลางคนแค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น จากนั้นเด็กน้อยก็เบือนหน้าหนีไปซุกอกอวี้ฮ่าวหรานแทน

การกระทำเช่นนี้ของถวนถวน ทำให้ชายวัยกลางคนถึงกับสลด

เมื่อเห็นว่าเอาใจเด็กน้อยไม่สำเร็จ เขาจึงเบนสายตาไปหาอวี้ฮ่าวหราน และพูดขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ค…คุณอวี้ ผ…ผมกำลังรอคุณอยู่เลย…”

ในตอนนี้ ชายวัยกลางคนไม่หลงเหลือท่าทีที่หยิ่งผยองอีกต่อไป เขาพยายามแสดงสีหน้านอบน้อมอย่างเห็นได้ชัด

“ผ…ผมขอโทษคุณจริง ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด! ตอนนั้นผมมันตาบอด ผมมันเป็นตัวเดรัจฉาน ผมล่วงเกินคนที่ผมไม่อาจล่วงเกินได้ ผมสำนึกผิดแล้ว ได้โปรดคุณอวี้อภัยให้ผมได้ไหม ละเว้นบริษัทของผมเถอะ ผมขอร้อง!”

“ผมสาบาน หากคุณอวี้ให้อภัยผม ไม่ว่าคุณอวี้จะต้องการให้ผมทำอะไรผมยอมหมดเลย!”

น้ำเสียงของชายวัยกลางคนสั่นเครือ ราวกับว่าเขาสามารถร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ

แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย อันที่จริงเขาไม่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เขาเดินผ่านไปราวกับอีกฝ่ายเป็นแค่ธาตุอากาศ

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเปิดประตูออกไป อวี้ฮ่าวหรานก็หยุดฝีเท้าลงและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อย่าให้ฉันเห็นแกที่นี่อีกต่อไป ไม่งั้นฉันจะทำให้แกตกต่ำมากกว่านี้!”

ในขณะที่ขู่ อวี้ฮ่าวหรานไม่หันหน้าไปมองชายวัยกลางคนแม้แต่น้อย

“ผม….”

ชายวัยกลางคนรู้สึกหวาดกลัวกับคำขู่ของอวี้ฮ่าวหรานมากจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

เขาคือคนที่อยู่ในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองฮ่วยอันเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าคนที่รวยมาก ๆ กว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง

“ถ้าแกยังโผล่หน้ามาให้ลูกของฉันเห็นอีก ฉันจะทำให้แกได้รู้ว่าความกลัวมันเป็นยังไง!”

อวี้ฮ่าวหรานขู่ขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมาด้วย ซึ่งมันส่งผลให้ชายวัยกลางคนกลัวจนเข่าอ่อนทรุดตัวลงไปที่พื้นทันที!

ชายวัยกลางคนหน้าซีด หน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ และดวงตาแสดงออกว่ากลัวอย่างรุนแรง

หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายกลัวจนจำฝังใจแล้วแน่นอน อวี้ฮ่าวหรานก็พาถวนถวนเดินจากไป

“พ่อจ๋า ลุงคนนั้นน่ารำคาญมากเลย! ก่อนพ่อจะมา เขาพยายามเข้ามาคุยกับหนูด้วยแหละ!”

ในรถ ถวนถวนบ่นขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ไม่ต้องกังวล หลังจากนี้เขาจะไม่มาอีกแล้วแน่นอน”

อวี้ฮ่าวหรานรีบเอ่ยขึ้นให้ความมั่นใจลูกสาวของเขาทันที พร้อมกับตัดสินใจว่า ถ้าหากอีกฝ่ายยังคงดื้อรั้นไม่เชื่อคำขู่ของเขา เขาจะจัดการอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด!

เมื่อกลับไปถึงห้อง อวี้ฮ่าวหรานก็พบว่าหลี่หรงกลับมาจากที่ทำงานแล้วเช่นกัน

“วันนี้ที่บริษัทเธอเรียบร้อยดีไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยทักทายหลี่หรงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“แน่นอนว่าต้องเรียบร้อยอยู่แล้ว! ด้วยความช่วยเหลือของพี่ พวกพนักงานในบริษัทของฉันตอนนี้ทำงานดีมากกว่าเดิมอีก จนฉันแทบไม่ต้องทำอะไรเลย!”

หญิงสาวตอบกลับพลางเอนตัวราบไปกับโซฟาอย่างเกียจคร้าน

“ว่าแต่พี่เขย เมื่อเช้าฉันเห็นข่าวเกี่ยวกับบริษัทของพี่ในทีวีด้วย พวกผู้บริหารของพี่พากันลาออกพร้อมกันหมดเลยงั้นเหรอ? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“อย่าไปเชื่อข่าวพวกนั้น มันเป็นแค่ข่าวลวง”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับอย่างสบาย ๆ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่

ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนวิ่งไปหาหลี่หรงและพูดขึ้นแทรก

“แม่หรง! วันนี้ที่โรงเรียนพ่อจ๋าไล่คนเลวไปด้วยแหละ!”

“จริงเหรอ? ไหนเล่าให้แม่หรงฟังสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

หลี่หรงยิ้มที่มุมปากพร้อมกับดึงตัวเด็กน้อยมานั่งตักด้วยความเอ็นดู

“ได้หนูจะเล่าให้ฟัง! วันนี้มีลุงน่ารำคาญคนหนึ่งมาหาหนูตอนเลิกเรียนและพ่อจ๋า…”

เด็กน้อยเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยสีหน้าเบิกบานซึ่งถัดมาไม่นานนักท้องฟ้าก็มืดลง

แตกต่างจากความสุขสงบในคอนโดของอวี้ฮ่าวหราน

เครือฮ่าวหรานขณะนี้กำลังเริ่มการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

บทที่ 338 สาขาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่อีกรอบ
บทที่ 338 สาขาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่อีกรอบ

หลังจากได้ยินสวีเซี่ยงจวินยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหากับตำแหน่งงาน อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยเตือนดักเอาไว้อย่างจริงจัง

“ฉันหวังว่านายจะไม่ไปแตะต้องพวกการพนันและอบายมุขต่าง ๆ เหล่านั้นอีก สวีรุ่ยควรได้อยู่ในสภาพแวดล้อมครอบครัวที่สมบูรณ์”

เขารู้สึกเป็นห่วงสวีรุ่ยจริง ๆ ความทรงจำครั้งล่าสุดที่เขาเห็นหญิงสาวคนนั้นนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่สี่แยกมันทำให้เขารู้สึกเวทนาจริง ๆ

“น…แน่นอนครับ! ผมจะทำให้รุ่ยเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน!”

สวีเซี่ยงจวินสัญญาอย่างรวดเร็ว

ทางด้านของผู้จัดการหวังก็ทำเป็นนิ่งเงียบ เขารู้ว่าการแสร้งทำเป็นไร้ตัวตนในเวลานี้เป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุด

แต่แล้วในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเอ่ยเตือนเรื่องอื่น ๆ ต่อ จู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน!

“ฮ่าวหราน! เร็วเข้า…รีบมาช่วยลูกสาวของฉันที! เราโดนองค์กรอสรพิษจับได้!”

ทันทีที่รับสายโทรศัพท์ เสียงที่ตื่นตระหนกอย่างยิ่งจากปลายสายก็ดังขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น!”

เสียงนั้นเป็นเสียงของเฉิงกัวอัน และอวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเขาได้ยินประโยคนี้!

องค์กรอสรพิษ!

องค์กรนี้ไม่ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขานานแล้ว จนเขาคิดว่าพวกมันน่าจะกลัวจนไม่กล้าโผล่หัวมาอีก

“ฮี่ฮี่ แกคืออวี้ฮ่าวหรานสินะ? ฉันรู้ว่าแกห่วงใยไอ้สองคนนี้มาก ดังนั้นฉันจะให้โอกาสแกได้ช่วยพวกมัน จงมาที่ยอดตึกชางเหว่ยภายในหนึ่งชั่วโมง มิฉะนั้นแกจะได้เห็นศพของสองพ่อลูกนี้ปรากฏขึ้นกลางถนน!”

“แกเป็นใคร?”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินสิ่งนี้ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที!

ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าเขาทำผิดพลาดอีกแล้วที่ไม่ฆ่าองค์กรนักฆ่านี้ไปให้หมด!

“ฉันเหรอ ฮ่าฮ่า แกสามารถเรียกฉันได้ว่า ‘อสรพิษเงิน’ และฉันเป็นรองเจ้าตำหนักคุมกฎขององค์กร ฉันขอชมเชยแกจริง ๆ ที่สามารถดึงดูดความสนใจของฉันได้ จนฉันต้องมาฆ่าแกด้วยตัวเองแบบนี้! อ้อ และแกมั่นใจได้เลยว่าเมื่อไหร่ที่แกตาย ฉันจะส่งครอบครัวของแกลงนรกตามแกไปด้วยเพื่อที่แกจะได้ไม่เหงา!”

เสียงปลายสายของโทรศัพท์นั้นเย็นชามาก และยิ่งเมื่อรวมกับการข่มขู่เยาะเย้ยก็ยิ่งทำให้ใครก็ตามที่ฟังสั่นกลัวได้อย่างง่ายดาย

แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเลย มีเพียงแค่ความโกรธเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา!

หลังจากวางสาย เขาเอ่ยลาสั้น ๆ กับผู้จัดการหวังและสวีเซี่ยงจวิน จากนั้นเขาก็เดินจากไปในทันที

ในเวลานี้ ผู้จัดการหวังรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อเห็นแววตาเจ้านายของเขาเมื่อครู่

เขาพบว่าตัวเองมองประธานหนุ่มคนนี้ไม่ออกเลยว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนอย่างไร

สรุปแล้วประธานของเขาเป็นคนที่อ่อนโยนหรือว่าโหดเหี้ยมกันแน่?

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถออกไปเรียบร้อยแล้ว

อวี้ฮ่าวหรานขับรถไปถึงอาคารชางเหว่ยในเวลาเพียงสี่สิบนาที!

นี่เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชน และอาคารก็ดูทรุดโทรมมาก

“ไม่ทราบว่าคุณมาติดต่อธุระรึเปล่า? แต่คุณช่วยเลื่อนรถเข้ามาจอดด้านในบริษัทของเราได้ไหม กรุณาอย่าจอดรถขวางประตูของบริษัทเรา”

รปภ. ที่ประตูเมื่อเห็นมีรถสุดหรูขับเข้ามา ทัศนคติของเขายังคงค่อนข้างสุภาพ ถึงแม้อวี้ฮ่าวหรานจะขับรถจอดขวางประตูเต็ม ๆ

แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

“หลีกไป!”

รปภ. ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเจ้าอารมณ์ได้ขนาดนี้

หลังจากได้สติแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที!

“บัดซบ! ดูถูกกันมากไปแล้ว! คุณรู้ไหมว่าบริษัทของเราทำอะไร!”

รปภ. ตะโกนออกมาอย่างโกรธเคืองเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน!

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างดูถูกและพูดคำสั้น ๆ

“องค์กรอสรพิษ?”

คำสั้น ๆ นี้ทำให้ รปภ. ดูเย็นชายิ่งขึ้นไปอีก!

“แกรู้ได้ยังไง! บัดซบ!”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินสิ่งนี้ เจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาทันที!

รปภ. คนนี้น่าจะมาจากองค์กรอสรพิษ เห็นได้ชัดว่านี่อาจเป็นสาขาใหม่ขององค์กรอสรพิษ

ในเมื่อเป็นกรณีนี้ เขาจะทำลายที่นี่ให้พินาศ!

‘บรึม!’

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเริ่มก่อน อวี้ฮ่าวหรานก็เตะรปภ. อย่างรุนแรงจนกระเด็นไปกระแทกกับประตูรั้วเหล็กจนพังโครมลง!

อย่างไรก็ตาม รปภ. คนนี้เป็นผู้บ่มเพาะถึงระดับพลังภายในอย่างแน่นอน เพราะแม้ว่าเขาจะโดนเตะไปเต็ม ๆ เขาก็ยังคงมีแรงตะโกนสียงดัง

“มีคนบุกเข้ามา! มีคนบุกเข้ามา…”

‘กร๊อบ!’

แต่ก่อนที่เขาจะตะโกนเสร็จเป็นครั้งที่สอง อวี้ฮ่าวหรานก็พุ่งเข้าไปหาและเหยียบเข้าไปที่คอของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงจนมีเสียงกระดูกคอหักดังลั่น!

คราวนี้เขาตั้งใจว่าจะฆ่าคนขององค์กรอสรพิษทั้งหมดจริง ๆ!

เหตุผลส่วนใหญ่ที่เฉิงกัวอันและเฉิงชิวอวี้ถูกจับตัวมาแบบนี้มันน่าจะมาจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างพวกเขากับอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นหากเขาไม่ฆ่าพวกองค์กรอสรพิษในวันนี้ให้หมด คราวหน้าอีกฝ่ายคงมุ่งเป้าไปที่ หลี่หรงและถวนถวนอย่างแน่นอน!

เขาจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้!

“หาที่ตาย! กล้าดียังไงถึงบุกรุกบริษัทเราแบบนี้!”

ในเวลานี้ รปภ. จำนวนมากกว่าสองโหลได้หลั่งไหลออกมาจากตึกสำนักงานราวกับน้ำหลาก!

คนที่นำหน้าตะโกนอย่างโกรธจัด!

อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และพบว่าผู้ชายที่นำหน้าสุดเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังภายในขั้นกลาง ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนอื่น ๆ อย่างน้อยก็เกือบจะทะลวงขึ้นมามีพลังภายในแล้ว!

คนพวกนี้ไม่ธรรมดาเลยหากเทียบกับเกณฑ์ความแข็งแกร่งของโลกมนุษย์!

แค่คนไม่กี่สิบพวกนี้ก็เทียบได้กับความแข็งแกร่งของแก๊งพยัคฆ์เวหาทั้งหมดแล้ว!

หลังจากยืนยันว่านี่คือองค์กรอสรพิษสาขาใหม่ ดวงตาของอวี้ฮ่าวหราน ก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม!

อีกฝ่ายรีบรุมล้อมเขา!

“รนหาที่ตาย! กล้าดียังไงมาบุกสาขาองค์กรอสรพิษของเรา! ฉันจะทำให้แกทรมานจนต้องร้องขอความตาย!”

ผู้นำกลุ่มตะโกนอย่างหยิ่งผยอง เขาไม่ปิดบังตัวตนอีกแล้วว่ามาจากองค์กรอสรพิษ

แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ขาข้างหนึ่งของพวกเขาก้าวเข้าไปในยมโลกเรียบร้อวแล้ว!

อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาก่อนจะหายตัวไปราวกับผี!

วินาทีถัดมา ฉากที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น!

เมื่อร่างที่หายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็คว้าคอผู้นำกลุ่มที่เป็นปรมาจารย์พลังภายในด้วยมือข้างหนึ่งแล้วยกขึ้น!

ดวงตาของนักฆ่าที่ปลอมตัวเป็นหัวหน้ารปภ. เบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ!

เขาคือปรมาจารย์พลังภายใน! ผู้ที่แข็งแกร่งใกล้จะขึ้นได้รับตำแหน่งเจ้าตำหนัก!

แต่ตอนนี้เขากลับถูกอีกฝ่ายคร่ากุมอย่างง่าย ๆ ได้ยังไง?

เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น!

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็เพิกเฉยต่ออาการสยองขวัญของอีกฝ่ายและเขาไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดแม้แต่น้อย

‘กร๊อบ!’

หลังจากสิ้นเสียงกระดูกถูกบดละเอียด ปรมาจารย์พลังภายในผู้ที่เคยคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งเหนือล้ำก็แน่นิ่งตาเหลือกและหมดลมหายใจในทันที!

‘ผลั่ก’

อวี้ฮ่าวหราน มองไปรอบ ๆ หลังจากโยนร่างไร้ชีวิตลงบนพื้น

“วันนี้พวกแกทั้งหมดจะต้องตาย!!”

อวี้ฮ่าวหรานพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก แต่พวกนักฆ่าต่างกลัวจนถอยกลับไปสองก้าว!

พวกเขาไม่เคยเห็นตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน!

“ก…แก! อย่าได้ใจไปนักนะโว้ย! ตัวตนระดับสูงขององค์กรเราอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าขืนแกก้าวเข้ามาอีกแกตายแน่!”

หนึ่งในนั้นรวบรวมความกล้าตะโกนขึ้นขู่หวังว่ามันจะได้ผลบ้าง

“โอ้ ไอ้คนที่แกหวังพึ่งนี่แหละที่ฉันกำลังมองหาอยู่!”

อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็โคจรพลังวิญญาณอย่างรวดเร็วและระเบิดคลื่นพลังออกไปทางด้านหน้าจนกวาดล้างพวกนักฆ่ายี่สิบกว่าคนพร้อม ๆ กันอย่างหมดจด

หลังจากจัดการกับพวกนักฆ่าด้านนอกตึกเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านในผ่านประตูกระจกที่แตกเละเทะหลังจากการปะทะเมื่อครู่

แต่แล้วเมื่ออวี้ฮ่าวหรานเข้าไปด้านในตึก เขาก็เห็นว่าที่ด้านในมีพวกพนักงานที่น่าจะเป็นคนธรรมดาไม่รู้อีโหน่อีเหน่จำนวนมากอยู่ด้วย คนพวกนี้ไม่มีคลื่นพลังแผ่ออกจากร่างกาย ดังนั้นอวี้ฮ่าวหรานจึงสรุปได้ทันทีว่าคนพวกนี้ไม่ใช่พวกที่ปลอมตัวมา ในเวลานี้พวกหนักงานเหล่านี้ต่างตื่นตระหนกและพากันวิ่งหนีเตลิดไปคนละทิศคนละทาง

บทที่ 306 ไล่ออก!
บทที่ 306 ไล่ออก!

“นังบ้า! ฉันไล่แกนั่นแหละ!!!”

หลิวเทียนอี้โกรธมากจนแทบจะระเบิด! เขาไม่คิดว่าลูกน้องของตัวเองคนนี้จะกล้าได้ขนาดนี้!!

“ยังยืนโง่อะไรอยู่อีก! ออกไปซะ ฉันไล่แกออกยังไม่เข้าใจหรือไง!!”

หลิวเทียนอี้ตะโกนอย่างโกรธจัด เมื่อเห็นว่าหญิงวัยกลางคนหน้าโง่คนนี้ยังคงยืนตกตะลึงไม่ขยับไปไหน

เธอไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้มาก่อน

“คุณ…ผู้จัดการกำลังพูดกับฉันงั้นเหรอ?”

หญิงวัยกลางคนถามกลับด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“แต่…แต่คนสร้างปัญญาคือไอ้พวกคนจนพวกนี้นะ…”

เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่โดนลงโทษจะเป็นตัวเธอเอง

“ฉันพูดถึงแกนั่นแหละ! ออกไปจากร้านของฉันเดี๋ยวนี้!”

หลิวเทียนอี้ยิ่งโมโหมากกว่าเดิมเมื่อยังได้ยินหญิงวัยกลางคนยังคงเอ่ยคำพูดดูถูกอวี้ฮ่าวหราน

นังนี่มันอยากให้ฉันตายแน่ ๆ!

“รปภ. โว้ย! รปภ. ของฉันแม่งไปตายกันหมดแล้วหรือไงวะ!! รีบมาลากตัวนังนี่ออกไปเดี๋ยวนี้เร็ว!!”

เขาตะโกนอย่างโกรธจัด

รปภ. หลายคนมองหน้ากันอย่างสับสนก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาตามคำสั่ง

“ผ…ผู้จัดการหลิว ให้เราลากเราพี่โจวออกไปจริง ๆ เหรอครับ?”

พวกรปภ. งุนงงจนอดไม่ได้ที่เอ่ยถามขึ้นให้แน่ใจอีกที หญิงวัยกลางคนทำงานที่นี่มานานแล้วจนพวกเขาเองก็รู้จัก ดังนั้นการที่จู่ ๆ จะลากอีกฝ่ายออกไปเลยทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร จึงค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน

“เออ! แกไม่ต้องถามมาก! รีบลากนังผู้หญิงคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้ ตอนนี้!!”

เมื่อเห็นว่าพวกรปภ. ลังเล หลิวเทียนก็ตะโกนออกไปอีกครั้ง!

รปภ. ทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมผู้จัดการถึงได้ไล่พี่โจวออกอย่างกะทันหันแบบนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเป็นคำสั่งจากผู้จัดการ พวกเขาก็ต้องเชื่อฟัง

“พ…พี่โจว พวกเราขอโทษด้วยนะ…เชิญด้านนอกครับ…”

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะรู้จักผู้หญิงคนนี้ แต่คำพูดของผู้จัดการนั้นไม่อาจขัดขืนได้

“ทำไม…ทำไม???!!”

ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนตะโกนด้วยความอยากรู้ เพราะเธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้จัดการหลิวถึงไล่เธอออกอย่างสายฟ้าแลบแบบนี้

หลิวเทียนอี้หัวเราะแทนความโกรธ

“ฮ่า ๆๆ! ทำไมงั้นเหรอ? แกรู้ไหมว่าคนที่แกกำลังล่วงเกินอยู่เป็นใคร! เขาผู้นี้คือประธานอวี้แห่งเครือฮ่าวหราน! เขาเพิ่งจะสั่งซื้อรถระดับผู้บริหารสองชุดกับเราไป และมูลค่าของการสั่งซื้อทั้งสองนั้นไม่ใช่สิ่งที่แกจะจินตนาการได้! แกกำลังพยายามจะฆ่าฉันให้ตายใช่ไหม!!!”

“ห…หา? น…นี่…เป็นไปได้ยังไง!?”

เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินประโยคนี้ เธอจึงหันไปจ้องมองอวี้ฮ่าวหราน อย่างรวดเร็วด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มที่แต่งตัวธรรมดาคนนี้จะเป็นคนใหญ่คนโต!

“ผู้จัดการหลิว ฟังฉันอธิบายก่อน…ฉันไม่รู้จริงๆ ฉัน…”

หญิงวัยกลางคนตื่นตระหนกสุดขีด เธอทำงานที่นี่มาเกือบสิบปีแล้ว ฐานเงินเดือนของเธอมากกว่าค่าคอมมิชชั่นซะอีก หากเธอถูกไล่ออกไป เธอก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ซึ่งกว่าที่เธอจะไต่เต้าจนกลับมามีรายได้เท่าเดิมคงต้องใช้เวลาอีกนานโข แถมไม่รู้ว่างานใหม่จะสบายเหมือนที่นี่อีกหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม หลิวเทียนอี้ไม่ได้สนใจเธอเลยในเวลานี้ เขาโบกมือสั่งให้รปภ. ลากตัวหญิงวัยกลางคนออกไป ก่อนที่จะหันไปหาชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเพื่อประจบประแจง

“ป…ประธานอวี้? คุณพอใจกับการจัดการของผมไหม หรือถ้าคุณยังไม่พอใจ ผมยังมีวิธีที่จะทำให้เธอกลายเป็นขอทานในเวลาอันสั้น!”

ในระหว่างที่พูดประโยคนี้ หลิวเทียนอี้ก็แสดงท่าทางประจบแจงราวกับเป็นสุนัขที่กำลังกระดิกหางเพื่อขออาหาร

น้ำเสียงที่ประจบสอพลอขนาดนี้ ทำให้อาลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ตกตะลึง

เธอไม่เคยเห็นผู้จัดการของเธอแสดงท่าทีประจบใครขนาดนี้มาก่อน ในมุมมองของเธอ ผู้จัดการหลิวเป็นคนที่ดุและเคร่งขรึมมาก

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้

“หึหึ ดูเหมือนว่านายยังคงอารมณ์ร้ายไม่เปลี่ยนเลยนะ”

เขารู้ว่า หลิวเทียนอี้เป็นคนที่ชอบรังแกคนอื่นและชอบทำให้คนอื่นกลัวอยู่เสมอ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเย้ยหยันทันที

“อ…เอ่อ ไม่ใช่หรอก…ประธานอวี้ ไม่ใช่หรอกผมเปลี่ยนไปแล้ว…แต่ที่ผมต้องโหดร้ายเช่นนี้เป็นเพราะผมทนไม่ได้ที่เห็นนังผู้หญิงนั่นล่วงเกินคุณอย่างหยาบคายต่างหาก…”

หลิวเทียนอี้รีบตอบกลับด้วยอาการกระอักกระอ่วน และลงท้ายด้วยน้ำเสียงที่ประจบประแจงอีกครั้ง

เมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ อาลี่ก็ไม่ตกตะลึงอีกเลย

ผู้จัดการของเธอที่มีอารมณ์รุนแรง แต่กลับยอมให้กับชายหนุ่มคนนี้ได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยราวกับยอมรับคำพูดของอีกฝ่าย

“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้จบเรื่องแล้ว งั้นนายก็ไปทำงานของนายต่อเถอะ ให้พนักงานคนนี้ดูแลฉันต่อไปตามเดิม”

ขณะพูด อวี้ฮ่าวหรานมองไปยังเด็กสาวที่กำลังตกใจอยู่ข้าง ๆ และพยักหน้าให้เธอทำงานของเธอต่อ

“อ…โอ้…ได้ครับ! ได้ครับ! เดี๋ยวผมจะไปยืนรอออยู่ตรงด้านนู้นก็แล้วกัน หากท่านมีอะไรขาดเหลือก็ตะโกนเรียกผมได้เลย ผมจะได้ช่วยเหลือได้ในทันที!”

เมื่อหลิวเทียนอี้ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงถอยออกไปที่เคาน์เตอร์ฝ่ายขายและมองดูจากระยะไกลทันที เพราะเขารู้จักอารมณ์ของอีกฝ่ายว่าเป็นยังไง

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นเช่นนี้ เขาก็พ่นลมหายใจด้วยความรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาหันมาทางอาลี่ และบอกให้เธอแนะนำรถต่อไป

ถัดมา ภายใต้การแนะนำของอาลี่ ในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็เลือก แลมโบกินีที่มีราคา 9.6 ล้าน

หลังจากจ่ายเงินทั้งหมดเรียบร้อย ขั้นตอนการทำเอกสารต่าง ๆ ก็เสร็จอย่างรวดเร็ว

“ประธานอวี้ คุณกำลังจะไปแล้วงั้นเหรอ ต้องการให้ผมรับใช้อะไรต่อหลังจากนี้อีกหรือเปล่า?”

ที่ด้านนอกร้าน หลิวเทียนอี้ถามอย่างตรงไปตรงมา

“วันนี้พอเลิกงานแล้วนายรีบกลับบ้านเร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน ฉันจะพาลูกสาวไปดูพวกลูกหมา”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ขึ้นรถคันใหม่และเร่งเครื่องจากไปทันที

หลังจากที่ Lamborghini สีเหลืองสดใสหายไปจากสายตา หลิวเทียนอี้ ค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ฉากเมื่อครู่นี้เกือบจะทำให้วิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างจริง ๆ

โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ใช่พนักงานทุกคนที่ร่วมวงกับหญิงวัยกลางคนนั่น

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาหันศีรษะมองไปยังอาลี่ที่อยู่ถัดจากเขา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมาก

“อาลี่ วันนี้เธอทำได้ดีมาก! ช่วงทดลองงานของเธอจบแล้ว หลังจากนี้ฉันจะขึ้นฐานเงินเดือนให้เธอหนึ่งพันหยวน ขยันทำงานด้วยล่ะ!”

“เอ๊? ต…แต่ว่า…ผู้จัดการ ฉันเพิ่งทดลองงานได้แค่หนึ่งเดือนเท่านั้นเอง…”

อาลี่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

“ไม่เป็นไร! ด้วยคำสั่งของฉัน ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามนั้น และอีกอย่าง ถ้าฉันบอกจะขึ้นเงินเดือนให้เธอ ฉันก็จะขึ้นเงินเดือนให้แน่นอน!”

มากกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมา อวี้ฮ่าวหรานจึงได้พาถวนถวนเดินทางไปที่บ้านของหลิวเทียนอี้

ทันทีที่เด็กน้อยลงจากรถ เธอก็วิ่งไปที่หน้าประตูบ้านของหลิวเทียนอี้ อย่างตื่นเต้น

ในเวลานี้ หลิวเทียนอี้กำลังรออยู่ที่ประตูแล้ว

“ยินดีต้อนรับคุณหนูถวนถวน!”

หลิวเทียนอี้เอ่ยต้อนรับทันที

“ลูกสุนัขอยู่ที่ไหน? หนูอยากดูลูกสุนัข!”

ถวนถวนมองไปรอบ ๆ ทันทีที่เขาเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มก็เดินตามเข้าไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

พูดตามตรง เขาไม่อยากมาเห็นหน้าไอ้อ้วนนี่หากไม่จำเป็น!

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามเอาอกเอาใจเขาสารพัด แต่ความรู้สึกด้านลบมันก็ยังคงอยู่

“ว้าว! พ่อจ๋า! พวกลูกหมาโตขึ้นมากเลย!”

ทันทีที่ถวนถวนและอวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องที่มีลูกหมามากมาย สีหน้าของชายหนุ่มก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่ของพวกลูกหมา

บทที่ 304 ซื้อรถใหม่
บทที่ 304 ซื้อรถใหม่

หลิ่วอวี้จิงครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดในขณะนี้

ทว่าเมื่อตัวเองนึกถึงความแข็งแกร่งของกงซุนซา เขาก็ยิ่งต้องการที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตถัดไปมากกว่าจึงยอมแลกได้ทุกอย่าง

“ตกลงพี่กงซุน! ฉันจะสั่งให้แก๊งวาฬยักษ์ออกไปสู้เดี๋ยวนี้!”

หลังจากชั่งน้ำหนักทุกอย่างในใจแล้ว ในที่สุดเขาก็ตกลงตามข้อเสนอของอีกฝ่าย!

คืนนั้น แก๊งวาฬยักษ์เริ่มโต้กลับอย่างเต็มรูปแบบ!

ด้วยสถานการณ์นี้ สองในสามแก๊งใหญ่ในเมืองฮ่วยอัน จึงเริ่มสงครามเต็มรูปแบบระหว่างกัน!

แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปแทบจะไม่รับรู้เลยว่าโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันกำลังเกิดศึกนองเลือด เพราะถึงแม้ว่าพวกอันธพาลจะรวมกลุ่มกัน แต่พวกเขาลอบฆ่าในที่ลับตาคน เนื่องจากยังคงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง

บ่ายวันถัดมา…

อวี้ฮ่าวหรานต้องการซื้อรถ และเมื่อชายหนุ่มเดินทางเกือบจะถึงโชว์รูม เขาก็โทรศัพท์ไปหาหลิวเทียนอี้

หลิวเทียนอี้รู้สึกปลื้มปริ่มทันที เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานโทรมาหาตัวเองก่อน

“สวัสดีครับคุณอวี้! ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ ถึงได้โทรมาหาผมก่อนเช่นนี้…”

น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยการประจบประแจง ซึ่งทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขยะแขยง

“ตอนนี้นายยังอยู่ในโชว์รูมรถหรือเปล่า?”

อวี้ฮ่าวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่าย เขาจึงถามเข้าตรงประเด็นทันที…

“ผมเหรอ? ผมเพิ่งออกมาข้างนอกเมื่อครู่นี้เอง…คุณอวี้จะมาเพื่อซื้อรถใช่ไหม? ไม่ต้องห่วง! ผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!!”

หลิวเทียนอี้พอจะเดาได้ถึงจุดประสงค์ของอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้เขาตื่นเต้น

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเลือกซื้อของฉันเอง เอาไว้ตอนเย็นฉันจะพาถวนถวนไปบ้านนายเพื่อดูพวกลูกหมา”

“ม…ไม่ได้หรอกคุณอวี้! คนพิเศษอย่างคุณหากต้องการจะซื้อรถ ผมต้องดูแลคุณด้วยตัวผมเองให้ดีที่สุด และอีกอย่างผมอยากจะ…”

‘…’

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเริ่มเพ้อเจ้อ อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายอย่างไม่อดทนและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง

ไม่ว่าชายหนุ่มจะคุยกับหลิวเทียนอี้มาแล้วกี่รอบ แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดได้เสมอ

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่อยู่ในโชว์รูมรถ เขารีบเร่งเครื่องรถของตัวเองเพื่อไปให้ถึงเร็วที่สุดทันที ก่อนที่ไอ้อ้วนที่น่ารำคาญนั่นจะกลับมา

โชว์รูมขายรถ ‘4S’

เนื่องจากเป็นบ่ายวันจันทร์ ลูกค้าในโชว์รูมจึงมีไม่มาก

ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปในโชว์รูม เขาก็ได้ยินเสียงแหลมที่น่ารำคาญหูดังขึ้น

“ฉันบอกแกแล้วไง! ถ้าแกไม่มีสองล้าน ฉันไม่มีทางยกลูกสาวของฉันให้แกแน่! แกคิดว่าฉันจะสงสารคนจน ๆ อย่างแกงั้นเหรอ? และอย่ามาพูดเรื่องความรักบ้าบอให้ฉันได้ยินเชียวนะ ฉันไม่สน! ความรักมันกินไม่ได้จำใส่กะโหลกแกไว้ ถ้าแกไม่มีเงิน แกอย่าหวังว่าจะได้แต่งงานกับลูกสาวของฉัน ฉันยอมให้ลูกสาวของฉันเป็นโสดตายไปดีกว่าให้แต่งงานกับคนจน ๆ อย่างแก!!!”

หลังจากมองไปยังต้นเสียง อวี้ฮ่าวหรานก็พบว่าเป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งหน้าหนาเตอะและเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“ถ้าแกไม่มีเงิน แกก็ไสหัวออกไปจากชีวิตลูกสาวของฉันซะ! เออ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แค่นี้แหละ ฉันมีลูกค้า!”

เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามา หญิงวัยกลางคนก็วางสายทันทีและทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?”

เห็นได้ว่าหญิงวัยกลางคนปากร้ายคนนี้ยังคงมีความเป็นมืออาชีพอยู่บ้าง แม้ว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีกับการคุยกับคนในโทรศัพท์ แต่หลังจากที่วางสาย เธอก็ยังสามารถทักทายอวี้ฮ่าวหรานด้วยรอยยิ้มได้

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจมากนักกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม่บางคนมองลูกสาวของตัวเองเป็นเหมือนสินค้า

“ช่วยฉันเลือกรถที”

หลังจากได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน หญิงวัยกลางคนสำรวจอวี้ฮ่าวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้าทันทีเพื่อประเมิน

จากนั้นเมื่อเธอพบว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายดูธรรมดามาก เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยในใจ

นี่ฉันต้องเสียเวลาขายรถให้กับคนจน ๆ อีกแล้วงั้นเหรอ?

ตามประสบการณ์ที่เธอเจอมา คนธรรมดาแทบทั้งหมดมักจะชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนที่จะซื้อรถสักคันซึ่งมันเสียเวลามาก และท้ายที่สุดพวกคนธรรมดาก็มักจะลงเอยด้วยการซื้อรถที่มีราคาไม่เกิน 100,000 หยวน

ด้วยราคารถที่ถูกแค่นั้น มันทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นน้อยมากหากเทียบกับความพยายามที่เธอต้องดูแลลูกค้า

ดังนั้นสีหน้าของเธอจึงผิดหวังเล็กน้อยในทันที จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็หันไปตะโกนบอกหญิงสาวอายุราวยี่สิบต้น ๆ อีกคน

“อาลี่! เธอมาดูแลลูกค้าคนนี้ที ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ!”

หลังจากพูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ไม่สนใจอวี้ฮ่าวหรานอีกเลย และหันหลังเดินจากไป

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปครึ่งทาง หญิงวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเบา ๆ กับตัวเองอย่างหงุดหงิด

“เฮอะ! พวกบ้านจนอีกตัว! คนพวกนี้นี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่รู้จักประมาณตัว และไปซื้อแค่มอเตอร์ไซค์ขับก็พอ!”

ลูกค้าที่เธอต้องการคือประธานบริษัทที่ร่ำรวยและมีอำนาจ หรือพวกนายน้อยรุ่นที่สองที่ร่ำรวย ส่วนพวกคนธรรมดาทั้งหลายนั้นเธอไม่คิดจะต้อนรับด้วยตัวเองแน่นอน

แต่เนื่องจากกฎของบริษัท เธอจึงทำได้เพียงบ่นอย่างแผ่วเบาซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีทางได้ยินเธอ

แต่น่าเสียดายที่คำบ่นเบา ๆ ของเธอหนีไม่พ้นการได้ยินของอวี้ฮ่าวหราน

เมื่อได้ยินคำบ่นของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ๆ คนส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ชอบคนจนและรักคนรวย

ในขณะเดียวกัน หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘อาลี่’ ก็รีบเดินเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว

เธอดูเหมือนจะเป็นพนักงานใหม่ และเมื่อเธอได้พบกับอวี้ฮ่าวหราน การแสดงออกของเธอก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย

“อ…เอ่อ…คุณลูกค้าต้องการดูรถราคาประมาณเท่าไหร่เหรอคะ?”

หญิงสาวที่ชื่ออาลี่พยายามสงบสติอารมณ์ในระหว่างที่ถาม

แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับความเป็นมือใหม่ของอีกฝ่าย เขาแค่มาซื้อรถ ไม่ได้มาจับผิดพนักงานขาย

“รถคันไหนที่แพงที่สุดของคุณ ผมต้องการดูพวกมัน”

“หา?”

อาลี่ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เธอไม่คิดว่าคนที่แต่งตัวดูธรรมดาแบบนี้จะมาถามถึงรถที่แพงที่สุด

“ถ…ถ้าเป็นรถที่แพงที่สุดของเรา…ราคาเต็มของมันคือประมาณ 8 ล้าน คุณลูกค้าอาจจะ…”

เธอพูดอย่างลังเล และสงสัยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีเงินหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวรู้ตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่า ตอนนี้เธอกำลังแสดงทัศนคติไม่สุภาพอยู่แน่นอน ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง และเธอรีบเอ่ยขึ้นเสริมในทันที

“เอ่อ…คุณลูกค้าคะ…อย่าเพิ่งเข้าใจดิฉันผิด…ด…เดี๋ยวดิฉัน…จะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้!”

หลังจากพูดจบ เธอรีบเดินนำอวี้ฮ่าวหรานไปยังรถที่จัดแสดงอยู่ตรงกลางห้องโถงทันที

“โรลส์-รอยซ์ แฟนธอม ราคาของรถคันนี้อยู่ที่ 8.5 ล้านหยวน ด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหรา…”

ในขณะเดียวกันนี้ หญิงวัยกลางคนที่ก้าวออกไปแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะจากระยะไกล

“ดูนั่นสิ ฉันสามารถบอกได้เลยว่าไอ้ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนั้นไม่ใช่คนที่จะมีปัญญาซื้อรถแน่นอน พวกคนแบบนี้เข้ามาในโชว์รูมของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ แล้วดูสิตอนนี้มันเดินไปดูโรลส์รอยซ์เข้าให้แล้วไง มันคงอยากจำภาพรถเอาไปฝันในคืนนี้แน่ ๆ!”

“พี่โจว ฉันล่ะสงสารอาลี่ จริง ๆ สงสัยวันนี้คงขายรถไม่ได้อีกแล้วล่ะนะ”

ผู้หญิงอีกคนข้าง ๆ เธอพูด

“น้องใหม่ก็แบบนี้แหละ ไม่มีประสบการณ์บอกปัดลูกค้าไม่เป็น ทำตัวเองให้ยุ่งยากโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็อย่างว่าคนมาจากชนบทอย่างอาลี่ก็ได้อยู่แค่นี้แหละ ไม่มีสมองมากสักเท่าไหร่ ไม่มีวันเจริญในหน้าที่การงานหรอก”

หญิงวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่โจว’ พูดขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก

อย่างไรก็ตาม พวกเธอไม่รู้เลยว่าอวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดของพวกเธอทั้งหมด

ประสาทการได้ยินของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมาก

หลังจากที่อาลี่แนะนำเกี่ยวกับรถโรลส์-รอยซ์เสร็จ เธอก็แนะนำอวี้ฮ่าวหรานดูรถสปอร์ตสีเหลืองสดใสที่อยู่ข้าง ๆ ต่อ

“ราคาของรถคันนี้อยู่ที่ 8 ล้านหยวน เป็นแบรนด์ชั้นนำของต่างประเทศ แลมโบกินี…”

หลังจากฟังการแนะนำของอีกฝ่ายแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ชายหนุ่มพอใจมากกับรถสปอร์ตสีเหลืองคันนี้

ความเร็วของรถคันนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะประสาทสัมผัสการตอบสนองที่เหนือมนุษย์ของตัวชายหนุ่มเอง มันก็ทำให้เขาสามารถควบคุมรถคันใดก็ได้ในโลกไม่ว่ามันจะเร็วสักแค่ไหนก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานมั่นใจว่าตัวเองสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกสถานการณ์

และสำหรับเขา เงิน 8 ล้านหยวนเป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย

“ผมเอาคันนี้ คุณไม่จำเป็นต้องให้ส่วนลด แค่ถ่ายโอนกรรมสิทธิ์มาให้ผมโดยเร็วที่สุดก็พอ”

“เอ๊ะ?”

อาลี่ที่กำลังจะแนะนำรถคันถัดไปถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดตกลงซื้ออย่างสบาย ๆ ของอวี้ฮ่าวหราน

เธอไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีปัญญาซื้อรถราคาแพงแบบนี้ได้!

บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า

อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูรถและมองไปที่พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่ยืนจ้องเยาะเย้ยเขาอยู่

“ฮ่าฮ่า! แกใจกล้าไม่เบานี่หว่าที่หยุดรถรอพวกฉันแบบนี้!”

เฉียนเซามองอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาประชดประชัน

ในเวลานี้ นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาอีกเจ็ดแปดที่ตามมา เขายังมีพวกบอดี้การ์ดมากกว่าหนึ่งโหลที่ตามมาสบทบอย่างรวดเร็ว

“ไม่รู้ว่าจะเรียกแกว่าคนโง่หรือว่าคนบ้าดีที่ไปไหนมาตามลำพังคนเดียวโดยไม่มีบอดี้การ์ดแบบนี้?”

เขาตั้งใจเยาะเย้ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่คนเดียว

แต่แล้วเมื่อเขาเหลือบเห็นซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของเขาก็ยิ่งชั่วร้ายมากกว่าเดิม

“หึหึ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าแกโดนอัดจนยอมก้มกราบเท้าฉันวิงวอนขอชีวิตเหมือนหมาข้างถนน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถนั่นยังจะชอบแกอยู่ไหม? พวกผู้หญิงน่ะมันเปลี่ยนใจง่ายจะตาย ถ้าเห็นแกอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนั้น แกคงถูกมองเหยียดเหมือนเศษขยะเลยล่ะ ฮ่าฮ่า!”

ในขณะเดียวกันนี้ พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็แสดงสีหน้าดูถูกอวี้ฮ่าวหรานเช่นกัน ในสายตาของพวกเขา อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กลุ่มของเฉียนเซากำลังชื่นมื่น จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลุดไปอยู่ในโลกน้ำแข็งที่หนาวเหน็บจนถึงขั้วกระดูกอย่างฉับพลัน!

“หึ! พวกฝูงมด”

อวี้ฮ่าวหรานยิ้มที่มุมปากพร้อมกับมองพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านี้ด้วยแววตารังเกียจ

แม้ว่าเสียงพูดของเขาจะไม่ดัง แต่กลุ่มของเฉียนเซากลับได้ยินชัดเจนอย่างน่าประหลาด

เฉียนเซาตกตะลึงกับประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้แล้ว เขาก็จ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างดุเดือด

“ไอ้ลูกหมา! แกคิดว่าแกเป็นใครวะถึงกล้ามาเรียกฉันว่ามด? แกปากดีนักใช่ไหม? พวกแกทุกคนไปจับมันมาคุกเข่าต่อหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”

หลังจากตะคอกจบ เฉียนเซาก็โบกมือข้างหนึ่งสั่งให้พวกบอดี้การ์ดลงมือทันที!

บอดี้การ์ดสิบกว่าคนวิ่งตรงดิ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานทันทีหลังจากได้รับสัญญาณ พวกเขาแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าดุร้ายและชักกระบองสั้นที่เอวออกมาเตรียมจะฟาดเป้าหมายให้ลงไปนอนกองที่พื้นโดยเร็วที่สุด

แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาจะต่อกรได้!

ในขณะที่พวกบอดี้การ์ดเข้ามาใกล้จนได้ระยะ

ทันใดนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นแฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่น!

“คุกเข่าลง!”

ถึงแม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของอวี้ฮ่าวหรานจะเบา แต่ในจิตวิญญาณของของพวกบอดี้การ์ดกลับได้ยินเสียงนี้ดังก้องจนร่างแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และร่างของพวกเขาทุกคนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน!

บอดี้การ์ดเหล่านี้ราวกับว่ากำลังมองเห็นพระเจ้าที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าและโลกที่แดงฉานเต็มไปด้วยโลหิตก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา

ทุกคนหยุด

พวกเขาตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อเผชิญกับภาพลวงตาที่น่ากลัวจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้นี้

‘ผลั่ก!’

หลังจากหยุดนิ่งอยู่เพียงอึดใจ พวกบอดี้การ์ดต่างก็คุกเข่าลงราวกับว่าขาของพวกเขาไร้เรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์!

“นี่มันบ้าอะไรวะ!”

ดวงตาของเฉียนเซาเบิกโพลงมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า! เขาอุทานคำหยาบเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกบอดี้การ์ดมืออาชีพที่เคยดุร้ายเหล่านี้ถึงจู่ ๆ ก็คุกเข่าให้กับอีกฝ่ายง่าย ๆ ราวกับเจอบรรพบุรุษตัวเองเช่นนี้?

ไอ้พวกบอดี้การ์ดพวกนี้มันปัญญาอ่อนไปแล้วงั้นเหรอ?

เมื่อเฉียนเซาตะโกน พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ ก็เริ่มตะโกนด่าบอดี้การ์ดของตัวเองเช่นกันด้วยความตกใจ

“บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่! พวกแกคุกเข่าให้กับมันทำไม มันเป็นพ่อแกเหรอไงถึงไปคุกเข่าให้มันแบบนี้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะโว๊ยไม่งั้นฉันจะบอกพ่อให้ไล่แกออกหลังจากนี้!!”

เขาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ก็แปลกประหลาดเกินไปจริง ๆ

บอดี้การ์ดมืออาชีพที่แข็งแกร่งกว่าโหล ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มผอมบางที่ดูไม่มีพิษภัยแบบนี้ได้ไง!

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉียนเซาจะตะโกนใส่พวกบอดี้การ์ดอย่างไร พวกบอดี้การ์ดเหล่านี้ต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย พวกเขาเอาแต่มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว

ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากจะคุกเข่า แต่ภาพมายาที่ปรากฏขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเขา ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งจนยอมทำทุกอย่างที่ชายหนุ่มคนนี้สั่ง

ในสายตาของพวกเขาตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีอำนาจสูงส่งราวกับเป็นเทพเจ้าที่ไม่สามารถจ้องมองโดยตรงได้

เฉียนเซายิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เมื่อตะโกนจนคอแหบแล้วก็ยังไม่มีใครเชื่อฟังเขา!

“ขยะเอ๊ย! ไอ้พวกขยะ! ไอ้พวกไร้น้ำยา! พวกแกเอาแต่คุกเข่าแบบนี้ได้ไง?”

เขาไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้

การที่ลูกน้องของเขาคุกเข่าให้กับศัตรูของเขาเองแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขาอย่างแรงในที่สาธารณะ!

หลังจากที่สยบพวกบอดี้การ์ดเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เบนสายตากลับมามองเฉียนเซา และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกครั้งอย่างล้อเลียน

“คนพวกนี้เพิ่งประจักษ์ในความจริงที่ว่าต่อหน้าฉันพวกมันไม่ต่างอะไรกับมดแมลง ดังนั้นไม่ว่าแกจะสั่งพวกมันยังไง พวกมันก็ฝ่าฝืนคำพูดของฉันด้วยการลุกขึ้นตามคำสั่งของแกหรอก”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้าหาคนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านั้น

เฉียนเซาอยากจะด่ากลับ แต่เมื่อเขาสบตาอีกฝ่าย เจ้าตัวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกจนคำพูดทุกอย่างจุกอยู่ที่คอ

นี่มันแววตาแบบไหนกัน? ทำไมมันถึงได้น่ากลัวแบบนี้วะ!

เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง

แต่หลังจากก้าวถอยไปได้ราวห้าหกก้าว ขาของเขาก็สั่นและไร้เรี่ยวแรงจนก้าวไม่ออกอีกต่อไป!

“ก…แกเป็นใครกันแน่!?”

เฉียนเซาถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ ตั้งแต่เขาเกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรจนก้าวขาไม่ออกแบบนี้มาก่อนเลย!

แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอีกฝ่าย เขายังคงก้าวมาข้างหน้าเรื่อย ๆ

วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง!

“แกกับพวกของแกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! พวกแกคุกเข่าลงให้หมด!”

พลังเสียงของอวี้ฮ่าวหรานไม่ต่างอะไรกับประกาศิตจากสวรรค์ ทันทีที่เฉียนเซาและพรรคพวกที่เหลือได้ยินคำสั่งนี้ พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย!

‘ผลั่ก…ผลั่ก…’

เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งและกลิ่นอายที่สุดแสนจะล้ำลึก คนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็เห็นภาพมายาถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหัวใจของพวกเขา ขาของพวกเขาอ่อนแรงลง และพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้น!

เฉียนเซาจับจ้องที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความรู้สึกสยองขวัญ

“นี่…นี่แกเป็นสัตว์ประหลาดหรือยังไงกัน!?”

เขาดวงซวยมาเจอคนที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง!

แต่ในขณะเดียวกันนี้ รถตู้เจ็ดแปดคันก็พุ่งมาด้วยความเร็วสูงจากระยะไกล!

“บ้าอะไรวะน่ะ? พวกพวกลูกคนรวยพวกนั้นมันกำลังทำบ้าอะไรอยู่?”

ในรถ SUV ที่อยู่หัวขบวน ชายหัวล้านอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเมื่อเห็นฉากประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ไกลนัก

ทันทีที่รถหยุดนิ่ง ชายหัวล้านก็กระโดดลงจากรถ

“ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกกำลังทำพิธีกรรมบ้าอะไรของพวกแก?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฉากแปลก ๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะคร่ำหวอดอยู่ในโลกใต้ดินมาหลายปีแล้ว

คนเกือบยี่สิบคนคุกเข่าลง และมีชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น

ที่สำคัญ ชายหนุ่มคนที่ยังยืนอยู่นั้นเป็นชายที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ร่างผอมบางไร้พิษสงอีกต่างหาก!

ในความเห็นของเขา เหตุการณ์นี้มันไร้สาระสุด ๆ!

บทที่ 311 หนึ่งร้อย
บทที่ 311 หนึ่งร้อย

สมาชิกหลักของแก๊งวาฬยักษ์สบตากัน ทุกคนต่างตื่นตระหนกและพากันถอยกลับด้วยความกลัว!

การโจมตีครั้งเดียว!

ด้วยมือเดียว!

หัวหน้าสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ก็ถูกบดขยี้ไม่ต่างอะไรกับมดแมลง!

ความแข็งแกร่งของบุคคลนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่มีใครกล้าปริปากพูดสักคน บรรยากาศในห้องเงียบราวกับป่าช้า ไม่มีใครกล้าพูดเกินครึ่งคำ!

ไม่ถึงครึ่งนาทีต่อมา หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ที่เหลืออีกสามคนเหลือบมองกันและกัน และตัดสินใจ

“พวกเรามีกันมากกว่าหนึ่งร้อยคน! พวกเราจะต้องไปกลัวอะไรกับคนแค่คน ๆ เดียว! ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากมีมีดสักเล่มที่หลุดฟันไปถึงคอเขาได้ พวกเราก็จะชนะ!”

หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ตะโกน!

เมื่อได้ยินคำพูดปลุกใจนี้ บรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ก็มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น พวกเขาเริ่มข่มความกลัวของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย

พวกเขาตระหนักว่าต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็มีเพียงคนเดียว มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมที่คน ๆ เดียวจะเอาชนะคนร้อยคนได้?

และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีหัวหน้าสาขาอยู่ด้วยอีกตั้งสามคน!

“ฆ่ามัน! แก้แค้นให้หัวหน้าสาขาจิ่น!”

“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”

“แก๊งวาฬยักษ์ของเราไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำได้ง่าย ๆ!”

“…”

เมื่อมีความมั่นใจกันแล้ว บรรดาสมาชิกร้อยคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็เริ่มตะโกนปลุกใจกันเองเสียงดังลั่นจนบรรยากาศในห้องกลายเป็นโกลาหลอีกครั้ง!

ทันทีหลังจากนั้น ภายใต้การนำของหัวหน้าสาขาทั้งสามคน คนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนต่างพุ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม!

คนของแก๊งวาฬยักษ์วิ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ราวกับว่าพวกเขากำลังแข่งวิ่งเพื่อต้องการไปให้ถึงเส้นชัยเป็นคนแรก!

อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายไปรอบ ๆ แววตาของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

ชายหนุ่มโคจรพลังวิญญาณในร่างของตัวเองแบบสบาย ๆ โดยไม่มีการออกท่าทางหวือหวาใด ๆ จากนั้นเขาก็แค่ชกไปในอากาศตรงหน้าอย่างช้า ๆ!

ปัง!!

แม้หมัดที่อวี้ฮ่าวหรานชกออกไปจะดูธรรมดา แต่ในทันทีที่ฤทธิ์ของมันสำแดงออกมา มันก็กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของบรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์!

พลังวิญญาณอันมหาศาลพุ่งออกไปในแนวตรง โจมตีทะลุผ่านคนของแก๊งวาฬยักษ์อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้!

สองคน!

สามคน!

พลังวิญญาณอันรุนแรงนี้พุ่งผ่านคนนับสิบภายในพริบตา!

ท้ายที่สุด พลังวิญญาณก็พุ่งไปชนกับกำแพงของห้องโถงบ่อน!

บรึ้ม!

เสียงกำแพงระเบิดดังลั่น จากนั้นแสงจากด้านนอกบ่อนก็ส่องทะลุเข้ามาด้านในห้องโถง แค่การต่อยช้า ๆ เพียงครั้งเดียวของอวี้ฮ่าวหรานก็สามารถทำลายกำแพงจนเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ได้อย่างไม่ยากเย็น!

แต่ที่น่าประหลาดก็คือ แม้ว่าพลังนี้จะรุนแรงจนถึงขนาดทำลายกำแพงได้ง่าย ๆ แต่พวกสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ที่ถูกพลังวิญญาณทะลุผ่านเนื้อตัวของพวกเขากลับไม่มีร่อยรอยขีดข่วนหรือฟกช้ำเลย แต่พวกเขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับว่าพวกเขาถูกสาป!

พวกคนของแก๊งวาฬยักษ์คนอื่น ๆ ต่างก็หยุดมองภาพเหตุการณ์ด้วยสีหน้าโง่งม

มนุษย์สามารถสร้างพลังทำลายล้างได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?

พวกเขาทั้งหมดมองไปที่รอยทะลุขนาดใหญ่ที่กำแพง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมาที่อวี้ฮ่าวหราน

ระยะห่างระหว่างกำแพงกับชายหนุ่มที่น่ากลัวตรงหน้าพวกเขามันห่างกันถึง 20 เมตร!

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ภาพถัดมาที่พวกคนที่โดนพลังประหลาดพุ่งผ่านใส่ซึ่งอยู่ถัดจากพวกเขานั้น ในตอนแรกก็ยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่พอเวลาผ่านราวไม่เกินห้าวินาที คนเหล่านั้นกลับกระอักเลือดออกมาอย่างฉับพลัน!

อั่ก…

ขณะที่คนอื่น ๆ ตกใจและหน้าซีด พวกคนที่สัมผัสพลังหมัดของอวี้ฮ่าวหรานต่างก็อาเจียนเป็นเลือด และเลือดก็เริ่มไหลออกจากทวารทั้ง 7 และต่อมาผู้คนนับสิบก็ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับหมดลมหายใจ!

ผู้คนนับสิบตายภายในการโจมตีครั้งเดียว!

ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างตกตะลึงและมองหน้ากันอย่างไม่รู้ตัว!

นี่…นี่มันไม่ใช่การต่อสู้แล้ว!

การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มันคือการฆ่าตัวตายชัด ๆ!

อีกทั้งวันนี้อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้วางแผนที่จะไว้ชีวิตคนเหล่านี้สักคน คนพวกนี้ต่างเป็นพวกคนเลวช้าสามานย์ จึงไม่สมควรได้รับความเมตตาใด ๆ ทั้งนั้น!

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาโคจรเร็วขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ก่อนจะแผ่กระจายพลังวิญญาณปกคลุมทุกส่วนร่างของตัวเองและพุ่งเข้าหากลุ่มคนของแก๊งวาฬยักษ์รวดเร็วราวกับสายฟ้า! เขาเหมือนเสือกระโจนเข้าฝูงแกะ!

นับจากนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความโกลาหล และเสียงร้องโหยหวนที่สิ้นหวัง!

คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่อาจต้านทานอวี้ฮ่าวหรานได้เลย หนึ่งหมัดที่เขาปล่อยไปหมายถึงหนึ่งชีวิตที่หลุดลอย

เมื่อเห็นเช่นนี้ สามปรมาจารย์หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ที่เป็นผู้นำกลุ่มจึงต้องการที่จะรวมกำลังกันตอบโต้ แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีถัดมา พวกเขาก็โดนหมัดของอวี้ฮ่าวหรานอัดเข้าใส่อย่างจังจนพวกเขากระเด็นไปคนละทิศทาง!

หมัดเมื่อครู่นี้ อวี้ฮ่าวหรานใส่แรงไปมากพอสมควร ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาคือ หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ตายทันที 2 ราย!

ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณและพลังภายในนั้นต่างราวฟ้ากับเหว ไม่มีทางที่จะเอามาเทียบกันได้!

หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกราวสิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ ถอนพลังวิญญาณของตัวเองกลับ พร้อมกับที่สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายล้มลงและสิ้นลมหายใจ!

การฆ่าคนร้อยกว่าคนครั้งนี้ อวี้ฮ่าวหรานเสียพลังวิญญาณไปแค่หนึ่งในสี่เท่านั้น

ต่อให้เป็นปรมาจารย์กำลังภายในขั้นสูงสุด หากเผชิญหน้ากับเหล่าอันธพาลที่มากประสบการณ์มากกว่าร้อยคนที่นำโดยสามปรมาจารย์กำลังภายใน คนผู้นั้นคงทำได้แต่หนี ไม่เช่นนั้นท้ายที่สุด เขาก็จะหมดพลังและโดนรุมกระทืบตาย

หลังจากคนของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายตายลง บรรยากาศของทั้งห้องโถงก็เงียบสงัด

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เดินเข้าไปหาหวังเหยียน

ฝ่ายตรงข้ามดูเศร้าหมองอย่างยิ่งในเวลานี้ แขนทั้งสองข้างหัก และซี่โครงของเขาดูเหมือนจะหักสองหรือสามซี่

โชคดีที่พลังชีวิตยังคงหลงเหลือและการหายใจยังคงที่

“ขอบคุณ…ขอบคุณ…ฉัน…คราวนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายมากจริง ๆ!”

หวังเหยียนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวคำขอบคุณเป็นระยะ

หวังเหยียนเป็นคนที่สำนึกในบุญคุณที่คนอื่นทำให้เสมอ และเขาจะต้องตอบแทนคืนให้ได้

ก่อนหน้านี้ที่โจวเฟยหู่ช่วยชีวิตเขา เขาก็ตอบแทนอีกฝ่ายโดยการยอมเป็นผู้ติดตามคอยช่วยต่อสู้เคียงข้างเพื่อทำให้แก๊งของอีกฝ่ายรุ่งโรจน์

ทว่าในเวลานี้ในใจของเขารู้สึกสับสน เขาเป็นหนี้ชายหนุ่มคนนี้มากเกินไปจนคิดไม่ออกว่าทั้งชีวิตนี้จะทำอย่างไร ถึงจะสามารถตอบแทนได้หมด!

อวี้ฮ่าวหรานนั่งยอง ๆ และมองอีกฝ่าย อาการบาดเจ็บของหวังเหยียนสาหัสพอสมควร อวี้ฮ่าวหรานจึงอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ

“คราวหน้าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ โทรหาฉันให้เร็วกว่านี้ ฉันจะได้มาไวกว่าเดิม”

เขารู้สึกพอใจหวังเหยียนมาโดยตลอด และจากมุมมองของชายหนุ่ม เขาสามารถเห็นได้ง่าย ๆ ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะมีคุณสมบัติพอที่จะตอบแทนสิ่งที่เขาต้องการได้ไม่มากก็น้อย

คนประเภทนี้เขาไว้วางใจได้

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โทรออกหาโจวเฟยหู่

โจวเฟยหู่รู้ข่าวแล้วและกำลังรีบมาที่นี่พร้อมกับผู้คน

สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหาที่ยังรอดอยู่ในบ่อน อวี้ฮ่าวหรานก็ปล่อยให้พวกเขารอโจวเฟยหู่ไปก่อน จากนั้นเขาก็พาหวังเหยียนไปโรงพยาบาลเพียงแค่คนเดียว

ก่อนหน้านี้สมองของอีกฝ่ายตึงเครียดถึงขีดสุด ดังนั้นหลังจากถูกช่วยเหลือและเห็นว่าสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายแล้ว หวังเหยียนจึงหมดแรงและเกือบจะอยู่ในอาการโคม่าทันที

โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่วยอัน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากการรักษาเบื้องต้น หวังเหยียนก็ถูกสั่งให้นอนที่โรงพยาบาลโดยยังไม่มีกำหนดให้ออก

เขามีบาดแผลนับสิบแห่ง มีกระดูกแตกหักหลายท่อน บรรดาแพทย์จึงต้องวินิจฉัยอย่างละเอียดก่อนถึงจะสามารถผ่าตัดได้

“ขอบคุณนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ…”

หวังเหยียนปากสั่นและมีน้ำตาคลอในเวลานี้ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะเจ็บจนแทบขาดใจ เขาก็ไม่ได้ขมวดคิ้วเลย

แต่ในเวลานี้ เมื่อเผชิญหน้ากับอวี้ฮ่าวหราน และคิดว่าตัวเองรอดมาได้โดยที่ลูกน้องของเขาตายเกือบหมด เขาก็ไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป

“ฉัน…ฉัน…พี่น้องของฉัน…ฉันประมาทเกินไป…”

เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะร้องไห้อย่างขมขื่น

หลังจากนั้นไม่นาน โจวเฟยหู่ก็รีบเข้ามาพร้อมกับคนอื่น ๆ

“หวังเหยียน! หวังเหยียน! เป็นไงบ้าง!”

แววตาของเขาดูตื่นตระหนกอย่างมาก นับตั้งแต่ก่อตั้งแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกเขาก็เคยเผชิญมาหมดแล้วไม่ว่าจะศึกใหญ่หรือเล็ก แต่ไม่มีสักครั้งที่หวังเหยียนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้

“แค่ก…แค่ก…หัวหน้าฉันไม่เป็นไร…น้อง…ไม่สิ พี่อวี้ช่วยฉันเอาไว้…”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูกังวล หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะปลอบโยน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้าเรียกอวี้ฮ่าวหรานว่า ‘น้อง’ อีกต่อไป

เขาติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายเกินกว่าจะมองว่าตัวเองอาวุโสทางอายุกว่า

“ดีแล้ว…ดีแล้ว! ดีแล้ว!”

เมื่อโจวเฟยหูได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของเขาก็สงบลงเล็กน้อย เขาทั้งโล่งใจและพอเข้าใจในความหมายของการที่หวังเหยียนไม่เรียกอวี้ฮ่าวหราน ว่า ‘น้อง’ อีกแล้ว

แต่จากนั้นความโกรธที่หาที่เปรียบมิได้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“ฉันสัญญา! เราจะฆ่าแก๊งวาฬยักษ์อย่างแน่นอน! ฉันจะจับหลิ่วอวี้จิง มาคุกเข่าขอขมาต่อหน้านายให้ได้!”

บทที่ 307 ถูกวางกับดัก
บทที่ 307 ถูกวางกับดัก

อวี้ฮ่าวหรานหยิบลูกสุนัขขึ้นมาทีละตัวแล้วลูบพวกมัน เขาสัมผัสได้ว่าพวกมันได้รับการดูแลอย่างดีมาก

อย่างน้อย ๆ หลิวเทียนอี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่!

“พ่อจ๋า ดูสิ พวกมันโตกันหมดแล้ว!”

แต่หลังจากเด็กน้อยเล่นกับพวกลูกหมาอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ เด็กน้อยก็แสดงสีหน้าเศร้าเล็กน้อย

“พ่อจ๋า เราพาพวกมันกลับบ้านได้ไหม? หนูอยากเห็นพวกมันอยู่ในบ้านของเรา…”

ดวงตาที่กลมโตเริ่มคลอไปด้วยน้ำตาของถวนถวนพยายามอ้อนวอนอย่างจริงจัง

เมื่อเห็นลูกสุนัขเหล่านี้อีกครั้ง เธอชอบมันมากและอยากเอากลับบ้านไปให้เจ้าลูกกวาดดูด้วย

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและยังไม่เห็นด้วย

“พ่อคงอนุญาตไม่ได้ ถ้าลูกจะเอาพวกมันไปทุกตัว”

ไม่มีทาง แค่การดูแลเจ้าลูกกวาดตัวเดียวก็ยุ่งยากแล้ว ขืนถ้าเอาไปเลี้ยงมากกว่าหนึ่งโหล…

หลี่หรงคงระเบิดลง และเธอคงรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ ๆ

แต่เพื่อไม่ให้ลูกสาวของเขาเศร้า เขาจึงพยายามหาทางประนีประนอม

“แต่ถ้าลูกจะเลือกไปสักหนึ่งตัว พ่อคิดว่าแม่หรงของลูกน่าจะไม่มีปัญหา”

ถ้าเป็นตัวเดียว หลี่หรงน่าจะพอรับได้

“เย้! ได้ ๆ!”

เด็กน้อยก็มีเหตุผลเช่นกัน หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วย

ในเวลาเดียวกันนี้ หลิวเทียนอี้ก็เอ่ยขึ้นแทรก “ถวนถวน ไม่ต้องกังวลลุงสัญญาว่าจะดูแลพวกมันให้หนูเป็นอย่างดีที่สุด!”

“อื้ม ขอบคุณค่ะ!”

เมื่อได้ยินคำสัญญา ถวนถวนจึงพยักหน้าขอบคุณอย่างมีความสุข

คำขอบคุณนี้ของเด็กน้อย ทำให้ใบหน้าของหลิวเทียนอี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เขาจะไม่ยินดีดูแลพวกมันได้ยังไง? เป็นเพราะลูกหมาพวกนี้แท้ ๆ ที่ทำให้เครือฮ่าวหรานสั่งรถกับเขาเป็นมูลค่าหลายสิบล้าน!

หากมีใครจะมาแย่งลูกหมาพวกนี้ไปดูแลล่ะก็ เขาจะยอมสู้ตายเลยทีเดียว!

ผ่านไปอีกสักพัก หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก ถวนถวนก็จับลูกสุนัขที่มีขนคล้ายกับสีของเจ้าลูกกวาดมากที่สุดมาอุ้ม

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็พาถวนถวนเดินออกไปจากบ้านของหลิวเทียนอี้

ก่อนขึ้นรถเขาก็เหลือบมองชายอ้วนและเอ่ยขึ้น

“นายต้องดูแลลูกสุนัขพวกนั้นให้ดีที่สุด เพื่อที่ถวนถวนจะได้ไม่เสียใจเมื่อมาดูพวกมันอีกรอบ ในอนาคตเมื่อไหร่ที่บริษัทของฉันจะซื้อรถใหม่ ฉันจะสั่งให้คนของฉันเลือกโชว์รูมนายเป็นที่แรก”

เมื่อหลิวเทียนอี้ได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในทันที

“ค…ครับผม! ผมจะดูแลพวกลูกหมาให้ดีที่สุด! ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ประธานอวี้ผิดหวัง!”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะขับรถออกไปทันที

ในเวลาเดียวกัน การต่อสู้เพื่อแย่งพื้นที่ระหว่างแก๊งพยัคฆ์เวหาและ แก๊งวาฬยักษ์ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์!

กลางดึก หวังเหยียน รองหัวหน้าแก๊งค์พยัคฆ์เวหาได้นำลูกน้องของตัวเองบุกตะลุยเข้าไปในบ่อนขนาดใหญ่ของพวกแก๊งวาฬยักษ์!

กำลังภายในอันทรงพลังของเขาถูกปลดปล่อยออกอย่างรุนแรง ปรมาจารย์ด้านกำลังภายในในบ่อนแห่งนี้จึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าส่วนที่เหลือจะยังต่อสู้อย่างดื้อรั้น แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่บ่อนนี้จะถูกยึดโดยสมบูรณ์

หวังเหยียนกวาดสายตามองสำรวจห้องโถงของบ่อนอย่างละเอียด หลังจากจัดการกับปรมาจารย์กำลังภายในซึ่งเป็นคนดูแลบ่อนนี้ไปแล้ว เขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการต่อสู้ต่อไปอีก

หลังจากที่ต่อสู้กับปรมาจารย์กำลังภายในอย่างดุเดือด กำลังภายในของหวังเหยียนเองก็เกือบจะหมด

ในเวลานี้ เขาจึงต้องหยุดพักและฟื้นตัวอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ชั่วครู่ถัดมา หนึ่งในลูกน้องของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสภาพโชกเลือด!!

“ล…ลูกพี่! พวกเราแย่แล้ว! ข้างนอกมีคนของแก๊งวาฬยักษ์อยู่เต็มไปหมดเลย! หัวหน้าสาขาของพวกมันก็มากันด้วยตั้งสี่คน! คนของเราที่อยู่ข้างนอกต้านไม่ไหวเลย!!”

“ว่าไงนะ!”

หวังเหยียน เมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็ตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ!

นี่พวกเขาถูกวางกับดักงั้นเหรอ?

เขาเพิ่งมาถล่มที่นี่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงรวบรวมหัวหน้าสาขาทั้งสี่มาได้เร็วขนาดนี้ไม่ได้แน่ หากไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน!

ในขณะเดียวกันนี้ ประตูห้องโถงก็ถูกทำลายจนกระจายเป็นชิ้น ๆ!

เศษไม้กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว และชายฉกรรจ์ที่ดูไม่ธรรมดาสี่คนก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ!

หลังจากนั้น บรรดาสมาชิกทั่วไปของแก๊งวาฬยักษ์ก็กรูตามเข้ามา!

เมื่อเห็นฉากนี้ หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง

“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่ฉันเดาว่าตอนนี้พลังของแกคงใกล้หมดแล้วใช่ไหม?”

หนึ่งในหัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม

“หึหึหึ รองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหา! แกนี่มันโง่เง่าจริง ๆ แกคิดว่าแกจะเล่นงานพวกเราได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ? แกไม่รู้ซะแล้วว่าความเคลื่อนไหวของแก พวกเรารู้มันทั้งหมด!”

หวังเหยียนเมื่อกวาดสายตามองประเมินฝั่งตรงข้าม เขารู้สึกเครียดหนักขึ้นมากกว่าเดิม

ตอนนี้พลังของตัวเองใกล้หมดแล้ว และคนพวกนี้ก็แข็งแกร่งพอสมควร!

หากเป็นตอนปกติ เขาคงพอจะเอาตัวรอดได้ ทว่าด้วยความอ่อนแอของตัวเองในตอนนี้มันก็ยากเหลือเกินที่หนีสี่คนนี้พ้น และไหนจะลูกน้องของเขาอีกที่ยังคงอยู่ที่นี่ เขาจะทิ้งลูกน้องตัวเองไปไม่ได้!

“จิ่นเฟิง! เรามาเจรจากันก่อนไหม? แลกกับการที่พวกฉันจะปล่อยเชลยแก๊งของแกที่พวกฉันจับไปก่อนหน้านี้ แกก็ปล่อยพวกฉันไปครั้งนี้แกว่าไง?”

หวังเหยียนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม เขาก็รู้จักคนที่เป็นผู้นำกลุ่มที่เพิ่งบุกเข้ามา!

ในเวลานี้ คนของแก๊งวาฬยักษ์ได้ล้อมพวกเขาเอาไว้ทุกด้านเรียบร้อยแล้ว

จำนวนคนของแก๊งพยัคฆ์เวหาขณะนี้เสียเปรียบเป็นอย่างมาก พวกเขามีคนน้อยกว่าถึงสามเท่า!

ถ้าสู้ก็ตายแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม ชายที่ถูกเรียกว่าจิ่นเฟิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างประชดประชันทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของหวังเหยียน

“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน นี่แกคิดว่าฉันเป็นเด็กอายุ 3 ขวบหรือไง? มูลค่าของไอ้พวกลิ่วล้อที่พวกแกจับไปได้มันจะเทียบได้กับรองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างแกได้ยังไงจริงไหม?”

“สรุปแล้วคือไม่เจรจาใช่ไหม?”

หวังเหยียน จ้องมองไปที่อีกฝ่ายพร้อมกับเตรียมตัวรับมือการต่อสู้เป็นตาย

“เจรจางั้นเหรอ…อืม…จริง ๆ แล้วหัวหน้าหลิ่วของฉันก็พูดเอาไว้เหมือนกันว่า ถ้าแกยอมออกจากแก๊งพยัคฆ์เวหา ทิ้งไอ้ขยะโจวเฟยหู่ และเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์ของฉัน แกก็จะสามารถรอดตายได้ในวันนี้!”

จิ่นเฟิงตอบกลับพร้อมกับแสดงท่าทีใจกว้าง ยอมถอยให้กับหวังเหยียน

แน่นอนว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ หวังเหยียนก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม

อีกฝ่ายกำลังดูถูกเขาและพยายามจะบั่นทอนกำลังใจคนของฝ่ายเขาอย่างเห็นได้ชัด!

ในตอนนี้รอบ ๆ ตัวหวังเหยียนมีลูกน้องอยู่กว่าสี่สิบคน พวกเขาคงมีโอกาสรอดเล็กน้อย ถ้าเขายอมทรยศจริง ๆ

แต่หลังจากนั้น แก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะวุ่นวายในทันที!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง

เขาจะทำยังไงดี? เขาจะยอมเสียสละตัวเองพร้อมกับลูกน้องอีกสี่สิบกว่าคนเพื่อไม่ทำให้แก๊งพยัคฆ์เวหาสั่นคลอนดีไหม?

แต่แล้วในขณะที่เขากำลังหมดหวัง จู่ ๆ เขานึกอะไรบางอย่างออก ซึ่งราวกับว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ ใช่แล้ว ชายคนนั้นไง!

ขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานกำลังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารในห้องหลี่หรงจนอิ่มไปแล้ว และถวนถวนก็กินอิ่มแล้วเช่นกัน เด็กน้อยกำลังเล่นกับสุนัขสองตัวอย่างสนุกสนาน

จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“น้องอวี้! ตอนนี้นายว่างไหม? มาช่วยฉันที!”

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เป็นเสียงตื่นตระหนกของหวังเหยียน

“เกิดอะไรขึ้น?”

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว

“ฉันติดอยู่ที่บ่อนเป่ยเชิงที่อยู่ทางทิศเหนือของเมือง! น้องอวี้ หากนายไม่ได้ทำอะไรสำคัญอยู่ โปรดมาช่วยฉันที!”

“ฉันว่างอยู่”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางหันศีรษะไปเหลือบมองน้องภรรยาที่กำลังเล่นกับถวนถวน ใช่แล้ว ตอนนี้เขาว่างอยู่

“งั้นก็มาช่วยฉันตอนนี้ที น้องอวี้! ฉันกำลังจะถูกรุมฆ่าแล้ว!”

บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!
บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!

หลังจากตัดหัวหนึ่งในลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังรอดอยู่ไปแล้ว จิ่นเฟิง ก็ลากลูกน้องของหวังเหยียนอีกคนมานั่งคุกเข่าตรงหน้าเขา

“หึหึ ดูลูกน้องของแกคนนี้สิ! ขาหักขนาดนี้คงเดินไม่ได้เหมือนเดิมอีกตลอดชีวิต เฮ้อ…แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะช่วยให้มันไม่ต้องเป็นคนพิการโดยการจบชีวิตมันทิ้งให้!”

จิ่นเฟิงพูดติดตลกพร้อมกับทาบมีดไปที่คอของชายคนนั้น และมองขึ้นไปยังหวังเหยียนด้วยแววตาหยอกล้อ

แต่แล้วก่อนที่เขาจะทันได้ลงมีด!

เสียงคำรามของรถสปอร์ตดังจากที่ไกล ๆ และเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลังจากเสียงเบรกอันรุนแรง รถสปอร์ตก็หยุดที่หน้าทางเข้าบ่อน!

“ห่าอะไรวะ! นี่แกเป็นใคร…”

“บัดซบ แกกำลังหาเรื่อง…”

พลั่ก ๆ! โครม!

ก่อนที่ลูกน้องของจิ่นเฟิงที่เฝ้าหน้าประตูอยู่สองคนข้างนอกจะทันได้พูดจบ คำพูดของเขาก็หายไปกลางคันก่อนที่จะมีเสียงโครมครามดังลั่นตามมา!

วินาทีถัดมา พวกเขาสองคนก็ถูกโจมตีจากด้านนอก ก่อนจะลอยเข้ามาในห้องโถงของบ่อน!

เสียงดังลั่นขนาดนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องโถงทันที!

ที่ประตู ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แต่ก่อนที่จะมองเห็นได้ชัดเจน สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ก็ตะโกนสาปแช่งซะก่อน

“บัดซบ! ไอ้เวรนี่มันเป็นใคร!!”

“แม่งเอ๊ย! กล้าทำร้ายคนของพวกเราแบบนี้วันนี้แกตายแน่!”

“…”

ทว่าทันใดนั้นชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา!

“วันนี้พวกแกทุกคนจะไม่มีใครรอดไปจากที่นี่!”

ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ต่างก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง พวกทุกคนต่างรู้สึกขนลุก!

ชายหนุ่มคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้า ๆ นั้นดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำพวกเขาได้ทุกเวลา แค่ประโยคเดียว ทุกคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว!

ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างโง่งมและหยุดสาปแช่ง

“บัดซบ! พวกแกเป็นบ้าอะไรกัน? พวกแกกลัวคน ๆ เดียวแบบนี้ได้ไงวะ!?”

ในขณะเดียวกัน จิ่นเฟิงก็ตะโกนด่าคนของตัวเองเสียงดังลั่น เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งลูกน้องของตัวเองเมื่อเห็นเช่นนี้

แต่จริง ๆ แล้วตัวเขาเองก็ยังตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา ด้วยเหตุผลที่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ มันเหมือนกับว่าเขาได้เห็นยักษ์จากนรกที่แสนเหี้ยมโหดกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจความคิดของคนเหล่านี้ เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างช้า ๆ พร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารให้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง!

กลิ่นอายสังหารที่หนาแน่นขนาดนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกอยู่ในความกลัว

อย่างไรก็ตาม เมื่อคนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนมองเห็นรูปร่างของชายที่เดินเข้ามาได้อย่างชัดเจน ความกลัวของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเยาะเย้ย!

มันเป็นเพียงชายหนุ่มร่างผอมเท่านั้นเอง!

พวกเขาไม่รู้จักอวี้ฮ่าวหราน ในวันนั้นตอนที่หลิ่วอวี้จิงพาคนไปล้อมบริษัทชิวเฮิง หลิ่วอวี้จิงไม่ได้เรียกคนของตัวเองไปทั้งหมด ซึ่งในวันนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปด้วย

“ถุย! ฉันหลงคิดไปได้ยังไงว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด! แม่งก็แค่ไอ้ละอ่อนที่เบื่อชีวิตก็แค่นั้นเอง!”

“เฮอะ! ผอมแห้งขนาดนั้น แค่ฉันดีดหัวมันทีเดียวกะโหลกมันก็ยุบแล้วมั้ง!”

“แม่งเอ๊ย! กล้าขู่ให้พ่อคนนี้กลัวงั้นเหรอ วันนี้แกตายแน่!”

“…”

หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา พวกเขาก็เริ่มด่าทอกันในทันที

แม้แต่จิ่นเฟิงก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก

“ฮ่า ๆ แกน่ะเหรอ คนที่หวังเหยียนโทรหา?”

เขายิ้มเยาะเย้ย

“แกมาที่นี่เพื่อมาตายกับสหายของแกงั้นเหรอ?”

ขณะที่พูด จิ่นเฟิงก็ผลักลูกน้องของหวังเหยียนที่เขากำลังจะฆ่าให้กระเด็นออกไปก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่มปริศนาพร้อมกับควงมีดในมือไปด้วยแบบสบาย ๆ

เมื่อเห็นการกระทำของเหล่านี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พ่นลมหายใจก่อนที่จะแสดงสีหน้าดูถูก

“พวกฝูงมดนี่มันไร้สาระเหมือน ๆ กันหมด!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้ฮ่าวหราน จิ่นเฟิงกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ!

“ฮ่า ๆ! หวังเหยียน ไหนแกลองบอกมาหน่อยสิว่าแกไปรู้จักกับไอ้เพี้ยนนี่มาจากไหน? ฝูงมด?? ฮ่า ๆๆ! คนที่แกเรียกมานี่แม่งโคตรตลกเลย!”

จิ่นเฟิงเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองหวังเหยียนที่ลุกขึ้นมานั่งเอาหลังพิงกำแพงได้แล้วอย่างเยาะเย้ย

น่าเสียดายที่จิ่นเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของ หวังเหยียนในเวลานี้!

จิ่นเฟิงเยาะเย้ยหวังเหยียนแค่เพียงประโยค จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกครั้ง

“แกนี่ตลกดีวะ ว่าแต่แกเป็นใครกันวะ ถึงได้กล้าเรียกพวกฉันว่ามด?”

จิ่นเฟิงยังคงเยาะเย้ยอย่างไม่กลัวตาย

“เอาแบบนี้ดีกว่า เห็นแก่ที่แกแม่งโคตรตลกเลย ฉันจะให้โอกาสแก ถ้าแกคุกเข่าลงและคลานลอดหว่างขาของฉัน ฉันอาจจะปล่อยให้แกรอดจากที่นี่ไปโดยที่หักขาแกแค่สองข้างพอ!”

อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้สาระแบบนี้

มนุษย์ธรรมดาสั่งให้เขาคลานลอดหว่างขาน่ะเหรอ?

“ฉันควรขอบคุณแกด้วยไหมที่คิดเมตตาฉันขนาดนี้?”

สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปเป็นเหี้ยมโหดอย่างฉับพลัน!

แต่แล้วก่อนที่จิ่นเฟิงจะทันได้เยาะเย้ยต่อไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ!

ร่างของไอ้หนุ่มนั่นทำไมมันถึงค่อย ๆ หายไปแบบนั้น!

อะไรวะน่ะ?

เสี้ยววินาทีถัดมา!

ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขาราวกับผี!

อันที่จริงแล้ว ภาพที่จิ่นเฟิงเห็น มันคือภาพติดตาที่เกิดจากความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อของอวี้ฮ่าวหราน!

ทันทีหลังจากนั้น เขาก็รู้สึกว่าคอของตัวเองถูกบีบอย่างกะทันหัน และจู่ ๆ ก็มีคลื่นพลังอันแข็งแกร่งกวาดผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาให้กระเด็นลอยออกไปไกลจนกระแทกกับกำแพง!

‘บรึ้ม!’

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่จิ่นเฟิง ซึ่งเขากำลังกำคออยู่ด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยามและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“แกมีคุณสมบัติอะไรดีถึงกล้ามาโอ้อวดต่อหน้าข้าผู้นี้ ไอ้มดแมลง!!”

“อ่อก…อ่อก…อ่อก…”

จิ่นเฟิงรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่คอของตัวเองก็ถูกบีบแน่นจนไม่สามารถพูดอะไรได้เลย!

“อยากพูดเหรอ? น่าเสียดายที่ฉันไม่อยากจะฟัง แกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดอะไรให้ฉันได้ยิน!”

อวี้ฮ่าวหรานเยาะเย้ยอย่างเย็นชา

ถ้าเป็นในดินแดนแห่งเทพ มนุษย์คนใดก็ตามที่กล้าดูหมิ่นเขาโดยการบอกให้เขาไปคลานลอดหว่างขา เขาจะฆ่าล้างตระกูลของคน ๆ นั้นให้เหี้ยนไม่เหลือแม้แต่หมูหมากาไก่ หรือถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่น เขาจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกมันทั้งหมดในทันที!

ศพนับล้านจะต้องปรากฏขึ้นเพื่อชะล้างความแค้นของเขา!

ในเวลานี้ หัวใจของจิ่นเฟิงเป็นเหมือนทะเลที่บ้าคลั่ง เขาหวาดกลัว เขาหวาดกลัวจริง ๆ!

หวังเหยียนเรียกสัตว์ประหลาดแบบนี้มาได้ยังไง!

หากเขาพูดได้ในตอนนี้ ก็คงจะรีบสั่งให้คนของเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดทันที!

ชายคนนี้คือตัวตนที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้!

“แกกลัวงั้นเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ใบหน้าของจิ่นเฟิง ซึ่งเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีดอย่างเยาะเย้ย

“ถ้าเมื่อกี้แกยอมคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้าผู้นี้ปรากฏตัว บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตแก เพียงแค่ทำให้แกพิการไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว!”

“โฮ…โฮ…”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความตื่นตระหนกในหัวใจของจิ่นเฟิงก็พุ่งขึ้นทะลุปรอท!

เขารู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าที่เข้มข้น!

กร๊อบ!

ในขณะที่จิ่นเฟิงกำลังตื่นตระหนกสุดขีด อวี้ฮ่าวหรานก็หักคอของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี!

หลังจากจบชีวิตของจิ่นเฟิงไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองคนของแก๊งวาฬยักษ์ที่ยังคงอยู่ในห้องโถง!

บทที่ 308 สถานการณ์สิ้นหวัง
บทที่ 308 สถานการณ์สิ้นหวัง

หลังจากร้องขออย่างเร่งด่วน หวังเหยียนก็ตัดสายไปอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนว่าการต่อสู้ทางฝั่งหวังเหยียนจะเริ่มขึ้นแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอพี่เขย?”

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานวางสาย หลี่หรงก็เบนสายตามาที่เขาและถามด้วยความสงสัย

เห็นได้ชัดว่าเธอได้ยินเสียงกังวลทางโทรศัพท์เมื่อครู่นี้

“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนของพี่ พี่คงต้องไปช่วยเขาเดี๋ยวนี้”

เพื่อหลีกเลี่ยงความกังวลของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่ได้บอกความจริงกับเธอ

หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบของอวี้ฮ่าวหราน เธอดูไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าอวี้ฮ่าวหรานคงไม่อยากให้เธอมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ระวังความปลอดภัยของตัวเองให้ดีด้วยล่ะ”

หลี่หรงรู้สึกจนใจ เมื่อพี่เขยของเธอไม่อยากให้เธอเข้ามาเกี่ยงข้อง สิ่งที่หญิงสาวทำได้ จึงมีเพียงการเอ่ยขึ้นเตือนด้วยความเป็นห่วง

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและออกไป

ด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลของหวังเหยียน วันนี้มือของเขาคงเปื้อนเลือดอย่างแน่นอน!

ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดที่หลี่หรงจะไม่รู้เรื่องนี้

เสียงคำรามอันทรงพลังของรถสปอร์ตสีเหลืองดังลั่นกลางถนน อวี้ฮ่าวหรานขับไปยังบ่อนที่หวังเหยียนบอกอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ขณะเดียวกันภายในบ่อน

หลังจากที่หวังเหยียนวางโทรศัพท์ลง เขาก็สามารถสงบใจได้มากขึ้นเล็กน้อย

“แกนี่มันไร้เดียงสาจริง ๆ แกคิดว่าโจวเฟยหู่จะมาช่วยแกทันก่อนที่ฉันจะฆ่าแกงั้นเหรอ?”

เมื่อเห็นการกกระทำของหวังเหยียน จิ่นเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ

การรวบรวมคนนับร้อยนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำเสร็จได้ภายในหนึ่งชั่วโมง อย่างน้อย ๆ เลยมันก็ต้องใช้เวลาสักสองชั่วโมง ดังนั้นจิ่นเฟิงจึงมั่นใจมากว่าโจวเฟยหู่จะมาช่วยหวังเหยียนไม่ทันแน่นอน…

เวลาสองชั่วโมงมันมากเพียงพอที่เขาจะฆ่าหวังเหยียนได้เป็นสิบรอบ

กว่าโจวเฟยหู่จะมาถึง ศพของหวังเหยียนก็คงเย็นไปแล้ว!

เมื่อได้ยินการเสียดสีของอีกฝ่าย หวังเหยียนก็กัดฟันกรอดด้วยความโมโห

“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ถ้าแกต้องการสู้ก็เข้ามา! แม้ว่าวันนี้แก๊งวาฬยักษ์จะสามารถฆ่าฉันได้ แต่ฉันรับประกันเลยว่าราคาที่พวกแกต้องจ่ายมันย่อมไม่น้อยแน่นอน!”

ในเวลานี้ เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันว่าอวี้ฮ่าวหรานจะมาทันเวลาหรือไม่

เพราะบ่อนแห่งนี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับที่อยู่ของอวี้ฮ่าวหราน

แต่ถึงแม้เขาจะตายที่นี่จริง ๆ อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ได้ทำให้แก๊งพยัคฆ์เวหาเสียชื่อเสียง

การที่เขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนได้เห็นว่าแก๊งพยัคฆ์เวหากลายเป็นแก๊งใหญ่ขนาดนี้ มันก็ถือว่าเขาได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว!

“เฮอะ! จะตายแล้วยังปากดี! ก่อนฉันจะฆ่าแก ฉันจะหักแขนขาของแกทิ้งทีละข้างก่อน ฉันจะทำให้แกต้องอ้อนวอนร้องขอความตายจากฉัน!!”

ใบหน้าของจิ่นเฟิงเย็นชาขึ้นในขณะที่พูด เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เขาก็ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องของตัวเองทันที

“ฆ่าพวกมันให้หมด!!”

หลังจากเอ่ยคำสั่งออกไป ภายในห้องโถงก็เกิดความโกลาหลอย่างมโหฬารในทันที

โต๊ะและเก้าอี้บินว่อน ทั้งสองฝ่ายต่างฆ่าฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยมีดยาวและกระบองเหล็ก

แก๊งพยัคฆ์เวหามีเพียงสี่สิบคนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงถูกล้อมอย่างแน่นหนาจึงไม่สามารถฝ่าออกไปทางไหนได้เลย

ในขณะเดียวกัน สองปรมาจารย์กำลังภายในของแก๊งวาฬยักษ์ก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย!

ความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของทั้งสอง ทำให้สถานการณ์ทางฝั่งของหวังเหยียนยิ่งแย่มากกว่าเดิม แม้ว่าสมาชิกหลักของแก๊งพยัคฆ์เวหาจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็อ่อนแอพอ ๆ กับเด็กเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์กำลังภายใน!

อีกด้านหนึ่ง จิ่นเฟิงนำหัวหน้าสาขาอีกคนของแก๊งวาฬยักษ์เดินมุ่งเข้าไปหาหวังเหยียน

“หึหึ วันนี้ช่างเป็นวันที่น่าจดจำจริง ๆ รองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาผู้โด่งดัง วันนี้กำลังจะตาย!”

จิ่นเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

การซุ่มโจมตีในคืนนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาวางแผนไว้มานานแล้ว เพื่อจัดการกับเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของแก๊งพยัคฆ์เวหา!

ในเวลานี้ หวังเหยียนมองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาลุ้นอยู่ตลอดว่า ขอให้อวี้ฮ่าวหรานมาเร็ว ๆ เขาไม่อยากให้คนของเขาทั้งหมดต้องตาย

แน่นอนว่าตัวของเขาก็ไม่อยากจะตายวันนี้เช่นกัน

“ตาย!”

ทว่าในขณะที่หวังเหยียนกำลังเสียสมาธิจากการกวาดสายตามองดูสถานการณ์รอบตัว จิ่นเฟิงก็ตะโกนขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้ามาหาอย่างดุดัน และเมื่อเข้าประชิดตัวหวังเหยียนได้สำเร็จ จิ่นเฟิงก็โคจรพลังภายในและชกใส่หน้าอกของหวังเหยียนทันที!

เมื่อเห็นการโจมตีนี้กำลังพุ่งเข้ามา หวังเหยียนจึงได้สติอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบโคจรพลังของตัวเองไปที่ขาและดีดตัวหลบหมัดของจิ่นเฟิงได้อย่างหวุดหวิด!

โครม!!

หมัดที่พลาดไปนั้นกระแทกเข้ากับโต๊ะพนันอย่างรุนแรง จนโต๊ะพนันแยกออกเป็นสองส่วนทันที!

“ฮ่า ๆๆ! ปฏิกิริยาตอบสนองของแกนี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”

ถึงแม้ว่าหมัดของตัวเองจะถูกหลบได้ แต่จิ่นเฟิงกลับไม่ได้แสดงความไม่พอใจ ทว่าเขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

ในขณะเดียวกันนี้ หัวหน้าสาขาอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ จิ่นเฟิงก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว เขาพุ่งตามเข้าไปต่อยหวังเหยียนซึ่งเพิ่งตั้งหลักได้จากการหลบหมัดของจิ่นเฟิงเมื่อครู่

เมื่อเห็นว่าตัวเองคงไม่อาจหลบหมัดนี้ที่กำลังพุ่งเข้ามาได้ หวังเหยียน จึงตัดสินใจซัดฝ่ามือสวนกลับไปทันที เขากลั้นใจใช้พลังที่เหลือน้อยนิดของตัวเองเพื่อซัดฝ่ามือนี้ออกไป

ถึงแม้ว่าพลังจะเหลือน้อย แต่ความแข็งแกร่งของหวังเหยียนนั้นแข็งแกร่งกว่าหัวหน้าสาขาของวาฬยักษ์มาก ดังนั้นฝ่ามือของเขาจึงสามารถผลักคู่ต่อสู้ให้กระเด็นออกไปได้เจ็ดถึงแปดเมตร!

ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้คนอื่น ๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหวังเหยียนนั้นแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ!

แต่สีหน้าของพวกแก๊งวาฬยักษ์กลับไม่ได้ตื่นตระหนกเลย

พวกเขาคาดไว้นานแล้วก่อนที่พวกเขาจะมา หวังเหยียนเป็นถึงรองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหา ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่หวังเหยียนจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้

แต่ไม่ว่าหวังเหยียนจะแข็งแกร่งแค่ไหน ด้วยการวางแผนมาเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนนี้หวังเหยียนจึงไม่มีทางที่จะสู้พวกเขาได้แน่นอน!

ในเวลานี้ หวังเหยียนได้หมดพลังที่จะสู้กลับแล้ว!

หลังจากใช้กำลังภายในไปสองครั้งติดต่อเมื่อครู่ ใบหน้าของหวังเหยียน ก็ยิ่งซีดมากกว่าเดิม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการใช้พลังภายในมากเกินไป

“ฮ่า ๆ รับไปอีกหมัด!”

หัวหน้าสาขาที่เพิ่งถูกผลักออกไปเมื่อครู่ กระโจนเข้าไปหาหวังเหยียน อีกรอบพร้อมกับง้างหมัดอย่างสุดแรง

แน่นอนว่าหมัดนี้ไม่ได้เบาน้อยกว่าหมัดเมื่อครู่เลย!

ปัง!!

ทั้งสองประสานหมัดกันอีกครั้ง หวังเหยียนยังคงยืนนิ่งอยู่กันที่ได้อยู่ ส่วนอีกฝ่ายถูกผลักห่างออกไปอีกสองสามเมตรอีกรอบ

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามือของหวังเหยียนสั่นระรัว

ตรงจุดที่เขาเหยียบอยู่ ภายใต้แรงปะทะอันมหาศาล พื้นกระเบื้องได้แตกร้าวราวกับใยแมงมุมทุกตารางนิ้ว!

“หึหึ พลังภายในของแกหมดแล้ว ตอนนี้แกพึ่งพาตัวแรงของกล้ามเนื้ออย่างเดียวสินะ? ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าแกจะทนไปได้สักกี่น้ำ!”

แน่นอนว่าจิ่นเฟิงสังเกตเห็นความผิดปกติของหวังเหยียน ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างประชดประชัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหวังเหยียนจะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่กำลังใจของเขาก็ยังคงไม่ถดถอย

“เฮอะ! แม้ว่าพลังภายในของฉันจะหมดแล้ว แต่ฉันก็ยังมั่นใจว่าฉันสามารถฆ่าแกได้!”

บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก

หมับ!

นักเลงลูกน้องของสวีเปียว ฟันมีดอย่างสุดกำลังที่ตัวเองมีหวังจะฟันคอของอวี้ฮ่าวหรานให้ขาดภายในครั้งเดียว สีหน้าของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตัวเองกำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อพบว่ามีดที่เขาฟันไปมันกลับถูกอีกฝ่ายใช้มือเปล่า ๆ จับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!

นี่…มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?!

เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเลงก็พยายามดึงมีดออกอย่างสุดแรง

แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานใช้กำลังเล็กน้อยบดขยี้ใบมีดที่ตัวเองจับอยู่จนแหลกละเอียด พร้อมกับปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าใส่นักเลงผู้น่าสงสาร!

บรึ้ม!

อ๊ากกกก

นักเลงที่โดนคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าเต็ม ๆ กระอักเลือดเป็นสายและลอยละลิ่วหายเข้าป่าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย!

อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย

“หึหึ เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องแต่น่าเสียดายที่ใช้มันผิดที่!”

หลังจากเยาะเย้ยนักเลงที่โชคร้ายคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองพวกนักเลงที่เหลือ

“พวกแกอยากลองด้วยไหม?”

สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับทันทีด้วยอาการสั่นกลัว

“พี่อวี้ พี่อวี้! ผ…ผมไม่โทษพี่แน่นอนต่อให้ไอ้นั่นมันตาย! ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ร…เร็วเข้า! พวกแกทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถเร็ว!”

ขณะที่เขาพูด สีหน้าของสวีเปียวหวาดกลัวสุดขีด เขารีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีให้เตรียมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้โบกมือหยุดเขาเอาไว้!

“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าฉันจะปล่อยแกไป?”

สวีเปียวแข็งค้างเป็นรูปปั้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้

ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และเขาก็รีบหันไปอธิบายด้วยสีหน้าวิงวอน

“พี่อวี้ ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินพี่จริง ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อการร้องขอความเมตตาของอีกฝ่าย เขาจึงถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ฉันได้ยินมาว่าแก๊งวาฬยักษ์ของแกสั่งให้สมาชิกทั้งหมดถอยร่นจากแนวหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกแกมีแผนชั่วใหม่ ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”

เนื่องจากชายหนุ่มเคยเจอกับพวกแก๊งวาฬยักษ์หลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่าคนเหล่านี้สวมชุดของแก๊งวาฬยักษ์

“ฉัน…ไม่…คือเราแค่ขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ได้…”

“ถ้าแกโกหก แกตาย!”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลไม่กล้าพูดบางประโยคออกมา อวี้ฮ่าวหรานจึงข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเอาจริง!

สวีเปียวเลิกลังเลและไม่กล้าโกหกในทันที

เขามองอีกฝ่ายด้วยความสยดสยองเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความตายที่จะมาถึงแน่หากตัวเองโกหกต่อไปอีกแค่ครึ่งคำ!

น่ากลัวโคตร ๆ เลย!

“พวกเรา…แก๊งวาฬยักษ์ของเราได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง ดังนั้นการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นคำสั่งของกงซุนซา!”

ในที่สุดเขาก็จะพูดความจริง…

ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย

“อืม เข้าใจแล้ว แกไสหัวไปได้แล้ว”

จากการเพ่งมองจังหวะการเต้นของหัวใจและภาษากายต่าง ๆ เขาจึงสามารถตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน

หลังจากได้รับอนุญาต สวีเปียวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถด้วยความตื่นตระหนกและจากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดของเขา

ย่านรกร้างแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยกเว้นเสียงร้องโอดโอยที่เจ็บปวดของเฉียนเซา เพราะโดนเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่กลุ่มของเฉียนเซาอย่างดูถูก แต่เมื่อคิดได้ว่าขณะนี้มีซูหว่านเอ๋อเฝ้ามองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะสร้างฉากโหดร้ายขึ้นมาให้อีกฝ่ายฝันร้าย ดังนั้นจึงเดินกลับไปที่รถและเร่งเครื่องจากไป

ภายในรถ

ไม่นานหลังจากที่ขับออกมา ซูหว่านเอ๋อที่ตื่นตระหนกก็เริ่มทำใจได้บ้างเล็กน้อย

การปรากฏตัวของพวกนักเลงเมื่อครู่นี้ทำให้เธอตกใจมาก

โชคดีที่คนที่เธอชอบแข็งแกร่งกว่า!

“ฮ่าวหราน…คุณ…คุณสุดยอดมากเลย…”

ซูหว่านเอ๋อยิ่งรู้สึกเชิดชูเขามากกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะพูดชมเบา ๆ

เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายผู้นี้จะมีอำนาจมากจนคำพูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่าขอความเมตตาได้

“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ด้วยไม่มีใครทำร้ายคุณได้หรอก”

เมื่อเห็นใบหน้าซีดของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ให้ความมั่นใจกับเธอ

อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ได้ทำให้หัวใจของซูหว่านเอ๋อหวั่นไหวมากเพียงใด

อีกด้านหนึ่ง

โจวเฟยหู่มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเช้าผลไม้

“คราวนี้สถานการณ์ยิ่งแปลกมากขึ้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกแก๊งวาฬยักษ์ถึงถอยร่นทิ้งพื้นที่แนวหน้าให้เรายึดไปฟรี ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราและพวกมันต่างก็สูญเสียในจำนวนพอ ๆ กัน?”

ทันทีที่โจวเฟยหู่นั่งลง เขาก็พูดเรื่องนี้กับหวังเหยียน

หวังเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

“การที่พวกมันทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นภายในแก๊งของพวกมัน”

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนก็ได้รับข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเขา

‘แก๊งวาฬยักษ์ถูกยุบและสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งแล้ว’

ข้อความสั้น ๆ นี้ทำให้เขาตกใจจนขนลุก

“เกิดอะไรขึ้น!”

โจวเฟยหู่รู้สึกไม่ดีอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังเหยียน เขาไม่เคยเห็นหวังเหยียนแสดงสีหน้าแบบนี้เลยนอกจากว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย

“แก๊งวาฬยักษ์ตกเป็นของกงซุนซาแล้ว! ทั้งสองแก๊งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!”

หวังเหยียนบอกข้อความที่เขาเพิ่งอ่านผ่านโทรศัพท์ เขาเชื่อมั่นในข่าวนี้หมดใจ เพราะอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งต่อข่าวนี้!

เขาเชื่อว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางส่งข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันมาหาเขาแน่นอน

“นี่มัน…!”

โจวเฟยหู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพรวดทันที

“นายเพิ่งพูดว่าแก๊งวาฬยักษ์ถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนไปแล้วงั้นเหรอ!? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!!”

โจวเฟยหู่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอุทานเสียงดัง

เขารู้ดีว่าหลิ่วอวี้จิงเป็นคนยังไง คนประเภทนี้เต็มใจที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอื่นแถมยอมยุบแก๊งตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?

“นี่…ข่าวนี้จริงเหรอ?”

“ผมมั่นใจที่สุด เพราะข่าวนี้อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งมาให้ผม มันไม่มีทางที่จะเป็นข่าวลวงแน่นอน และนี่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเร็ว ๆ นี้แก๊งวาฬยักษ์ถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ”

น้ำเสียงของหวังเหยียนหนักแน่นมากในขณะนี้ และข่าวนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก

“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสั่งให้คนของเราถอยร่นมาเช่นกันเพื่อที่เราจะได้รวมกลุ่มกันรับมือกับการถูกโจมตีได้เร็วมากกว่าเดิม!”

หลังจากที่โจวเฟยหู่ได้รับคำตอบยืนยัน เขาเริ่มคิดหาแผนรับมือในหัวมากมาย

ในเวลาเดียวกัน

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาจึงไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ส่วนตัวของชายหนุ่มนั้นก็ขับรถกลับไปที่บริษัทต่อเพื่อดูเอกสารต่าง ๆ ที่ตัวเองจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติให้เสร็จสิ้น

หลังบ่ายสามโมง เขาก็ขับรถออกจากบริษัทเพื่อไปรับถวนถวน

ทว่า ในระหว่างที่เขาขับผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็เห็นสวีรุ่ยและพ่อของเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน

แต่เมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อลูกคู่นี้ในเวลานี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเมื่อดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเพิ่งจะสามโมงกว่า ชายหนุ่มจึงหยุดรถสปอร์ตที่ข้างถนนอย่างช้า ๆ

“…จะทำยังไงดีนะเฮ้อ…หางานไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว…”

บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ
บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายให้เปลืองน้ำลายโดยไม่จำเป็น เพราะเขาตั้งใจจะกวาดล้างองค์กรนักฆ่านี้ให้หมดไปจากโลกเพื่อยุติปัญหาที่อาจจะเกิดอีกในอนาคต!

องค์กรอสรพิษสร้างความรำคาญให้เขาหลายครั้งแล้ว เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้องค์กรนี้ลอยนวลต่อไปได้อีก!

‘กร๊อบ!’

อวี้ฮ่าวหรานกระทืบไปที่แขนของอสรพิษเงินอีกครั้ง จนมีเสียงกระดูกแหลกดังลั่น!

อสรพิษเงินที่กำลังเสียสติอยู่นั้น เมื่อถูกกระทืบอีกครั้งเขาก็ได้สติจากความเจ็บปวดที่สั่งสมรุนแรง และตอบสนองทันที

“อ๊ากกก แขนฉัน! อ๊ากกก! ไอ้สารเลว!”

ความเจ็บปวดรุนแรงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยผ่านการฝึกทนการถูกทรมานมาก่อน ดังนั้นตอนนี้ใบหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด

สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง

“ฉันถามแกหน่อย สาขาใหญ่ขององค์กรอสรพิษของแกอยู่ที่ไหน?”

“ส…สาขาใหญ่?”

อสรพิษเงินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายต้องการจะไปที่สาขาใหญ่ของพวกเขา!

‘กร๊อบ!’

อวี้ฮ่าวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่าย เขายกเท้าขึ้นและกระทืบลงไปที่แขนอีกข้างของอสรพิษเงินอีกครั้ง!

กระดูกแขนอีกข้างของอสรพิษเงินแหลกในทันที!

“อ๊าก!! ฉันพูด! ฉันพูดแล้ว!!!”

อสรพิษเงินทนความเจ็บปวดไม่ไหว ใบหน้าของเขาซีดมาก และหน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก

“ต…แต่ฉันไม่รู้จักที่ตั้งของสาขาใหญ่จริง ๆ ฉันรู้แค่สถานที่ตั้งของตำหนักคุมกฎซึ่งมันอยู่แถวเมืองจงซิง ที่อยู่คือ…”

เขารีบบอกทุกอย่างที่เขารู้

หลังจากฟังคำอธิบายโดยละเอียดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็เหลือบมองอีกฝ่าย และหลังจากยืนยันว่าข้อมูลที่ได้รับมาเป็นของจริง เขาก็กระทืบไปที่หน้าอกทำลายหัวใจของอสรพิษเงินจนแหลกเละ

คนที่มีจิตใจชั่วช้าบิดเบี้ยวแบบนี้ไม่คู่ควรอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป!

“ฮ่าวหราน…คุณ…”

ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับการช่วยเหลือ แต่เฉิงชิวอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นไหวเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของคนที่เธอรักเหนือล้ำขนาดนี้

มีใครในโลกนี้ที่เทียบกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอได้รึเปล่า?

“ไปกันเถอะ!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย ตอนนี้เขาแค่อยากจะจัดการปัญหาองค์กรอสรพิษให้มันจบลงโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยในตอนนี้ ตำหนักคุมกฎอะไรนั่นจะต้องถูกทำลาย!

ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงโผล่หน้ามาก่อกวนเขาอีกแน่ในเวลาไม่นาน

หลังจากปลดเชือกของเฉิงกัวอัน อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณของเขาเข้าไปสลายพิษในร่างของอีกฝ่ายและปลุกให้ตื่น

“ย…อย่านะ! แกอย่าทำลูกของฉัน…”

ทันทีที่เฉิงกัวอันตื่นขึ้น เขาก็อุทานทันที ราวกับว่าเขายังคงจมอยู่ในเหตการณ์ก่อนที่เขาจะสลบไป

แต่เมื่อเขาเห็นลูกสาวของเขาและอวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่ข้างหน้าเขา เขาก็ได้สติ

“ฮ่าวหราน…นายช่วยฉันอีกแล้วเหรอ?”

ดวงตาของเขาดูงุนงงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รู้ว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว

“พ่อ! ใช่แล้ว! ฮ่าวหราน ช่วยชีวิตเราไว้อีกครั้งแล้ว!”

เฉิงชิวอวี้ช่วยพยุงพ่อของเธออย่างรวดเร็ว

“แล้ว… แล้วอสรพิษเงินขององค์กรอสรพิษล่ะ?”

แต่แล้วเมื่อเขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นศพของอสรพิษเงิน เขาก็เบนสายตากลับมามองที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ เขาตกตะลึงเกินบรรยาย

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มที่เขาเคยคิดแค่จ้างเอาไว้ชั่วคราวให้ปกป้องลูกสาวของเขาจะไร้เทียมทานถึงขนาดฆ่าอสรพิษเงินได้แบบนี้!

“นั่นมัน…มันคืออสรพิษเงิน!”

เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตั้งแต่ในอดีต อสรพิษเงินคนนี้เป็นตัวตนที่เขากลัวมาตลอด เขาเคยแม้กระทั่งฝันร้ายว่าถูกชายคนนี้จับตัวไปทรมานด้วยซ้ำ!

แต่เวลานี้…

“ตาย! ในที่สุดมันก็ตาย!”

เฉิงกัวอันมีน้ำตา เขามองไปที่ศพที่น่าสังเวช หัวใจของเขาตื่นเต้นอย่างท่วมท้น!

หลายปีแห่งความหวาดกลัวในใจฉัน หายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเก็บความขมขื่นอีกต่อไป

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะในความคิดของเขาปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดนั้นไม่ต่างอะไรกับมดที่เขาจะบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้หากโผล่มาขวางทางเขา

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาต่อไปสำคัญกว่า

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงมองไปที่คู่พ่อลูกที่อยู่ข้างหน้าเขา

“พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ผมมีเรื่องต้องจัดการ”

เฉิงกัวอันพอจะเดาได้ทันทีว่า อวี้ฮ่าวหรานต้องการทำอะไรต่อ

“เรื่องที่นายกำลังจะไปจัดการ…มันเกี่ยวกับองค์กรอสรพิษใช่ไหม?”

“ถูกต้อง ผมจะไปตัดรากถอนโคนพวกมัน!”

“แต่…แต่ผู้นำองค์กรอสรพิษนั้นแข็งแกร่งเหนือล้ำจนไม่มีใครหยั่งถึงได้ ว่ากันว่าต่อให้ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดรุมเขานับสิบ เขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ฉันเกรงว่า…”

“แล้วไง?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลแทนตัวเขา แต่เขามีความมั่นใจมากเกินพอ ดังนั้นเขาจึงพูดขัดจังหวะขึ้นและเดินนำลงไปข้างล่างทันที

หลังจากลงไปข้างล่าง เฉิงกัวอันก็ไม่ได้พยายามพูดโน้มน้าวให้หยุดอวี้ฮ่าวหรานอีกต่อไป

เขาเห็นความแน่วแน่และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในแววตาของอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดห้ามอะไรอีกเพราะมันคงไม่มีประโยชน์

“งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกันนะ”

วันนี้เขาเพิ่งเข้าใจได้ถึงสิ่งหนึ่ง การที่คนอย่างเขาเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและคิดแทนคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นอวี้ฮ่าวหราน มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นเขากลับขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ที่อยู่ที่อสรพิษเงินให้มานั้นมันอยู่ในเมืองใกล้เคียง ซึ่งเขาต้องขับรถอย่างน้อยสองชั่วโมง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากล่าช้าไปแม้เพียงครึ่งนาที

เฉิงกัวอันมองตามหลังอวี้ฮ่าวหราน จนรถสปอร์ตสีเหลืองหายไปจากสายตาแล้วจากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาว

“เฮ้อ…คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้”

แต่ในขณะเดียวกันนี้ เฉิงชิวอวี้ก็กระตุกแขนเสื้อพ่อของเธอและแถมขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“พ่อ! ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่เกิดขึ้น อีกนานไหมกว่าพ่อจะบอกหนูเกี่ยวกับความลับของพ่อ?”

เธอเพิ่งรู้วันนี้ว่าพ่อของเธอที่ใจดีกับเธอมาตลอด มีอดีตที่น่าระทึกใจเช่นนั้น

“พ่อ…เฮ้อ…”

เมื่อเฉิงกัวอันได้ยินเช่นนี้ เขาก็คิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของตัวเองและตัดสินใจว่าวันนี้เขาควรบอกเรื่องทั้งหมดให้กับลูกสาวตัวเองได้รู้

“ที่พ่อไม่ได้บอกลูกเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปและพ่อเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบถึงลูก”

“คนพวกนี้แข็งแกร่งที่ไหนกัน? หนูไม่เห็นว่าฮ่าวหรานจะจัดการคนพวกนั้นลำบากตรงไหนเลย?”

เฉิงชิวอวี้งุนงงเนื่องจากเธอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพลังวิญญาณหรือพลังภายใน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าพวกองค์กรอสรพิษนั้นไร้น้ำยา

“ลูกไม่เข้าใจหรอกว่าองค์กรอสรพิษทรงพลังแค่ไหน! พวกเขาเป็นองค์กรนักฆ่าที่ชั่วร้ายซึ่งมีสาขากระจายอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของประเทศจีน!”

“แล้วไง หนูเป็นลูกสาวของพ่อ! หนูเคยแสดงความขี้ขลาดให้พ่อเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็ได้! พ่อจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดเมื่อเรากลับถึงบ้าน!”

เฉิงกัวอันรู้สึกท้อแท้ เขารู้ว่าวันนี้เขาคงไม่สามารถปกปิดอะไรได้อีกแล้ว

ทั้งสองจึงขึ้นแท็กซี่กลับบ้านทันที

อีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบคันเร่งจนมิด!

ประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมทำให้เขาสามารถรับมือกับความเร็วของรถได้แบบสบาย ๆ

สองชั่วโมงต่อมา เขาก็ขับไปถึงเขตชานเมืองของเมืองถัดไปตามที่อยู่ที่อสรพิษเงินบอกมา

มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่หลายหลังที่นี่

แม้ว่าคฤหาสน์พวกนี้ดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นโดยคนรวยบางคน แต่ที่จริงแล้ว นี่คือฐานที่มั่นของตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษ!

แต่แล้วทันทีที่เขาหยุดรถ บรรดารปภ. ที่เฝ้าอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์ก็สังเกตเห็นเขาทันที!

บทที่ 341 กวาดล้าง
บทที่ 341 กวาดล้าง

“ท่านครับ นี่เป็นเขตคฤหาสน์ส่วนตัว โปรดกลับรถถอยไปด้วย”

เมื่อเห็นรถซูเปอร์คาร์สุดหรูสีเหลือง รปภ. สองคนก็เดินเข้ามาคุยกับอวี้ฮ่าวหรานอย่างสุภาพทันที

แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ เขาใช้เนตรเทวะสำรวจร่างกายรปภ. สองคนนี้ทันที และเขาก็ได้พบรอยสักรูปองค์กรอสรพิษที่แขนของคนทั้งสองซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อ

เห็นได้ชัดว่าอสรพิษเงินไม่ได้โกหกเขา

“คุณครับ?”

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ในรถไม่ตอบสนอง รปภ. ทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างสับสนและถามอีกครั้ง

พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยการมีอยู่ขององค์กรอย่างง่ายดายแน่นอน

แต่หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็ไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนสองคนนี้อีก เขาเปิดประตูลงจากรถ

“ฉันมาฆ่าเจ้าตำหนักของพวกแก! ถ้ายังไม่อยากตายก็ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”

เขาพูดอย่างดูถูกและเย็นชา

ยังไงอีกฝ่ายก็ต้องตาย!

ตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษนี้อยู่ใกล้กับเมืองฮ่วยอันมากเกินไป หากเขายังปล่อยให้มีภัยคุกคามนี้ดำรงอยู่ อีกไม่นานเขาคงถูกโจมตีอีกรอบ!

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของรปภ. ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน!

อย่างไรก็ตาม หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็แสร้งทำเป็นสงบ “ท่านครับ รบกวนออกไปเดี๋ยวนี้ เราไม่รู้ว่าองค์กรอสรพิษที่ท่านพูดถึงคืออะไร!”

อวี้ฮ่าวหราน ไม่แปลกใจกับการโต้แย้งนี้ ตามปกติแล้วพวกองค์กรนักฆ่าย่อมถูกหมายหัวโดยญาติของผู้ที่เคยเป็นเหยื่อมากมาย หากต้องการอยู่อย่างปลอดภัย องค์กรพวกนี้จะต้องซ่อนตัวเองให้แนบเนียนที่สุด

แต่การซ่อนตัวทุกรูปแบบไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา!

“ในเมื่อไม่หลีกก็ตายไปซะ!”

ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหมัดเข้าใส่หนึ่งในรปภ. อย่างรุนแรงทันที!

‘ปัง!’

ด้วยการชก รปภ.ผู้โชคร้ายร่างละลิ่วพร้อมกับวิญญาณก็หลุดออกจากร่างอย่างไม่มีใครช่วยได้

“ก…แกกล้าดียังไงมายุ่งกับพวกเรา! หาที่ตาย!”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายกล้าลงมือก่อน รปภ. ก็แสดงสีหน้าเย็นชาทันที!

“ฮึ่ม! มดแมลงกล้าอวดดีต่อหน้าข้าผู้นี้งั้นเหรอ!!”

อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจ แต่เพียงแค่ชั่วอึดใจเขาก็เห็นว่ามีรปภ. อีกหลายสิบคนที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์วิ่งกรูเข้ามาหาเขา!

ต่างจากรปภ. ทั่วไป คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะที่เกือบจะทะลวงขึ้นมาเป็นปรมาจารย์พลังภายใน ในเวลานี้ พวกเขาก็พุ่งเข้ามาด้วยมีดในมือ ซึ่งน่ากลัวกว่าคนธรรมดาถือปืนมาก!

ภายในไม่กี่วินาที อวี้ฮ่าวหรานก็ถูกล้อมจากทุกด้าน

“แกรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่คือองค์กรอสรพิษ!?”

คนที่เป็นผู้นำกลุ่มรปภ. เป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นต้น และสีหน้าของเขาก็ดูดุดันมากในขณะนี้

เขาไม่อาจยอมให้คนนอกรู้ได้ว่าที่นี่คือสถานที่ที่พวกเขากำลังซุ่มซ่อนอยู่

หากคนนอกคนใดที่รู้ความลับนี้ เขาจำเป็นต้องกำจัดในทันที!

“เหอะ ๆ ฉันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?”

แม้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับนักฆ่ามืออาชีพมากกว่าสามสิบคนที่ปลอมตัวเป็นรปภ. อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยาม

“แน่นอนว่ามันเป็นเพราะไอ้คนที่เรียกตัวเองว่าอสรพิษเงินอะไรนั่น มันบอกฉันมาก่อนที่จะฉันจะกระทืบมันจนตาย! เอ๊ะ ว่าแต่พวกแกรู้รึเปล่าว่ามันเพิ่งถูกส่งออกไปทำภารกิจอะไร?”

ขณะที่เขาพูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหยอกล้อกับอีกฝ่าย

“รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินตายแล้ว?? นี่มัน…”

ปรมาจารย์พลังภายในที่เป็นผู้นำสีหน้าเปลี่ยนในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! รองเจ้าตำแหนักเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดของพลังภายใน คนอย่างแกไม่มีทางฆ่ารองเจ้าตำหนักได้สำเร็จแน่นอน!”

“แกเข้าใจผิดแล้ว ไอ้อสรพิษเงินอะไรนั่นมันตายอย่างน่าอนาถมากเลยเชียวละ!”

อวี้ฮ่าวหราน กล่าวอย่างเยาะเย้ยพลางมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม!

“แต่ถ้าแกไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรเพราะอีกเดี๋ยวแกก็จะได้รู้ความจริงอยู่ดีหลังจากลงไปอยู่ในนรกกับมัน!”

เมื่อพูดจบประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานระเบิดกลิ่นอายสังหารหนาแน่นออกมา!

เหล่านักฆ่ารู้สึกใจสั่นรุนแรงอย่างกะทันหัน มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระเจ้าที่ไม่อาจต้านทานได้!

“น…นี่มันเวทมนตร์หรือบ้าอะไรเนี่ย! แต่แกคิดว่าคำพูดไร้สาระสองสามคำของแกจะสามารถรบกวนจิตใจของเราได้เหรอ…”

หลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง บรรดานักฆ่าก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีจิตใจที่มั่นคงแค่ไหน แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ หนึ่งในพวกนักฆ่าก็ถูกอวี้ฮ่าวหรานกุมคอเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาโผล่มากลางวงแบบนี้ได้ยังไง!

“ฉันเบื่อที่จะพูดกับพวกแกแล้ว ในเมื่อพวกแกไม่หลีกไป ถ้างั้นก็ลงไปอยู่ในนรกกับไอ้อสรพิษเงินนั่นซะ!”

“กร๊อบ!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็หักคออีกฝ่ายทันทีและโยนทิ้งราวกับโยนขยะ ก่อนที่จะหันไปกวาดสายตามองนักฆ่าอีกสามสิบกว่าคนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยแววตาเย็นชา!

“วันนี้! พวกแกทั้งหมดต้องตาย!”

เหล่านักฆ่าที่เคยภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังวิญญาณอันทรงพลังของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับมดที่รอการถูกบดขยี้เลย!

หลังจากนั้นไม่กี่นาทีบรรยากาศรอบ ๆ ก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง!

และในขณะเดียวกันนี้ ประตูรั้วกำแพงก็ถูกเปิดออก และร่างสีดำจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน!

คนเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังภายในอย่างแท้จริง!

เมื่อถูกล้อมอีกรอบด้วยคนมากกว่าหนึ่งโหล อวี้ฮ่าวหรานก็ประหลาดใจเล็กน้อยกับความแข็งแกร่งของตำหนักคุมกฎแห่งนี้

เขาปะทะกับองค์กรอสรพิษนี้มาหลายครั้งแล้ว และฆ่าเจ้าตำหนักของอีกฝ่ายไปหลายคน ดังนั้นเขาจึงพอเดาโครงสร้างขององค์กรนี้ได้แบบคร่าว ๆ ว่าคนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในนั้นมีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าตำหนักได้ แต่ในทางกลับกัน ตำหนักคุมกฎนี้กลับมีเหล่าผู้คนที่มีคุณสมบัติพอจะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าตำหนักได้แบบสบาย ๆ อยู่ในสังกัดมากกว่าสิบคน เห็นได้ชัดว่าตำหนักคุมกฎนี้น่าจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากคนที่เป็นผู้นำองค์กรนี้

“รนหาที่ตาย!”

ทันทีที่พวกคนขององค์กรอสรพิษเห็นสภาพที่เละเทะด้านนอก พวกเขาต่างก็โกรธจัด!

ทันใดนั้นโดยไม่ทราบว่าใช้วิธีใด งูพิษจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีสีสันแตกต่างกันก็ปรากฏขึ้นจากกอหญ้าที่อยู่รอบ ๆ!

หากเป็นคนธรรมดาเมื่อถูกงูนับพันตัวล้อมไว้แบบนี้ คนผู้นั้นก็คงกลัวจนทรุดตัวลงไปที่พื้นทันที

“ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่แกจะเสียใจ! ไอ้หนู โทษที่แกต้องรับจากการมาสร้างปัญหาให้องค์กรอสรพิษของเราคือตายสถานเดียว!”

นักฆ่าที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา!

อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายตามองไปที่งูพิษรอบตัวเขาอย่างไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเดรัจฉานพวกนี้ได้รับการฝึกและเลี้ยงดูมาเป็นพิเศษ พวกมันจึงมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษและมีสีที่ดูสว่างกว่างูทั่วไป

คนธรรมดาคงจะตายในไม่กี่วินาทีหากถูกงูพิษพวกนี้กัด!

แต่น่าเสียดายที่งูน้อยพวกนี้กำลังเผชิญอยู่กับอวี้ฮ่าวหราน!

อวี้ฮ่าวหรานโคจรพลังวิญญาณอย่างรุนแรง จากนั้นเขาจึงสะบัดมือปล่อยคลื่นพลังวิญญาณแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคลื่นที่มองไม่เห็นและกวาดไปรอบ ๆ!

‘บรึม!!’

ภายใต้ความรุนแรงของคลื่นพลังวิญญาณ ทั้งต้นหญ้าและงูที่อยู่รอบ ๆ รัศมีสามสิบเมตรก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที!

พวกปรมาจารย์พลังภายในที่กำลังจะลงมือเช่นกัน ต่างก็ตัวแข็งค้างเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้!

แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงก็ไม่อาจทำอะไรแบบนี้ได้!

“แกเป็นใครกันแน่!? ทำไมแกถึงมาสร้างปัญหาให้เราแบบนี้!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดไว้ หนึ่งในปรมาจารย์พลังภายในจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกแกและเจ้าตำหนักของพวกแก!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท