ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว

บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว

บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว
บทที่ 303 จู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว

“ไม่ว่าเขาจะเลวขนาดไหน แต่คน ๆ นั้นก็ยังเป็นลุงสองของแก! แกกล้าดียังไงถึงไปด่าเขาอย่างรุนแรงขนาดนั้น?”

หลี่ชงซานตำหนิลูกชายตัวเอง

“โธ่พ่อ! คนแบบนั้นเราไม่ควรนับญาติด้วยหรอก พ่อเองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าเมื่อวานนี้เขายังไม่เห็นเราเป็นญาติเลย!”

หลี่จิงเทียนเถียงกลับเสียงแข็งอย่างน่าประหลาดใจ

หลี่อิงไห่กล้าด่าว่าเขาเป็นขยะต่อหน้าเขา ซึ่งถ้าอีกฝ่ายยังคงมีอิทธิพลเหมือนเดิม เขาคงไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้

แต่ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้แล้ว หากเขาไม่เหยียบย่ำอีกฝ่ายจนถึงที่สุด เขาก็คงไม่ใช่หลี่จิงเทียนผู้ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นแน่นอน!

“แก!”

หลี่ชงซานต้องการจะโต้แย้ง แต่เมื่อคิดได้ถึงฉากเมื่อวาน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองใจอ่อนเกินไปจริง ๆ เมื่อวานนี้หลี่อิงไห่ทำตัวราวกับว่าเขาไม่ใช่ญาติจริง ๆ

ในที่สุด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธของเขาก็กลายเป็นความจนใจ

“ช่างเถอะ มันเป็นลุงสองของลูกจริง ๆ ที่ผิด เอาล่ะ มานั่งลงกินข้าวกันต่อ”

“ผมขอออกความเห็นสักหน่อยนะพ่อ! ผมคิดว่าพ่อใจอ่อนเกินไป ถ้าผมเป็นพ่อ ผมจะไล่หลี่อิงไห่ออกจากตระกูลเราในทันที!”

หลี่จิงเทียนพึงพอใจเป็นอย่างมากที่พ่อของเขาเห็นด้วยกับคำพูดของเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงกล้าพูดเสนอความคิดเห็นของตัวเองต่อ

หลี่ชงซานเหลือบมองลูกชายที่ไม่เอาถ่านของตัวเองอย่างเหนื่อยใจ และอดไม่ได้ที่จะตวาดขึ้นอีกรอบ

“ถ้ายังพูดจาไร้สาระต่อไปอีก เดือนนี้ฉันจะไม่ให้เงินแกสักหยวน!”

“ห๊ะ?”

“อ…เอ่อ…ด…ได้พ่อ ผมจะกิน ๆ ผมไม่พูดต่อแล้วก็ได้…”

หลี่จิงเทียนตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารีบนั่งลงและกินข้าวต่อไปทันที

ตอนนี้เขาไม่มีงานทำ และเครือฮ่าวหรานก็ไม่เรียกเขากลับไปทำงาน ดังนั้นถ้าพ่อของเขาไม่ให้เงิน คงต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดเพราะไม่มีเงินแม้แต่จะออกไปกินข้าวนอกบ้าน!

อีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานทำงานเสร็จหลังจากสี่โมงเย็นและกลับบ้านพร้อมกับถวนถวน

อย่างไรก็ตาม เมื่อใกล้จะถึงคอนโดและเหยียบเบรกรถ รถเบนซ์สีดำของเขาก็สั่น ราวกับว่าเบรกมีปัญหา

หลังจากลงจากรถ เขามองเข้าไปใกล้ ๆ และพบว่าระบบเบรกผิดปกติจริง ๆ

ปัญหาเล็กนี้อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลัง มันจึงต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ทว่าเมื่ออวี้ฮ่าวหรานมองไปที่สภาพของรถ ซึ่งมีแต่รอยขีดข่วนเต็มไปหมด ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาควรเปลี่ยนรถ

ในฐานะประธานของเครือฮ่าวหราน ซึ่งมีทรัพย์สินระดับพันล้านหยวน การซื้อรถสักคันเป็นเรื่องเล็กราวกับออกไปกินข้าวหน้าบ้าน

หลังจากตัดสินใจได้ เขาก็วางแผนเอาไว้ว่าจะไปซื้อรถใหม่ในวันพรุ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ให้ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาได้ยิน หลี่หรงกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้ารังเกียจ

“เออ! ฉันเข้าใจแล้ว แค่นี้แหละและอย่าโทรมาอีก! เดี๋ยวฉันจะพาถวนถวนไปดูเอง!”

ทันทีที่พูดจบ หลี่หรงก็วางสายอย่างรุนแรง และจากนั้นคิ้วที่ขมวดของเธอก็ค่อย ๆ คลายลง เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ

เมื่อเห็นฉากนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ

“ทำไม? ใครทำให้ประธานหลี่ของเราแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวขนาดนี้?”

หลี่หรงหันขวับไปจ้องเขม็งที่อวี้ฮ่าวหรานทันที เมื่อเธอได้ยินคำพูดนั้น

“พี่เดาไม่ออกหรือไงว่ามันคือหลิวเทียนอี้! พี่ไปบล็อกเบอร์โทรของไอ้อ้วนนั่นจนหมด จนตอนนี้ฉันก็เลยเป็นคนซวย เพราะไอ้อ้วนนั่นโทรหาได้แต่ฉัน! ถ้าไม่ใช่เพราะลูก ๆ ของไอ้เจ้าลูกกวาดของเรายังอยู่ที่นั่น ป่านนี้ฉันเองคงบล็อกเขาไปแล้วเหมือนกัน ชิ!”

เมื่อพูดจบ หลี่หรงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและบันทึกเบอร์โทรของหลิวเทียนอี้ด้วยชื่อ ‘คนน่าขยะแขยง’

“ต้องเขียนเอาไว้แบบนี้! คราวหน้าที่เมื่อไหร่มันโทรมาฉันจะได้เตรียมใจได้ถูก!”

อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก หายากมากที่หลี่หรงจะรังเกียจใครได้ขนาดนี้

“เขาโทรมามีอะไรงั้นเหรอ?”

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องของลูก ๆ ของเจ้าลูกกวาด ตอนนี้พวกมันโตขึ้นมากแล้ว ดังนั้นไอ้อ้วนนั่นก็เลยโทรมาถามว่าเราจะไปดูพวกมันหรือเปล่า”

ทันทีที่หลี่หรงพูดจบ ก่อนที่อวี้ฮ่าวหรานจะทันได้พูดตอบ ถวนถวนก็ตะโกนถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที

“ลูกของเจ้าลูกกวาดโตแล้วเหรอ ถวนถวนอยากเห็น! ถวนถวนอยากเห็นพวกมัน!!”

เด็กน้อยตะโกนขึ้นอย่างมีความสุข ดวงตากลมโตของถวนถวนเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ยังมีอีกเรื่อง ชายน่ารังเกียจคนนั้นยังถามอีกว่าบริษัทของพี่มีแผนจะซื้อรถเพิ่มเร็วๆ นี้ไหม เขาบอกว่ารถหรูชุดใหม่เพิ่งมาถึงไม่กี่วันมานี้”

หลี่หรงพูดต่ออีกครั้ง

อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วขึ้นทันที ตอนนี้เขากำลังต้องการเปลี่ยนรถจริง ๆ ระบบเบรกรถของเขามันผิดปกติ

“พรุ่งนี้บ่ายพี่จะไปซื้อรถ และหลังจากนั้นพอถวนถวนเลิกเรียน พี่จะพา ถวนถวนไปที่บ้านของหลิวเทียนอี้เพื่อดูลูก ๆ ของเจ้าลูกกวาด”

“พี่เขย ในที่สุดพี่ก็เปลี่ยนรถสักที!”

หลี่หรงแสดงสีหน้ายินดีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ราวกับว่าเธอเคยบ่นเรื่องรถของพี่เขยเธอมาก่อนแล้ว

“เมอร์เซเดสเบนซ์ของพี่มันเละเทะซะขนาดนั้น พี่ควรจะเปลี่ยนมันตั้งนานแล้ว!”

“จริง ๆ แล้วหากตอนนี้ระบบเบรกของมันไม่มีปัญหาพี่คงไม่เปลี่ยนหรอก พี่ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าภายนอกของมันจะเละถึงขนาดไหน”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ เขาไม่ได้ใส่ใจกับพวกรถหรูหรือเครื่องแต่งกายราคาแพงแม้แต่น้อย

เขาได้สัมผัสกับความหรูหราขั้นสุดในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาตอนอยู่ในดินแดนแห่งเทพมาแล้ว ดังนั้นความหรูหราของโลกมนุษย์นั้นจึงไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขา…

ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ของโลกใต้ดินเมืองฮ่วยอันกำลังวุ่นวายอย่างมาก!

ภายใต้คำสั่งของโจวเฟยหู่ แก๊งพยัคฆ์เวหา รวมถึงแก๊งเล็ก ๆ ที่จับมือกันทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว

ใช้ประโยชน์จากการไม่ระวังตัว พวกเขาโจมตีกลุ่มวาฬยักษ์อย่างรุนแรง

ช่วงกลางดึก แก๊งวาฬยักษ์ถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว! และสูญเสียพื้นที่สำคัญหลายแห่งไปอย่างรวดเร็ว

คฤหาสน์แก๊งฉลามคลั่งของกงซุนซา

เคร้ง!!

“มันมากเกินไปแล้ว! โจวเฟยหู่ผู้นี้! มันไม่กลัวความตายเลยใช่ไหม?”

หลังจากที่หลิ่วอวี้จิงได้ยินข่าวจากลูกน้อง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล พร้อมกับบีบถ้วยชาในมือจนแตกละเอียด

คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าเริ่มก่อน!

“ฮี่ฮี่ ทำไมน้องหลิ่วต้องกังวลด้วย? นี่มันแค่การดิ้นรนของพวกหมาจนตรอกก็แค่นั้น”

กงซุนซาที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก เขาจิบชาอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี? พี่กงซุนต้องการจะตอบโต้กลับเลยไหม?”

ที่ผ่านมา หลิ่วอวี้จิงมักจะมีความเห็นต่างจากกงซุนซาตลอด แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว หลิ่วอวี้จิงจึงยินยอมให้อีกฝ่ายเป็นผู้ตัดสินใจแทนตัวเขา

ความปรารถนาในความแข็งแกร่งนั้นทำให้เขายอมได้ทุกอย่าง

กงซุนซาวางถ้วยน้ำชาลงเบา ๆ เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

“การโต้กลับเป็นเรื่องที่แน่นอน ในเมื่อแก๊งพยัคฆ์เวหาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดังนั้นเราเองก็ต้องเคลื่อนไหวบ้างเช่นกัน!”

ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ แน่นอนว่ากงซุนซามีแผนอยู่แล้วในใจ

“อย่างไรก็ตาม ผู้คนของแก๊งฉลามคลั่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในขณะนี้ น้องหลิ่วก็น่าจะรู้ดีว่าการที่เราจะรวมกลุ่มกันนั้นมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร”

หลิ่วอวี้จิงผงะเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกับการเป็นหัวหน้าแก๊ง เขาก็เข้าใจในความหมายของคำพูดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“พี่กงซุนหมายถึง ให้แก๊งวาฬยักษ์ของฉันออกไปจัดการกับคนพวกนั้นก่อนใช่ไหม?”

“ฮ่า ๆ หัวหน้าแก๊งหลิ่วมีไหวพริบที่เป็นเลิศจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ ที่มีคนฉลาดอย่างน้องหลิ่วอยู่ข้างกาย!”

กงซุนซาหัวเราะคิกคักพลางตอบกลับ

แผนของเขานั้นง่าย ๆ แก๊งวาฬยักษ์จำเป็นต้องแสดงความจริงใจโดยการสร้างผลงานเพื่อเข้าร่วมแก๊งของเขา และอีกอย่างแก๊งวาฬยักษ์จำเป็นต้องถูกบั่นทอนความแข็งแกร่งลงไป ไม่เช่นนั้นหากรวมกันในเวลานี้ คนของแก๊งวาฬยักษ์บางคนอาจจะยังหยิ่งผยองกับความแข็งแกร่งของตัวเองและสร้างปัญหาให้กับการรวมกลุ่มกันระหว่างทั้งสองแก๊ง

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลิ่วอวี้จิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเล

หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงจะเดินจากไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากกงซุนซา!

แก๊งวาฬยักษ์คือความพยายามอันอุตสาหะของเขา เขาจะทนมองดูมันตายอย่างไร้ค่าได้ยังไง?

บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน

“โอ้! อรุณสวัสดิ์ครับรองประธานหลี่! ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ทั้งสองนี้ต้องการพบท่านประธานอวี้จของเรา แต่พวกเขาไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าหรือใบรับรองใด ๆ เลย”

เมื่อรปภ. เห็นว่าเป็นหลี่จิงเทียนที่เอ่ยทัก เขาก็แสดงความเคารพในทันที

หลี่จิงเทียนหรี่ตาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และพบว่าเขาไม่รู้จักสองคนนี้เลย

“อยากเจอพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า ล้อเล่นรึเปล่า คนธรรมดาจะเข้าพบพี่เขยของฉันง่าย ๆ ได้ยังไง?”

เขาแสดงสีหน้าดูหมิ่นและคิดว่าสองคนนี้น่าจะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา

อันที่จริง เขาลืมไปเลยว่าเขาเคยเจอสวีรุ่ย และเคยพยายามจะรังแกเธอมาก่อน แต่เนื่องจากมันนานมากแล้วและหลังจากนั้นก็มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับเขามากมายจนเขาลืมเหตุการณ์เล็ก ๆ นั้นไปซะสนิท

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉากนี้สวีเซี่ยงจวินก็รีบเดินเข้ามาหา

“คุณ…คุณเป็นรองประธานหลี่งั้นเหรอครับ? คือว่าเมื่อวานท่านประธานอวี้บอกกับพวกเราว่าให้เรามาพบเขาที่นี่วันนี้ คุณช่วยแจ้งท่านประธานให้พวกเราหน่อยจะได้ไหม?”

เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่จิงเทียนที่แสดงสีหน้าหยิ่งผยอง ท่าทางของสวีเซี่ยงจวินก็ยิ่งนอบน้อมมากขึ้น

แต่ใครคือหลี่จิงเทียน?

“ฮ่าฮ่า แกนี่ตลกจริง ๆ! แกต้องการพบกับพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? นี่แกฝันอยู่รึไง?”

เขามองสวีเซี่ยงจวินตั้งแต่หัวจรดเท้า คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“แกโชคดีมากเลยนะที่เช้านี้ฉันอารมณ์ดีมาก ไม่งั้นล่ะก็ฉันคงออกจากรถไปตบหน้าของแกแล้ว แกนี่ไม่รู้จักเจียมตัวซะเลย!”

“แต่…แต่ประธานอวี้บอกให้ผมมาจริง ๆ…”

สวีเซี่ยงจวิน ตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายและลังเล

“พ่อคะ พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้วเดี๋ยวหนูขอโทรหาเขาก่อนดีกว่า เมื่อวานเขาบอกว่าให้เราโทรหาเมื่อเรามาถึงบริษัท!”

สวีรุ่ยก้าวออกมาขวางไว้และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรออก

“โอ้! ใช่! ใช่! เรายังไม่ได้โทรเลย!”

สวีเซี่ยงจวินพยักหน้ารัวและพูดขึ้นด้วยความดีใจราวกับว่าเขาเพิ่งหาทางออกจากเขาวงกตที่น่ากลัวได้

“โทรหางั้นเหรอ? เหอะ คนอย่างพวกแกไม่มีทางมีเบอร์โทรของพี่เขยฉันหรอก!”

หลี่จิงเทียนรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในใจ

การโทรเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว

“ฮัลโหล คือ…คือว่าเรามาถึงแล้ว”

“หืม? มาแต่เช้าเลยงั้นเหรอ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหาผมล่วงหน้าก่อน ตอนนี้ผมยังไปไม่ถึงบริษัทเลย”

“ค…คือฉันลืมไป แต่ตอนนี้เราเข้าไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกักตัวเราเอาไว้…”

สวีรุ่ยบอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็น เธอก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายจริงๆ ทว่าในเดียวกันนี้ หลี่จิงเทียนกลับขนลุกไปทั่วทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ของสวีรุ่ย

“น…นั่นมันเสียง…เสียงของพี่เขยของฉันจริง ๆ!”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินเสียงของหลี่จิงเทียนลอดมาทางโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที!

“คุณยื่นโทรศัพท์ของคุณให้ไอ้โง่ที่อยู่ไม่ไกลจากคุณที!”

หลี่จิงเทียนเป็นคนที่มีนิสัยชอบรังแกคนอื่นและมองคนธรรมดาทั่วไปต่ำกว่าตัวเองเสมอมา ดังนั้นอวี้ฮ่าวหรานจึงคาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจากน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกของหลี่จิงเทียน

สวีรุ่ยตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน และเธอก็เดาได้ว่า ‘ไอ้โง่’ ที่อวี้ฮ่าวหรานหมายถึงนั้นคือใคร

“เอ่อ…รองประธานหลี่ พี่เขยของคุณขอให้คุณคุยกับเขา”

เธอยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน อันที่จริงเธอจำได้ว่าหลี่จิงเทียนเป็นคนที่เคยพยายามรังแกเธอมาก่อน

ทางด้านของหลี่จิงเทียน เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าคู่พ่อลูกนี้รู้จักกับพี่เขยของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่หลงเหลือความหยิ่งผยองอีกต่อไป

“พ…พี่เขย…อรุณสวัสดิ์พี่เขย”

“หลี่จิงเทียน!”

เสียงตะคอกจากปลายสายดังขึ้นอย่างชัดเจนจนทำให้มือของหลี่จิงเทียนสั่นริก ๆ จนแทบจะจับโทรศัพท์ไม่อยู่…

“พ…พี่เขย…พี่อย่าเพิ่งโกรธผมสิ…”

เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินเสียงที่ดูไม่พอใจอย่างรุนแรงของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาก็ขมขื่น!

“แกยังมีหน้ามาบอกให้ฉันไม่โกรธอีกงั้นเหรอ! สองคนนั้นเป็นเพื่อนของฉัน เมื่อกี้แกทำตัวหยาบคายอีกแล้วใช่ไหม!”

แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อวี้ฮ่าวหรานรู้ดีว่าสันดานของ หลี่จิงเทียนเป็นอย่างไร

เขาไม่ต้องการให้สวีรุ่ยไม่สบายใจด้วยเหตุนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองส่วนหนึ่งกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น

ระบบความปลอดภัยของเครือฮ่าวหรานถูกปรับปรุงให้เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวผู้บริหารที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะเข้าไปในบริษัทได้โดยไม่มีใบรับรองหรือการนัดหมายล่วงหน้า

เมื่อวานมันฉุกละหุกเกินไปหน่อยจนเขาลืมแจ้งเรื่องนี้กับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทตัวเอง

“ผม…ผมผิดไปแล้ว…พี่เขย…”

หลี่จิงเทียนมีสีหน้าขมขื่นเมื่อเขาโดนตะคอกด่า และเขาก็ไม่กล้าโต้เถียงเลย ดังนั้นเขาจึงรีบขอโทษ

รปภ. ที่ดูฉากนี้ถึงกับอึ้ง แน่นอนว่า ประธานอวี้คงเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้รองประธานหลี่ที่แสนจะหยาบคายหงอถึงขนาดนี้ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคู่ของพ่อและลูกสาวที่แต่งตัวธรรมดาด้วยความตกใจ เขาลอบถอนหายใจอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เขาระมัดระวังพอไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายไปก่อนหน้านี้…

ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เขาอาจจะถูกเลิกจ้างก็เป็นได้

“แกฟังฉันให้ดี ๆ นะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปถึงบริษัท ดังนั้นในระหว่างนี้แกต้องต้อนรับเพื่อนของฉันทั้งสองให้ดี ๆ ดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่แกจะทำได้เข้าใจไหม!”

“ครับ ครับพี่เขย! ผมสัญญาว่าจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี!”

หลังจากได้รับคำสั่งจากปลายสายของโทรศัพท์แล้ว หลี่จิงเทียนก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอีกฝ่ายวางสาย เขาจึงตระหนักได้ว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจำนวนมาก

พี่เขยของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!

“เอ่อ…ตอนนี้เราเข้าไปได้แล้วใช่ไหม?”

เมื่อเห็นหลี่จิงเทียนกำลังหน้าซีด สวีรุ่ยก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

จากนั้นหลี่จิงเทียนก็ตอบสนองและเขาก็รีบเปิดประตูลงจากรถและรีบเดินเข้ามาประจบประแจงคู่พ่อลูกอย่างนอบน้อม

“น…แน่นอนเลย! อีกเดี๋ยวพี่เขยของผมจะมาถึง เพราะงั้นในระหว่างนี้เดี๋ยวผมจะดูแลพวกคุณเอง มาเถอะ ๆ ทำตัวตามตามสบายเหมือนที่นี่เป็นบ้านของพวกคุณเองได้เลย!”

ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาทันที ราวกับว่าเขาได้เห็นญาติที่เขาไม่ได้พบหน้ากันมานาน

“มาเถอะ! มาขึ้นรถของผมได้เลย! หน้าประตูนี้มันอยู่ห่างจากตึกสำนักงานพอสมควร เดินเข้าไปไม่ไหวหรอกเหนื่อยแย่เลย มา ๆ เดี๋ยวผมขับรถพาพวกคุณเข้าไปเอง!”

เมื่อพูดจบ เขาก็รีบเปิดประตูรถให้คนทั้งสองอย่างรวดเร็วและชักชวนให้ขึ้นรถ

รปภ. ที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกละอายใจมาก ๆ

ดูจากความเร็วที่พวกคนชั้นสูงสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ มันไม่แปลกเลยที่คนอย่างเขาจะเป็นได้แค่รปภ. ไปตลอดชีวิต

สวีเซี่ยงจวิน ยังคงมึนงงและกว่าที่เขาจะตอบสนองได้ก็คือตอนที่เขาถูกอีกฝ่ายลากเข้าไปนั่งในรถ BMW แล้ว

ทั้งสองขึ้นรถ และคราวนี้ไม่มีรปภ. คนไหนกล้าหยุดพวกเขาอีกต่อไป

“โธ่ เมื่อกี้พวกคุณก็ไม่ยอมบอกก่อนว่าพวกคุณเป็นเพื่อนของพี่เขยของผม เอาล่ะ เดี๋ยวในระหว่างตอนที่พี่เขยของผมยังไม่มา พวกคุณเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของผมก่อน ข้างในออฟฟิศของผมสะดวกสบายที่สุดในบริษัทแล้ว!”

หลี่จิงเทียนพยายามเอาอกเอาใจจนสวีรุ่ยและพ่อของเธอเริ่มรู้สึกอึดอัด

แน่นอนว่าสาเหตุที่หลี่จิงเทียนยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้เป็นเพราะเขากลัวพี่เขยของเขา

“อืม…จริง ๆ แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้”

สวีรุ่ยชักจะทนไม่ไหว เธอไม่คุ้นชินกับการได้รับการปฏิบัติแบบนี้

“โธ่ ๆ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก! ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินของพี่เขยผมทั้งหมด และคุณก็เป็นเพื่อนกับเขา ดังนั้นคุณสามารถทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”

หลี่จิงเทียนยิ้มร่าและค่อย ๆ ขับรถเข้าไปในลานจอดรถ

จากนั้นเขาก็พาคู่พ่อลูกขึ้นไปที่ออฟฟิศของเขาเอง

สวีรุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นออฟฟิศส่วนตัวของอีกฝ่าย

“นี่…นี่มันห้องทำงานของคุณเหรอ รองประธานหลี่? นี่มันใช่ห้องทำงานจริง ๆ งั้นเหรอ…”

เธอไม่รู้จะอธิบายยังไง นี่มันออฟฟิศแบบไหนกัน?

โต๊ะพูล โปรเจคเตอร์ กอล์ฟในร่ม…

เธอเห็นเครื่องเล่นเกมอีกหลายเครื่องตรงมุมห้องด้วย!

ที่นี่มีวิธีความบันเทิงขั้นพื้นฐานทั้งหมด!

“เป็นไงล่ะ สุดยอดเลยใช่ม้า? กว่าที่ผมจะแต่งห้องได้ขนาดนี้เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่แน่ะ! เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ อยากเล่นอะไรพวกคุณเล่นได้เลย ทำตัวเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”

หลี่จิงเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากเขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำอะไรในบริษัทอยู่แล้วและพี่เขยรวมไปถึงพ่อของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าการที่เขาแต่งห้องแบบนี้มันผิดตรงไหน

แต่แน่นอนว่า สวีรุ่ยกับพ่อของเธอไม่กล้าทำตัวตามสบายเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ ในห้องนี้ตามที่หลี่จิงเทียนอนุญาต พวกเขาทั้งคู่จึงเอาแต่นั่งรอที่โซฟาอย่างเงียบ ๆ

พวกเขารู้สึกทึ่งกับขนาดของบริษัทนี้ และในทางกลับกัน พวกเขาก็พูดไม่ออกเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของหลี่จิงเทียนที่ย่ำแย่เมื่อเจอคนที่ดูต่ำกว่า และสามารถเปลี่ยนบุคลิกได้อย่างทันควันเมื่อพบว่าพวกเขาเป็นคนรู้จักของอวี้ฮ่าวหราน

บทที่ 339 สมองมด
บทที่ 339 สมองมด

แน่นอนว่าเมื่อคนธรรมดาเห็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่เกิดขึ้นด้านนอก พวกเขาทุกคนจึงพร้อมใจวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาได้ปล่อยให้พวกคนธรรมดาเหล่านี้หนีไป เพราะคนธรรมดาพวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเขา หลังจากเข้าไปในห้องโถง เขาก็เลือกที่จะวิ่งด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ขึ้นไปทางบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์

ด้วยความเร็วของเขาที่เร็วมากกว่าการใช้ลิฟท์ แค่เพียงไม่ถึงสามสิบวินาทีเขาก็วิ่งขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้า!

บนดาดฟ้า!

“ฮิฮิ แกนี่ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ แต่น่าเสียดายที่แกจะต้องตายที่นี่!”

เมื่ออสรพิษเงินเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงในที่สุด เขาก็เยาะเย้ยอย่างไร้กังวล

เขาคาดคะเนว่าอวี้ฮ่าวหรานน่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน ซึ่งเขาเองก็อยู่ในระดับนี้ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยอายุของเขาที่มากกว่า ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะช่วยให้เขากำชัยได้อย่างไม่ยากเย็น

ต้องรู้ว่าเขาอยู่ในจุดสูงสุดของพลังภายในมามานานกว่าสิบปีแล้ว!

ไม่มีใครในขอบเขตเดียวกับเขาสามารถเอาชนะเขาได้!

“อ้อ ฉันเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่าแกมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ อยู่คนหนึ่งด้วยใช่ไหม? ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าใบหน้าที่ไร้เดียงสานั่นจะเป็นแบบไหนเมื่อถูกฉันจับกรอกยาพิษ!”

อสรพิษเงินชอบใช้วิธีการยั่วยุศัตรูของเขาให้ปั่นป่วนใจมากที่สุด ซึ่งหลังจากที่ศัตรูของเขาถูกความโกรธเข้าครอบงำ เขาก็จะยิ่งสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายมากขึ้น

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่นและเอ่ยถามกลับ

“ฮ่าฮ่าฮ่า แกรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรู้สึกตลก”

“ฮิฮิ ใครจะไปรู้ มันอาจเป็นเพราะว่าแกหมดหวังจนเสียสติไปแล้วก็ได้จริงไหม?”

อสรพิษเงินไม่ได้กังวลใจอะไรเลย ในทางกลับกัน เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกเช่นกันที่วันนี้อีกฝ่ายมาให้เขาฆ่าถึงที่นี่อย่างว่าง่ายราวกับคนโง่

“ไม่ใช่เลย มันเป็นเพราะว่าฉันตลกที่คนจะตายแล้วอย่างแกยังเปลืองสมองคิดถึงเรื่องในอนาคตอยู่อีกต่างหาก!”

เสียงของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง

ประโยคนี้มาพร้อมกับเจตนาฆ่าซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณถึงกับใจสั่น!

อสรพิษเงินขมวดคิ้วแน่น แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความมั่นใจ

เขาไม่คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่คู่ต่อสู้จะเอาชนะเขาได้

“ถุย! เลิกหลงตัวเองได้แล้วโว้ย! แกมันก็แค่คนที่น่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของปรมาจารย์พลังภายในก็แค่นั้น ก่อนหน้านี้องค์กรของฉันไม่ทำอะไรแกเพราะพวกเราไม่อยากเปลืองแรง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว การที่ฉันมาที่นี่มันหมายความว่าไม่ว่ายังไงแกก็ต้องตายในท้ายที่สุด!”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินประโยคนี้ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขาทันที

“โอ้? แกเดาเกือบถูกแน่ะ แต่ฉันอยู่ในขั้นสูงต่างหาก”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย

“ฮ่าฮ่า! ถ้าแกอยู่แค่ขั้นสูง งั้นแกเตรียมรอรับความตายได้เลย ฉันเชือดแกได้อย่างไม่ยากเย็นแน่! ”

เมื่อได้ยิน อวี้ฮ่าวหรานก็ยอมรับความแข็งแกร่งของตัวเอง ซึ่งมันต่ำกว่าที่เขาคาดไว้ อสรพิษเงินก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน

อีกฝ่ายตอกตะปูฝาโลงตัวเองแท้ ๆ ที่เผยระดับการบ่มเพาะของตัวเองแบบนี้!

แต่ในขณะเดียวกันนี้ที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เฉิงชิวอวี้ก็ตื่นขึ้น!

แต่เมื่อเธอรู้สึกได้ว่าทั้งตัวของเธอถูกมัดอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้ เธอก็ตะโกนไปหาอวี้ฮ่าวหรานที่อยู่ไม่ไกลทันที

“ฮ่าวหราน หนีไปซะ! คนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา! แถมทั้งหมดนี้เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพ่อของฉันกับคนเหล่านี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คุณอย่าเอาตัวมาเสี่ยง หนีไปซะ!”

ก่อนที่เธอจะถูกทำให้หลับไปตอนที่อยู่ในบริษัท เธอพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูเก่าของพ่อเธอแน่นอน

ดังนั้น เธอจึงไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องมาเดือดร้อนด้วยกับเรื่องส่วนตัวของพ่อเธอแบบนี้

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดของเฉิงชิวอวี้ เขาก็หัวเราะเบา ๆ อย่างไร้กังวล

“อย่ากังวล สำหรับผมเรื่องนี้มันเรื่องเล็กน้อย”

คำพูดนี้ทำให้อสรพิษเงินที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย

“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าตลกชิบหายเลย! แกคิดว่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงอย่างแกจะสู้ฉันได้งั้นเหรอ?”

จากนั้นทันทีที่พูดจบ มือผอมบางของเขาก็สะบัดอย่างรวดเร็ว ส่งมีดสั้นสามเล่มสีดำทะมึนพุ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความรวดเร็ว!

‘ฟิ้ว ฟิ้ว!’

ภายใต้การระเบิดกำลังของกล้ามเนื้อปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด มีดทั้งสามเล่มจึงพุ่งเร็วจนเป็นภาพติดตาและทำให้มองดูคล้ายลำแสงสามเส้นกำลังพุ่งเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหราน!

มีดสามเล่มนี้ถูกอาบยาพิษร้ายแรงมาอย่างประณีต แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด หากแค่เพียงโดนคมมีดของมันสะกิดกับผิวหนังเพียงนิดเดียวก็อาจจะสิ้นลมหายใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที!

แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เกรงกลัวของเล่นแบบนี้เลย เขามองไปที่อสรพิษเงินด้วยความเหยียดหยาม

“ไอ้สมองมด! ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน?”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โบกมือเบา ๆ และส่งคลื่นพลังวิญญาณเข้าสกัดมีดทั้งสามเล่นที่พุ่งเข้าหา ปัดมีดทั้งสามเปลี่ยนทิศทางไปอย่างง่ายดายราวกับว่าพวกมันเป็นแค่ขนนกที่แค่เป่านิดหน่อยก็พริ้วไปตามแรงลมปาก!

‘เคร้ง ๆ ๆ ๆ…’

หลังจากมีดทั้งสามถูกปัดจนปลิวไปตกที่พื้น เจ้าตำหนักอีกสองคนซึ่งมากับอสรพิษเงินก็ลงมือเช่นกัน พวกเขาทั้งสองเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูง พวกเขามั่นใจว่าถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน พวกเขาควรจะรับมือกับอวี้ฮ่าวหรานได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

“เหอะ! ไร้สาระ!”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

“เป็นแค่มด กล้าดียังไงมาแยกเขี้ยวใส่ฉัน!”

ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอย่างเต็มที่และชกหมัดออกไปเต็มแรงใส่เจ้าตำหนักองค์กรอสรพิษทั้งสองคนที่พุ่งเข้ามาหาเขา!

“ปัง!!”

หลังจากการปะทะ เจ้าตำหนักทั้งสองก็ลอยละลิ่วกระเด็นกลับไปราวกับว่าวสายป่านขาดโดยไร้ลมหายใจ!

ฆ่าสองด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!

อสรพิษเงินที่กำลังจะลงมือโจมตีเช่นกัน เมื่อเห็นฉากนี้เขาพลันชะงักทันทีด้วยความตกตะลึง!

“ก…แกไม่ใช่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงนี่นา! น…นี่แกเป็นใครกันแน่! คนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่!”

อสรพิษเงินขนลุกชูชันด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เจ้าตำหนักคุมกฎที่แข็งแกร่งกว่าเขาเองก็ไม่แข็งแกร่งถึงขนาดฆ่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงได้ภายในการโจมตีครั้งเดียวแบบนี้ และนี่ยังไม่นับเรื่องที่อวี้ฮ่าวหรานโจมตีครั้งเดียว แต่ฆ่าได้สองคนอีกต่างหาก!

มีคนเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้ว่าน่าจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ก็มีแค่คนเดียวซึ่งก็คือผู้นำองค์กรที่สุดแสนลึกลับของพวกเขาเท่านั้น!

อย่างไรก็ตาม แต่คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่เหนือมนุษย์ไปแล้ว

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นอีกฝ่ายกำลังกลัวจนขนหัวลุก เขาก็หัวเราะเบา ๆ

“หึหึ รู้มั้ยว่าทำไมสัตว์เลื้อยคลานถึงไม่กลัวเมื่อเห็นเท้ามนุษย์กำลังจะมาเหยียบมัน”

ดวงตาของเขาแสดงความเยาะเย้ยในขณะที่เขาพูด

“มันเพราะว่าสัตว์เลื้อยคลานนั้นสมองน้อยจนไม่รู้ว่ามนุษย์มีอำนาจขนาดไหน!”

ทันทีที่พูดจบ ร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หายวับไปกับตา!

ระยะห่างเกือบสิบเมตร แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับเคลื่อนที่ได้ภายในเศษเสี้ยววินาที!

‘ปัง!’

อสรพิษเงินที่เพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเข้ามาประชิดแล้ว ก็รีบยกแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณทันที!

อย่างไรก็ตาม พลังของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต่อกรได้!

‘อั่ก!’

ภายใต้อิทธิพลของพลังวิญญาณอันรุนแรง เกราะพลังภายในที่ถูกสร้างขึ้นของอสรพิษเงินได้พังทลายลงราวกับกำแพงทรายโดนคลื่นซัด!

อสรพิษเงินถูกชกอย่างรุนแรงจนลอยละลิ่วบินกลับหัวไปเกือบ 20 เมตร และตกลงที่มุมดาดฟ้า

เขารีบยันตัวลุกขึ้นและปาดเลือดออกจากปาก มองดูชายหนุ่มด้วยความกลัว!

“แกแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่! มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!”

เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่เพียงการโจมตีเดียว เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้!

มันเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ถ้าเทียบกันแล้วความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างอะไรกับมดเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้!

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันอยู่ในขั้นสูง”

อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ช้า ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการล้อเล่น

“เป็นไปไม่ได้! ขอบเขตพลังภายในขั้นสูงไม่มีวันแข็งแกร่งขนาดนี้!”

อสรพิษเงินไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งอีกต่อไปแล้ว

“เห็นไหม แกมันเป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานที่ตาบอดแถมยังสมองน้อย ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน? ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานต่างหาก!”

หลังจากหยอกล้อกับอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หายตัวไปอีกครั้ง!

‘ผลั่ก!’

เขาโผล่ยืนค้ำหัวอสรพิษเงินและย่ำเท้าลงไปที่ท้องอีกฝ่ายอย่างแรง!

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตอนนี้อสรพิษเงินจะสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ร้องออกมาสักแอะ เขาจึงเอาแต่พึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ก่อรากฐานระดับสูง…ก่อรากฐานระดับสูง…”

เขารู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะเคยได้ยินคำนี้ที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนว่ามันเป็นขอบเขตที่หลุดพ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้วใช่ไหม?

บทที่ 305 เทพแห่งความมั่งคั่ง
บทที่ 305 เทพแห่งความมั่งคั่ง

“น…นี่คุณ…คุณจริงจังใช่ไหม?”

อาลี่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยในเวลานี้ ถ้าเธอสามารถขายรถยนต์คันนี้ได้จริง ๆ ค่าคอมมิชชั่นที่เธอจะได้รับมันมากเท่ากับฐานเงินเดือนของเธอหนึ่งปีเลยทีเดียว!

มันไม่ใช่จำนวนเงินเล็กน้อยเลย!

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้หญิงวัยกลางคนที่กำลังแอบดูอยู่เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ ๆ ทันที

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ ในขณะนี้

“นี่คุณคิดว่าผมกำลังล้อเล่นอยู่งั้นเหรอ? รีบไปเอาเอกสารมาเถอะ ผมจะจ่ายเงินเต็มจำนวนในทันที”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ หญิงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาใกล้แล้วก็เปลี่ยนไปในทันที!

การขายรถราคา 8 ล้านได้นั้นหมายถึงค่าคอมมิชชั่นก้อนโต!

หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้ล้อเล่น เธอจะยอมปล่อยเงินก้อนโตนี้ไปได้ยังไง?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะยังมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็เต็มใจที่จะลองเดิมพันดู

หากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเศรษฐีที่ชอบทำตัวติดดินจริง ๆ มันก็หมายความว่าเธอจะได้รับเงินที่มูลค่าเท่ากับฐานเงินเดือนของเธอครึ่งปีในคราวเดียว!!

สิ่งนี้จะไม่น่าตื่นเต้นได้อย่างไร?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอจึงรีบก้าวเข้ามาแทรกและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประจบประแจง

“อาลี่! เมื่อกี้นี้ฉันมีธุระนิดหน่อยก็เลยต้องให้เธอดูแลสุภาพบุรุษท่านนี้แทนฉัน แต่ตอนนี้ฉันเสร็จธุระแล้ว ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว ขอบคุณมาก!”

“แต่…”

อาลี่อดไม่ได้ที่จะลังเลเมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ตัวเอง อีกฝ่ายเป็นคนบอกเองว่าให้เธอดูแลลูกค้าคนนี้ ดังนั้นโอกาสการขายนี้ควรเป็นของเธอ

แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการให้ใครคนอื่นมาแย่งโอกาสการขายครั้งนี้ไป เพราะนี่มันเป็นโอกาสของเธอโดยชอบธรรม

“ยังจะยืนงงอะไรอยู่อีก? เธอยังไม่มีประสบการณ์การขายมากพอ เธอดูแลการซื้อรถราคาแพงขนาดนี้ไม่ไหวหรอก”

สีหน้าของหญิงวัยกลางคนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อเห็นท่าทางของ อาลี่ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เธอยังอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ จึงยิ่งรู้สึกอยากจะกดขี่น้องใหม่ในฐานะลูกจ้างเก่า

อาลี่ผงะไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเธอดูไม่ค่อยเต็มใจนัก

“ฉัน…”

แต่ว่าในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้น

“เฮ้! รีบออกไปให้ไกล ๆ เลยไป อย่ามายืนขวางหูขวางตาฉัน! ถ้าไม่ใช่น้องสาวคนนี้เป็นคนขายให้ฉัน ฉันจะไม่ซื้อรถนี่แน่นอน!”

อวี้ฮ่าวหรานตวาดขึ้นอย่างหยาบคายไปยังหญิงวัยกลางคนที่แต่งหน้าหนาเตอะ

ผู้หญิงคนนี้น่าขยะแขยงมากกว่าที่เขาคิดซะอีก!

ถึงแม้จะทาแป้งรองพื้นซะหนา แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดรอยเหี่ยวย่นเอาไว้ได้ และเนื้อตัวก็มีแต่กลิ่นน้ำหอมเหม็นฉุน ซึ่งทำให้ไม่ว่าใครก็รู้สึกอึดอัดหากอยู่ใกล้

อย่างไรก็ตาม เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน เธอก็ตวาดกลับเสียงแหลมทันที!

“นี่คุณพูดว่าอะไรนะ??”

วันนี้เธออารมณ์ไม่ดี ดังนั้นความอดทนของเธอจึงต่ำเป็นพิเศษ!

“ฉันบอกให้แกไสหัวออกไปให้พ้นหน้าของฉันซะ!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา

ตอนนี้เขารู้สึกรังเกียจหญิงวัยกลางคนผู้นี้มากกว่าเดิม

“แกกล้าดียังไงมาไล่ฉัน?? แกมีสิทธิ์อะไร!”

หญิงวัยกลางคนโกรธจัดทันที!

วันนี้เธอเพิ่งทะเลาะกับชายหนุ่มบ้านจนที่ต้องการจะมาสู่ขอลูกสาวของเธอ ดังนั้นเธอจึงอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษ!

“นี่…ย…หยุดเถียงกันเถอะ…หนูยอมไปก็ได้…หนูยอมไปก็ได้…”

เมื่อเห็นฉากนี้ อาลี่ก็หน้าแดงด้วยความกังวล และพยายามเกลี้ยกล่อมรุ่นพี่ของเธอ

“ไปให้พ้น! อย่ามาแส่เรื่องของฉัน!”

อารมณ์ของหญิงวัยกลางคนตอนนี้เหมือนระเบิดที่ถูกจุดไฟ เธอผลักรุ่นน้องของตัวเองจนเซไปด้านข้าง และชี้หน้าด่าอวี้ฮ่าวหรานอย่างดุเดือด

“เฮอะ! ตอนแรกฉันก็อยากจะรู้ว่าแกรวยจริง ๆ หรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉันคงไม่ต้องเดาแล้ว! แค่เสื้อผ้าของแกยังมีราคาไม่เท่ากับรองเท้าของฉันคู่หนึ่งเลยด้วยซ้ำ คิดจะไล่ฉันไปงั้นเหรอ? จริง ๆ แล้วแกไม่มีปัญญาซื้อแลมโบกินีหรอกใช่ไหม?”

หญิงวัยกลางคนมองอวี้ฮ่าวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ คำพูดของเธอดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง

“แกไม่อายหรือไงถึงกล้าหลอกคนอื่นว่าเป็นคนรวย! แกรวยงั้นเหรอ? เฮอะ! ถ้าคนอย่างแกรวยงั้นฉันก็เป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองนี้แล้ว!”

เธอตะคอกขึ้นด้วยสีหน้าที่เหยียดหยาม เธอรู้สึกเบื่อหน่ายกับพวกคนจนที่มักจะเดินเข้ามาที่นี่เรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน แถมก่อนหน้านี้ลูกสาวของเธอกลับไปหลงรักผู้ชายจน ๆ คนหนึ่งอีก ดังนั้นตอนนี้อารมณ์ของเธอจึงดุเดือดสุด ๆ!

อวี้ฮ่าวหรานเงียบและมองไปที่หญิงวัยกลางคนที่ตะโกน

สายตาที่เขามองอีกฝ่ายมันราวกับว่าเขากำลังมองไปที่ตัวตลก

“พูดพอหรือยัง?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดเสร็จแล้ว เขาแค่ถามกลับสั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม คำถามกลับสั้น ๆ นี้ทำให้หญิงวัยกลางคนโกรธมากกว่าเดิม!

“ยังกล้ายืนอยู่ที่นี่อีกงั้นเหรอ! ออกไปจากที่ทำงานของฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะเรียกรปภ. มาลากคอแกออกไป!”

ด้วยความโกรธที่ครอบงำ ตอนนี้เธอจึงปักใจเชื่อว่าชายหนุ่มไม่ใช่เศรษฐีแน่นอน มันต้องเป็นแค่พวกคนจนที่แสร้งทำตัวเป็นคนรวยเรียกร้องความสนใจแน่ ๆ

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หลิวเทียนอี้ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของโชว์รูมก็กลับมาถึงพอดี เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นอวี้ฮ่าวหรานอย่างใจจดใจจ่อ

แต่แล้วเมื่อเขาเข้ามาด้านในโชว์รูมและได้ยินเสียงตะโกนที่ฉุนเฉียว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที!

“ไสหัวออกไปจากโชว์รูมของฉันเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นพนักงานคนหนึ่งของเขา และเขารู้สึกโกรธเล็กน้อย

พนักงานของเขากำลังด่าใครอยู่??

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากวาดสายตามองไปและเห็นคู่กรณี วิญญาณของหลิวเทียนอี้ก็แทบจะหลุดออกจากร่างเพราะความตื่นตระหนก!!

เพราะคนที่กำลังถูกตะคอกคือประธานอวี้ ที่เขาอยากจะเอาอกเอาใจสุดฤทธิ์!!!

“น…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิวเทียนอี้รีบสาวเท้าเดินเข้าหาจนไขมันบนหน้าสั่นสะท้าน ก่อนที่จะตะโกนใส่พนักงานหญิงของเขาอย่างรวดเร็ว!

ยิ่งหญิงวัยกลางคนพูดมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ใจมากขึ้นเท่านั้น และเธอก็ยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้นที่เห็นว่าหัวหน้าของเธอกลับมาในเวลานี้

“ผู้จัดการคะ! ไอ้ชั้นต่ำนี่มาที่โชว์รูมของเราเพื่อสร้างปัญหา! เขาไม่ไว้หน้าพวกเราเลยสักนิด! และอาลี่ เด็กใหม่คนนี้ ฉันเดาว่าพวกเขาน่าจะรู้จักกัน และกำลังร่วมมือกันเพื่อสร้างปัญหาให้กับเราที่นี่!”

หญิงวัยกลางคนเอ่ยฟ้องอย่างรวดเร็ว

ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้จัดการหลิวนั้นค่อนข้างดี ดังนั้นตอนนี้เธอจึงถือโอกาสเป็นคนฟ้องก่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เปรียบ

หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้จัดการหลิวจะยืนเคียงข้างเธอและขับไล่ไอ้คนที่เธอเกลียดขี้หน้าออกไปจากโชว์รูมแน่นอน!

แน่นอนว่ารวมไปถึงอาลี่ด้วย!

งานนี้ได้ค่าตอบแทนดีมาก เธอจึงต้องการจะให้ญาติของเธอมาทำงานที่นี่แต่ตอนนี้มันกลับสายเกินไปแล้ว เพราะตำแหน่งพนักงานฝ่ายขายเต็ม ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องทำให้อาลี่ถูกไล่ออกเพื่อที่ตำแหน่งจะได้ว่าง

อันที่จริงเธอหาโอกาสที่จะเล่นงานอาลี่มานานแล้วแต่หาไม่ได้สักที ดังนั้นตอนนี้เธอจึงรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้

อาลี่ตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

“ไม่…ไม่ใช่นะผู้จัดการ! เขาเป็นลูกค้า เขามาที่นี่เพื่อซื้อรถ แต่พี่โจวเธอเข้ามาแทรกและรบกวน…”

“นังนี่ แกกล้าใส่ร้ายฉันงั้นเหรอ?”

สีหน้าของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที เธอตะคอกอาลี่อย่างโกรธจัด!

เธอไม่คิดว่าเด็กสาวที่ดูอ่อนแอคนนี้จะกล้าพูดโต้ตอบเธอ!

ในเวลานี้ หลิวเทียนอี้แสดงสีหน้าราวกับเห็นผี

นี่มันบ้าอะไรกัน? ลูกน้องของเขาด่าประธานเครือฮ่าวหรานผู้ยิ่งใหญ่ แบบนี้ได้ยังไง??

ด้วยอิทธิพลของอีกฝ่ายสามารถทำให้ชีวิตของเขาตกนรกทั้งเป็นได้แบบง่าย ๆ และยิ่งไปกว่านั้นเครือฮ่าวหรานเพิ่งสั่งรถหรูสำหรับผู้บริหารไปสองล็อตใหญ่!

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคนนี้เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งสำหรับเขา แต่ในตอนนี้หนึ่งในพนักงานของเขากำลังเปลี่ยนให้ชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นเทพมรณะแทน!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เส้นเลือดบนขมับของหลิวเทียนอี้ปูดขึ้นมาในทันที!

“ไสหัวไปเดี๋ยว!! ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!!!”

เขาตะโกนอย่างโกรธจัด กลั้นอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป!

นังนี่กำลังวางแผนจะฆ่าเขาใช่ไหม??

“ไงล่ะ? พวกแกสองคนได้ยินแล้วใช่ไหม ผู้จัดการของฉันไล่ให้พวกแกออกไปจากที่นี่ซะ!”

หญิงวัยกลางคนไม่คิดว่าหลิวเทียนอี้นั้นพูดกับเธอ เธอจึงหันไปหาอวี้ฮ่าวหรานและอาลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ทันทีอย่างภาคภูมิใจ

ในที่สุดวันนี้ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นบ้าง!

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท