บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่สวมเสื้อหลุดยุคคนนี้จะมีความมั่นใจอย่างสุดกู่ ที่แท้ชายผู้นี้คือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐาน!
ตั้งแต่ที่เขากลับมาโลกมนุษย์ นี่เพิ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานคนที่สองที่เขาเจอ แน่นอนว่าคนแรกก็คือ คงเหอ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้บ่มเพาะระดับนี้หายากมาก!
ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะมีความมั่นใจขนาดนี้
อวี้ฮ่าวหรานคาดไม่ถึงเช่นกันว่าตระกูลอู๋จะมีเส้นสายพอที่จะหาผู้บ่มเพาะระดับนี้มาเล่นงานเขาได้!
ดูเหมือนว่าต่อให้ชายหนุ่มจะไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น แต่เมื่อความแข็งแกร่งของเขายิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ โชคชะตาก็จะร้อยเรียงให้เขาได้พานพบกับผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย!
ชายวัยกลางคนคืออู๋ลั่น ที่ถูกเชิญมาโดยตระกูลอู๋ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดูถูกมากกว่าเดิม
“น่าสงสารจริง ๆ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้เจ้ากำลังเผชิญกับตัวตนแบบไหน? เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าด้วยความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้ามันเพียงพอแล้วที่จะสามารถอวดดีได้อย่างไม่เกรงกลัวใครในโลกใบนี้ได้?”
“น่าขำ! น่าขำจริง ๆ!”
ทันทีที่พูดจบ อู๋ลั่นก็ระเบิดพลังวิญญาณออกจากร่างจนเป็นรัศมีแสงตระการตาในทันที!
“เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ากับข้า เราต่างชั้นกันแค่ไหน!”
อู๋ลั่นเดินช้า ๆ ไปทางอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าดูแคลนสุดขีด ในสายตาของเขา ปรมาจารย์พลังภายในก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกที่แค่บีบก็ตายคลายมือก็รอด
ในทางกลับกัน ในเวลานี้ สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่เขาหันไปมองลูกสาวของเขาในรถแทน
“ไม่ต้องกลัวนะถวนถวน เดี๋ยววันนี้พ่อจะอัดคนเลวคนนี้ให้ลูกดู!”
“เย้! พ่อจัดการคนเลวเลย! หนูอยากดู!”
เด็กน้อยไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวเลยเช่นกัน กลับกันเธอก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้นอีกต่างหาก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาวตัวเองเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกโล่งใจในทันที
แต่เมื่ออู๋ลั่นเห็นภาพนี้ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเดือดดาลอย่างรวดเร็ว!
ไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ดูถูกเขา!
“มนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้ากล้าดียังไงถึงดูถูกข้าเช่นนี้! รนหาที่ตาย!!”
อู๋ลั่นโคจรพลังวิญญาณของตัวเองอีกครั้งอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม แต่ในขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าใส่ อวี้ฮ่าวหรานกลับหันกลับมาก่อนและตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณเข้มข้น!
“มดแมลงอย่างเจ้า กล้าดียังไงมารบกวนความสุขสงบของข้าเทพผู้นี้!”
หากเป็นคนธรรมดาคงมองว่าคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานเป็นแค่คำพูดที่ชวนหัวเราะ แต่ในทางกลับกัน สำหรับอู๋ลั่นนั้นเขารู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าเข้าใส่หูจนพลังวิญญาณที่เขาเพิ่งโคจรมันติดขัดอย่างน่าตื่นตระหนก!
อู๋ลั่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
พลังของชายหนุ่มตรงหน้าเขาน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายหนุ่มก็ไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ตั้งตัว เขาโคจรพลังและปล่อยคลื่นพลังรุนแรงใส่ชั้นพลังป้องกันของอู๋ลั่นทันที!
บรึ้ม!
เมื่อพลังวิญญาณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เสียงระเบิดดังสนั่นไกลไปหลายกิโล!
คลื่นกระแทกอันทรงพลังกวาดวัชพืชในรัศมีมากกว่าสิบเมตรจนล้มระเนระนาด แม้แต่ฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นไปบนอากาศอย่างรุนแรง!
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นแค่เพียงผลกระทบจากคลื่นกระแทกเท่านั้น!
อู๋ลั่นตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ เพราะแค่คลื่นพลังเพียงอย่างเดียวของอีกฝ่าย ร่างของเขากลับไถลไปไกลกว่าสิบเมตร!
อั่ก!
หลังจากตั้งหลักได้สำเร็จ อู๋ลั่นก็ทนไม่ไหวกับอาการบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมา!
“เจ้า! นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง!
อู๋ลั่นไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายที่เขาคิดว่าเป็นเพียงปรมาจารย์พลังภายในจะน่าสะพรึงกลัวได้ขนาดนี้!
ชายหนุ่มคนนี้ดูเด็กมาก แต่ความแข็งแกร่งกลับเหนือล้ำจนน่าตกตะลึง!
ไอ้หนุ่มนี่อายุเท่าไหร่?
นี่มันไม่น่าเป็นไปได้!
“เป็นไปไม่ได้!! เจ้าแข็งแกร่งมากกว่าข้าขนาดนี้ได้ยังไง?!”
เมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่าแค่คลื่นพลังของอีกฝ่ายก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แล้ว มันก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ย ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นกล้าอวดดีต่อหน้าเขางั้นเหรอ?
“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะฆ่าข้าได้? ความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้าสำหรับข้าแล้วมันไม่ต่างอะไรกับความแข็งแกร่งของมดแมลง!”
อวี้ฮ่าวหรานย้อนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างดูถูก
ใบหน้าของอู๋ลั่นซีดทันทีเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจคิดไว้!
“ไอ้หนู! แกอย่าได้ใจไปนัก ฉันไม่เชื่อว่าวันนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้!”
จากนั้น เขาก็รีบโคจรพลังวิญญาณเพื่อใช้ทักษะที่ตัวเองถนัดที่สุด!
“เบิ่งตาดูให้ดี นี่คือค่ายกลเบญจธาตุของข้า! ตาย!”
อู๋ลั่นตะโกนพร้อมกับวาดมือไปมาบนอากาศเขียนอักขระบางอย่างซึ่งมันส่งผลให้เกิดเส้นลวดลายลอยขึ้นไปบนฟ้าปกคลุมบริเวณที่อวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกฝ่ายติดอยู่ในค่ายกลที่จนเองสร้างขึ้นโดยได้ขยับหนีไปไหน อู๋ลั่นก็หัวเราะทันที!
“ฮ่า ๆ! แกเสร็จแน่! กล้าดูถูกฉันงั้นเหรอ แกคิดว่าฉันเป็นเหมือนพวกกระจอกที่แกเคยเจอมาหรือไง?”
หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จ อู๋ลั่นก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีกรอบ
ค่ายกลนี้คือค่ายกลขึ้นชื่อของสำนักของเขา อำนาจของมันนั้นมหาศาลเป็นอย่างมาก
ด้วยค่ายกลนี้ อู๋ลั่นจึงมั่นใจว่าจะสามารถสยบศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้แน่นอน
แต่ค่ายกลนี้มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือมันควรถูกจัดวางเอาไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่นำมาใช้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ เพราะมันต้องใช้เวลาในการวาดมือสั่งพลังสร้างค่ายกล หากในระหว่างที่เขาตระเตรียม ศัตรูวิ่งหลบออกไปจากระยะค่ายกลนี้ก็จะใช้ไม่ได้ผลทันที แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือชายหนุ่มคนนี้จะโง่ไม่ยอมหลบแบบนี้
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่ได้ใส่ใจกับกลเม็ดเล็ก ๆ นี้ของอีกฝ่ายเลย
ค่ายกล?
เป็นเวลาหลายหมื่นปีที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งเทพ ดังนั้นมันจึงไม่มีค่ายกลใด ๆ ที่เขาไม่เคยเห็น!
ของพวกนี้มันก็แค่กลเม็ดเล็กน้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น เนตรเทวะที่ชายหนุ่มฝึกฝนนั้นไม่ใช่แค่เอาไว้ดูโบราณวัตถุเพียงอย่างเดียว มันยังสามารถทำให้เห็นโครงข่ายหรือจุดอ่อนของค่ายกลทั้งหมดได้ในพริบตา!
ดังนั้นการทำลายค่ายกลไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน สำหรับเขาแล้วมันคือเรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือ!
“เฮอะ! ไร้สาระ!”
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่หยิ่งผยองของอีกฝ่าย แววตาของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งเต็มไปด้วยการดูถูก
หลังจากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณไปที่หว่างคิ้ว และเนตรเทวะก็ถูกเปิดใช้ทันที!
จุดอ่อนของค่ายกลถูกเห็นได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน!
“ทลาย!”
หลังจากตะโกนเสียงดังลั่น อวี้ฮ่าวหรานชกหมัดออกไปอย่างรุนแรงควบแน่นพลังวิญญาณให้อยู่ในรูปแบบหมัดยักษ์พุ่งออกไปยังบริเวณจุดอ่อนของค่ายกล!
บรึ้ม!!
เคร้ง!!
หลังจากพลังหมัดกระแทกเข้ากับค่ายกล จู่ ๆ ก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นไปทั่วบริเวณ!
สีหน้าภาคภูมิใจของอู๋ลั่นหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน!
เขามองไปรอบ ๆ ค่ายกลของตัวเองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ อีกฝ่ายทำลายค่ายกลของเขาได้ด้วยหมัดเดียว!
เมื่อเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกสยองจนขนหัวลุก!
อู๋หมิ่นส่งเขามาเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้ไง!?
วินาทีถัดมา อวี้ฮ่าวหรานออกมายืนอยู่ด้านนอกค่ายกลที่พังทลาย!
“เฮอะ ๆ เนี่ยน่ะเหรอ ค่ายกลที่แกภูมิใจ?”
เขาเย้ยหยันและหัวเราะคิกคัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยครั้งนี้ อู๋ลั่นก็โต้แย้งไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว!
มันช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้!
ค่ายกลที่ไม่มีใครเทียบได้ ถูกทำลายด้วยหมัดเดียว!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์พลังภายในจะทำได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก!
“อู๋หมิ่น! อู๋หมิ่น! เจ้าหลอกข้า! เจ้าต้องการจะฆ่าข้าใช่ไหม!!”
ในเวลานี้ ในใจของเขาทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้น เขาสะพรึงกลัวกับความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหราน และเคียดแค้นอู๋หมิ่นที่ไม่ได้บอกกับเขาว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนี้!
ไอ้เวรอู๋หมิ่นมันไม่ได้อยากจะให้เขาแก้แค้นแทนแล้ว! มันอยากให้เขาตายมากกว่า!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อู๋ลั่นก็ไม่มีแรงจะสู้ต่ออีกแล้ว เขาต้องหนี!
แต่อวี้ฮ่าวหรานจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ตามต้องการได้อย่างไร?!
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหวังเหยียนแล้ว โจวเฟยหู่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ
“เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโจวเฟยหู่ก็พูดขึ้นอย่างจนใจ
ตอนนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลอุบายใด ๆ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ต่อไป…
หลังจากสูญเสียพี่น้องไปมากมาย ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันได้
…
ในเวลาเดียวกัน อู๋หมิ่น ผู้นำตระกูลอู๋ ก็ได้ติดต่อกับศิษย์ของสำนักลึกลับแห่งหนึ่งเรียบร้อย…
ในห้องโถงของตระกูลอู๋ อาการบาดเจ็บของอู๋หมิ่นยังไม่หายดี และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาออกมาจากละครย้อนยุค
แต่ด้วยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งทำให้ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยการแต่งกายที่แปลกประหลาดนี้แน่นอน
สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังนั่งอย่างสบาย ๆ ในตำแหน่งที่นั่งของอู๋หมิ่น!
“เจ้ากำลังบอกว่าชายหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้ตระกูลอู๋วอดวายได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? นี่เจ้าดูแลตระกูลอู๋แบบไหน ทำไมพวกเจ้าถึงตกต่ำได้ขนาดนี้?”
ชายวัยกลางคนทำตัวราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กำลังดุด่าลูกหลานตัวเอง ซึ่งคนที่เขากำลังดุด่าอยู่ก็คือ อู๋หมิ่น
“ช…ชายหนุ่มคนนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดา! ผมได้จ้างปรมาจารย์มาแล้วมากมาย แต่ปรมาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มคนนั้น และลูกชายของผม อู๋เส้าฮัวก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน!”
อู๋หมิ่นดูวิตกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามเถียง
อย่างไรก็ตาม คำพูดเถียงนี้กลับทำให้ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าดูถูกมากยิ่งขึ้น
“ฮ่า ๆ จ้างพวกปรมาจารย์งั้นเหรอ? แล้วไง? ไอ้พวกที่เจ้าจ้างมามันต่างจากคนธรรมดาตรงไหน?”
เขามองหน้าอู๋หมิ่นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน”
“ผม…ผมไม่รู้…”
อู๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่กลิ่นอายความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก
“เฮอะ ช่างมีความรู้ต่ำต้อยอะไรขนาดนี้! ช้าผู้นี้ชื่ออู๋ลั่น เพื่อเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดเดียวกัน ข้าจะบอกเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ว่าเหนือว่าขั้นพลังภายในที่เจ้าเคยรู้จัก ยังมีระดับที่เรียกขอบเขตก่อรากฐาน!”
“ก่อรากฐาน?”
อู๋หมิ่นพึมพำราวกับเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง
“ถูกต้อง ขอบเขตก่อรากฐานคือการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นผู้อมตะ ซึ่งความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบเทียมได้ และข้าเองคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อรากฐาน!”
ชายวัยกลางคนชื่ออู๋ลั่นพูดช้าๆ
ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มอบเงินให้กับสำนักของเขาเป็นจำนวนมหาศาล เขาคงไม่มีทางเสียเวลาคุยกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน
อู๋หมิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตพลังภายในมาก่อนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกตกตะลึงและงุนงงในเวลาเดียวกัน
“ถ…ถ้างั้นก็หมายความว่า…ท่านทรงพลังมากเลยใช่ไหม?”
เขาไม่อยากเชื่อเลย ถ้าหากตระกูลของเขามีปัญญาสร้างคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงถูกทิ้งให้ดูแลตระกูลอู๋อยู่ที่นี่มาตลอด? ทำไมเขาถึงไม่ได้มีโอกาสบ่มเพาะบ้าง?
ถ้าเขาสามารถเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานได้ เขาก็จะสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่หรือตระกูลไหน ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดาย จนสามารถทำให้ตระกูลอู๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ทำไมตระกูลของเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้?
อู๋ลั่นรู้ทันความคิดของอู๋หมิ่นเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยโดยไม่ลังเลเลย…
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ อย่าคิดเพ้อเจ้อให้เสียเวลา การบ่มเพาะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าก็จะไม่มีวันทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตก่อรากฐานได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเทียบได้กับข้าผู้นี้งั้นเหรอ?”
หลังจากนั้น อู๋ลั่นก็รู้สึกไม่อยากจะคุยไร้สาระอะไรอีกต่อไป เขาถามถึงรายละเอียดของภารกิจโดยตรง
อู๋หมิ่นไม่ลังเลเมื่อถูกถามถึงเรื่องภารกิจ เขาพูดทุกอย่างที่เขารู้ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน อู๋ลั่นก็พยักหน้าเล็กน้อย
“เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่ามา ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด เขาถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้า เรื่องนี้จึงไม่สามารถตำหนิเจ้าได้ในการที่เจ้าจัดการกับเขาไม่สำเร็จ”
หลังจากพอจะเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ อู๋ลั่นจึงสรุปเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง
“ใช่ ตระกูลอู๋ของผมไม่มีพลังที่จะต่อกรจริง ๆ ได้โปรดช่วยผมกำจัดชายหนุ่มคนนั้นให้ผมที!”
อู๋หมิ่นอ้อนวอนอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ลั่นเองก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้าตกลงอย่างไร้กังวล
…
สองวันต่อมา
“พ่อจ๋า ๆ หนูอยากไปเล่นที่บริษัทของพ่อวันนี้! หนูคิดถึงเพื่อน ๆ ของหนูที่นั่น!”
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กน้อยจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษ ดังนั้นเธอจึงตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ห้องของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตื่นเต้นและตะโกน
“โอเค พ่อตกลง!”
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่โตของลูกสาว และเห็นว่าเด็กน้อยคาดหวังมาก อวี้ฮ่าวหรานก็ตกลงในทันที
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็ออกไป
ถวนถวนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตคันใหม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดูตื่นเต้นอย่างมาก
รถสปอร์ตวิ่งออกไปจากเขตที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงย่านไร้ผู้คน ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเหยียบคันเร่งเพิ่ม ร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางถนน!
ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาหลุดมาจากยุคโบราณ
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเหยียบเบรกอย่างรุนแรงทันที!
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่อสูรที่ไร้หัวจิตหัวใจ เขาไม่สามารถขับรถชนคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่าไม่ได้
หลังจากเบรกอย่างเร่งรีบ รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็หยุดนิ่งกลางถนน!
รถสปอร์ตคันนี้คู่ควรกับเงินเกือบสิบล้านเป็นอย่างมาก ระบบเบรกของมันยอดเยี่ยมกว่ารถคันเก่าของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้
หากเป็นรถคันเก่า ระยะห่างสั้น ๆ แบบนี้รถไม่มีทางหยุดทันแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลย เขามองดูอวี้ฮ่าวหรานอย่างเฉยเมยพร้อมกับเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งนี้…นี่มันผิดปกติ
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงจากรถไปถาม ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวก็ตะโกนถามขึ้นก่อน
“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?!”
น้ำเสียงของชายเสื้อคลุมเขียวหยิ่งผยองมาก
“เพื่อเห็นแก่ที่เจ้ามีไหวพริบดีไม่ขับรถพุ่งเข้าชนข้าเหมือนคนโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าโดยจะปล่อยให้ศพของเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์!” เขาเยาะเย้ย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่มาขวางทางเขาคือศัตรู ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงลงจากรถ
“แกเป็นใคร แกรู้จักฉันได้ยังไง?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าผู้นี้เป็นใคร เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องตายวันนี้”
ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกราวกับว่าเขากำลังพูดกับมดแมลง
“แต่ก็เอาเถอะ ข้าบอกให้เจ้ารู้สักนิดหน่อยก็ได้ว่าข้าเป็นคนที่ตระกูลอู๋ส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า อย่างน้อย ๆ หลังจากรู้เรื่องนี้เจ้าจะได้ไม่ตายอย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าใครฆ่าเจ้า!”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าจะฆ่าฉันได้?”
เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งหลังจากที่มองดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย…