บทที่ 308 สถานการณ์สิ้นหวัง
บทที่ 308 สถานการณ์สิ้นหวัง
หลังจากร้องขออย่างเร่งด่วน หวังเหยียนก็ตัดสายไปอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ทางฝั่งหวังเหยียนจะเริ่มขึ้นแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอพี่เขย?”
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานวางสาย หลี่หรงก็เบนสายตามาที่เขาและถามด้วยความสงสัย
เห็นได้ชัดว่าเธอได้ยินเสียงกังวลทางโทรศัพท์เมื่อครู่นี้
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนของพี่ พี่คงต้องไปช่วยเขาเดี๋ยวนี้”
เพื่อหลีกเลี่ยงความกังวลของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่ได้บอกความจริงกับเธอ
หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบของอวี้ฮ่าวหราน เธอดูไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าอวี้ฮ่าวหรานคงไม่อยากให้เธอมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ระวังความปลอดภัยของตัวเองให้ดีด้วยล่ะ”
หลี่หรงรู้สึกจนใจ เมื่อพี่เขยของเธอไม่อยากให้เธอเข้ามาเกี่ยงข้อง สิ่งที่หญิงสาวทำได้ จึงมีเพียงการเอ่ยขึ้นเตือนด้วยความเป็นห่วง
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและออกไป
ด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลของหวังเหยียน วันนี้มือของเขาคงเปื้อนเลือดอย่างแน่นอน!
ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดที่หลี่หรงจะไม่รู้เรื่องนี้
เสียงคำรามอันทรงพลังของรถสปอร์ตสีเหลืองดังลั่นกลางถนน อวี้ฮ่าวหรานขับไปยังบ่อนที่หวังเหยียนบอกอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ขณะเดียวกันภายในบ่อน
หลังจากที่หวังเหยียนวางโทรศัพท์ลง เขาก็สามารถสงบใจได้มากขึ้นเล็กน้อย
“แกนี่มันไร้เดียงสาจริง ๆ แกคิดว่าโจวเฟยหู่จะมาช่วยแกทันก่อนที่ฉันจะฆ่าแกงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นการกกระทำของหวังเหยียน จิ่นเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
การรวบรวมคนนับร้อยนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำเสร็จได้ภายในหนึ่งชั่วโมง อย่างน้อย ๆ เลยมันก็ต้องใช้เวลาสักสองชั่วโมง ดังนั้นจิ่นเฟิงจึงมั่นใจมากว่าโจวเฟยหู่จะมาช่วยหวังเหยียนไม่ทันแน่นอน…
เวลาสองชั่วโมงมันมากเพียงพอที่เขาจะฆ่าหวังเหยียนได้เป็นสิบรอบ
กว่าโจวเฟยหู่จะมาถึง ศพของหวังเหยียนก็คงเย็นไปแล้ว!
เมื่อได้ยินการเสียดสีของอีกฝ่าย หวังเหยียนก็กัดฟันกรอดด้วยความโมโห
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ถ้าแกต้องการสู้ก็เข้ามา! แม้ว่าวันนี้แก๊งวาฬยักษ์จะสามารถฆ่าฉันได้ แต่ฉันรับประกันเลยว่าราคาที่พวกแกต้องจ่ายมันย่อมไม่น้อยแน่นอน!”
ในเวลานี้ เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันว่าอวี้ฮ่าวหรานจะมาทันเวลาหรือไม่
เพราะบ่อนแห่งนี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับที่อยู่ของอวี้ฮ่าวหราน
แต่ถึงแม้เขาจะตายที่นี่จริง ๆ อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ได้ทำให้แก๊งพยัคฆ์เวหาเสียชื่อเสียง
การที่เขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนได้เห็นว่าแก๊งพยัคฆ์เวหากลายเป็นแก๊งใหญ่ขนาดนี้ มันก็ถือว่าเขาได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว!
“เฮอะ! จะตายแล้วยังปากดี! ก่อนฉันจะฆ่าแก ฉันจะหักแขนขาของแกทิ้งทีละข้างก่อน ฉันจะทำให้แกต้องอ้อนวอนร้องขอความตายจากฉัน!!”
ใบหน้าของจิ่นเฟิงเย็นชาขึ้นในขณะที่พูด เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เขาก็ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องของตัวเองทันที
“ฆ่าพวกมันให้หมด!!”
หลังจากเอ่ยคำสั่งออกไป ภายในห้องโถงก็เกิดความโกลาหลอย่างมโหฬารในทันที
โต๊ะและเก้าอี้บินว่อน ทั้งสองฝ่ายต่างฆ่าฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยมีดยาวและกระบองเหล็ก
แก๊งพยัคฆ์เวหามีเพียงสี่สิบคนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงถูกล้อมอย่างแน่นหนาจึงไม่สามารถฝ่าออกไปทางไหนได้เลย
ในขณะเดียวกัน สองปรมาจารย์กำลังภายในของแก๊งวาฬยักษ์ก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย!
ความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของทั้งสอง ทำให้สถานการณ์ทางฝั่งของหวังเหยียนยิ่งแย่มากกว่าเดิม แม้ว่าสมาชิกหลักของแก๊งพยัคฆ์เวหาจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็อ่อนแอพอ ๆ กับเด็กเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์กำลังภายใน!
อีกด้านหนึ่ง จิ่นเฟิงนำหัวหน้าสาขาอีกคนของแก๊งวาฬยักษ์เดินมุ่งเข้าไปหาหวังเหยียน
“หึหึ วันนี้ช่างเป็นวันที่น่าจดจำจริง ๆ รองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาผู้โด่งดัง วันนี้กำลังจะตาย!”
จิ่นเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มล้อเลียน
การซุ่มโจมตีในคืนนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาวางแผนไว้มานานแล้ว เพื่อจัดการกับเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของแก๊งพยัคฆ์เวหา!
ในเวลานี้ หวังเหยียนมองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาลุ้นอยู่ตลอดว่า ขอให้อวี้ฮ่าวหรานมาเร็ว ๆ เขาไม่อยากให้คนของเขาทั้งหมดต้องตาย
แน่นอนว่าตัวของเขาก็ไม่อยากจะตายวันนี้เช่นกัน
“ตาย!”
ทว่าในขณะที่หวังเหยียนกำลังเสียสมาธิจากการกวาดสายตามองดูสถานการณ์รอบตัว จิ่นเฟิงก็ตะโกนขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้ามาหาอย่างดุดัน และเมื่อเข้าประชิดตัวหวังเหยียนได้สำเร็จ จิ่นเฟิงก็โคจรพลังภายในและชกใส่หน้าอกของหวังเหยียนทันที!
เมื่อเห็นการโจมตีนี้กำลังพุ่งเข้ามา หวังเหยียนจึงได้สติอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบโคจรพลังของตัวเองไปที่ขาและดีดตัวหลบหมัดของจิ่นเฟิงได้อย่างหวุดหวิด!
โครม!!
หมัดที่พลาดไปนั้นกระแทกเข้ากับโต๊ะพนันอย่างรุนแรง จนโต๊ะพนันแยกออกเป็นสองส่วนทันที!
“ฮ่า ๆๆ! ปฏิกิริยาตอบสนองของแกนี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
ถึงแม้ว่าหมัดของตัวเองจะถูกหลบได้ แต่จิ่นเฟิงกลับไม่ได้แสดงความไม่พอใจ ทว่าเขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
ในขณะเดียวกันนี้ หัวหน้าสาขาอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ จิ่นเฟิงก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว เขาพุ่งตามเข้าไปต่อยหวังเหยียนซึ่งเพิ่งตั้งหลักได้จากการหลบหมัดของจิ่นเฟิงเมื่อครู่
เมื่อเห็นว่าตัวเองคงไม่อาจหลบหมัดนี้ที่กำลังพุ่งเข้ามาได้ หวังเหยียน จึงตัดสินใจซัดฝ่ามือสวนกลับไปทันที เขากลั้นใจใช้พลังที่เหลือน้อยนิดของตัวเองเพื่อซัดฝ่ามือนี้ออกไป
ถึงแม้ว่าพลังจะเหลือน้อย แต่ความแข็งแกร่งของหวังเหยียนนั้นแข็งแกร่งกว่าหัวหน้าสาขาของวาฬยักษ์มาก ดังนั้นฝ่ามือของเขาจึงสามารถผลักคู่ต่อสู้ให้กระเด็นออกไปได้เจ็ดถึงแปดเมตร!
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้คนอื่น ๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหวังเหยียนนั้นแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ!
แต่สีหน้าของพวกแก๊งวาฬยักษ์กลับไม่ได้ตื่นตระหนกเลย
พวกเขาคาดไว้นานแล้วก่อนที่พวกเขาจะมา หวังเหยียนเป็นถึงรองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหา ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่หวังเหยียนจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้
แต่ไม่ว่าหวังเหยียนจะแข็งแกร่งแค่ไหน ด้วยการวางแผนมาเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนนี้หวังเหยียนจึงไม่มีทางที่จะสู้พวกเขาได้แน่นอน!
ในเวลานี้ หวังเหยียนได้หมดพลังที่จะสู้กลับแล้ว!
หลังจากใช้กำลังภายในไปสองครั้งติดต่อเมื่อครู่ ใบหน้าของหวังเหยียน ก็ยิ่งซีดมากกว่าเดิม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการใช้พลังภายในมากเกินไป
“ฮ่า ๆ รับไปอีกหมัด!”
หัวหน้าสาขาที่เพิ่งถูกผลักออกไปเมื่อครู่ กระโจนเข้าไปหาหวังเหยียน อีกรอบพร้อมกับง้างหมัดอย่างสุดแรง
แน่นอนว่าหมัดนี้ไม่ได้เบาน้อยกว่าหมัดเมื่อครู่เลย!
ปัง!!
ทั้งสองประสานหมัดกันอีกครั้ง หวังเหยียนยังคงยืนนิ่งอยู่กันที่ได้อยู่ ส่วนอีกฝ่ายถูกผลักห่างออกไปอีกสองสามเมตรอีกรอบ
อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามือของหวังเหยียนสั่นระรัว
ตรงจุดที่เขาเหยียบอยู่ ภายใต้แรงปะทะอันมหาศาล พื้นกระเบื้องได้แตกร้าวราวกับใยแมงมุมทุกตารางนิ้ว!
“หึหึ พลังภายในของแกหมดแล้ว ตอนนี้แกพึ่งพาตัวแรงของกล้ามเนื้ออย่างเดียวสินะ? ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าแกจะทนไปได้สักกี่น้ำ!”
แน่นอนว่าจิ่นเฟิงสังเกตเห็นความผิดปกติของหวังเหยียน ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างประชดประชัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหวังเหยียนจะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่กำลังใจของเขาก็ยังคงไม่ถดถอย
“เฮอะ! แม้ว่าพลังภายในของฉันจะหมดแล้ว แต่ฉันก็ยังมั่นใจว่าฉันสามารถฆ่าแกได้!”
บทที่ 319 บุกถึงประตู
บทที่ 319 บุกถึงประตู
เมื่อได้ยินคำถามที่เป็นกังวลของหลี่หรง อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะขบขัน
“อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก”
อู๋ลั่นถูกเขาจัดการไปแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ต้องการให้หลี่หรงกังวล เขาจึงพูดตัดบทไป
แต่หลังจากที่พาถวนถวนล้างมือเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ตัดสินใจบางเรื่องอย่างเด็ดขาด
“เธอกับถวนถวนกินข้าวกันไปก่อนเลย พี่มีเรื่องต้องจัดการอีกเรื่อง แล้วเดี๋ยวดึก ๆ พี่จะกลับมา”
“หืม? มีเรื่องอะไรอีกงั้นเหรอพี่เขย? ทำไมพี่ไม่กินข้าวก่อนล่ะ?”
หลี่หรงรู้สึกงงงวยกับคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน
ความขุ่นเคืองจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“เรื่องนี้พี่ต้องจัดการในทันที ไม่อย่างนั้นพี่คงรู้สึกไม่สบายใจ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบโดยตรงว่ามันคืออะไร แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจริงจังมาก หลี่หรงจึงทำได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น และตัดสินใจที่จะไม่หยุดอีกฝ่ายอีกต่อไป
“อืม…ถ้างั้นพี่ก็รีบไปเถอะ เอาไว้เดี๋ยวฉันจะแบ่งกับข้าวส่วนของพี่เก็บเอาไว้ให้”
“อืม”
หลังจากตกลงกันได้อย่างรวบรัดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หันหลังและจากไป
แต่ทันทีที่เขาปิดประตูออกจากห้อง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที!
เรื่องของอู๋ลั่นวันนี้ทำให้เขากังวลมาก
ชายวัยกลางคนนั่นบอกว่าถูกตระกูลอู๋เชิญตัวมา!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือตระกูลอู๋!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจตัวเองได้อีกต่อไป
ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่อีกฝ่ายกลับระรานครอบครัวของชายหนุ่มไม่หยุด คราวนี้เขาจึงต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลังจากลงลิฟท์และขึ้นรถไป เขาก็เหยียบคันเร่งจนมิดทันที!
…
เวลาราว 1 ทุ่ม ท้องฟ้ามืดสนิท อู๋หมิ่นและภรรยาของเขากำลังกินอาหารเย็นอยู่ในบ้านหลักของตระกูล
“ฮึ่ม! การแก้แค้นครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่! ไม่ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าอู๋ลั่นได้!”
อู๋หมิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสะใจ
“เฮอะ! ไอ้หมาเน่าตัวนั้นน่าจะตายไปนานแล้ว! มันกล้าดียังไงมาฆ่าลูกชายของฉัน! ฉันขอให้มันตายในสภาพศพไม่สมบูรณ์!”
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแสดงสีหน้าเคียดแค้นในขณะพูด
“จากนี้มันยังไม่จบหรอก! แค่ฆ่ามันคนเดียวฉันยังไม่สะใจพอ! มันยังมีลูกสาวอีกคน ลูกสาวของมันต้องตายตามพ่อของมันไปด้วย!”
อู๋หมิ่นเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอาฆาต
“ใช่! ฆ่านังเด็กนั่น! แต่เราต้องฆ่านังเด็กนั่นอย่างช้า ๆ ให้สาสมกับที่พ่อของมันฆ่าลูกของเรา!
เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดของสามีตัวเอง เธอก็แสดงความร้ายกาจออกมาพลางคิดจินตนาการว่าจะใช้วิธีไหนดีเพื่อทรมานเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่เธอรังเกียจ
“จริงสิ ผู้หญิงของมันอีกล่ะ? เราจะปล่อยผู้หญิงของมันไปไม่ได้ น้องเมียของมันคุณต้องจับมาด้วย! ฉันจะกำจัดตัวเมียทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมันทั้งหมด! ลูกชายของฉันตายเพราะนังนั่น!”
“แน่นอน! ถึงเธอไม่พูด ฉันก็จะทำแน่! ลูกชายของอู๋หมิ่นจะตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ยังไง!”
การแสดงออกของอู๋หมิ่นเย็นชายิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“ดี! ดีมาก! ครอบครัวของมันทั้งหมดต้องตายตามลูกชายของเราไป พวกมันต้องกลายเป็นวิญญาณรับใช้ลูกของเราในยมโลก!”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ทั้งโหดเหี้ยมและขมขื่น
แต่ในขณะนั้น ประตูรั้วคฤหาสน์กลับกระเด็นล้มลงทั้งบาน!
โครม!
บอดี้การ์ดสองสามคนที่ยืนอยู่หลังประตูถูกทับจนเละ!
“เร็ว…วิ่ง…”
บรรดาบอดี้การ์ดต่างแตกตื่นโกลาหล พวกเขาต่างร้องตะโกนพลางวิ่งถอยกลับเข้ามาที่ตัวคฤหาสน์
ในเวลานี้ ร่างผอมบางปรากฏขึ้นที่ประตู!
อู๋หมิ่นตกใจ เขาลุกขึ้นและรีบเดินออกไปดูสถานการณ์ทันที แต่ฝุ่นที่ฟุ้งปกคลุมบริเวณประตู ทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครเป็นผู้มาเยือน
“ไม่ทราบว่าท่านผู้แข็งแกร่งเป็นใครงั้นหรือ? ทำไมท่านถึงบุกเข้ามาในบ้านของผู้น้อยเช่นนี้?”
หลังจากที่เจอกับอู๋ลั่นมาไม่นาน มุมมองต่อโลกใบนี้ของอู๋หมิ่นก็เปลี่ยนไป เขาเข้าใจมากขึ้นว่าต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่ง เขาควรจะนอบน้อมให้มากที่สุด เพราะไม่งั้นคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองจะตายตอนไหน
อย่างไรก็ตาม ชายที่เพิ่งถล่มประตูก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาช้า ๆ และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เมื่อกี้แกไม่ได้เพิ่งพูดเหรอว่าจะส่งดวงวิญญาณของฉันผู้นี้ไปเป็นข้ารับใช้ลูกชายของแกในยมโลก? วันนี้ที่ฉันมามีเพียงจุดประสงค์เดียวคือส่งพวกแกทุกคนลงไปอยู่กับไอ้ขยะอู๋เส้าฮัว!”
หลังจากฝุ่นจางไป หัวใจของอู๋หมิ่นแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกเป็นใคร!
“แก! ทำไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่! แกไม่ควร! แกไม่ควร! ทำไมแกถึงยังไม่ตาย!?”
ดวงตาของอู๋หมิ่นเบิกกว้างจนแทบจะถลนในเวลานี้ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่
คนที่บุกเข้ามาคืออวี้ฮ่าวหราน!
ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็เพิกเฉยต่อคำถามของอีกฝ่าย เขายังคงเดินต่อไปอย่างช้า ๆ และเมื่อเหลือบมองเข้าไปด้านในคฤหาสน์และเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดวางอยู่กลางห้องโถง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก
“ฮิฮิ ดีจังเลยนะ กำลังกินข้าวมื้อสุดท้ายกันอยู่ซะด้วย”
ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ อู๋หมิ่นแสดงท่าทางขาดสติทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือฆาตกรฆ่าลูกชายของเธอ เธอตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้สารเลว! แกฆ่าลูกชายของฉัน! แกตายแน่! ไม่สิ ครอบครัวของแกทั้งหมดจะต้องตาย! ฉันจะทรมานแก ลูกของแก ผู้หญิงของแกทุกคนด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะ…”
“หุบปาก!!”
อู๋หมิ่นไม่รอให้ภรรยาพูดจบและรีบตวาดให้หยุดเสียงดัง
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมภรรยาของเขาถึงโง่เง่าอะไรได้ขนาดนี้ ไม่รู้ตัวหรือไงว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน!?
อีกฝ่ายหนึ่งบุกเข้ามาโดยไร้รอยขีดข่วน ส่วนอู๋ลั่นก็หายไปโดยไม่ส่งข่าวคราวกลับมาเลย สถานการณ์เช่นนี้มันหมายความได้อย่างเดียวซึ่งก็คือ อู๋ลั่นถูกจัดการไปแล้ว และพวกเขากำลังโดนจะโดนเก็บกวาด!
“อวี้ฮ่าวหราน ตระกูลอู๋ของฉันยินดียอมรับเงื่อนไขทุกอย่างที่นายต้องการ แลกกับการที่นายจะยอมปล่อยให้เราสองคนมีชีวิตรอด”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องจำใจต้องยอมรับความจริงที่ว่า อู๋ลั่นอาจจะตายไปแล้ว!
มิฉะนั้น อวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางมาปรากฏกายที่นี่ได้
ตอนนี้แผนการของเขาที่คิดออกคือพยายามเจรจาให้อวี้ฮ่าวหราน กลับไปก่อน และจากนั้นเขาจะแจ้งเรื่องนี้แก่สำนักเมฆาเขียวเพื่อที่สำนักจะได้ส่งคนมาอีกครั้ง
ถึงตอนนั้นไอ้เวรนี่จะต้องตายแน่นอน!
แต่ในขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็จ้องมองอู๋หมิ่นด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันบอกเอาไว้เลยว่าแกไม่มีทางอยู่รอดเกินคืนนี้แน่”
น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาสุดขั้ว
แน่นอนว่าคำพูดนี้ทำให้อู๋หมิ่นหมดหวัง
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของอวี้ฮ่าวหราน อู๋หมิ่นก็ปลงใจแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเขาก็ไม่รอดแน่นอน และเขาไม่สามารถซ่อนความคิดของตัวเองจากอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
บทที่ 314 ยินยอม
บทที่ 314 ยินยอม
“เฮ้อ…มันเป็นฉันเอง…มันเป็นเพราะฉันเองที่โลภเกินไป…”
หลี่อิงไห่ถอนหายใจยาว รอยยิ้มที่ขมขื่นชัดเจนปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ไปกันเถอะ ออกไปรอพบกับคนของเครือฮ่าวหรานกันเถอะ”
เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
ในเวลานี้ ทุกอย่างไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เขาจึงไม่มีสิ่งใดพอที่จะไปแข็งขืนได้อีก
เมื่อระลึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำมา อวี้ฮ่าวหรานจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพอจะมีหวังอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะไม่ว่ายังไง อวี้ฮ่าวหรานก็เป็นลูกเขยของหลี่ชงซาน หากอวี้ฮ่าวหรานยังมีใจพอจะไว้หน้าตระกูลหลี่อยู่บ้าง อย่างน้อยก็อาจจะยังคงได้อยู่ในบริษัทต่อไปในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปแทน
ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงค่อย ๆ เดินออกจากออฟฟิศ ซึ่งเลขาสาวก็นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตามเขามาอย่างรวดเร็วโดยถือแฟ้มไว้ในมือ
ในเวลานี้ ทุกคนในบริษัทอิงเหมาทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงการเป็นเจ้าของของบริษัทเรียบร้อย และรู้ด้วยว่าเจ้าของใหม่จะเข้ามารับช่วงต่อเร็ว ๆ นี้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนจึงหมดแรงใจที่จะทำงาน และต่างก็กำลังคิดและปรึกษาหารือกันถึงทางออกสำหรับอนาคตของตัวเอง…
“ฉันคิดว่าเจ้านายคนใหม่น่าจะต้องการให้บริษัทของเราทำเงินทันทีตามเดิม ดังนั้นเขาไม่น่าจะหาคนใหม่มาแทนที่พวกเรา เราแค่ต้องทำหน้าที่ของเราไปตามปกติ”
“ใช่ อันที่จริง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้ว ตาแก่หลี่อิงไห่นั่น ฉันไม่ชอบหน้าเขามาตั้งนานแล้วเหมือนกัน”
“ฉันได้ยินมาว่าเครือฮ่าวหราน ที่เป็นเจ้าของใหม่ของบริษัทเราเป็นกลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับพนักงานของบริษัท สวัสดิการของเครือฮ่าวหรานนับได้ว่าดีที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!”
“…”
ระหว่างทาง เสียงกระซิบกระซาบของบทสนทนาได้ยินถึงหูของหลี่อิงไห่เช่นกัน
คำพูดของบางคนที่ระบายความไม่พอใจออกมานั้นกล่าวถึงเขาอย่างรุนแรง
หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าเขาได้ยินคำพูดแบบนี้เข้าหูเมื่อไหร่ เขาคงจะเรียกคนพูดมายืนอยู่ตรงหน้าเขาทันที จากนั้นจะตบสั่งสอนสักฉาดและสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลากออกไปจากบริษัทอย่างรวดเร็ว
แต่วันนี้แตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปได้ แต่ก็คงเป็นแค่หุ่นเชิด ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใด ๆ ในบริษัทโดยเฉพาะอำนาจเกี่ยวกับการจัดการกับพวกพนักงาน
“ท…ท่านประธาน…ท่านได้ยินหรือเปล่า? พวกเขา…พวกเขากำลังกล่าวร้ายท่าน…”
เลขาสาวเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับทำท่าจะก้าวไปเผชิญหน้ากับพวกคนที่พูดนินทาหลี่อิงไห่ เธอรับไม่ได้จริง ๆ กับคำพูดหลาย ๆ คำพูดที่คนพวกนี้เอ่ยออกมา
“แล้วไงล่ะ? ฮ่า ๆ ลืมมันไปเถอะ นับจากนี้ฉันไม่มีอำนาจจะทำอะไรใครได้อีกแล้ว”
หลี่อิงไห่หัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อเขาได้ยินคำพูดนินทาเหล่านั้น จากนั้นจึงมองไปยังเลขาข้าง ๆ เขาที่กำลังแสดงสีหน้าไม่เต็มใจ
“เสี่ยวอวิ๋น ฉันจำได้ว่าเธออยู่กับฉันมาเกือบปีแล้วใช่ไหม?”
“ก็คุณหลี่เรียกให้ฉันมาทำงานให้คุณตั้งแต่หลังจากเรียนจบทันที”
เลขาสาวไม่รู้ว่าทำไมหลี่อิงไห่ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอจึงได้แต่ตอบตามความจริงเท่านั้น
“เฮ้อ…เวลาผ่านไปเร็วมากจริง ๆ เอาล่ะ เดี๋ยวตอนออกไปยืนรอ เธออย่ามายืนข้าง ๆ ฉันแบบนี้เด็ดขาด เจ้าของเครือฮ่าวหรานไม่ชอบฉัน มันจะส่งผลต่ออนาคตของเธอเอง”
หลี่อิงไห่ถอนหายใจก่อนที่จะออกคำสั่ง
“เอ๊ะ? แต่…แต่…”
เลขาสาวชื่อเสี่ยวอวิ๋นกระสับกระส่ายทันที เธอพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักอย่างลังเล
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น คิดถึงพ่อแม่ของเธอเอาไว้ ฉันจำได้ว่าอาการป่วยของแม่เธอยังไม่หายดีใช่ไหม? ถ้าฉันเดาไม่ผิด เงินก้อนนั้นที่ฉันให้ไปมันคงหมดไปแล้วตั้งแต่ก่อนเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยถูกต้องไหมล่ะ?”
หลี่อิงไห่ขัดจังหวะอีกฝ่าย
ในทางกลับกันเลขาสาวกลับดื้อรั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ม…ไม่! ท่านประธานหลี่ ฉันไม่สน! ท่านใจดีกับฉันมาโดยตลอด ฉันจะไม่มีวันทิ้งท่าน ฉันจะขอติดตามท่านไปทำงานในทุก ๆ ที่ท่านไป!”
“อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย!”
หลี่อิงไห่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินคำตอบนี้จากเลขาสาวของตัวเอง เขากลับรู้สึกอึดอัด เขาอุปถัมภ์เด็กหญิงที่ยากจนซึ่งแม่ป่วยหนัก ตอนแรกเขาทำเพียงเพื่อสนองความไร้สาระของเขา
แต่เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยืนหยัดเพื่อเขาในเวลานี้
ในทางกลับกัน พวกผู้บริหารที่มักจะมาเลียแข้งเลียขาเขาตลอดเวลาก่อนหน้านี้กลับแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ และพร้อมที่จะไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายคนใหม่เต็มแก่เมื่อเขาหมดอำนาจ
จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินออกจากอาคารสำนักงาน
ไม่กี่นาทีต่อมา ขบวนรถหรูสุดเด่นก็ขับเข้ามาจอดหน้าตึกสำนักงาน
รถนำขบวนคือรถสปอร์ตสุดหรูแลมโบกินีและตามมาด้วยเมอเซเดสต์ เบนซ์ เอสคลาสตัวท๊อปอีกเจ็ดคัน
เนื่องจากมีการแจ้งล่วงหน้ามาแล้ว คณะผู้บริหารของบริษัทอิงเหมาจึงตั้งแถวรออยู่ที่หน้าประตูเรียบร้อย
ในไม่ช้า อวี้ฮ่าวหราน ก็เป็นผู้นำในการลงจากรถ จากนั้นผู้จัดการหวัง และคนอื่น ๆ ก็ลงจากรถและปิดประตู
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาเดินมาที่ประตูหน้าของอาคารสำนักงาน พวกเขาพบว่า หลี่อิงไห่และเลขาสาวกำลังรออยู่ที่ประตูพร้อมกับคนอีกนับสิบ
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันทันที
“โอ้? ท่านประธานบริษัทอิงเหมาผู้สูงส่งมารอรับฉันถึงหน้าประตูเลยงั้นเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด
ในความทรงจำของเขา ชายแก่คนนี้คือคนที่คัดค้านการแต่งงานของเขากับหลี่เม่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อประโยชน์ของตระกูลหลี่ แถมยังใช้เหตุการณ์ที่เขาแต่งงานกับหลี่เม่ยบังคับให้หลี่ชงซานสละตำแหน่งผู้นำตระกูลมาให้กับตัวเอง
อาจกล่าวได้ว่าการกระทำของคน ๆ นี้มุ่งเน้นแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลี่และตัวเองเท่านั้น เขาไม่มีความเห็นใจในฐานะของการเป็นมนุษย์หรือเครือญาติเลย
“แน่นอนว่าเมื่อประธานอวี้กำลังมา ผมต้องออกมารอต้อนรับอยู่แล้ว”
หลี่อิงไห่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานมาด้วยตัวเอง แต่ก็รีบเก็บความประหลาดใจได้อย่างรวดเร็วและปกปิดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ในตอนนี้ ชายหนุ่มที่เขาเคยดูถูกและเชื่อว่าจะเป็นคนทำลายผลประโยชน์ของตระกูลหลี่จนป่นปี้นั้นแข็งแกร่งมากจนเขาต้องก้มศีรษะให้
ในทางกลับกัน เมื่อเผชิญกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าจะเสียดสีอะไรต่อดี เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมก้มหัวให้ง่ายขนาดนี้
“ไปซะ วันนี้ฉันมารับช่วงต่อบริษัทจากแก ฉันไล่แกออก!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสียดสีอีกฝ่ายต่อไม่ได้ ถ้างั้นเขาก็จะทำตามจุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้โดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไงทันที
“ด…เดี๋ยวสิ…”
หลี่อิงไห่แทบจะทั้งล้มทั้งยืน เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้จากปากของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดเลยว่าความหวังสุดท้ายในใจของเขาจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วและป่นปี้ขนาดนี้
นี่มันตรงไปตรงมาเกินไป!
“ต…แต่เราเป็นคนตระกูลหลี่เหมือนกัน คุณทำแบบนี้ไม่ได้…”
“ฉันทำอะไรไม่ได้?”
อวี้ฮ่าวหรานจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายทันทีและขัดจังหวะ
ถ้าตาแก่นี่ไม่เริ่มโจมตีเครือฮ่าวหรานของเขาก่อน เพื่อเห็นแก่ตระกูลหลี่ เขาคงไม่ทำอะไรกับบริษัทอิงเหมา
แต่เนื่องจากมันลงมือกับฉันอย่างหน้าด้าน ๆ ขนาดนี้ ถ้างั้นมันก็ต้องรับกับผลที่ตามมา!
“ฉันขอปลดแกออกจากทุกตำแหน่งในบริษัทตอนนี้เดี๋ยวนี้! แกต้องขนข้าวของส่วนตัวออกไปจากบริษัทของฉันภายใน 10 นาที!”
อวี้ฮ่าวหรานประกาศอย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่อิงไห่มองไปที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลานาน เขารู้สึกสิ้นหวังในใจ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สูดหายใจเข้าลึกอย่างจนใจ
“ตกลง ฉันยอมรับการตัดสินใจของประธานอวี้”
ถ้าต่อต้านไม่ได้ก็ต้องยอม ในเวลานี้เขาไม่มีอำนาจอีกแล้ว
ในเวลานี้ พวกผู้บริหารที่อยู่รอบ ๆ เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบนินทา
“หึหึ ดูหลี่อิงไห่สิ ก่อนหน้านี้ทำตัวราวกับเป็นพระเจ้า แต่ตอนนี้กลับหงอไม่ต่างอะไรกับสุนัขเลย!”
“ก่อนหน้านี้ฉันเตือนเขาไปแล้วว่าไม่ควรทำและฉันก็ไม่อยากจะทำ แต่เขากลับด่าว่าฉันไร้ประโยชน์และยังคงเริ่มแผนเล่นงานเครือฮ่าวหรานต่อไป แล้วดูตอนนี้สิ เห็นไหมล่ะ? ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย!”
“สมควรแล้ว! หลานชายของฉันถูกไล่ออกจากบริษัทเพราะเหตุผลส่วนตัวของหลี่อิงไห่ล้วน ๆ เขาไม่ไว้หน้าฉันเลยสักนิด ตอนนี้ถึงตาของเขาบ้างแล้ว!”
“…”
เสียงนินทาของผู้บริหารหลายคนไม่ได้เบาเลย ซึ่งมันทำให้สีหน้าของหลี่อิงไห่แย่มากกว่าเดิม
บทที่ 318 ล้ำเส้น
บทที่ 318 ล้ำเส้น
อู๋ลั่นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาจึงตั้งใจจะหนี
อย่างไรก็ตามด้วยความแค้นจากการล้มเหลว ก่อนจะจากไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนข่มขู่ขึ้น
“ไอ้หนุ่ม แกอย่าได้ใจไปนัก ถึงแม้ว่าคราวนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้ แต่คราวหน้าฉันมั่นใจว่าฉันฆ่าแกกับลูกของแกได้แน่!”
หลังจากพูดจบเขาพุ่งตัวจากไปโดยไม่เหลียวหลังมอง
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้!
เขาไล่ตามอีกฝ่ายทันราวกับเล่นกล!
‘ผัวะ!!’
หมัดลุ่น ๆ กระแทกเข้าที่ใบหน้าของอู๋ลั่นอย่างจัง!
หมัดนี้แฝงด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นอู๋ลั่นจึงกระเด็นไปไกลห้าเมตรทันที!
อู๋ลั่นกระแทกไปที่พื้นอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“แกกล้าดียังไงมาต่อยหน้าฉันแบบนี้!!!”
เขาจับแก้มซ้ายของตัวเองซึ่งเป็นด้านที่โดนต่อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำร้ายเขาขนาดนี้
อวี้ฮ่าวหรานจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา
“มดแมลงอย่างแกกล้าขู่ลูกของฉันผู้นี้งั้นเหรอ รนหาที่ตาย!”
การที่อีกฝ่ายขู่ฆ่าลูกสาวของเขาเช่นนี้มันคือการล้ำเส้นของเขาอย่างรุนแรง คน ๆ นี้ต้องตาย!
แน่นอนว่าประโยคนี้ของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้อู๋ลั่นใจสั่น เขาไม่รีรออะไรอีกแล้ว และรีบใช้วิธีการลับบางอย่างทันที ซึ่งส่งผลให้ทั้งตัวของเขากลายเป็นกลุ่มควันก่อนจะหายตัวไปจากที่เดิม
เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรแล้ว!
อวี้ฮ่าวหรานหันขวับมองตามทันทีด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่นึกเลยว่าโลกมนุษย์จะมีวิธีเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันเช่นนี้ แน่นอนว่าชายหนุ่มเห็นทุกขั้นตอนว่าอู๋ลั่นหนีไปยังไง สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนจากสายตาของเขาได้
“ฮ่า ๆ! เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ง่าย ๆ หรอกโว้ย! รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับมาอีกแน่และวันไหนที่ข้ากลับมา มันจะหมายถึงวันตายของเจ้ากับลูก…”
เมื่อเข้าใจว่าตัวเองหนีรอดแน่ ๆ แล้ว อู๋ลั่นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และหันหลังหนีไปในทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อู๋ลั่นกำลังได้ใจคิดว่าตัวเองหนีรอดแล้วและพุ่งหนีต่อไปได้ราวห้าสิบเมตร จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาขึ้นข้าง ๆ หู
“แกคิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?”
‘ปัง!!’
ยังไม่ทันที่จะได้ขนลุก อู๋ลั่นก็เจ็บแปลบที่ชายโครงอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็ลอยละลิ่วไปตกที่ในป่าทึบข้างทางห่างออกไปห้าสิบเมตรด้วยพลังเตะของอวี้ฮ่าวหราน!
โครม! อั่ก!!
หลังจากหล่นลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง พลังวิญญาณในร่างของอู๋ลั่นก็ปั่นป่วนจนไม่อาจโคจรเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ เขาจึงพยายามที่จะยันกายลุกขึ้นเพื่อหนีต่อ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจนทำได้แค่พยายามคลานอย่างน่าสังเวช
“ป…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”
อู๋ลั่นไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะตามเขาทันได้ในพริบตาแบบนั้น ความเร็วที่อีกฝ่ายมีมันแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงระดับ…
“เป็นไปได้ยังไง?? คนอายุอย่างมันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดได้ยังไง!?”
“มดแมลงอย่างแกจะมาเข้าใจเทพอย่างฉันผู้นี้ได้ยังไง?”
โดยไม่ทันรู้ตัว อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ปรากฏขึ้นยืนค้ำหัวของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
เขามองลงไปที่อู๋ลั่นด้วยแววตาเย็นชาและดูถูก…
“บทลงโทษสถานเดียวกับคนที่กล้าบังอาจหมายชีวิตลูกสาวของฉันคือตาย!”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองรอบ ๆ ก่อนชั่วอึดใจ และเมื่อมั่นใจว่าตรงจุดนี้รกทึบมากจนถวนถวนมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดแน่ เขาจึงโคจรพลังวิญญาณจนถึงขีดสุดและกระทืบเท้าลงไปที่หัวของอู๋ลั่นอย่างเต็มแรงโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูดอะไร!
บรึ้ม!!
ด้วยการกระทืบอย่างรุนแรง พื้นดินบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ สภาพแวดล้อมโดยรอบที่มีแต่ต้นไม้รกทึบก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“ถุย!”
ด้วยความโมโห อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ศพของอู๋ลั่น
อันที่จริงหากอีกฝ่ายไม่ขู่ลามไปถึงลูกของเขา ชายหนุ่มก็คงจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไป เพราะตัวของเขาเองก็ยังไม่อยากฆ่าคนที่แข็งแกร่งแบบนี้หากไม่จำเป็น
เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้น่าจะมาจากสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ ซึ่งคนผู้นี้คงไม่ใช่คนที่เก่งสุดในสำนัก การที่เขาฆ่าคนเช่นนี้ไปก็หมายถึงว่าในอนาคตเขาคงจะถูกล้างแค้นโดยผู้บ่มเพาะที่อาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ได้ก้าวล้ำเส้นของเขาไปมาก ดังนั้นจึงต้องฆ่าทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก!
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เตะโด่งศพของอู๋ลั่นให้กระเด็นเข้าในป่าลึกกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะใช้พลังวิญญาณทำความสะอาดเลือดของอีกฝ่ายออกจากเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปที่รถ
…
“พ่อจ๋า คนเลวหายไปไหนแล้ว เมื่อกี้พ่อเข้าไปทำอะไรในป่ากับคนเลว?”
หลังจากขึ้นรถ ถวนถวนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยอย่างไร้เดียงสา
“ไม่มีอะไรแล้ว พ่อจัดการกับคนเลวไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่มากวนเราอีก”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางลูบหัวลูกสาวของเขาด้วยความเอ็นดู
“ฮ่าฮ่า พ่อจ๋าสุดยอดที่สุด! พ่อจ๋าไล่คนเลวไปอีกแล้ว ถวนถวนก็ไม่ต้องกลัวคนเลวคนไหนทั้งนั้น!”
เด็กน้อยเมื่อได้ยินคำปลอบของพ่อตัวเอง เธอก็อารมณ์ดีมากกว่าเดิม ด้วยความเป็นเด็กและไร้เดียงสา เธอจึงไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พ่อของเธอเพิ่งลงมือสังหารโหดโดยการเหยียบหัวของศัตรูจนเละไปหมาด ๆ
หลังจากนั้นคู่พ่อลูกก็พากันไปที่เครือฮ่าวหราน และเมื่อเวลาล่วงเลยถึงห้าโมงเย็น อวี้ฮ่าวหรานก็รีบพาถวนถวนที่ยังติดใจอยากจะอยู่เล่นต่อกลับคอนโด
หลังจากกลับไปถึงห้อง หลี่หรงก็บ่นขึ้นทันที
“พี่เขย ทำไมวันนี้พี่กลับซะเย็นแบบนี้! นี่ฉันอุ่นข้าวไปตั้งหลายรอบเพื่อรอพี่กลับมา! เร็ว ๆ เลย รีบพาถวนถวนไปล้างมือล้างเท้าแล้วมากินข้าวกันเดี๋ยวนี้เลย!”
“แหะ ๆ แม่หรงจ๋า วันนี้พ่อจ๋าอัดคนเลวด้วยแหละ!”
ในระหว่างที่กำลังถูกอวี้ฮ่าวหรานพาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือ เด็กน้อยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าสนุกสนาน
“อัดคนเลว? พี่เขย พี่มีเรื่องอีกแล้วงั้นเหรอวันนี้?”
หลี่หรงเบนสายไปถามอวี้ฮ่าวหรานทันที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยใจกับพี่เขยของตัวเองที่มีเรื่องค่อนข้างบ่อย
บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ
บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ
หลี่อิงไห่หันศีรษะไปเหลือบมองที่พวกผู้บริหารเก่าของตนเอง
คนเหล่านี้มักจะเลียแข้งเลียขาของเขาอย่างประจบสอพลอมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พอเกิดปัญหา คนพวกนี้กลับทิ้งเขาอย่างไม่ไยดีเลย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์จัดการกับคนพวกนี้ได้อีกแล้ว
แต่แล้วจู่ ๆ ในขณะเดียวกันนี้!
เลขาสาวน้อยที่ติดตามเขาอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอดก็เดินก้าวเข้ามาขวางตรงหน้าหลี่อิงไห่!
“คุณ…คุณทำแบบนี้ไม่ได้! บริษัทนี้เป็นความพยายามทั้งชีวิตของท่านประธานหลี่!”
เลขาสาวเงยศีรษะขึ้น แววตาของเธอมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก
เธอสูงเพียง 1.65 เมตร เธอนับได้ว่าเตี้ยถ้าเทียบกับเหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ ณ ตรงนี้ ซึ่งมันทำให้เธอดูไม่มีความน่าเกรงขามเลย
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของสาวน้อยคนนี้
เขาไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลานี้ คนอย่างหลี่อิงไห่จะมีลูกน้องที่ซื่อสัตย์ปกป้อง
อย่างไรก็ตาม แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะเลยที่จะสนับสนุนหลี่อิงไห่ ซึ่งมันจะทำให้เจ้านายคนใหม่ไม่พอใจ
“เสี่ยวอวิ๋น นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้ามาแทรกแซงได้!”
หลี่อิงไห่ตกใจกับการกระทำที่กะทันหันนี้เช่นกัน แต่หลังจากได้สติ เขาก็รีบตะโกนขึ้นอย่างเร่งร้อน
เขารู้ใจของอีกฝ่าย เด็กผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป!
“เธอรีบถอยไปซะ ฉันถูกไล่ออกแล้ว นับจากนี้เราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น!”
เขาพูดอย่างเคร่งขรึม แต่ใคร ๆ ก็เห็นได้ว่าหลี่อิงไห่กำลังตื่นตระหนกอยู่ในน้ำเสียงของเขา
“ไม่! คุณใจดีกับฉัน ฉันจะไปทุกที่ที่คุณไป!”
น้ำเสียงของเลขาสาวดื้อรั้น และใคร ๆ ก็เห็นความดื้อรั้นบนใบหน้าของเธอ
อวี้ฮ่าวหรานมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเลขาสาวตรงหน้าเขาอย่างชัดเจนผ่านประสบการณ์ชีวิตหลายหมื่นปี
“สาวน้อย นี่เธอพูดจริงหรือเปล่าที่บอกว่าติดตามเจ้านายคนเดิมไปทุกที่ที่เขาไป? เธอรู้หรือเปล่าว่าด้วยอิทธิพลของฉันในตอนนี้ หลังจากที่ หลี่อิงไห่ถูกไล่ออกจากที่นี่ ฉันสามารถทำให้เขาไม่มีทางหางานทำในเมืองฮ่วยอันได้อีกเลยตลอดชีวิต หลังจากนี้เขาอาจจะไม่มีปัญญาซื้อข้าวกินได้ครบสามมื้อด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเธอจะทำยังไง?”
ถึงแม้ว่าจะประหลาดใจและประทับใจกับความซื่อสัตย์ของสาวน้อยคนนี้ แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังอยากจะหยอกล้อเธอดูสักหน่อย
“ล…แล้ว…ยังไงล่ะ! ฉันไม่กลัวอิทธิพลของคุณหรอก!”
ดูเหมือนเลขาสาวจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงพอสมควร เธอกัดริมฝีปากก่อนที่จะขึ้นเสียงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลี่อิงไห่ทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาดึงเลขาของตัวเองออกไปด้านข้างทันที
ยิ่งเลขาของเขาพูดมากเท่าไหร่ เรื่องมันก็ยิ่งมีแต่แย่ลงเท่านั้น!
แตกต่างจากความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย เขาเข้าใจดีกับความโหดร้ายในโลกของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการธุรกิจ มันไม่มีมนุษย์ธรรมอะไรทั้งนั้น…
และยิ่งไปกว่านั้น การทำแบบนี้มันยิ่งเป็นการสร้างความขบขันให้กับทุกคนมากกว่าเดิม
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่เลขาสาวอย่างขบขันโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาพาคนของตัวเองตรงเข้าไปในอาคาร
แต่ก่อนที่พวกคณะผู้บริหารของบริษัทอิงเหมาจะทันได้เอ่ยทักทายอวี้ฮ่าวหราน
ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
“ฉันเปลี่ยนใจ ถ้าแกต้องการ แกยังสามารถเป็นผู้จัดการทั่วไปของที่นี่ได้ แต่อำนาจการตัดสินใจทุกอย่างจะต้องอยู่ที่ฉันทั้งหมด ทุกอย่างในบริษัทนี้จะต้องถูกกำหนดโดยฉันเท่านั้น”
ขณะพูด อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้หันศีรษะกลับแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ประโยคนี้ทำให้หลี่อิงไห่ซึ่งกำลังจะจากไปต้องตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดเมื่อครู่นี้เอ่ยถึงเขา
เขาหันกลับไปมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่อยากจะเชื่อ สงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันแบบนี้
หรืออาจเป็นเพราะคำพูดของเลขาของเขา?
แต่ว่าคนระดับประธานบริษัทใหญ่สนใจกับความรู้สึกของคนอื่นด้วยงั้นเหรอ?
หลี่อิงไห่รู้สึกประหลาดใจ เขาไม่สามารถเดาได้จริง ๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนการตัดสินใจอย่างรวดเร็วขนาดนี้
แต่เลขาที่ชื่อเสี่ยวอวิ๋นไม่ได้คิดอะไรมาก ใบหน้าของเธอตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้
“ป…ประธาน…ไม่สิ ผู้จัดการหลี่! คุณได้ยินไหม! คุณยังได้ทำงานต่อ! เขาเห็นใจเรา!”
เธอส่งเสียงเชียร์และกระโดดด้วยความยินดี เธอไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ
เสียงตื่นเต้นของเลขาสาวดังลั่น และแน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เสียงตื่นเต้นนี้ทำให้มุมปากของเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อย
ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าคนอย่างหลี่อิงไห่จะสามารถมีเลขาที่กล้าหาญและซื่อสัตย์แบบนี้ได้ยังไง
แน่นอนว่าการที่จะซื้อใจคนของตัวเองได้ขนาดนี้คงไม่ใช่แค่การพูดเพียงสองสามคำ หลี่อิงไห่คงทำอะไรบางอย่างที่ดีมาก ๆ ให้กับเลขาคนนี้มานานแล้วแน่นอน
บางทีคนอย่างหลี่อิงไห่คงมีด้านดีบ้างพอที่เขาจะเอามาใช้ประโยชน์ได้
อย่างน้อย ๆ ตาแก่คนนี้ก็มีความสามารถพอในการพัฒนาบริษัท
ไม่ว่ายังไงบริษัทอิงเหมาก็พัฒนาได้ดีตลอดในช่วงที่ผ่านมา
จากนั้น ทุกคนก็เข้าไปในห้องประชุมของบริษัท หลังจากการส่งมอบและขั้นตอนที่น่าเบื่อหน่าย บริษัทก็ถูกรวมเข้ากับเครือฮ่าวหราน
นับจากนี้ธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลในเมืองฮ่วยอันจะไม่มีบริษัทไหนเทียบได้กับเครือฮ่าวหรานอีกแล้ว!
…
ในขณะเดียวกัน การฆ่าฟันกันระหว่างแก๊งพยัคฆ์เวหาและแก๊งวาฬยักษ์ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
ในอาณาเขตของทั้งสองฝ่าย แม้แต่คนธรรมดาก็ยังรู้สึกว่ามีการต่อสู้กันมากขึ้นในหมู่พวกอันธพาลรอบตัวพวกเขา
อย่างไรก็ตาม พวกสมาชิกระดับหัวกะทิจะไม่ไปไล่ฆ่ากันข้างนอกในที่สาธารณะ พวกเขาจะไปห้ำหั่นกันในบ่อนหรือพวกผับบาร์ที่ลับตาคนแทน
“หลิ่วอวี้จิงกำลังทำอะไรอยู่?”
ภายในโรงพยาบาล โจวเฟยหู่เอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง
ในขณะนี้ หวังเหยียนเพิ่งตื่นขึ้นหลังจากการผ่าตัด
“หัวหน้า…ผมฉันคิดว่าเราต้องระวังแก๊งฉลามคลั่งให้ดี ตั้งแต่ต้น พวกเขายังไม่ได้ส่งคนออกมาเลย ผมคิดว่าอีกไม่นานพวกนั้นจะต้องกรูกันออกมาและโจมตีเราอย่างสายฟ้าแลบแน่ ๆ”
หวังเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำวิเคราะห์นี้ออกไป ถึงแม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บปางตาย แต่เขาก็ยังอยากที่จะช่วยเหลือโจวเฟยหู่ต่อไป
“อยู่เฉย ๆ ไปซะ หน้าที่ของนายตอนนี้คือพักอย่างเดียว! ฉันแค่พึมพำของฉันคนเดียวเท่านั้น”
เมื่อโจวเฟยหู่ได้ยินคำพูดของลูกน้องตัวเอง ก็รีบหันกลับมาดุทันที เขาไม่ต้องการให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองต้องมาร่วมแบกรับปัญหาทั้ง ๆ ที่นอนเจ็บอยู่แบบนี้
อย่างไรก็ตาม หวังเหยียนก็ยังคงดื้อดึง
“หัวหน้า! ไม่ว่ายังไงผมต้องพูด! แก๊งฉลามคลั่งไม่ใช่แก๊งที่เราจะประมาทได้ และหลิ่วอวี้จิงก็ยังไม่เผยตัวออกมาเลยจนถึงตอนนี้ บางทีพวกเขาอาจบรรลุข้อตกลงบางอย่างที่เลวร้ายกันเรียบร้อยแล้ว!”
โจวเฟยหู่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้นั้นน่าคิด ดังนั้นเขาจึงไม่หยุดให้อีกฝ่ายพูดอีกต่อไป…
“พวกเขาตกลงร่วมมือกันไปแล้วไม่ใช่เหรอไง? ก็แค่ตอนนี้ ตาแก่กงซุนซายังไม่ได้ลงมือ มันก็ไม่ควรที่จะมีอะไรมากไปกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันจะมีอะไรมากกว่านี้ได้ยังไง
หวังเหยียนวิเคราะห์ต่อทันที
“หัวหน้า คิดว่าคนอย่างหลิ่วอวี้จิงจะเป็นคนที่เต็มใจยอมทนทุกข์ทรมานอยู่ฝ่ายเดียวงั้นเหรอ? ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันแล้ว แต่แก๊งวาฬยักษ์เป็นฝ่ายเดียวที่เสียหายอย่างหนักโดยที่แก๊งฉลามคลั่งไม่ได้เสียหายอะไรเลย หัวหน้าคิดว่าตามสันดานของหลิ่วอวี้จิง มีเหรอที่คนแบบนั้นจะนั่งดูได้อยู่เฉย ๆ?”
บทที่ 311 หนึ่งร้อย
บทที่ 311 หนึ่งร้อย
สมาชิกหลักของแก๊งวาฬยักษ์สบตากัน ทุกคนต่างตื่นตระหนกและพากันถอยกลับด้วยความกลัว!
การโจมตีครั้งเดียว!
ด้วยมือเดียว!
หัวหน้าสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ก็ถูกบดขยี้ไม่ต่างอะไรกับมดแมลง!
ความแข็งแกร่งของบุคคลนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่มีใครกล้าปริปากพูดสักคน บรรยากาศในห้องเงียบราวกับป่าช้า ไม่มีใครกล้าพูดเกินครึ่งคำ!
ไม่ถึงครึ่งนาทีต่อมา หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ที่เหลืออีกสามคนเหลือบมองกันและกัน และตัดสินใจ
“พวกเรามีกันมากกว่าหนึ่งร้อยคน! พวกเราจะต้องไปกลัวอะไรกับคนแค่คน ๆ เดียว! ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากมีมีดสักเล่มที่หลุดฟันไปถึงคอเขาได้ พวกเราก็จะชนะ!”
หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ตะโกน!
เมื่อได้ยินคำพูดปลุกใจนี้ บรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ก็มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น พวกเขาเริ่มข่มความกลัวของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย
พวกเขาตระหนักว่าต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็มีเพียงคนเดียว มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมที่คน ๆ เดียวจะเอาชนะคนร้อยคนได้?
และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีหัวหน้าสาขาอยู่ด้วยอีกตั้งสามคน!
“ฆ่ามัน! แก้แค้นให้หัวหน้าสาขาจิ่น!”
“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
“แก๊งวาฬยักษ์ของเราไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำได้ง่าย ๆ!”
“…”
เมื่อมีความมั่นใจกันแล้ว บรรดาสมาชิกร้อยคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็เริ่มตะโกนปลุกใจกันเองเสียงดังลั่นจนบรรยากาศในห้องกลายเป็นโกลาหลอีกครั้ง!
ทันทีหลังจากนั้น ภายใต้การนำของหัวหน้าสาขาทั้งสามคน คนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนต่างพุ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม!
คนของแก๊งวาฬยักษ์วิ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ราวกับว่าพวกเขากำลังแข่งวิ่งเพื่อต้องการไปให้ถึงเส้นชัยเป็นคนแรก!
อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายไปรอบ ๆ แววตาของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
ชายหนุ่มโคจรพลังวิญญาณในร่างของตัวเองแบบสบาย ๆ โดยไม่มีการออกท่าทางหวือหวาใด ๆ จากนั้นเขาก็แค่ชกไปในอากาศตรงหน้าอย่างช้า ๆ!
ปัง!!
แม้หมัดที่อวี้ฮ่าวหรานชกออกไปจะดูธรรมดา แต่ในทันทีที่ฤทธิ์ของมันสำแดงออกมา มันก็กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของบรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์!
พลังวิญญาณอันมหาศาลพุ่งออกไปในแนวตรง โจมตีทะลุผ่านคนของแก๊งวาฬยักษ์อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้!
สองคน!
สามคน!
พลังวิญญาณอันรุนแรงนี้พุ่งผ่านคนนับสิบภายในพริบตา!
ท้ายที่สุด พลังวิญญาณก็พุ่งไปชนกับกำแพงของห้องโถงบ่อน!
บรึ้ม!
เสียงกำแพงระเบิดดังลั่น จากนั้นแสงจากด้านนอกบ่อนก็ส่องทะลุเข้ามาด้านในห้องโถง แค่การต่อยช้า ๆ เพียงครั้งเดียวของอวี้ฮ่าวหรานก็สามารถทำลายกำแพงจนเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ได้อย่างไม่ยากเย็น!
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ แม้ว่าพลังนี้จะรุนแรงจนถึงขนาดทำลายกำแพงได้ง่าย ๆ แต่พวกสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ที่ถูกพลังวิญญาณทะลุผ่านเนื้อตัวของพวกเขากลับไม่มีร่อยรอยขีดข่วนหรือฟกช้ำเลย แต่พวกเขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับว่าพวกเขาถูกสาป!
พวกคนของแก๊งวาฬยักษ์คนอื่น ๆ ต่างก็หยุดมองภาพเหตุการณ์ด้วยสีหน้าโง่งม
มนุษย์สามารถสร้างพลังทำลายล้างได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
พวกเขาทั้งหมดมองไปที่รอยทะลุขนาดใหญ่ที่กำแพง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมาที่อวี้ฮ่าวหราน
ระยะห่างระหว่างกำแพงกับชายหนุ่มที่น่ากลัวตรงหน้าพวกเขามันห่างกันถึง 20 เมตร!
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ภาพถัดมาที่พวกคนที่โดนพลังประหลาดพุ่งผ่านใส่ซึ่งอยู่ถัดจากพวกเขานั้น ในตอนแรกก็ยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่พอเวลาผ่านราวไม่เกินห้าวินาที คนเหล่านั้นกลับกระอักเลือดออกมาอย่างฉับพลัน!
อั่ก…
ขณะที่คนอื่น ๆ ตกใจและหน้าซีด พวกคนที่สัมผัสพลังหมัดของอวี้ฮ่าวหรานต่างก็อาเจียนเป็นเลือด และเลือดก็เริ่มไหลออกจากทวารทั้ง 7 และต่อมาผู้คนนับสิบก็ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับหมดลมหายใจ!
ผู้คนนับสิบตายภายในการโจมตีครั้งเดียว!
ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างตกตะลึงและมองหน้ากันอย่างไม่รู้ตัว!
นี่…นี่มันไม่ใช่การต่อสู้แล้ว!
การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มันคือการฆ่าตัวตายชัด ๆ!
อีกทั้งวันนี้อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้วางแผนที่จะไว้ชีวิตคนเหล่านี้สักคน คนพวกนี้ต่างเป็นพวกคนเลวช้าสามานย์ จึงไม่สมควรได้รับความเมตตาใด ๆ ทั้งนั้น!
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาโคจรเร็วขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ก่อนจะแผ่กระจายพลังวิญญาณปกคลุมทุกส่วนร่างของตัวเองและพุ่งเข้าหากลุ่มคนของแก๊งวาฬยักษ์รวดเร็วราวกับสายฟ้า! เขาเหมือนเสือกระโจนเข้าฝูงแกะ!
นับจากนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความโกลาหล และเสียงร้องโหยหวนที่สิ้นหวัง!
คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่อาจต้านทานอวี้ฮ่าวหรานได้เลย หนึ่งหมัดที่เขาปล่อยไปหมายถึงหนึ่งชีวิตที่หลุดลอย
เมื่อเห็นเช่นนี้ สามปรมาจารย์หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ที่เป็นผู้นำกลุ่มจึงต้องการที่จะรวมกำลังกันตอบโต้ แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีถัดมา พวกเขาก็โดนหมัดของอวี้ฮ่าวหรานอัดเข้าใส่อย่างจังจนพวกเขากระเด็นไปคนละทิศทาง!
หมัดเมื่อครู่นี้ อวี้ฮ่าวหรานใส่แรงไปมากพอสมควร ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาคือ หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ตายทันที 2 ราย!
ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณและพลังภายในนั้นต่างราวฟ้ากับเหว ไม่มีทางที่จะเอามาเทียบกันได้!
หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกราวสิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ ถอนพลังวิญญาณของตัวเองกลับ พร้อมกับที่สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายล้มลงและสิ้นลมหายใจ!
การฆ่าคนร้อยกว่าคนครั้งนี้ อวี้ฮ่าวหรานเสียพลังวิญญาณไปแค่หนึ่งในสี่เท่านั้น
ต่อให้เป็นปรมาจารย์กำลังภายในขั้นสูงสุด หากเผชิญหน้ากับเหล่าอันธพาลที่มากประสบการณ์มากกว่าร้อยคนที่นำโดยสามปรมาจารย์กำลังภายใน คนผู้นั้นคงทำได้แต่หนี ไม่เช่นนั้นท้ายที่สุด เขาก็จะหมดพลังและโดนรุมกระทืบตาย
หลังจากคนของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายตายลง บรรยากาศของทั้งห้องโถงก็เงียบสงัด
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เดินเข้าไปหาหวังเหยียน
ฝ่ายตรงข้ามดูเศร้าหมองอย่างยิ่งในเวลานี้ แขนทั้งสองข้างหัก และซี่โครงของเขาดูเหมือนจะหักสองหรือสามซี่
โชคดีที่พลังชีวิตยังคงหลงเหลือและการหายใจยังคงที่
“ขอบคุณ…ขอบคุณ…ฉัน…คราวนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายมากจริง ๆ!”
หวังเหยียนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวคำขอบคุณเป็นระยะ
หวังเหยียนเป็นคนที่สำนึกในบุญคุณที่คนอื่นทำให้เสมอ และเขาจะต้องตอบแทนคืนให้ได้
ก่อนหน้านี้ที่โจวเฟยหู่ช่วยชีวิตเขา เขาก็ตอบแทนอีกฝ่ายโดยการยอมเป็นผู้ติดตามคอยช่วยต่อสู้เคียงข้างเพื่อทำให้แก๊งของอีกฝ่ายรุ่งโรจน์
ทว่าในเวลานี้ในใจของเขารู้สึกสับสน เขาเป็นหนี้ชายหนุ่มคนนี้มากเกินไปจนคิดไม่ออกว่าทั้งชีวิตนี้จะทำอย่างไร ถึงจะสามารถตอบแทนได้หมด!
อวี้ฮ่าวหรานนั่งยอง ๆ และมองอีกฝ่าย อาการบาดเจ็บของหวังเหยียนสาหัสพอสมควร อวี้ฮ่าวหรานจึงอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ
“คราวหน้าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ โทรหาฉันให้เร็วกว่านี้ ฉันจะได้มาไวกว่าเดิม”
เขารู้สึกพอใจหวังเหยียนมาโดยตลอด และจากมุมมองของชายหนุ่ม เขาสามารถเห็นได้ง่าย ๆ ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะมีคุณสมบัติพอที่จะตอบแทนสิ่งที่เขาต้องการได้ไม่มากก็น้อย
คนประเภทนี้เขาไว้วางใจได้
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โทรออกหาโจวเฟยหู่
โจวเฟยหู่รู้ข่าวแล้วและกำลังรีบมาที่นี่พร้อมกับผู้คน
สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหาที่ยังรอดอยู่ในบ่อน อวี้ฮ่าวหรานก็ปล่อยให้พวกเขารอโจวเฟยหู่ไปก่อน จากนั้นเขาก็พาหวังเหยียนไปโรงพยาบาลเพียงแค่คนเดียว
ก่อนหน้านี้สมองของอีกฝ่ายตึงเครียดถึงขีดสุด ดังนั้นหลังจากถูกช่วยเหลือและเห็นว่าสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายแล้ว หวังเหยียนจึงหมดแรงและเกือบจะอยู่ในอาการโคม่าทันที
…
โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่วยอัน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากการรักษาเบื้องต้น หวังเหยียนก็ถูกสั่งให้นอนที่โรงพยาบาลโดยยังไม่มีกำหนดให้ออก
เขามีบาดแผลนับสิบแห่ง มีกระดูกแตกหักหลายท่อน บรรดาแพทย์จึงต้องวินิจฉัยอย่างละเอียดก่อนถึงจะสามารถผ่าตัดได้
“ขอบคุณนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ…”
หวังเหยียนปากสั่นและมีน้ำตาคลอในเวลานี้ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะเจ็บจนแทบขาดใจ เขาก็ไม่ได้ขมวดคิ้วเลย
แต่ในเวลานี้ เมื่อเผชิญหน้ากับอวี้ฮ่าวหราน และคิดว่าตัวเองรอดมาได้โดยที่ลูกน้องของเขาตายเกือบหมด เขาก็ไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป
“ฉัน…ฉัน…พี่น้องของฉัน…ฉันประมาทเกินไป…”
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะร้องไห้อย่างขมขื่น
หลังจากนั้นไม่นาน โจวเฟยหู่ก็รีบเข้ามาพร้อมกับคนอื่น ๆ
“หวังเหยียน! หวังเหยียน! เป็นไงบ้าง!”
แววตาของเขาดูตื่นตระหนกอย่างมาก นับตั้งแต่ก่อตั้งแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกเขาก็เคยเผชิญมาหมดแล้วไม่ว่าจะศึกใหญ่หรือเล็ก แต่ไม่มีสักครั้งที่หวังเหยียนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
“แค่ก…แค่ก…หัวหน้าฉันไม่เป็นไร…น้อง…ไม่สิ พี่อวี้ช่วยฉันเอาไว้…”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูกังวล หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะปลอบโยน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้าเรียกอวี้ฮ่าวหรานว่า ‘น้อง’ อีกต่อไป
เขาติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายเกินกว่าจะมองว่าตัวเองอาวุโสทางอายุกว่า
“ดีแล้ว…ดีแล้ว! ดีแล้ว!”
เมื่อโจวเฟยหูได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของเขาก็สงบลงเล็กน้อย เขาทั้งโล่งใจและพอเข้าใจในความหมายของการที่หวังเหยียนไม่เรียกอวี้ฮ่าวหราน ว่า ‘น้อง’ อีกแล้ว
แต่จากนั้นความโกรธที่หาที่เปรียบมิได้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ฉันสัญญา! เราจะฆ่าแก๊งวาฬยักษ์อย่างแน่นอน! ฉันจะจับหลิ่วอวี้จิง มาคุกเข่าขอขมาต่อหน้านายให้ได้!”
บทที่ 325 เหยียบหน้า
บทที่ 325 เหยียบหน้า
สีหน้าของซูหว่านเอ๋อหม่นหมองทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน เธออยากจะอธิบายอย่างกระวนกระวาย
“ไม่…มันไม่ใช่แบบนั้น…ฮ่าวหรานไม่ใช่…ฮ่าวหรานไม่ใช่…”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นดวงตาดำขลับของซูหว่านเอ๋อเปลี่ยนไปอย่างไม่สบายใจ เขาก้าวไปบังเธอและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“ไม่ว่าฉันกับซูหว่านเอ๋อจะเป็นอะไรกัน คนอย่างแกก็ไม่มีสิทธิจะมายุ่มย่ามหรอก”
ชายหนุ่มโต้กลับอีกฝ่ายอย่างดูถูก
“ไอ้บ้านี่แกกล้าทำตัวจองหองต่อหน้าฉันงั้นเหรอ! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายร่างอ้วนโมโหในทันที
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ให้มากมายนัก เขากระซิบและแสดงท่าทางจะพาซูหว่านเอ๋อออกไป
“หลีกไปให้พ้นทาง!”
“แม่งเอ๊ย! นี่แกกล้าดีมากเกินไปแล้ว! แกรู้ไหมว่าครอบครัวของฉัน เฉียนเซา ยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่ฉันดีดนิ้วครั้งเดียว แกก็หายไปจากโลกนี้ได้แล้ว!”
ชายร่างอ้วนไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทีโอหังของอวี้ฮ่าวหรานเขาก้าวเข้ามาขวางทางด้วยสีหน้าเย็นชา
ซูหว่านเอ๋อรีบคว้าแขนของอวี้ฮ่าวหราน ใบหน้าของเธอกังวลจนถึงขีดสุด
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน เรา…เราอย่ามีเรื่องกับพวกเขาเลย พวกคนที่อยู่ที่นี่มาจากตระกูลใหญ่ ๆ กันทั้งนั้น ต…ตระกูลซูของฉันไม่อาจล่วงเกินพวกเขาได้…”
ในเวลานี้ ด้วยความกลัวปัญหาที่จะตามมา ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่า ๆ หว่านเอ๋อ เธอนี่ฉลาดจริง ๆ เธอนี่ฉลาดกว่าไอ้หมาที่อยู่ข้าง ๆ เธอเยอะเลย มาเร็ว รีบมาหาฉันดีกว่า ยิ่งเธอยืนอยู่ข้าง ๆ ไอ้คนจนนี่มากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งหม่นหมองมากขึ้นเท่านั้น!”
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย
พวกเขาคือพวกนายน้อยรุ่นสองที่ร่ำรวยมาแต่กำเนิดไม่ได้หาเงินใช้เอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะดูถูกทุกคนที่ต่ำต้อยกว่า และไม่เห็นตระกูลซูที่ด้อยกว่าอยู่ในสายตา
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือพวกเขามีนิสัยคล้ายกับหลี่จิงเทียนจอมโอหังและโง่เขลา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ ชายหนุ่มต้องเจ็บปวดเพราะปากของตัวเองในทันที!
อวี้ฮ่าวหรานถีบอีกฝ่ายลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว!
“เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น!”
“มีคนตีกัน!”
“…”
ฉากนี้ทำให้ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ก้าวถอยกลับพร้อมกับอุทาน
พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นชนชั้นสูงในเมืองฮ่วยอัน ซึ่งโดยทั่วไปการใช้ความรุนแรงกันแบบนี้จึงเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ๆ
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร? ทำไมเขาถึงหยาบคายแบบนี้?”
“ใช่ แล้วดูการแต่งตัวนั่นสิ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูกแบบนี้ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง?”
“…”
ฝูงชนวิจารณ์กันสนั่นหลังจากเห็นการแต่งกายของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขาต่างให้คะแนนติดลบกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนมาจากครอบครัวชนชั้นกลางทันที
“ไอ้สารเลว! แกกล้าดียังไงมาตีฉัน!”
ในขณะเดียวกันนี้ ชายหนุ่มที่ถูกถีบลงไปกองกับพื้นตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล
แต่เนื่องจากอวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรง เขาจึงไม่คิดที่จะไว้หน้าใครอีกต่อไป!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปากมากอยู่อีก อวี้ฮ่าวหรานก็ก้าวไปเหยียบหน้าคน ๆ นั้นอีกครั้งทันที!
“ฮึ! ยังปากดีได้อยู่ใช่ไหม? ได้! งั้นเรามาดูกันว่าปากของแกจะดีมากจนทนเท้าของฉันได้นานขนาดไหน!”
เฉียนเซาตกตะลึงกับฉากตรงหน้าเขาขณะนี้ เขาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวมาข้างหน้า!
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่รูปร่างล่ำสันที่เพิ่งก้าวออกมาโดนอวี้ฮ่าวหรานตบด้วยหลังมือและลงไปนั่งกองที่พื้นอีกคนอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองสองคนถูกจัดการอย่างน่าอนาถ เฉียนเซาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แก! แกกล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนของฉันแบบนี้ รู้ไหมว่าพ่อของฉันเป็นใคร!”
“แม้แต่ชื่อพ่อตัวเองยังจำไม่ได้จนต้องมาถามคนอื่น แกนี่มันลูกอกตัญญูจริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดติดตลกเล็กน้อย
ซูหว่านเอ๋อที่ในตอนแรกประหม่าเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินประโยคล้อเลียนนี้เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“แก! แกตายแน่!!”
เฉียนเซาถูกกระตุ้นมากจนไขมันทั่วทั้งใบหน้าของเขาสั่นเป็นคลื่น
ไม่นานหลังจากเกิดความโกลาหลนี้เกิดขึ้น บอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนก็โผล่พรวดออกมาจากฝูงชนและรีบเดินดิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง!
“คุณมาสร้างปัญหาที่นี่ทำไม??”
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ หัวหน้าบอดี้การ์ดขมวดคิ้วแน่นทันที ร่างกายของเขาพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่คนสร้างปัญหาได้ตลอดเวลา
เฉียนเซาเมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยเขาแล้ว ก็ไม่รอช้า รีบตะโกนปรักปรำอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว
“ไอ้นี่แหละ! ไอ้นี่มันหาเรื่องพวกผมก่อน! อยู่ดี ๆ มันก็ทำร้ายพวกผม แล้วดูการแต่งตัวของมันสิ คนแต่งตัวแบบนี้ไม่มีทางได้รับเชิญเข้ามางานประมูลแห่งนี้แน่นอน มันต้องแอบเข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย! พวกคุณรีบลากมันออกไปเร็ว และถ้าจะให้ดีอัดสั่งสอนมันสักหน่อยด้วยเพื่อให้หลาบจำว่าอย่าเสนอมาที่นี่อีก!”
คราวนี้สีหน้าของเฉียนเซากลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง และพูดขึ้นก่อน
“หืม? เรื่องเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนเซา หัวหน้าบอดี้การ์ดหันไปมองฝูงชนรอบ ๆ และถาม
“ใช่ ฉันเห็นชายหนุ่มคนนี้เริ่มลงมือก่อนจริง ๆ”
“ใช่! กลุ่มของเฉียนเซาถูกรังแกก่อนเช่นกัน”
“ฉันก็เห็นเหมือนกัน ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนี้พยายามเข้าใกล้กลุ่มของเฉียนเซา แต่เขากลับโกรธหลังจากถูกไล่ตะเพิด”
“…”
ทุกคนต่างพูดเอนเอียงไปทางเฉียนเซา ไม่มีใครเข้าข้างอวี้ฮ่าวหรานที่ดูแต่งตัวธรรมดาเลยสักคน
เฉียนเซาคนนี้ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงและงานสังคมต่างๆ เสมอ หลายคนจึงรู้จักเขาและอยากที่จะผูกมิตรกับเขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห
แต่ด้วยบุคลิกไม่สู้คนของเธอ เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกระตุกชายเสื้อของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าวิตก
“ฮ่าวหราน… ฉัน…เราจะทำยังไงกันดี… พวกเขา…พวกเขาพยายามจะไล่พวกเราออกไป…”
เหตุการณ์ในขณะนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนก และเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!
“เฮอะ ฉันบอกเอาไว้เลยว่าวันนี้ใครกล้าจับต้องตัวฉัน มันได้เจ็บตัวแน่!”
เหตุผลที่เขาอัดอีกฝ่ายเป็นเพราะคนพวกนี้ไม่ยอมหลีกทางให้แถมยังตวาดด่าเขาอีกต่างหาก ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อมาประมูลของและได้รับเชิญมา เขาไม่ได้มาเป็นตัวตลกให้ใครเหยียบย่ำ!
“โอ้? ไอ้หนุ่ม แกใจกล้าดีนี่หว่า!”
หัวหน้าบอดี้การ์ดประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดจาที่ดูหยิ่งยโสของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะกล้ามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ถูกล้อมอยู่
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายและพบว่ามันเป็นชุดที่ราคาถูกจริง ๆ ริ้วรอยแห่งการดูถูกก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
ยากจนไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันโง่มากถ้ามายั่วโมโหพวกคนรวยแบบนี้!
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าต้องทำอะไรต่อไป
“สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณมากับพวกเราจะดีกว่า! ผมรู้ว่าคุณอยากจะสู้ แต่ลองมองดูรอบ ๆ ก่อน คุณไม่มีทางสู้พวกเราได้ ดังนั้นอย่ามาสร้างปัญหาให้กับการประมูลครั้งนี้ไม่เช่นนั้นคุณไม่มีทางแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาไหว!”
เพื่อทำให้สถานการ์ณในงานประมูลสงบลงโดยเร็วที่สุดเขาจำเป็นต้องเชิญอวี้ฮ่าวหรานออกไปก่อน ส่วนหลังจากนั้นเขาไม่คิดจะปล่อยอวี้ฮ่าวหรานที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายไปง่าย ๆ อยู่แล้ว!
แต่ในขณะเดียวกันนี้!
หลินป๋อก็ปรากฏตัว!
เขามาพร้อมกับชายชราคนหนึ่งซึ่งมีอายุเกือบหกสิบปี
“เดี๋ยวก่อน!”
เขาตะโกนขึ้นและโบกมือหยุดพวกบอดี้การ์ดทันที
บรรดาบอดี้การ์ดทั้งหลายหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเจ้าของโรงแรมของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย!
ถูกต้อง! ชายชราข้าง ๆ หลินป๋อ คือเจ้าของโรงแรมสุดหรูแห่งนี้!
“ท่านประธาน! ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นก่อน พวกผมก็เลยกำลังจะไล่เขาออกไป”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดรายงานอย่างร้อนรน
บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่สวมเสื้อหลุดยุคคนนี้จะมีความมั่นใจอย่างสุดกู่ ที่แท้ชายผู้นี้คือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐาน!
ตั้งแต่ที่เขากลับมาโลกมนุษย์ นี่เพิ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานคนที่สองที่เขาเจอ แน่นอนว่าคนแรกก็คือ คงเหอ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้บ่มเพาะระดับนี้หายากมาก!
ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะมีความมั่นใจขนาดนี้
อวี้ฮ่าวหรานคาดไม่ถึงเช่นกันว่าตระกูลอู๋จะมีเส้นสายพอที่จะหาผู้บ่มเพาะระดับนี้มาเล่นงานเขาได้!
ดูเหมือนว่าต่อให้ชายหนุ่มจะไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น แต่เมื่อความแข็งแกร่งของเขายิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ โชคชะตาก็จะร้อยเรียงให้เขาได้พานพบกับผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย!
ชายวัยกลางคนคืออู๋ลั่น ที่ถูกเชิญมาโดยตระกูลอู๋ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดูถูกมากกว่าเดิม
“น่าสงสารจริง ๆ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้เจ้ากำลังเผชิญกับตัวตนแบบไหน? เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าด้วยความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้ามันเพียงพอแล้วที่จะสามารถอวดดีได้อย่างไม่เกรงกลัวใครในโลกใบนี้ได้?”
“น่าขำ! น่าขำจริง ๆ!”
ทันทีที่พูดจบ อู๋ลั่นก็ระเบิดพลังวิญญาณออกจากร่างจนเป็นรัศมีแสงตระการตาในทันที!
“เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ากับข้า เราต่างชั้นกันแค่ไหน!”
อู๋ลั่นเดินช้า ๆ ไปทางอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าดูแคลนสุดขีด ในสายตาของเขา ปรมาจารย์พลังภายในก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกที่แค่บีบก็ตายคลายมือก็รอด
ในทางกลับกัน ในเวลานี้ สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่เขาหันไปมองลูกสาวของเขาในรถแทน
“ไม่ต้องกลัวนะถวนถวน เดี๋ยววันนี้พ่อจะอัดคนเลวคนนี้ให้ลูกดู!”
“เย้! พ่อจัดการคนเลวเลย! หนูอยากดู!”
เด็กน้อยไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวเลยเช่นกัน กลับกันเธอก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้นอีกต่างหาก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาวตัวเองเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกโล่งใจในทันที
แต่เมื่ออู๋ลั่นเห็นภาพนี้ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเดือดดาลอย่างรวดเร็ว!
ไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ดูถูกเขา!
“มนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้ากล้าดียังไงถึงดูถูกข้าเช่นนี้! รนหาที่ตาย!!”
อู๋ลั่นโคจรพลังวิญญาณของตัวเองอีกครั้งอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม แต่ในขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าใส่ อวี้ฮ่าวหรานกลับหันกลับมาก่อนและตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณเข้มข้น!
“มดแมลงอย่างเจ้า กล้าดียังไงมารบกวนความสุขสงบของข้าเทพผู้นี้!”
หากเป็นคนธรรมดาคงมองว่าคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานเป็นแค่คำพูดที่ชวนหัวเราะ แต่ในทางกลับกัน สำหรับอู๋ลั่นนั้นเขารู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าเข้าใส่หูจนพลังวิญญาณที่เขาเพิ่งโคจรมันติดขัดอย่างน่าตื่นตระหนก!
อู๋ลั่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
พลังของชายหนุ่มตรงหน้าเขาน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายหนุ่มก็ไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ตั้งตัว เขาโคจรพลังและปล่อยคลื่นพลังรุนแรงใส่ชั้นพลังป้องกันของอู๋ลั่นทันที!
บรึ้ม!
เมื่อพลังวิญญาณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เสียงระเบิดดังสนั่นไกลไปหลายกิโล!
คลื่นกระแทกอันทรงพลังกวาดวัชพืชในรัศมีมากกว่าสิบเมตรจนล้มระเนระนาด แม้แต่ฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นไปบนอากาศอย่างรุนแรง!
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นแค่เพียงผลกระทบจากคลื่นกระแทกเท่านั้น!
อู๋ลั่นตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ เพราะแค่คลื่นพลังเพียงอย่างเดียวของอีกฝ่าย ร่างของเขากลับไถลไปไกลกว่าสิบเมตร!
อั่ก!
หลังจากตั้งหลักได้สำเร็จ อู๋ลั่นก็ทนไม่ไหวกับอาการบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมา!
“เจ้า! นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง!
อู๋ลั่นไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายที่เขาคิดว่าเป็นเพียงปรมาจารย์พลังภายในจะน่าสะพรึงกลัวได้ขนาดนี้!
ชายหนุ่มคนนี้ดูเด็กมาก แต่ความแข็งแกร่งกลับเหนือล้ำจนน่าตกตะลึง!
ไอ้หนุ่มนี่อายุเท่าไหร่?
นี่มันไม่น่าเป็นไปได้!
“เป็นไปไม่ได้!! เจ้าแข็งแกร่งมากกว่าข้าขนาดนี้ได้ยังไง?!”
เมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่าแค่คลื่นพลังของอีกฝ่ายก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แล้ว มันก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ย ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นกล้าอวดดีต่อหน้าเขางั้นเหรอ?
“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะฆ่าข้าได้? ความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้าสำหรับข้าแล้วมันไม่ต่างอะไรกับความแข็งแกร่งของมดแมลง!”
อวี้ฮ่าวหรานย้อนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างดูถูก
ใบหน้าของอู๋ลั่นซีดทันทีเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจคิดไว้!
“ไอ้หนู! แกอย่าได้ใจไปนัก ฉันไม่เชื่อว่าวันนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้!”
จากนั้น เขาก็รีบโคจรพลังวิญญาณเพื่อใช้ทักษะที่ตัวเองถนัดที่สุด!
“เบิ่งตาดูให้ดี นี่คือค่ายกลเบญจธาตุของข้า! ตาย!”
อู๋ลั่นตะโกนพร้อมกับวาดมือไปมาบนอากาศเขียนอักขระบางอย่างซึ่งมันส่งผลให้เกิดเส้นลวดลายลอยขึ้นไปบนฟ้าปกคลุมบริเวณที่อวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกฝ่ายติดอยู่ในค่ายกลที่จนเองสร้างขึ้นโดยได้ขยับหนีไปไหน อู๋ลั่นก็หัวเราะทันที!
“ฮ่า ๆ! แกเสร็จแน่! กล้าดูถูกฉันงั้นเหรอ แกคิดว่าฉันเป็นเหมือนพวกกระจอกที่แกเคยเจอมาหรือไง?”
หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จ อู๋ลั่นก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีกรอบ
ค่ายกลนี้คือค่ายกลขึ้นชื่อของสำนักของเขา อำนาจของมันนั้นมหาศาลเป็นอย่างมาก
ด้วยค่ายกลนี้ อู๋ลั่นจึงมั่นใจว่าจะสามารถสยบศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้แน่นอน
แต่ค่ายกลนี้มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือมันควรถูกจัดวางเอาไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่นำมาใช้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ เพราะมันต้องใช้เวลาในการวาดมือสั่งพลังสร้างค่ายกล หากในระหว่างที่เขาตระเตรียม ศัตรูวิ่งหลบออกไปจากระยะค่ายกลนี้ก็จะใช้ไม่ได้ผลทันที แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือชายหนุ่มคนนี้จะโง่ไม่ยอมหลบแบบนี้
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่ได้ใส่ใจกับกลเม็ดเล็ก ๆ นี้ของอีกฝ่ายเลย
ค่ายกล?
เป็นเวลาหลายหมื่นปีที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งเทพ ดังนั้นมันจึงไม่มีค่ายกลใด ๆ ที่เขาไม่เคยเห็น!
ของพวกนี้มันก็แค่กลเม็ดเล็กน้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น เนตรเทวะที่ชายหนุ่มฝึกฝนนั้นไม่ใช่แค่เอาไว้ดูโบราณวัตถุเพียงอย่างเดียว มันยังสามารถทำให้เห็นโครงข่ายหรือจุดอ่อนของค่ายกลทั้งหมดได้ในพริบตา!
ดังนั้นการทำลายค่ายกลไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน สำหรับเขาแล้วมันคือเรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือ!
“เฮอะ! ไร้สาระ!”
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่หยิ่งผยองของอีกฝ่าย แววตาของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งเต็มไปด้วยการดูถูก
หลังจากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณไปที่หว่างคิ้ว และเนตรเทวะก็ถูกเปิดใช้ทันที!
จุดอ่อนของค่ายกลถูกเห็นได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน!
“ทลาย!”
หลังจากตะโกนเสียงดังลั่น อวี้ฮ่าวหรานชกหมัดออกไปอย่างรุนแรงควบแน่นพลังวิญญาณให้อยู่ในรูปแบบหมัดยักษ์พุ่งออกไปยังบริเวณจุดอ่อนของค่ายกล!
บรึ้ม!!
เคร้ง!!
หลังจากพลังหมัดกระแทกเข้ากับค่ายกล จู่ ๆ ก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นไปทั่วบริเวณ!
สีหน้าภาคภูมิใจของอู๋ลั่นหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน!
เขามองไปรอบ ๆ ค่ายกลของตัวเองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ อีกฝ่ายทำลายค่ายกลของเขาได้ด้วยหมัดเดียว!
เมื่อเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกสยองจนขนหัวลุก!
อู๋หมิ่นส่งเขามาเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้ไง!?
วินาทีถัดมา อวี้ฮ่าวหรานออกมายืนอยู่ด้านนอกค่ายกลที่พังทลาย!
“เฮอะ ๆ เนี่ยน่ะเหรอ ค่ายกลที่แกภูมิใจ?”
เขาเย้ยหยันและหัวเราะคิกคัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยครั้งนี้ อู๋ลั่นก็โต้แย้งไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว!
มันช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้!
ค่ายกลที่ไม่มีใครเทียบได้ ถูกทำลายด้วยหมัดเดียว!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์พลังภายในจะทำได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก!
“อู๋หมิ่น! อู๋หมิ่น! เจ้าหลอกข้า! เจ้าต้องการจะฆ่าข้าใช่ไหม!!”
ในเวลานี้ ในใจของเขาทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้น เขาสะพรึงกลัวกับความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหราน และเคียดแค้นอู๋หมิ่นที่ไม่ได้บอกกับเขาว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนี้!
ไอ้เวรอู๋หมิ่นมันไม่ได้อยากจะให้เขาแก้แค้นแทนแล้ว! มันอยากให้เขาตายมากกว่า!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อู๋ลั่นก็ไม่มีแรงจะสู้ต่ออีกแล้ว เขาต้องหนี!
แต่อวี้ฮ่าวหรานจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ตามต้องการได้อย่างไร?!
บทที่ 309 เคียดแค้นเกินประมาณ
บทที่ 309 เคียดแค้นเกินประมาณ
สีหน้าของหวังเหยียนย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความมุ่งมั่นของเขากลับกล้าแกร่งมากกว่าเดิม ไม่ว่ายังไง วันนี้ก่อนเขาตาย เขาต้องลากไอ้พวกสารเลวพวกนี้ลงนรกไปกับเขาด้วยให้ได้!
แต่ในไม่ช้าสิ่งต่าง ๆ ก็เลวร้ายเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก ผ่านไปแค่เพียงเจ็ดหรือแปดนาที ลูกน้องของเขาแทบจะทั้งหมดก็ถูกจัดการ!
จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา ลูกน้องคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกฆ่าจนตอนนี้เหลือแค่หวังเหยียนคนเดียวเท่านั้น!
ขณะนี้พลังภายในของเขาหมดเกลี้ยง ส่วนเรี่ยวแรงก็แทบไม่เหลือพอที่จะยืนได้อย่างมั่นคง!
สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าถึงจุดวิกฤตที่สุดแล้ว!
เมื่อเห็นเช่นนี้ จิ่นเฟิงก็ปล่อยหมัดเข้าใส่หวังเหยียนอีกครั้งอย่างรุนแรง!
ปัง!!
ทันทีที่หมัดทั้งสองสัมผัสกันเสียงปะทะดังลั่นก็ดังก้องขึ้นไปทั่วทั้งห้องโถง!
คลื่นจากแรงปะทะทำให้ซากโต๊ะและเก้าอี้กระเด็นกระดอนลอยไปทั่วทั้งห้อง!
ทว่าผลลัพธ์หลังจากที่หมัดทั้งสองปะทะกันเมื่อครู่กลับส่งผลให้จิ่นเฟิงถอยร่นไปสี่หรือห้าเมตร แต่หวังเหยียนยังไม่ถอย!
อย่างไรก็ตาม เท้าของเขาก็จมลึกลงไปในพื้นมากกว่าสิบนิ้ว ร่างของเขาสั่นไปทั้งร่างแถมสีหน้าก็ซีดขาวราวกับไข่ต้ม
อั่ก!
ในท้ายที่สุด หวังเหยียนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนที่จะทรุดคุกเข่าลงไปที่พื้น
“ฮ่า ๆๆ! ฉันนับถือแกจริง ๆ! ทั้ง ๆ ที่พลังภายในของแกหมดไปนานแล้วแต่แกก็ยังยืนหยัดได้นานขนาดนี้!”
จิ่นเฟิงมองไปที่ร่างของคู่ต่อสู้ที่ทรุดลงไปที่พื้น สีหน้าของเขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าฉากนี้ทำให้สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ตื่นเต้นเช่นกัน!
“ฆ่าเลย! ฆ่าพวกพยัคฆ์เวหา!!”
“ฆ่าหวังเหยียน! แก๊งวาฬยักษ์ของเราแข็งแกร่งที่สุด!”
“แก๊งพยัคฆ์เวหาจะต้องถูกทำลายในวันนี้!”
“…”
คนของแก๊งวาฬยักษ์โห่ร้องอย่างมีชัย
ช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาอยู่ในสถานะด้อยกว่าตลอด ดังนั้นเมื่อในวันนี้พวกเขากลับมาได้เปรียบ ขวัญและกำลังใจของแก๊งวาฬยักษ์จึงพุ่งขึ้นสูงหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม เสียงตะโกนเหล่านี้กลับเป็นเหมือนตัวกระตุ้นใจให้หวังเหยียนดื้อดึงไม่ยอมที่จะตาย เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอมากเกินไป ถึงแม้จะมีแรงแต่ร่างกายของตัวเองกลับไม่อำนวย ดังนั้นท้ายที่สุดเขาจึงไม่อาจลุกขึ้นได้เหมือนเดิม
“ฮ่า ๆ สภาพของแกตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมาจรจัดที่ใกล้จะตายเลย!”
จิ่นเฟิงเยาะเย้ยอย่างสะใจพลางจ้องเขม็งไปที่หวังเหยียน!
“เอาล่ะ ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่แกจะตายด้วยน้ำมือฉัน!”
เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมีโอกาสฟื้นตัวได้อีกต่อไป
จิ่นเฟิงโคจรพลังอย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งหมัดเข้าไปหาร่างของหวังเหยียนอีกครั้ง!
หวังเหยียนซึ่งอยู่ในสภาวะร่อแร่อยู่แล้ว เมื่อเห็นหมัดที่ใกล้เข้ามาเขาก็ทำได้แค่เพียงตั้งการ์ดและใช้แขนป้องกันอย่างสิ้นหวัง
แน่นอนว่า เมื่อไม่มีทั้งพลังภายในและร่างกายก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ผลลัพธ์ก็คือเขาไม่สามารถหยุดหมัดอันดุร้ายนี้ได้เลย!
กร๊อบ!
ทันทีที่หมัดของจิ่นเฟิงปะทะเข้ากับแขนของหวังเหยียน กระดูกแขนข้างหนึ่งของหวังเหยียนก็หักทันที!
อั่ก!
ร่างของหวังเหยียนลอยละลิ่วพร้อมกับกระอักเลือดออกมาเป็นสาย!
หลังจากกระเด็นลอยไปไกลกว่าสิบเมตร ร่างของเขาก็กระแทกเข้ากับกำแพง เสื้อสีขาวของเขาโชกไปด้วยเลือดสีแดงเต็มไปหมด!
ในเวลานี้ สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์รอบ ๆ ต่างพากันส่งเสียงเชียร์
“ฮ่า ๆ! แก๊งพยัคฆ์เวหานี่มันกระจอกจริง ๆ! รองหัวหน้าแก๊งของพวกมันถูกอัดเหมือนหมาเลย!”
“ตลกชิบหาย อ่อนแอขนาดนี้ยังกล้ามาสู้กับแก๊งวาฬยักษ์อันเกรียงไกรของเรา!”
“…”
สมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนต่างเยาะเย้ยหวังเหยียน
ในเวลานี้ สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ตายบนพื้นนั้น แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม!
พวกเขาเกลียดตัวเองจริง ๆ ที่ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นไปช่วยลูกพี่ของพวกเขาได้!
รองหัวหน้าแก๊งเป็นคนอัธยาศัยดีมาโดยตลอด
เขามักจะคลุกคลีกับสมาชิกแก๊งทุกคนโดยไม่ถือตัวแถมยังไม่เคยเสแสร้งเลย
ดังนั้น นอกจากโจวเฟยหู่แล้ว หวังเหยียนจึงเป็นคนที่พวกเขารวมไปถึงสมาชิกในแก๊งทุกคนเคารพมากที่สุด
ณ เวลานี้ เมื่อได้เห็นฉากแบบนี้ พวกเขาจะไม่โกรธแค้นตัวเองได้ยังไง!
“บัดซบ! ทำไมยังไม่มีใครมาอีก! ใครก็ได้ รีบมาช่วยรองหัวหน้าแก๊งของเราเร็วเข้า!”
“…”
ในเวลานี้ หวังเหยียนสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ภายใต้หมัดที่รุนแรง สติของเขาพร่ามัวจนแม้แต่บวกเลขยังบวกไม่ถูก
ในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวนั่นก็คือเขากำลังจะตาย!
จิ่นเฟิงเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็เดินเข้ามาใกล้และต่อยเข้าไปที่ท้องของหวังเหยียนอย่างรุนแรงอีกรอบ และมองดูคู่ต่อสู้ที่ทรุดลงกับพื้นอย่างไร้การต่อต้านด้วยแววตาสะใจ
“เอามีดมา!”
เขาตะโกนขึ้นก่อนที่จะรับมีดยาวหนึ่งฟุตที่คมกริบจากมือของชายที่อยู่ข้าง ๆ เขา
แต่หลังจากได้มีด เขากลับหันหลังเดินไปหาลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังไม่ตายและยังคงนอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
“ฉันควรตัดมือหรือเท้าของลูกน้องแกก่อนดี?”
จิ่นเฟิงหันมาถามหวังเหยียน พร้อมกับโบกมีดในมือไปมาอย่างหยอกล้อ
“ฉันได้ยินมาว่าแกมักจะใจดีกับลูกน้องของแกเสมอ แกปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันเลยถูกต้องไหม?”
หลังจากที่พูดถึงจุดนี้ จิ่นเฟิงก็เอามีดไปวางพาดที่หัวของลูกน้องหวังเหยียนก่อนที่จะพูดต่อ
“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะฆ่าลูกน้องของแกทีละคนต่อหน้าของแกก่อน ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องสนุกมากแน่ ๆ กับสีหน้าของแกหลังจากนี้!”
“แก!”
หวังเหยียนรู้สึกโกรธสุดขีด คำพูดนี้ของอีกฝ่ายกระตุ้นหวังเหยียนให้ได้สติอีกครั้ง เขาจึงแผดเสียงเคียดแค้นดังลั่น
“แกแค้นงั้นเหรอ? ดี! แกจงโกรธแค้นไปให้มาก ๆ จนตายตาไม่หลับไปเลย! โจวเฟยหู่ฆ่าล้างแก๊งวาฬยักษ์ของฉันไปมากมายในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ดังนั้นวันนี้ฉันขอเอาคืนบ้างก็แล้วกัน!”
จิ่นเฟิงเยาะเย้ยแล้วทักทายน้องชายคนเล็กของเขา
“ทุกคน! ลากคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา ที่ยังมีชีวิตอยู่มาให้ฉันตรงนี้ด้วย!”
หลังจากสั่งจบ ลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังไม่ตายอีกสองคนก็ถูกลากมานั่งคุกเข่าต่อหน้าจิ่นเฟิง
“หวังเหยียน? แกต้องการที่จะช่วยลูกน้องของแกเองล่ะสิใช่ไหม? ฮ่า ๆ เสียใจด้วยวะ ที่แกทำแบบนั้นไม่ได้หรอก!”
ขณะที่พูด จิ่นเฟิงก็ใช้ปลายมีดขีดเขี่ยไปที่คอของลูกน้องหวังเหยียนเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาจะฆ่าคนพวกนี้ทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้!
“ลูก…ลูกพี่หวัง ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกผม…พวกผมไม่โทษพี่หรอก”
ลูกน้องของหวังเหยียนรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังจะตาย ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นและพูดปลอบหวังเหยียน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หวังเหยียนจึงยิ่งรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด!
ฉับ!
ทันใดนั้นแววตาของจิ่นเฟิงเปลี่ยนเป็นดุร้าย และเขาก็ฟันมีดลงไปที่คอของหนึ่งในลูกน้องของหวังเหยียนอย่างโหดเหี้ยม!
ลูกน้องของหวังเหยียนตายทันที!
เลือดสาดกระเซ็นบนใบหน้าของหวังเหยียน ทำให้เขาตกอยู่ในอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งสิ้นหวัง โกรธแค้น หดหู่ เสียใจ และเจ็บปวด
“ฮ่า ๆๆ! เป็นไงบ้างรองหัวหน้าหวังของฉัน? โกรธไหม ๆ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จิ่นเฟิงก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นทันที
“ฉันชอบสีหน้าของแกตอนนี้จริง ๆ! ยิ่งแกเจ็บปวดมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งมีความสุข! ฮ่า ๆๆ!”